พระมหาโกฏฐิตเถระ เอตทัคคะในทางผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 3 พฤษภาคม 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    <CENTER>พระมหาโกฏฐิตเถระ
    เอตทัคคะในทางผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา

    </CENTER>พระมหาโกฏิฐิตะ เป็นพราหมณ์ชื่ออัสสลายนะกับนางพรหามณีชื่อ จันทวดี ในเมืองสาวัตถี เดิมชื่อว่า “ โกฏฐิตะ ” ตระกูลของท่านจัดว่าอยู่ในระดับมหาเศรษฐี ท่านจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี แต่บิดาของท่านมีทิฏฐิแรงกล้ายึดมั่นในลัทธิศาสนาพรหามณ์อย่างมั่นคง เมื่อท่านเจริญวัยได้ศึกษาศิลปวิทยาตามลัทธิศาสนาพราหมณ์จบไตรเพท

    เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว เที่ยวงจาริกเผยแผ่หลักธรรมคำาอนไปตามคามนิคมต่าง ๆ ทั้งในเมืองและชนบท ได้เสด็จมาถึงหมู่บ้านที่อัสสลายนพราหมณ์ตั้งนิวาสสถานอยู่ ได้ทรมานอัสสลายนพราหมณ์จนละทิฏฐมานะ และแสดงตนเป็นพุทธมามกะปวารณาตนเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสารณะตลอดชีวิต

    <HR><CENTER>ทิ้งพราหม์ถือพุทธ

    </CENTER>โกฏฐิมาณพ เห็นบิดาหันมายอมรับนับถือพระรัตนตรัยก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสขึ้นบ้าง ต่อมาได้ฟังพระธรรมเทศนาก็ยิ่งเกิดศรัทธามากขึ้น ถึงกับมีจิตน้อมไปในการออกบวชเพื่อปฏบัติตามพระธรรมวินัย จึงกราบทูลขอบวชต่อพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ทรงมอบหมายให้พระสารีบุตรเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ ให้พระโมคคัลลานเถระเป็นพระอาจารย์



    ในขณะที่ท่านกำลังโกนผมอยู่นั้นท่านได้พิจรณาในกรรมฐานไปเรื่อย ๆ พอผลัดเปลี่ยนผ้าสาฏกของคฤหัสถ์ออกแล้วนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ในขณะนั้น พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔ วิชชา ๓ และวิโมกข์ ๓



    พระมหาโกฏฐิตะนั้น แม้ท่านจะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ท่านก็ยังมีปกติฝักใฝ่ในการศึกษา ไม่ว่าท่านจะเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาหรือเข้าไปหาพระเถระรูปอื่น ๆ ท่านก็มักจะถามปัญหาในปฏิสัมภิทาอยู่เสมอ ๆ จนมีความเชี่ยวชาญแตกฉานในปฏิสัมภิทาเป็นพิเศษ มีเรื่องปรากฏในมหาเวทัลลสูตรมัชฌิมนิกายว่า

    <HR><CENTER>เป็นผู้แตกฉานเพราะชอบถามปัญหา

    </CENTER>สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ พระมหาโกฐิตเถระ ได้ขอโอกาสกราบเรียนถาม ข้อข้องใจกับพระสารีบุตรเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ว่า



    “ ข้าแต่พระอุปัชฌาย์ คนเช่นไร ที่เรียกว่าคนทุปัญญา ขอรับ ? ”
    “ ดูก่อนมหาโกฏฐิตะ คนทุปัญญา ก็คือ คนไม่มีปัญญา ”
    “ เพราะเหตุไร จึงเรียกว่า คนไม่มีปัญญา ขอรับ ? ”
    “ คนไม่มีปัญญา ก็คือคนไม่รู้ความจริงว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ สิ่งนี้ทำให้เกิดทุกข์ สิ่งนี้เป็นความดับทุกข์ และสิ่งนี้เป็นหนทางให้ถึงความดับทุกข์ ส่วนคนอีกพวกหนึ่งที่รู้ความจริงเหล่านี้ ท่านเรียกว่า คนมีปัญญา ”
    พระมหาโกฏฐิตเถระ ได้กราบเรียนถามต่อไปว่า
    “ ข้าแต่พระอุปัชฌาย์ ที่เรียกว่า วิญญาณ นั้น หมายความว่าอย่างไร ขอรับ ? ”
    “ ดูก่อนมหาโกฏฐิตะ ที่เรียกว่า วิญญาณ นั้น ก็เพราะรู้สึกสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง ”
    “ ท่านขอรับ ปัญญากับวิญญาณนี้ รวมกันหรือแยกกัน ขอรับ ? ”
    “ ดูก่อนมหาโกฏญิตะ ปัญญากับวิญญาณนี้ อยู่รวมกัน ไม่อาจแยกกันได้ กล่าวคือ บุคคลรู้ในสิ่งใดก็รู้สึกในสิ่งนั้น บุคคลรู้สึกในสิ่งใดก็รู้ในสิ่งนั้นเป็นต้น ”


    พระเถระทั้งสองนั้น ได้สนทนาธรรมในข้อสงสัยต่าง ๆ กันต่อไป พอสมควรแก่เวลาแล้ว พระมหาโกฏฐิเถระ ได้กล่าวแสดงความชื่นชม ยินดีในปรีชาความรู้ของพระอุปัชฌาย์ ( พระสารีบุตรเถระ) แล้วกราบลากลับสู่ที่พักของตน



    ด้วยเหตุแห่งการฝักใฝ่ในการศึกษา จนเป็นที่เชี่ยวชาญในปฏิสัมภิทาเป็นพิเศษนี้ พระบรมศาสดา จึงทรงยกย่องท่านในตำเเหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔



    ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนา สมควรแก่การเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน...

    <HR><CENTER>ปฏิสัมภิทา ๔ </CENTER>

    <CENTER>๑ . อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ ๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม
    ๓ . นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาอันแตกฉานในนิรุตติ
    ๔ . ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาอันแตกฉานในปฏิภาณ

    </CENTER><HR><CENTER>วิชชา ๓ </CENTER>

    <CENTER>๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้จักระลึกชาติได้ ๒ . จุตูปปาตญาณ รู้จักกำหนดจุติและเกิด
    ๓ . อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น

    </CENTER><HR><CENTER>วิโมกข์ ๓ </CENTER>

    <CENTER>๑ . สุญญตวิโมกข์ ความพ้นโดยเป็นสภาพว่าง
    คือว่างจากระคะ โทสะ โมหะ
    ๒ . อนิมิตตวิโมกข์ ความพ้นโดยหาเครื่องหมายมิได้
    เพราะไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นเครื่องหมาย
    ๓ . อัปปณิหิตวิโมกข์ ความพ้นโดยหาที่ตั้งมิได้ คือไม่มี
    ราคะ โทสะ โมหะ เป็นที่ตั้ง

    ที่มา...http://www.larnbuddhism.com/atatakka/pratera/
    ที่มา...</CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...