พระนางพญาเสน่ห์จันทร์เคลือบเขียวสมเด็จญาณสังวรพระสังฆราชพระสมเด็จผสมเกศาจีวรลป.คำคนิง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,997
    ค่าพลัง:
    +5,697
    จองครับ
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    รับทราบครับขอบคุณครับ
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749039511088.jpg

    พระปิดตารุ่น ๒ หลวงพ่อมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ อ.แม่สอด จ.ตาก
    พระปิดตาพุทธญาโณ(รุ่นพิเศษ) หลวงพ่อมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ รุ่น๒ สร้างปี ๒๕๓๔
    คณะศิษย์จึงได้ขอ อนุญาติ พระอาจารย์มหาวิบูลย์สร้างขึ้นอีกรุ่นหนึ่งในรูปแบบประยุกต์จากพระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ชลบุรี จารึกนัยต์ "เฑาะ" นวะหรคุณ และอักขระขอม "พุทธญาโณ" เช่นเดียวกับพระปิดตารุ่นแรก สร้างจำนวน30,000 องค์ เพื่อให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธา ได้มีโอกาสรับไปบูชา สร้างด้วยเนื้อผงคลุกรักเช่นเดียวกับพระปิดตารุ่นแรก ช่างที่สร้างก็เป็นช่างเดียวกันกับพระปิดตารุ่นแรกทั้งชุด ได้ดำเนินการพิมพ์พระ เมื่อ 11 พฤษภาคม 2534 ตรงกับวันเสาร์ แรม13 ค่ำ ปีมะแม จ.ศ.1353 เริ่มดำเนินการเป็นปฐมฤกษ์เวลา 9.39 นาฬิกา เป็นราชาฤกษ์ ในราษีกรกฏ หมดเวลา 10.59 นาฬิกา สิ้นสุดสมโณฤกษ์ ในราษีกรกฏ ล่างเป็น ลาภะ ดีทางโชคลาภ อาทิตย์เป็นมหาอุตม์ ดีทางคงกระพัน ทรัพย์สมบัติมั่นคง อาทิตย์คู่พุทธ เป็นดาวคู่วิชาการ การศึกษาเล่าเรียนดี จันทร์เป็นทวีโชค อุปถัมป์ค้ำชู พฤหัสคู่ลัคนา ผู้ใหญ่ให้ความสนับสนุนจริงจัง ศุกร์เป็นจุลจักร การหมุนเงินดี เสาร์เป็นเกษตร ดีทางโชคลาภที่ได้มาแบบฟลุคๆ ราหูเป็นอุจจาภิมุข โจรผู้ร้ายลักขโมยข้าวของลำบาก เมื่อดำเนินการสร้างพระครบจำนวนแล้ว พระอาจารย์วิบูลย์ ได้นำไปเจริญภาวนาแผ่เมตตาปลุกเสกตลอดไตรมาส ที่วัดโพธิคุณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และที่ดินอินทารามบางยี่เรือ กรุงเทพ ตลอดมา และได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกอีกหลายครั้ง
    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อมหาวิบูลย์ได้ทำการจารพระอยู่ในห้องส่วนตัวด้านใน ในขณะนั้นก็มีลูกศิษย์เป็นนายทหารมากราบท่าน และนั่งรออยู่ด้านนอกห้องซักพักก็มีเสียง ดัง แก๊ก เหมือนเสียงเหรียหล่น
    ลงมากระทบพื้น คนที่นั่งรอก็หันไปมองตามเสียงปรากฏว่าเป็นเหรียญหันข้างรุ่นแรกของท่านกำลังกลิ้งอยู่ที่พื้นหน้าห้อง โดยที่ห้องนั้นก็ยัง
    ปิดสนิทเหมือนเดิม เมื่อเห็นดังนั้นเค้าจึงคว้าเหรียญดังกล่าว เก็บโดยไว เพราะคิดว่าเทวดาให้ศิษย์ทหารคนดังกล่าวเก็บเรื่องนี้มาเงียบๆจนวันหนึ่งได้กราบหลวงพ่อสุจินต์ที่เป็นศิษย์หลวงพ่อมหาวิบูลย์ศิษย์ทหารจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อสุจินต์ฟัง
    เมื่อหลวงพ่อสุจินต์ได้ฟังจึงไปสอบถามกับหลวงพ่อมหาวิบูลย์ หลวงพ่อมหาวิบูลย์จึงบอกว่า ในตอนนั้นกำลัง ลงจารวัตถุมงคลด้วยวิชา นะปัดตลอด ซึ่งท่านได้ร่ำเรียนมาจากหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเหรียญที่ทะลุจากผนังห้องออกมาอาจจะเป็นผลพลอยได้จากอานุภาพของวิชาที่ท่านกำลังใช้อยู่
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฮือฮามากในหมู่ศิษย์ครับ
    เหรียญแลกชีวิตเมื่อหลายปีก่อนมีโอกาศไปกราบหลวงมหาวิบูลย์ได้ไปฟังธรรมะหลายๆอย่างจากท่านท่านเมตตาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังมากมายทั้งที่เป็นธรรมะ
    และเรื่องตื่นเต้นเร้นลับ (หากมีเวลาจะเอามาเล่าให้ฟัง)
    ในวันนั้นผมได้นำเหรียญพระพุทธสิหิงค์ ปี 2537
    ไปให้ท่านเมตตาอธิษฐานจิตเพิ่มให้พร้อมๆกับของเพื่อนๆ
    เมื่อท่านอธิษฐานจิตเสร็จท่านก็หยิบเหรียญนี้ขึ้นมาแล้วบอกว่าเหรียญนี้บางคนก็เรียกว่าเหรียญแลกชีวิตแล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า มีคนในแม่สอดมาเล่าให้ท่านฟังว่ามีชาวกระเหรี่ยงได้รับแจกเหรียญนี้ไปด้วยความศรัทธาท่านจึงนำไปห้อย แล้วเกิดการหักหลังกันในกลุ่มจึงโดนตามล่า หนีไปได้หลายครั้ง สุดท้ายก็ไปไม่รอดถูกจับได้ แล้วเค้าจับเอามือมัดไพล่หลัง เอาจ่อปืนยิงหัวแต่ยิงเท่าไรก็ไม่ได้ สุดท้ายคนยิงก็ล้วงเอาพระออกมาเมื่อเห็นเป็นพระท่านก็ได้สติและบอกกับคนที่ถูกยิงว่าจะให้โอกาศในครั้งนี้แต่จะต้องถอดเหรียญให้เค้า
    เพื่อแลกกับชิวิตในครั้งนี้และต้องหายไปอย่ามาให้เค้าเห็นหน้าอีกจึงเป็นที่มาของชื่อเหรียญแลกชีวิตท่านพระอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระ นิพพานแล้ว ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก และองค์ท่านอมชมพู มีรัศมี เหมือนพระอรหันต์จะนิพพานแล้ว และนิพพานอย่างสงบ ทรงสติสัมชญะสมบูรณ์มาก
    หลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ จ.ตาก เป็นเจ้าอาวาส รูปแรกของวัดโพธิคุณ (วัดห้วยเตย) ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๑ หลวงพ่อท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัด มีระเบียบวินัยและอีกทั้งเป็นนักพัฒนาอีกด้วย ตลอดที่ท่านอยู่กับวัดโพธิคุณ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด โดยไม่ได้เห็นความเหน็ดเหนื่อยใด ๆทั้งสิ้นและยังมีลูกศิษย์อีกมากมายพร้อมใจกันมาร่วมสร้างวัดให้เจริญให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์หลายรูป เช่น - หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต เจ้าอาวาสวัดอริยวงศาราม จังหวัดราชบุรี ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต - พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสอินทปญฺโญ) สวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับโอวาทจากพระเดชพระคุณท่าน - พระครูพิพัฒน์ธรรมคุณ (หลวงพ่อเตียงเนกขมฺโม) วัดเขารูปช้าง จังหวัดพิจิตร ได้ศึกษาวิทยาคมที่ได้สืบทอดมาจากหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร และศึกษาการทำตะกรุดจากท่าน - หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ได้ศึกษาธรรมะและเข้าถึงสมาธิตลอดทุกอิริยาบถอย่างเคร่งครัด และยังได้ศึกษาจากพระครูสังฆรักษ์ (ชม อนํคโณ) วัดเขานันทาพาสุภาพ จังหวัดปราจีนบุรี) พระครูวิสุทธาจารเณร (เทียม สิริปญฺโญ) วัดกษัตราธิราช จังหวัดอยุธยา และพระโพธิญาณเถร (ชา สภทฺโท) วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี , หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทาราม หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี นี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อเจ้าคุณทักษิณคณิสร วัดอินทาราม พระผู้สร้างพระเพชรหลีกเพชรกลับอันโด่งดัง พระ อาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระนิพพานแล้ว ในวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก มีลูกศิษย์หลายท่าน ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลจากหลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ แต่จะให้สร้างเฉพาะพระพุทธเท่านั้น และเหรียญพระพุทธ รุ่นแรกของท่าน (เหรียญรัตนรังสี) ก็เป็นที่นิยมและต้องการ ในเหล่าลูกศิษย์ที่เคารพรักท่าน ลพ.ฯจะไม่อนุญาตให้สร้างวัตถุมงคลที่เป็นรูปของท่าน จนกระทั้ง ปี๒๕๓๘ ซึ่ง ลพ.ฯมีอายุครบ ๖๐ปี ท่านได้รับการขอร้องจากลูกศิษย์ ขอสร้างวัตถุมงคล ที่มีรูปของท่าน คือเหรียญ รูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน จัดทำโดย กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์วัตถุมงคลต่างๆหลายรุ่นของหลวงพ่อ มักจะถูกกำหนดให้ สร้างขึ้นเนื่องในงานพิธีต่างๆ เช่น งานทอดกฐินของวัดโพธิคุณ , เนื่องในงานวันเกิดของหลวงพ่อ ๕ มีนาคม ของทุกปี และในงานสำคัญอื่นๆครับ
    ชาติภูมิ
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เกิดที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง (โพธิ์ทะเลเดิม) จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ บิดามารดาประกอบอาชีพด้วยการทำนาเช่นชาวนาชนบททั้งหลายในสมัยนั้น
    ท่านมีพี่น้องร่วมอุทร ๔ คน เป็นหญิง ๒ ชาย ๒ ท่านเป็นบุตรคนโต
    อยากบวชมาตั้งแต่เด็ก
    ท่านเปิดเผยว่าไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด ท่านอยากจะบวชเป็นสามเณร เป็นพระภิกษุมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ขัดที่เป็นลูกชายคนโตถ้าท่านออกบวชทางครอบครัวก็จะไม่มีคนช่วยทำงาน
    ความอยากที่จะบวชนั้น ท่านได้เดินทางไปยังวัดพระศรีมหาธาตุจังหวัดพิษณุโลก เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดในประเทศไทย โดยท่านบอกว่า
    “ อาตมาได้ไปเห็นพระพุทธชินราชในครั้งนั้นแล้ว เกิดความเลื่อมใสศรัทธามนพระศาสนามากจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้หลวงพ่อพระพุทธชินราชช่วยให้อาตมาได้บวชเถิด ถ้าบวชแล้วจะไม่สึกตลอดชีวิต ”
    ...อย่างไม่คาดคิด
    ปีที่ท่านจะได้บวชเป็นสามเณร ทั้ง ๆ ที่มีอายุ ๒๐ แล้ว แต่ยังไม่ครบปีดี เพราะท่านเกิดปลายปี มีเหตุอยู่ว่า
    ในปีนั้นท่านไปทำนาอยู่กับโยมผู้ชายของท่าน และในขณะนั้นฝนตกชุก ปลาพล่านไปมา ก็เลยนึกอยากจะทำลอบดักปลาจึงไปเอาไม้ไผ่มาเหลาเป็นซี่ลอบ
    แต่เมื่อท่านกำลังนั่งเหลาซี่ลอบอยู่ดี ๆ นั้น เกิดเป็นตะคริวขึ้นที่มือ ทำให้ไม่สามารถจะเหลาไม้ไผ่ต่อไปได้ ท่านจึงเรียกน้องชายของท่านให้ช่วยมาบีบนวดมือให้
    “ แล้วอาตมาก็หมดความรู้สึกไปตั้งแต่เช้า มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนเที่ยงคืน
    โยมแกก็ถามว่า อาตมาไปบนอะไรไว้บ้าง อาตมาก็บอกไปตามความจริง แกเลยพูดขึ้นว่า ถ้าอยากบวชถึงขนาดนี้ก็บวชไป อาตมาก็เลยได้บวชสมกับที่ปรารถนามาช้านาน ”
    แต่การบวชครั้งนั้นเป็นเพียงบรรพชาเป็นสามเณร โดยท่านได้ไปบรรพชาที่วัดไผ่ท่าโพธิ์มี พระครูธรรมาภิรัตน์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    ครั้นบวชเณรได้พรรษาหนึ่งท่านก็เริ่มไปศึกษานักธรรมบาลีที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนากจังหวัดพิจิตร จนใกล้จะสอบก็ต้องสึกเพราะโยมผู้ชายของท่านเกิดเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน !
    ฝันประหลาด
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ เล่าถึงคืนที่โยมผู้ชายจะเสียชีวิตว่า
    ในคืนนั้นท่านซึ่งกำลังป่วยหนักด้วยไข้รากสาดได้เกิดไข้สูงกว่าทุกวัน ทั้งท้องเดิน ทั้งอาเจียนจนคล้ายจะสลบไป ก็มียมทูตจำนวนสี่นายล้วนนุ่งผ้าแดง ตัวเปล่าเปลือยรูปร่างกำยำสูงใหญ่ จะเข้ามาจับท่าน
    ท่านเห็นท่าไม่สู้จะดีก็ออกวิ่งหนีไปถึงหนองน้ำแห่งหนึ่งจึงกระโดดลงไปซ่อนตัวอยู่ใต้กองผักตบชวา
    ยมทูตตามท่านมาถึงหนองน้ำก็กระโดดลงไปในหนองน้ำนั้น ๓ นาย เหลืออีกนายหนึ่งให้ยืนเฝ้าปากทางไว้ ซึ่งท่านเล่าถึงตอนนี้ว่า
    “ อาตมาคำนวณดูกำลังเห็นว่ายมทูตในน้ำมีถึง ๓ คน เห็นจะสู้ไม่ไหว ก็ตัดสินใจผละจากกองผักตบชวาขึ้นจากหนองน้ำไปสู้กับยมทูตที่เฝ้าปากทาง
    ยมทูตคว้าอาวุธจะมาทำร้ายอาตมาแย่งมาได้ ก็พอดีรู้สึกตัวแล้วก็หายป่วยแต่นั้นมา ”
    ในคืนเดียวกันนั้นเอง โยมผู้ชายของท่านก็ฝันไปว่า เห็นใครก็ไม่ทราบมีจำนวน ๔ คน ไล่จับสามเณรลูกชายของตน แล้วเอาโซ่เหล็กมามัดตัว พลางถามสามเณรว่า “ รับได้ไหม? รับได้ไหม? ”
    ฝ่ายโยมผู้ชายเมื่อเห็นเขาทรมานลูกชายเช่นนั้นก็เกิดความสงสาร ก็เลยหันมาถามลูกของตนว่า
    “ เณรรับเขาได้หรือไม่ได้ก็บอกเขาเถิด ”
    “ ในฝันของโยมผู้ชายนั้นแกบอกว่า อาตมาว่ารับได้
    พอบอกว่ารับได้เท่านั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มาจากไหนไม่ทราบ มาจับตัวอาตมาพุ่งลงแม่น้ำไป
    โยมผู้ชายก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ปลุกโยมผู้หญิงแล้วเล่าให้ฟังไว้ พอวันรุ่งขึ้นโยมผู้ชายก็เสียเลย !” ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่า
    อุปสมบท
    เมื่อจัดการฌาปนกิจศพบิดาเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ช่วยมารดาของท่านเกี่ยวข้าว เพราะในปีนั้นทางบ้านทำนาไว้มากไม่มีกำลังคนจะเกี่ยวข้าวเพียงพอ ครั้นเกี่ยวข้าวเสร็จอายุท่านก็ครบเป็นพระได้
    ตามปกติธรรมดาของชาวชนบทในสมัยนั้น เมื่อบ้านใดจะบวชลูกชาย ก็จำต้องป่าวประกาศเชิญแขกเหรื่อมาในงานทำขวัญนาค และมารดาของท่านอาจารย์วิบูลย์ก็ต้องการที่จะจัดงานเช่นนั้น โดยเตรียมเครื่องอัฐบริขารไว้แล้วจะไปเชิญหมอทำขวัญนาค
    แต่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้ชิงบอกแก่มารดาของท่านในตอนนั้นเสียก่อนว่า ท่านต้องการบวชเงียบ ๆ และจะไปบวชเองเพียงแต่ขอให้มารดาอนุญาตเท่านั้นมารดาท่านก็นิ่งอั้น
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ ก็หอบเครื่องอัฐบริขารไปที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก โดยลำฟัง แต่มารดาของท่านได้ตามไปทันในวันรุ่งขึ้น
    ก่อนที่จะบวชในคืนนั้นท่านพักอยู่ที่ศาลา โกนศีรษะเรียบร้อยแล้ว ท่านหลับไปก็ฝันว่า ไปพบบิดาที่หน้าประตูโบสถ์
    ในความฝันนั้นท่านเป็นนาคแล้วโดยนุ่งขาวห่มขาวเป็นอันดี
    ท่านเห็นบิดาของท่านมายืนอยู่เช่นนั้น ก็กล่าวชวนว่า
    “ พ่อเข้าไปในโบสถ์ด้วยกันเถิด ” แต่บิดาไม่ยอมพูดด้วย ท่านก็นึกเสียใจว่าทำไมบิดาไม่ยอมพูดไม่ยอมเข้าไปในโบสถ์ร่วมบวชท่าน
    ในฝันนั้นท่านนึกเสียใจจนร้องไห้ออกมา ครั้นตื่นขึ้นหมอนหนุนศีรษะเปียกน้ำตาไปหมด
    รุ่งขึ้นในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๙๙ ท่านก็อุปสมบท ณ วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร มี ท่านพระครูวิเศษธัมมวินิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    มุ่งมั่นบุกบั่นเรียน
    ครั้นท่านอุปสมบทบทเป็นพระนวกะที่วัดชัยมงคลแล้ว ก็เรียนทั้งบาลีและนักธรรมควบคู่กันไป
    ตามธรรมดานั้นพระนวกะจะต้องเรียนถึง ๓ ปี จึงจะสมัครสอบบาลีได้ แต่ท่านอาจารย์วัดชัยมงคลเห็นท่านเรียนเก่ง พอเรียนได้ ๒ ปี ก็ให้ท่านเข้าสอบนักธรรมตรีกับเปรียญ ๓ ผลปรากฏว่าท่านสอบนักธรรมตรีได้ แต่สอบเปรียญ ๓ ตก ท่านเล่าว่า
    “ พอสอบตกอาตมาอายเขาก็หนีมาจำพรรษาที่วัดค้างคาวจังหวัดลพบุรี มาเรียนบาลีที่วัดบัวเรียนได้พรรษาหนึ่ง ก็เข้าสอบนักธรรมโทคู่กับเปรียญ ๓
    ผลออกมาสอบได้นักธรรมโทแต่ตกเปรียญ ๓ อีก อาตมาก็ลงมากรุงเทพฯ มาพำนักอยู่วัดอินทาราม ตลาดพลูนี้ เมื่อปี ๒๕๐๑ ตั้งใจว่าจะเรียนเปรียญให้จงได้ถ้าเรียนไม่ได้ก็ให้ตายหมดเรื่องไป
    จึงพยายามมุมานะดูหนังสือแต่เกิดป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบเสียอีก ต้องเข้าโรงพยาบาลไปผ่าตัดไส้ติ่ง
    หลังจากผ่าตัดแล้วก็มุมานะเรียนบาลี ก็สอบได้เปรียญ ๓
    จากนั้นก็เรียนต่อจนถึงปี ๒๕๐๔ โดยเรียนนักธรรมเอกกับวิชาครูที่กรมฝึกหัดครู ซึ่งสมัยนั้นเขาเปิดรับพระเณรเข้าเรียนได้ ก็สอบได้นักธรรมเอกและวิชาครู จึงเลิกเรียน แล้วไปเรียนพระอภิธรรมที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ของท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ อยู่พรรษาหนึ่ง ”
    ไม่เชื่อก็ต้องลอง
    ผู้เขียนได้นมัสการกราบเรียนถามท่านถึงสาเหตุที่มาปฏิบัติธรรมทั้ง ๆ ที่เป็นพระนักศึกษามาก่อน ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้เปิดเผยว่า
    “ สาเหตุที่อาตมามาปฏิบัตินั้น เพราะเคยเข้าใจว่าธรรมะอยู่ที่การเรียน คือการศึกษาเล่าเรียนอาจจะทำให้เข้าใจธรรมะดี
    แต่เรียน ๆ ไปจนได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก และมหาเปรียญแล้วก็รู้สึกเหมือนเดิมไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดสุขก็ยังสุข ทุกข์ก็ยังทุกข์จิตใจไม่ดีขึ้น ก็เลยมาค้นหาธรรมะ ว่าธรรมะที่แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน ธรรมะนั้นเป็นอย่างไร
    ตอนนั้นอาตมาเกิดอคติต่อธรรมะ คือแทบไม่เชื่อว่าธรรมะนั้นมีจริง ! คิดว่าเป็นเพียงตัวหนังสือที่ชาวบ้านเขาเขียนกันขึ้นมาให้คนเรียนเท่านั้น
    อาตมาเข้าใจอย่างนั้น มีความเห็นผิดขนาดนั้น ! ต่อมาจึงได้ตัดสินใจ หลังจากได้ยินท่านพระครูประกาศพูดบ้าง ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ้าง
    ครูบาอาจารย์ที่รู้จักมักคุ้นโดยเฉพาะ “ หลวงพ่อใหญ่ ” (ท่านเจ้าคุณวิเชียรมุนี) เจ้าอาวาสวัดอินทารามสมัยโน้น ท่านเป็นพระภาวนาแต่เป็นพระสันโดษ ท่านไม่ค่อยพูด อยู่เงียบ ๆ ท่านเรียกไปพูดให้ฟังก็เลยลองตัดสินใจภาวนาจากตำรา
    มานั่งภาวนาอยู่ในกุฎิคืนหนึ่ง ผลก็คือรู้จักเหตุรู้จักผลดีขึ้น จิตใจสงบลง
    อาตมาภาวนาโดยใช้เพ่งกสิณเพ่งน้ำอยู่คืนหนึ่ง รู้สึกสบายดี ก็เลยตั้งใจจะลองภาวนาดูสัก ๖ เดือน ถ้า ๖ เดือน ไม่รู้อะไรเลยก็จะเลิกแล้ว ไม่เชื่อแล้วธรรมะนี้ ”
    ปฏิบัติกันขั้นอุกฤษฏ์
    เมื่อท่านอาจารย์มหาวิบูลย์พุทธญาโณ ตัดสินใจเช่นนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติและปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง โดยใช้คำภาวนา “ พุท-โธ ” บ้างใช้ภาวนา “ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ” บ้าง
    แต่ส่วนมากใช้ อาโปกสิณ หรือไม่ก็ เตโชกสิณ ท่านบอกว่าเป็นวิธีที่ง่ายหน่อย รวมจิตเร็ว
    การปฏิบัติของท่านอาจารย์มหาวิบูลย์นั้น ท่านปฏิบัติอยู่ในสามอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง ไม่มีการนอนตลอด ๖ เดือน !
    ยืนก็ภาวนา เดินก็ภาวน นั่งก็ภาวนา เพ่งกสิณบ้าง ถึงกระนั้นท่านยังบอกว่าสองเดือนแรกไม่เห็นผลอะไร พอเข้าเดือนที่สามจึงรู้สึกจะได้ผลดี จิตมีความรู้แปลก ๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็เกิดรู้ขึ้น อะไรที่แปลกปลอมเข้ามา จิตก็เริ่มรู้ทันเร็วขึ้น ธรรมะที่ไม่เคยเรียนรู้ก็ผุดขึ้นมาในใจ
    การปฏิบัติของท่านตอนนั้นทำให้สุขภาพทรุดโทรม ร่างกายผ่ายผอม แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ท่านต้องการเห็นธรรมะ ท่านต้องการรู้ธรรมะ แม้ตัวจะตายท่านก็ยอม
    “ พออาตมาปฏิบัติได้ครบ ๖ เดือนก็เข้าป่า ” ท่านบอก
    การธุดงค์ครั้งแรก
    ครั้งแรกที่ท่านแบกกลดสะพายบาตรออกจากวัดอินทารามตลาดพลูนั้น ท่านธุดงค์ไปอยู่ที่เกาะสีชัง โดยถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัด
    เมื่อไปอยู่เกาะสีชังพักหนึ่งเห็นผู้คนชักจะพลุ่กพล่าน ท่านก็หนี ธุดงค์ขึ้นไปทางภาคเหนือ ท่องเที่ยวหาวิเวกไปตั้งแต่พิษณุโลก แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่
    ท่านบอกว่า “ อาตมาไม่ได้ไปแต่แม่ฮ่องสอนเท่านั้น ”
    การธุดงค์ของท่านนั้นปฏิบัติเป็นประจำทุกปี นับแต่ พ.ศ.๒๕๐๖ ถึงปัจจุบันนี้

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระปิดตาเนื้อว่าน๑๐๘ผสมเกศา หลวงพ่อวิบูลย์
    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250604_190748.jpg IMG_20250604_190832.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2025 at 09:07
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749039511088.jpg

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อมหาวิบูลย์ได้ทำการจารพระอยู่ในห้องส่วนตัวด้านใน ในขณะนั้นก็มีลูกศิษย์เป็นนายทหารมากราบท่าน และนั่งรออยู่ด้านนอกห้องซักพักก็มีเสียง ดัง แก๊ก เหมือนเสียงเหรียหล่น
    ลงมากระทบพื้น คนที่นั่งรอก็หันไปมองตามเสียงปรากฏว่าเป็นเหรียญหันข้างรุ่นแรกของท่านกำลังกลิ้งอยู่ที่พื้นหน้าห้อง โดยที่ห้องนั้นก็ยัง
    ปิดสนิทเหมือนเดิม เมื่อเห็นดังนั้นเค้าจึงคว้าเหรียญดังกล่าว เก็บโดยไว เพราะคิดว่าเทวดาให้ศิษย์ทหารคนดังกล่าวเก็บเรื่องนี้มาเงียบๆจนวันหนึ่งได้กราบหลวงพ่อสุจินต์ที่เป็นศิษย์หลวงพ่อมหาวิบูลย์ศิษย์ทหารจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อสุจินต์ฟัง
    เมื่อหลวงพ่อสุจินต์ได้ฟังจึงไปสอบถามกับหลวงพ่อมหาวิบูลย์ หลวงพ่อมหาวิบูลย์จึงบอกว่า ในตอนนั้นกำลัง ลงจารวัตถุมงคลด้วยวิชา นะปัดตลอด ซึ่งท่านได้ร่ำเรียนมาจากหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเหรียญที่ทะลุจากผนังห้องออกมาอาจจะเป็นผลพลอยได้จากอานุภาพของวิชาที่ท่านกำลังใช้อยู่
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฮือฮามากในหมู่ศิษย์ครับ
    เหรียญแลกชีวิตเมื่อหลายปีก่อนมีโอกาศไปกราบหลวงมหาวิบูลย์ได้ไปฟังธรรมะหลายๆอย่างจากท่านท่านเมตตาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังมากมายทั้งที่เป็นธรรมะ
    และเรื่องตื่นเต้นเร้นลับ (หากมีเวลาจะเอามาเล่าให้ฟัง)
    ในวันนั้นผมได้นำเหรียญพระพุทธสิหิงค์ ปี 2537
    ไปให้ท่านเมตตาอธิษฐานจิตเพิ่มให้พร้อมๆกับของเพื่อนๆ
    เมื่อท่านอธิษฐานจิตเสร็จท่านก็หยิบเหรียญนี้ขึ้นมาแล้วบอกว่าเหรียญนี้บางคนก็เรียกว่าเหรียญแลกชีวิตแล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า มีคนในแม่สอดมาเล่าให้ท่านฟังว่ามีชาวกระเหรี่ยงได้รับแจกเหรียญนี้ไปด้วยความศรัทธาท่านจึงนำไปห้อย แล้วเกิดการหักหลังกันในกลุ่มจึงโดนตามล่า หนีไปได้หลายครั้ง สุดท้ายก็ไปไม่รอดถูกจับได้ แล้วเค้าจับเอามือมัดไพล่หลัง เอาจ่อปืนยิงหัวแต่ยิงเท่าไรก็ไม่ได้ สุดท้ายคนยิงก็ล้วงเอาพระออกมาเมื่อเห็นเป็นพระท่านก็ได้สติและบอกกับคนที่ถูกยิงว่าจะให้โอกาศในครั้งนี้แต่จะต้องถอดเหรียญให้เค้า
    เพื่อแลกกับชิวิตในครั้งนี้และต้องหายไปอย่ามาให้เค้าเห็นหน้าอีกจึงเป็นที่มาของชื่อเหรียญแลกชีวิตท่านพระอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระ นิพพานแล้ว ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก และองค์ท่านอมชมพู มีรัศมี เหมือนพระอรหันต์จะนิพพานแล้ว และนิพพานอย่างสงบ ทรงสติสัมชญะสมบูรณ์มาก
    หลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ จ.ตาก เป็นเจ้าอาวาส รูปแรกของวัดโพธิคุณ (วัดห้วยเตย) ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๑ หลวงพ่อท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัด มีระเบียบวินัยและอีกทั้งเป็นนักพัฒนาอีกด้วย ตลอดที่ท่านอยู่กับวัดโพธิคุณ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด โดยไม่ได้เห็นความเหน็ดเหนื่อยใด ๆทั้งสิ้นและยังมีลูกศิษย์อีกมากมายพร้อมใจกันมาร่วมสร้างวัดให้เจริญให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์หลายรูป เช่น - หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต เจ้าอาวาสวัดอริยวงศาราม จังหวัดราชบุรี ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต - พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสอินทปญฺโญ) สวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับโอวาทจากพระเดชพระคุณท่าน - พระครูพิพัฒน์ธรรมคุณ (หลวงพ่อเตียงเนกขมฺโม) วัดเขารูปช้าง จังหวัดพิจิตร ได้ศึกษาวิทยาคมที่ได้สืบทอดมาจากหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร และศึกษาการทำตะกรุดจากท่าน - หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ได้ศึกษาธรรมะและเข้าถึงสมาธิตลอดทุกอิริยาบถอย่างเคร่งครัด และยังได้ศึกษาจากพระครูสังฆรักษ์ (ชม อนํคโณ) วัดเขานันทาพาสุภาพ จังหวัดปราจีนบุรี) พระครูวิสุทธาจารเณร (เทียม สิริปญฺโญ) วัดกษัตราธิราช จังหวัดอยุธยา และพระโพธิญาณเถร (ชา สภทฺโท) วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี , หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทาราม หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี นี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อเจ้าคุณทักษิณคณิสร วัดอินทาราม พระผู้สร้างพระเพชรหลีกเพชรกลับอันโด่งดัง พระ อาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระนิพพานแล้ว ในวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก มีลูกศิษย์หลายท่าน ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลจากหลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ แต่จะให้สร้างเฉพาะพระพุทธเท่านั้น และเหรียญพระพุทธ รุ่นแรกของท่าน (เหรียญรัตนรังสี) ก็เป็นที่นิยมและต้องการ ในเหล่าลูกศิษย์ที่เคารพรักท่าน ลพ.ฯจะไม่อนุญาตให้สร้างวัตถุมงคลที่เป็นรูปของท่าน จนกระทั้ง ปี๒๕๓๘ ซึ่ง ลพ.ฯมีอายุครบ ๖๐ปี ท่านได้รับการขอร้องจากลูกศิษย์ ขอสร้างวัตถุมงคล ที่มีรูปของท่าน คือเหรียญ รูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน จัดทำโดย กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์วัตถุมงคลต่างๆหลายรุ่นของหลวงพ่อ มักจะถูกกำหนดให้ สร้างขึ้นเนื่องในงานพิธีต่างๆ เช่น งานทอดกฐินของวัดโพธิคุณ , เนื่องในงานวันเกิดของหลวงพ่อ ๕ มีนาคม ของทุกปี และในงานสำคัญอื่นๆครับ
    ชาติภูมิ
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เกิดที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง (โพธิ์ทะเลเดิม) จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ บิดามารดาประกอบอาชีพด้วยการทำนาเช่นชาวนาชนบททั้งหลายในสมัยนั้น
    ท่านมีพี่น้องร่วมอุทร ๔ คน เป็นหญิง ๒ ชาย ๒ ท่านเป็นบุตรคนโต
    อยากบวชมาตั้งแต่เด็ก
    ท่านเปิดเผยว่าไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด ท่านอยากจะบวชเป็นสามเณร เป็นพระภิกษุมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ขัดที่เป็นลูกชายคนโตถ้าท่านออกบวชทางครอบครัวก็จะไม่มีคนช่วยทำงาน
    ความอยากที่จะบวชนั้น ท่านได้เดินทางไปยังวัดพระศรีมหาธาตุจังหวัดพิษณุโลก เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดในประเทศไทย โดยท่านบอกว่า
    “ อาตมาได้ไปเห็นพระพุทธชินราชในครั้งนั้นแล้ว เกิดความเลื่อมใสศรัทธามนพระศาสนามากจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้หลวงพ่อพระพุทธชินราชช่วยให้อาตมาได้บวชเถิด ถ้าบวชแล้วจะไม่สึกตลอดชีวิต ”
    ...อย่างไม่คาดคิด
    ปีที่ท่านจะได้บวชเป็นสามเณร ทั้ง ๆ ที่มีอายุ ๒๐ แล้ว แต่ยังไม่ครบปีดี เพราะท่านเกิดปลายปี มีเหตุอยู่ว่า
    ในปีนั้นท่านไปทำนาอยู่กับโยมผู้ชายของท่าน และในขณะนั้นฝนตกชุก ปลาพล่านไปมา ก็เลยนึกอยากจะทำลอบดักปลาจึงไปเอาไม้ไผ่มาเหลาเป็นซี่ลอบ
    แต่เมื่อท่านกำลังนั่งเหลาซี่ลอบอยู่ดี ๆ นั้น เกิดเป็นตะคริวขึ้นที่มือ ทำให้ไม่สามารถจะเหลาไม้ไผ่ต่อไปได้ ท่านจึงเรียกน้องชายของท่านให้ช่วยมาบีบนวดมือให้
    “ แล้วอาตมาก็หมดความรู้สึกไปตั้งแต่เช้า มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนเที่ยงคืน
    โยมแกก็ถามว่า อาตมาไปบนอะไรไว้บ้าง อาตมาก็บอกไปตามความจริง แกเลยพูดขึ้นว่า ถ้าอยากบวชถึงขนาดนี้ก็บวชไป อาตมาก็เลยได้บวชสมกับที่ปรารถนามาช้านาน ”
    แต่การบวชครั้งนั้นเป็นเพียงบรรพชาเป็นสามเณร โดยท่านได้ไปบรรพชาที่วัดไผ่ท่าโพธิ์มี พระครูธรรมาภิรัตน์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    ครั้นบวชเณรได้พรรษาหนึ่งท่านก็เริ่มไปศึกษานักธรรมบาลีที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนากจังหวัดพิจิตร จนใกล้จะสอบก็ต้องสึกเพราะโยมผู้ชายของท่านเกิดเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน !
    ฝันประหลาด
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ เล่าถึงคืนที่โยมผู้ชายจะเสียชีวิตว่า
    ในคืนนั้นท่านซึ่งกำลังป่วยหนักด้วยไข้รากสาดได้เกิดไข้สูงกว่าทุกวัน ทั้งท้องเดิน ทั้งอาเจียนจนคล้ายจะสลบไป ก็มียมทูตจำนวนสี่นายล้วนนุ่งผ้าแดง ตัวเปล่าเปลือยรูปร่างกำยำสูงใหญ่ จะเข้ามาจับท่าน
    ท่านเห็นท่าไม่สู้จะดีก็ออกวิ่งหนีไปถึงหนองน้ำแห่งหนึ่งจึงกระโดดลงไปซ่อนตัวอยู่ใต้กองผักตบชวา
    ยมทูตตามท่านมาถึงหนองน้ำก็กระโดดลงไปในหนองน้ำนั้น ๓ นาย เหลืออีกนายหนึ่งให้ยืนเฝ้าปากทางไว้ ซึ่งท่านเล่าถึงตอนนี้ว่า
    “ อาตมาคำนวณดูกำลังเห็นว่ายมทูตในน้ำมีถึง ๓ คน เห็นจะสู้ไม่ไหว ก็ตัดสินใจผละจากกองผักตบชวาขึ้นจากหนองน้ำไปสู้กับยมทูตที่เฝ้าปากทาง
    ยมทูตคว้าอาวุธจะมาทำร้ายอาตมาแย่งมาได้ ก็พอดีรู้สึกตัวแล้วก็หายป่วยแต่นั้นมา ”
    ในคืนเดียวกันนั้นเอง โยมผู้ชายของท่านก็ฝันไปว่า เห็นใครก็ไม่ทราบมีจำนวน ๔ คน ไล่จับสามเณรลูกชายของตน แล้วเอาโซ่เหล็กมามัดตัว พลางถามสามเณรว่า “ รับได้ไหม? รับได้ไหม? ”
    ฝ่ายโยมผู้ชายเมื่อเห็นเขาทรมานลูกชายเช่นนั้นก็เกิดความสงสาร ก็เลยหันมาถามลูกของตนว่า
    “ เณรรับเขาได้หรือไม่ได้ก็บอกเขาเถิด ”
    “ ในฝันของโยมผู้ชายนั้นแกบอกว่า อาตมาว่ารับได้
    พอบอกว่ารับได้เท่านั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มาจากไหนไม่ทราบ มาจับตัวอาตมาพุ่งลงแม่น้ำไป
    โยมผู้ชายก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ปลุกโยมผู้หญิงแล้วเล่าให้ฟังไว้ พอวันรุ่งขึ้นโยมผู้ชายก็เสียเลย !” ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่า
    อุปสมบท
    เมื่อจัดการฌาปนกิจศพบิดาเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ช่วยมารดาของท่านเกี่ยวข้าว เพราะในปีนั้นทางบ้านทำนาไว้มากไม่มีกำลังคนจะเกี่ยวข้าวเพียงพอ ครั้นเกี่ยวข้าวเสร็จอายุท่านก็ครบเป็นพระได้
    ตามปกติธรรมดาของชาวชนบทในสมัยนั้น เมื่อบ้านใดจะบวชลูกชาย ก็จำต้องป่าวประกาศเชิญแขกเหรื่อมาในงานทำขวัญนาค และมารดาของท่านอาจารย์วิบูลย์ก็ต้องการที่จะจัดงานเช่นนั้น โดยเตรียมเครื่องอัฐบริขารไว้แล้วจะไปเชิญหมอทำขวัญนาค
    แต่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้ชิงบอกแก่มารดาของท่านในตอนนั้นเสียก่อนว่า ท่านต้องการบวชเงียบ ๆ และจะไปบวชเองเพียงแต่ขอให้มารดาอนุญาตเท่านั้นมารดาท่านก็นิ่งอั้น
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ ก็หอบเครื่องอัฐบริขารไปที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก โดยลำฟัง แต่มารดาของท่านได้ตามไปทันในวันรุ่งขึ้น
    ก่อนที่จะบวชในคืนนั้นท่านพักอยู่ที่ศาลา โกนศีรษะเรียบร้อยแล้ว ท่านหลับไปก็ฝันว่า ไปพบบิดาที่หน้าประตูโบสถ์
    ในความฝันนั้นท่านเป็นนาคแล้วโดยนุ่งขาวห่มขาวเป็นอันดี
    ท่านเห็นบิดาของท่านมายืนอยู่เช่นนั้น ก็กล่าวชวนว่า
    “ พ่อเข้าไปในโบสถ์ด้วยกันเถิด ” แต่บิดาไม่ยอมพูดด้วย ท่านก็นึกเสียใจว่าทำไมบิดาไม่ยอมพูดไม่ยอมเข้าไปในโบสถ์ร่วมบวชท่าน
    ในฝันนั้นท่านนึกเสียใจจนร้องไห้ออกมา ครั้นตื่นขึ้นหมอนหนุนศีรษะเปียกน้ำตาไปหมด
    รุ่งขึ้นในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๙๙ ท่านก็อุปสมบท ณ วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร มี ท่านพระครูวิเศษธัมมวินิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    มุ่งมั่นบุกบั่นเรียน
    ครั้นท่านอุปสมบทบทเป็นพระนวกะที่วัดชัยมงคลแล้ว ก็เรียนทั้งบาลีและนักธรรมควบคู่กันไป
    ตามธรรมดานั้นพระนวกะจะต้องเรียนถึง ๓ ปี จึงจะสมัครสอบบาลีได้ แต่ท่านอาจารย์วัดชัยมงคลเห็นท่านเรียนเก่ง พอเรียนได้ ๒ ปี ก็ให้ท่านเข้าสอบนักธรรมตรีกับเปรียญ ๓ ผลปรากฏว่าท่านสอบนักธรรมตรีได้ แต่สอบเปรียญ ๓ ตก ท่านเล่าว่า
    “ พอสอบตกอาตมาอายเขาก็หนีมาจำพรรษาที่วัดค้างคาวจังหวัดลพบุรี มาเรียนบาลีที่วัดบัวเรียนได้พรรษาหนึ่ง ก็เข้าสอบนักธรรมโทคู่กับเปรียญ ๓
    ผลออกมาสอบได้นักธรรมโทแต่ตกเปรียญ ๓ อีก อาตมาก็ลงมากรุงเทพฯ มาพำนักอยู่วัดอินทาราม ตลาดพลูนี้ เมื่อปี ๒๕๐๑ ตั้งใจว่าจะเรียนเปรียญให้จงได้ถ้าเรียนไม่ได้ก็ให้ตายหมดเรื่องไป
    จึงพยายามมุมานะดูหนังสือแต่เกิดป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบเสียอีก ต้องเข้าโรงพยาบาลไปผ่าตัดไส้ติ่ง
    หลังจากผ่าตัดแล้วก็มุมานะเรียนบาลี ก็สอบได้เปรียญ ๓
    จากนั้นก็เรียนต่อจนถึงปี ๒๕๐๔ โดยเรียนนักธรรมเอกกับวิชาครูที่กรมฝึกหัดครู ซึ่งสมัยนั้นเขาเปิดรับพระเณรเข้าเรียนได้ ก็สอบได้นักธรรมเอกและวิชาครู จึงเลิกเรียน แล้วไปเรียนพระอภิธรรมที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ของท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ อยู่พรรษาหนึ่ง ”
    ไม่เชื่อก็ต้องลอง
    ผู้เขียนได้นมัสการกราบเรียนถามท่านถึงสาเหตุที่มาปฏิบัติธรรมทั้ง ๆ ที่เป็นพระนักศึกษามาก่อน ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้เปิดเผยว่า
    “ สาเหตุที่อาตมามาปฏิบัตินั้น เพราะเคยเข้าใจว่าธรรมะอยู่ที่การเรียน คือการศึกษาเล่าเรียนอาจจะทำให้เข้าใจธรรมะดี
    แต่เรียน ๆ ไปจนได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก และมหาเปรียญแล้วก็รู้สึกเหมือนเดิมไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดสุขก็ยังสุข ทุกข์ก็ยังทุกข์จิตใจไม่ดีขึ้น ก็เลยมาค้นหาธรรมะ ว่าธรรมะที่แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน ธรรมะนั้นเป็นอย่างไร
    ตอนนั้นอาตมาเกิดอคติต่อธรรมะ คือแทบไม่เชื่อว่าธรรมะนั้นมีจริง ! คิดว่าเป็นเพียงตัวหนังสือที่ชาวบ้านเขาเขียนกันขึ้นมาให้คนเรียนเท่านั้น
    อาตมาเข้าใจอย่างนั้น มีความเห็นผิดขนาดนั้น ! ต่อมาจึงได้ตัดสินใจ หลังจากได้ยินท่านพระครูประกาศพูดบ้าง ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ้าง
    ครูบาอาจารย์ที่รู้จักมักคุ้นโดยเฉพาะ “ หลวงพ่อใหญ่ ” (ท่านเจ้าคุณวิเชียรมุนี) เจ้าอาวาสวัดอินทารามสมัยโน้น ท่านเป็นพระภาวนาแต่เป็นพระสันโดษ ท่านไม่ค่อยพูด อยู่เงียบ ๆ ท่านเรียกไปพูดให้ฟังก็เลยลองตัดสินใจภาวนาจากตำรา
    มานั่งภาวนาอยู่ในกุฎิคืนหนึ่ง ผลก็คือรู้จักเหตุรู้จักผลดีขึ้น จิตใจสงบลง
    อาตมาภาวนาโดยใช้เพ่งกสิณเพ่งน้ำอยู่คืนหนึ่ง รู้สึกสบายดี ก็เลยตั้งใจจะลองภาวนาดูสัก ๖ เดือน ถ้า ๖ เดือน ไม่รู้อะไรเลยก็จะเลิกแล้ว ไม่เชื่อแล้วธรรมะนี้ ”
    ปฏิบัติกันขั้นอุกฤษฏ์
    เมื่อท่านอาจารย์มหาวิบูลย์พุทธญาโณ ตัดสินใจเช่นนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติและปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง โดยใช้คำภาวนา “ พุท-โธ ” บ้างใช้ภาวนา “ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ” บ้าง
    แต่ส่วนมากใช้ อาโปกสิณ หรือไม่ก็ เตโชกสิณ ท่านบอกว่าเป็นวิธีที่ง่ายหน่อย รวมจิตเร็ว
    การปฏิบัติของท่านอาจารย์มหาวิบูลย์นั้น ท่านปฏิบัติอยู่ในสามอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง ไม่มีการนอนตลอด ๖ เดือน !
    ยืนก็ภาวนา เดินก็ภาวน นั่งก็ภาวนา เพ่งกสิณบ้าง ถึงกระนั้นท่านยังบอกว่าสองเดือนแรกไม่เห็นผลอะไร พอเข้าเดือนที่สามจึงรู้สึกจะได้ผลดี จิตมีความรู้แปลก ๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็เกิดรู้ขึ้น อะไรที่แปลกปลอมเข้ามา จิตก็เริ่มรู้ทันเร็วขึ้น ธรรมะที่ไม่เคยเรียนรู้ก็ผุดขึ้นมาในใจ
    การปฏิบัติของท่านตอนนั้นทำให้สุขภาพทรุดโทรม ร่างกายผ่ายผอม แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ท่านต้องการเห็นธรรมะ ท่านต้องการรู้ธรรมะ แม้ตัวจะตายท่านก็ยอม
    “ พออาตมาปฏิบัติได้ครบ ๖ เดือนก็เข้าป่า ” ท่านบอก
    การธุดงค์ครั้งแรก
    ครั้งแรกที่ท่านแบกกลดสะพายบาตรออกจากวัดอินทารามตลาดพลูนั้น ท่านธุดงค์ไปอยู่ที่เกาะสีชัง โดยถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัด
    เมื่อไปอยู่เกาะสีชังพักหนึ่งเห็นผู้คนชักจะพลุ่กพล่าน ท่านก็หนี ธุดงค์ขึ้นไปทางภาคเหนือ ท่องเที่ยวหาวิเวกไปตั้งแต่พิษณุโลก แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่
    ท่านบอกว่า “ อาตมาไม่ได้ไปแต่แม่ฮ่องสอนเท่านั้น ”
    การธุดงค์ของท่านนั้นปฏิบัติเป็นประจำทุกปี นับแต่ พ.ศ.๒๕๐๖ ถึงปัจจุบันนี้

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกหันข้าง ๖๐ ปี หลวงพ่อมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ จ.ตาก
    เป็นเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกรุ่นเดียวที่ท่านอนุญาตให้สร้าง
    ( รุ่นอื่นจะเป็นพระพุทธรูปหรือ รูปเหมือน ด้านหลัง)
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20250604_223541.jpg IMG_20250604_223607.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2025 at 12:22
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    วัตถุมงคลที่พระเกจิอาจารย์ปลุกเสกเดี่ยวถึง ๑๐ รูป
    พระสมเด็จชินบัญชร รุ่นประวัติศาสตร์ฯ ปี 2535 สมเด็จที่ระลึก 60 พรรษา สมเด็จพระบรมราชนีนาถจัดสร้างโดยมูลนิธิธรรมชีวินวัดอรุณราชวราราม มวลสามากมาย อาทิ ผงวัดระฆัง ผงวัดวัดบางขุนพรหม ผงวัดเกศไชโย ผงวัดสะตือ ผงวัดไก่จ้น ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห ผงพุทธคุณ ผงธรรมคุณ ผงสังฆคุณ ผงมาตาปิตุปัจฐานมงคล เกษรดอกไม้จากพระอุโบสถ 108 วัด เช่น วัดพระแก้ว วัดโสธร วัดบ้านแหลม วัดพระธาตุพนม วัดพระธาตุดอยสุเทพ ดอกกาหลง ดอกกุหลาบแดง ดอกรักขาว ดอกกุหลาบขาว ดิน 7 ป่า ตะใคร่เสมา ฯลฯ
    เริ่มพิธีพุทธาภิเษกตลอด ปี 2534 ดังนี้
    ครั้งที่ 1 วันที่ 9 ม.ค.2534 หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม ปลุกเสกเดี่ยว
    ครั้งที่ 2 วันที่ 9 ก.พ.2534 หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จังหวัดนครปฐม ปลุกเสกเดี่ยว
    ครั้งที่ 3 วันที่ 9 ม.ค.2534 หลวงพ่อเกษม สำนักสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ปลุกเสกเดี่ยว
    ครั้งที่ 4 วันที่ 9 เม.ย.2534 หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จังหวัดสิงห์บุรี ปลุกเสกเดี่ยว
    ครั้งที่ 5 วันที่ 9 พ.ค.2534 หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ปลุกเสกเดี่ยว
    ครั้งที่ 6 วันที่ 9 มิ.ย.2534 หลวงปู่หล้าตาทิพย์ วัดป่าตึง จังหวัดเชียงใหม่ ปลุกเสกเดี่ยว
    ครั้งที่ 7 วันที่ 9 ก.ค.2534 หลวงปู่ทองมา วัดสว่างท่าสี จังหวัดร้อยเอ็ด ปลุกเสกเดี่ยว
    ครั้งที่ 8 วันที่ 9 ส.ค.2534 หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสูข จังหวัดสิงห์บุรี ปลุกเสกเดี่ยว
    ครั้งที่ 9 วันที่ 9 ก.ย.2534 หลวงพ่ออุตมะ วัดวังวิเวการาม จังหวัดกาญจนบุรี ปลุกเสกเดี่ยว
    ครั้งที่ 10 วันที่ 9 ต.ค.2534 หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา ปลุกเสกเดี่ยว
    ครั้งที่ 11 วันที่ 9 พ.ย.2534 มหาพุทธาภิเษกที่วัดอรุณราชวราราม โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ พร้อมเกจิอาจารย์จากทั่วประเทศอีก 108 รูป
    ครั้งที่ 12 วันที่ 10 ธ.ค.2534 มหาพุทธาภิเษกที่มณฑณท้องสนามหลวงโดยมี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จเป็นองค์ประธานจุดเทียนชัยพร้อมด้วยเกจิอาจารย์ทั่วประเทศจำนวน 108 รูปเจริญสมาธิพุทธาภิเษก อาทิ
    1.) สมเด็จพระสังฆราช(สมเด็จวาส) วัดราชบพิตรฯ
    2.) สมเด็จพระญาณสังวร วัดบรวนิเวศวิหาร ( พระสังฆราชองค์ต่อมา
    3.) สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา
    4.) สมเด็จพระวันรัด วัดโสมนัสววิหาร
    5.) สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดปธุมคงคา
    6.) พระพรหมคุณาภรณ์ (สมเด็จพุฒาจารย์เกี่ยว)วัดสระเกศ (รักษาการองค์พระสังฆราช)
    7.) พระมหาวีระ ถาวะโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
    8.) พระอาจารย์ชื้น พุทธสาโร วัดญาณเสน
    9.) หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    10.) พระครูสันติวรญาณ (หลวงปู่สิม) วัดถ้ำผาปล่อง
    11.) พระอุดมสังวรเถร (หลวงพ่ออุตตะมะ) วัดวังค์วิเวการาม เทพเจ้าแห่งสังขระบุรี
    12.) พระครูฐาปนกิจสุนทร (หลวงพ่อเปิ่น) วัดบางพระ
    13.) พระครูปริมานุรักษ์ (หลวงพ่อพูล) วัดไผ่ล้อม
    14.) หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก
    15.) พระครูเกษมธรรมนันท์ (หลวงพ่อแช่ม) วัดดอนยายหอม เป็นต้น
    และสมเด็จพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยาเป็นประธานดับ เทียนชัย
    โดยทหาร,หมอ,พญาบาลทุกคนที่ได้รับมอบให้เป็นของป้องกันตัวที่ประเทศติมอร์ทุกๆ คนกลับมาด้วยความปลอดภัยไม่มีใครได้รับอันตราย
    อ้างอิง : มูลนิธิธรรมชีวิน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250604_230555.jpg IMG_20250604_230623.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2025 at 12:22
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749039511088.jpg

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อมหาวิบูลย์ได้ทำการจารพระอยู่ในห้องส่วนตัวด้านใน ในขณะนั้นก็มีลูกศิษย์เป็นนายทหารมากราบท่าน และนั่งรออยู่ด้านนอกห้องซักพักก็มีเสียง ดัง แก๊ก เหมือนเสียงเหรียหล่น
    ลงมากระทบพื้น คนที่นั่งรอก็หันไปมองตามเสียงปรากฏว่าเป็นเหรียญหันข้างรุ่นแรกของท่านกำลังกลิ้งอยู่ที่พื้นหน้าห้อง โดยที่ห้องนั้นก็ยัง
    ปิดสนิทเหมือนเดิม เมื่อเห็นดังนั้นเค้าจึงคว้าเหรียญดังกล่าว เก็บโดยไว เพราะคิดว่าเทวดาให้ศิษย์ทหารคนดังกล่าวเก็บเรื่องนี้มาเงียบๆจนวันหนึ่งได้กราบหลวงพ่อสุจินต์ที่เป็นศิษย์หลวงพ่อมหาวิบูลย์ศิษย์ทหารจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อสุจินต์ฟัง
    เมื่อหลวงพ่อสุจินต์ได้ฟังจึงไปสอบถามกับหลวงพ่อมหาวิบูลย์ หลวงพ่อมหาวิบูลย์จึงบอกว่า ในตอนนั้นกำลัง ลงจารวัตถุมงคลด้วยวิชา นะปัดตลอด ซึ่งท่านได้ร่ำเรียนมาจากหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเหรียญที่ทะลุจากผนังห้องออกมาอาจจะเป็นผลพลอยได้จากอานุภาพของวิชาที่ท่านกำลังใช้อยู่
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฮือฮามากในหมู่ศิษย์ครับ
    เหรียญแลกชีวิตเมื่อหลายปีก่อนมีโอกาศไปกราบหลวงมหาวิบูลย์ได้ไปฟังธรรมะหลายๆอย่างจากท่านท่านเมตตาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังมากมายทั้งที่เป็นธรรมะ
    และเรื่องตื่นเต้นเร้นลับ (หากมีเวลาจะเอามาเล่าให้ฟัง)
    ในวันนั้นผมได้นำเหรียญพระพุทธสิหิงค์ ปี 2537
    ไปให้ท่านเมตตาอธิษฐานจิตเพิ่มให้พร้อมๆกับของเพื่อนๆ
    เมื่อท่านอธิษฐานจิตเสร็จท่านก็หยิบเหรียญนี้ขึ้นมาแล้วบอกว่าเหรียญนี้บางคนก็เรียกว่าเหรียญแลกชีวิตแล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า มีคนในแม่สอดมาเล่าให้ท่านฟังว่ามีชาวกระเหรี่ยงได้รับแจกเหรียญนี้ไปด้วยความศรัทธาท่านจึงนำไปห้อย แล้วเกิดการหักหลังกันในกลุ่มจึงโดนตามล่า หนีไปได้หลายครั้ง สุดท้ายก็ไปไม่รอดถูกจับได้ แล้วเค้าจับเอามือมัดไพล่หลัง เอาจ่อปืนยิงหัวแต่ยิงเท่าไรก็ไม่ได้ สุดท้ายคนยิงก็ล้วงเอาพระออกมาเมื่อเห็นเป็นพระท่านก็ได้สติและบอกกับคนที่ถูกยิงว่าจะให้โอกาศในครั้งนี้แต่จะต้องถอดเหรียญให้เค้า
    เพื่อแลกกับชิวิตในครั้งนี้และต้องหายไปอย่ามาให้เค้าเห็นหน้าอีกจึงเป็นที่มาของชื่อเหรียญแลกชีวิตท่านพระอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระ นิพพานแล้ว ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก และองค์ท่านอมชมพู มีรัศมี เหมือนพระอรหันต์จะนิพพานแล้ว และนิพพานอย่างสงบ ทรงสติสัมชญะสมบูรณ์มาก
    หลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ จ.ตาก เป็นเจ้าอาวาส รูปแรกของวัดโพธิคุณ (วัดห้วยเตย) ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๑ หลวงพ่อท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัด มีระเบียบวินัยและอีกทั้งเป็นนักพัฒนาอีกด้วย ตลอดที่ท่านอยู่กับวัดโพธิคุณ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด โดยไม่ได้เห็นความเหน็ดเหนื่อยใด ๆทั้งสิ้นและยังมีลูกศิษย์อีกมากมายพร้อมใจกันมาร่วมสร้างวัดให้เจริญให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์หลายรูป เช่น - หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต เจ้าอาวาสวัดอริยวงศาราม จังหวัดราชบุรี ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต - พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสอินทปญฺโญ) สวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับโอวาทจากพระเดชพระคุณท่าน - พระครูพิพัฒน์ธรรมคุณ (หลวงพ่อเตียงเนกขมฺโม) วัดเขารูปช้าง จังหวัดพิจิตร ได้ศึกษาวิทยาคมที่ได้สืบทอดมาจากหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร และศึกษาการทำตะกรุดจากท่าน - หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ได้ศึกษาธรรมะและเข้าถึงสมาธิตลอดทุกอิริยาบถอย่างเคร่งครัด และยังได้ศึกษาจากพระครูสังฆรักษ์ (ชม อนํคโณ) วัดเขานันทาพาสุภาพ จังหวัดปราจีนบุรี) พระครูวิสุทธาจารเณร (เทียม สิริปญฺโญ) วัดกษัตราธิราช จังหวัดอยุธยา และพระโพธิญาณเถร (ชา สภทฺโท) วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี , หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทาราม หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี นี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อเจ้าคุณทักษิณคณิสร วัดอินทาราม พระผู้สร้างพระเพชรหลีกเพชรกลับอันโด่งดัง พระ อาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระนิพพานแล้ว ในวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก มีลูกศิษย์หลายท่าน ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลจากหลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ แต่จะให้สร้างเฉพาะพระพุทธเท่านั้น และเหรียญพระพุทธ รุ่นแรกของท่าน (เหรียญรัตนรังสี) ก็เป็นที่นิยมและต้องการ ในเหล่าลูกศิษย์ที่เคารพรักท่าน ลพ.ฯจะไม่อนุญาตให้สร้างวัตถุมงคลที่เป็นรูปของท่าน จนกระทั้ง ปี๒๕๓๘ ซึ่ง ลพ.ฯมีอายุครบ ๖๐ปี ท่านได้รับการขอร้องจากลูกศิษย์ ขอสร้างวัตถุมงคล ที่มีรูปของท่าน คือเหรียญ รูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน จัดทำโดย กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์วัตถุมงคลต่างๆหลายรุ่นของหลวงพ่อ มักจะถูกกำหนดให้ สร้างขึ้นเนื่องในงานพิธีต่างๆ เช่น งานทอดกฐินของวัดโพธิคุณ , เนื่องในงานวันเกิดของหลวงพ่อ ๕ มีนาคม ของทุกปี และในงานสำคัญอื่นๆครับ
    ชาติภูมิ
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เกิดที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง (โพธิ์ทะเลเดิม) จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ บิดามารดาประกอบอาชีพด้วยการทำนาเช่นชาวนาชนบททั้งหลายในสมัยนั้น
    ท่านมีพี่น้องร่วมอุทร ๔ คน เป็นหญิง ๒ ชาย ๒ ท่านเป็นบุตรคนโต
    อยากบวชมาตั้งแต่เด็ก
    ท่านเปิดเผยว่าไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด ท่านอยากจะบวชเป็นสามเณร เป็นพระภิกษุมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ขัดที่เป็นลูกชายคนโตถ้าท่านออกบวชทางครอบครัวก็จะไม่มีคนช่วยทำงาน
    ความอยากที่จะบวชนั้น ท่านได้เดินทางไปยังวัดพระศรีมหาธาตุจังหวัดพิษณุโลก เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดในประเทศไทย โดยท่านบอกว่า
    “ อาตมาได้ไปเห็นพระพุทธชินราชในครั้งนั้นแล้ว เกิดความเลื่อมใสศรัทธามนพระศาสนามากจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้หลวงพ่อพระพุทธชินราชช่วยให้อาตมาได้บวชเถิด ถ้าบวชแล้วจะไม่สึกตลอดชีวิต ”
    ...อย่างไม่คาดคิด
    ปีที่ท่านจะได้บวชเป็นสามเณร ทั้ง ๆ ที่มีอายุ ๒๐ แล้ว แต่ยังไม่ครบปีดี เพราะท่านเกิดปลายปี มีเหตุอยู่ว่า
    ในปีนั้นท่านไปทำนาอยู่กับโยมผู้ชายของท่าน และในขณะนั้นฝนตกชุก ปลาพล่านไปมา ก็เลยนึกอยากจะทำลอบดักปลาจึงไปเอาไม้ไผ่มาเหลาเป็นซี่ลอบ
    แต่เมื่อท่านกำลังนั่งเหลาซี่ลอบอยู่ดี ๆ นั้น เกิดเป็นตะคริวขึ้นที่มือ ทำให้ไม่สามารถจะเหลาไม้ไผ่ต่อไปได้ ท่านจึงเรียกน้องชายของท่านให้ช่วยมาบีบนวดมือให้
    “ แล้วอาตมาก็หมดความรู้สึกไปตั้งแต่เช้า มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนเที่ยงคืน
    โยมแกก็ถามว่า อาตมาไปบนอะไรไว้บ้าง อาตมาก็บอกไปตามความจริง แกเลยพูดขึ้นว่า ถ้าอยากบวชถึงขนาดนี้ก็บวชไป อาตมาก็เลยได้บวชสมกับที่ปรารถนามาช้านาน ”
    แต่การบวชครั้งนั้นเป็นเพียงบรรพชาเป็นสามเณร โดยท่านได้ไปบรรพชาที่วัดไผ่ท่าโพธิ์มี พระครูธรรมาภิรัตน์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    ครั้นบวชเณรได้พรรษาหนึ่งท่านก็เริ่มไปศึกษานักธรรมบาลีที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนากจังหวัดพิจิตร จนใกล้จะสอบก็ต้องสึกเพราะโยมผู้ชายของท่านเกิดเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน !
    ฝันประหลาด
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ เล่าถึงคืนที่โยมผู้ชายจะเสียชีวิตว่า
    ในคืนนั้นท่านซึ่งกำลังป่วยหนักด้วยไข้รากสาดได้เกิดไข้สูงกว่าทุกวัน ทั้งท้องเดิน ทั้งอาเจียนจนคล้ายจะสลบไป ก็มียมทูตจำนวนสี่นายล้วนนุ่งผ้าแดง ตัวเปล่าเปลือยรูปร่างกำยำสูงใหญ่ จะเข้ามาจับท่าน
    ท่านเห็นท่าไม่สู้จะดีก็ออกวิ่งหนีไปถึงหนองน้ำแห่งหนึ่งจึงกระโดดลงไปซ่อนตัวอยู่ใต้กองผักตบชวา
    ยมทูตตามท่านมาถึงหนองน้ำก็กระโดดลงไปในหนองน้ำนั้น ๓ นาย เหลืออีกนายหนึ่งให้ยืนเฝ้าปากทางไว้ ซึ่งท่านเล่าถึงตอนนี้ว่า
    “ อาตมาคำนวณดูกำลังเห็นว่ายมทูตในน้ำมีถึง ๓ คน เห็นจะสู้ไม่ไหว ก็ตัดสินใจผละจากกองผักตบชวาขึ้นจากหนองน้ำไปสู้กับยมทูตที่เฝ้าปากทาง
    ยมทูตคว้าอาวุธจะมาทำร้ายอาตมาแย่งมาได้ ก็พอดีรู้สึกตัวแล้วก็หายป่วยแต่นั้นมา ”
    ในคืนเดียวกันนั้นเอง โยมผู้ชายของท่านก็ฝันไปว่า เห็นใครก็ไม่ทราบมีจำนวน ๔ คน ไล่จับสามเณรลูกชายของตน แล้วเอาโซ่เหล็กมามัดตัว พลางถามสามเณรว่า “ รับได้ไหม? รับได้ไหม? ”
    ฝ่ายโยมผู้ชายเมื่อเห็นเขาทรมานลูกชายเช่นนั้นก็เกิดความสงสาร ก็เลยหันมาถามลูกของตนว่า
    “ เณรรับเขาได้หรือไม่ได้ก็บอกเขาเถิด ”
    “ ในฝันของโยมผู้ชายนั้นแกบอกว่า อาตมาว่ารับได้
    พอบอกว่ารับได้เท่านั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มาจากไหนไม่ทราบ มาจับตัวอาตมาพุ่งลงแม่น้ำไป
    โยมผู้ชายก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ปลุกโยมผู้หญิงแล้วเล่าให้ฟังไว้ พอวันรุ่งขึ้นโยมผู้ชายก็เสียเลย !” ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่า
    อุปสมบท
    เมื่อจัดการฌาปนกิจศพบิดาเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ช่วยมารดาของท่านเกี่ยวข้าว เพราะในปีนั้นทางบ้านทำนาไว้มากไม่มีกำลังคนจะเกี่ยวข้าวเพียงพอ ครั้นเกี่ยวข้าวเสร็จอายุท่านก็ครบเป็นพระได้
    ตามปกติธรรมดาของชาวชนบทในสมัยนั้น เมื่อบ้านใดจะบวชลูกชาย ก็จำต้องป่าวประกาศเชิญแขกเหรื่อมาในงานทำขวัญนาค และมารดาของท่านอาจารย์วิบูลย์ก็ต้องการที่จะจัดงานเช่นนั้น โดยเตรียมเครื่องอัฐบริขารไว้แล้วจะไปเชิญหมอทำขวัญนาค
    แต่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้ชิงบอกแก่มารดาของท่านในตอนนั้นเสียก่อนว่า ท่านต้องการบวชเงียบ ๆ และจะไปบวชเองเพียงแต่ขอให้มารดาอนุญาตเท่านั้นมารดาท่านก็นิ่งอั้น
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ ก็หอบเครื่องอัฐบริขารไปที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก โดยลำฟัง แต่มารดาของท่านได้ตามไปทันในวันรุ่งขึ้น
    ก่อนที่จะบวชในคืนนั้นท่านพักอยู่ที่ศาลา โกนศีรษะเรียบร้อยแล้ว ท่านหลับไปก็ฝันว่า ไปพบบิดาที่หน้าประตูโบสถ์
    ในความฝันนั้นท่านเป็นนาคแล้วโดยนุ่งขาวห่มขาวเป็นอันดี
    ท่านเห็นบิดาของท่านมายืนอยู่เช่นนั้น ก็กล่าวชวนว่า
    “ พ่อเข้าไปในโบสถ์ด้วยกันเถิด ” แต่บิดาไม่ยอมพูดด้วย ท่านก็นึกเสียใจว่าทำไมบิดาไม่ยอมพูดไม่ยอมเข้าไปในโบสถ์ร่วมบวชท่าน
    ในฝันนั้นท่านนึกเสียใจจนร้องไห้ออกมา ครั้นตื่นขึ้นหมอนหนุนศีรษะเปียกน้ำตาไปหมด
    รุ่งขึ้นในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๙๙ ท่านก็อุปสมบท ณ วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร มี ท่านพระครูวิเศษธัมมวินิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    มุ่งมั่นบุกบั่นเรียน
    ครั้นท่านอุปสมบทบทเป็นพระนวกะที่วัดชัยมงคลแล้ว ก็เรียนทั้งบาลีและนักธรรมควบคู่กันไป
    ตามธรรมดานั้นพระนวกะจะต้องเรียนถึง ๓ ปี จึงจะสมัครสอบบาลีได้ แต่ท่านอาจารย์วัดชัยมงคลเห็นท่านเรียนเก่ง พอเรียนได้ ๒ ปี ก็ให้ท่านเข้าสอบนักธรรมตรีกับเปรียญ ๓ ผลปรากฏว่าท่านสอบนักธรรมตรีได้ แต่สอบเปรียญ ๓ ตก ท่านเล่าว่า
    “ พอสอบตกอาตมาอายเขาก็หนีมาจำพรรษาที่วัดค้างคาวจังหวัดลพบุรี มาเรียนบาลีที่วัดบัวเรียนได้พรรษาหนึ่ง ก็เข้าสอบนักธรรมโทคู่กับเปรียญ ๓
    ผลออกมาสอบได้นักธรรมโทแต่ตกเปรียญ ๓ อีก อาตมาก็ลงมากรุงเทพฯ มาพำนักอยู่วัดอินทาราม ตลาดพลูนี้ เมื่อปี ๒๕๐๑ ตั้งใจว่าจะเรียนเปรียญให้จงได้ถ้าเรียนไม่ได้ก็ให้ตายหมดเรื่องไป
    จึงพยายามมุมานะดูหนังสือแต่เกิดป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบเสียอีก ต้องเข้าโรงพยาบาลไปผ่าตัดไส้ติ่ง
    หลังจากผ่าตัดแล้วก็มุมานะเรียนบาลี ก็สอบได้เปรียญ ๓
    จากนั้นก็เรียนต่อจนถึงปี ๒๕๐๔ โดยเรียนนักธรรมเอกกับวิชาครูที่กรมฝึกหัดครู ซึ่งสมัยนั้นเขาเปิดรับพระเณรเข้าเรียนได้ ก็สอบได้นักธรรมเอกและวิชาครู จึงเลิกเรียน แล้วไปเรียนพระอภิธรรมที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ของท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ อยู่พรรษาหนึ่ง ”
    ไม่เชื่อก็ต้องลอง
    ผู้เขียนได้นมัสการกราบเรียนถามท่านถึงสาเหตุที่มาปฏิบัติธรรมทั้ง ๆ ที่เป็นพระนักศึกษามาก่อน ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้เปิดเผยว่า
    “ สาเหตุที่อาตมามาปฏิบัตินั้น เพราะเคยเข้าใจว่าธรรมะอยู่ที่การเรียน คือการศึกษาเล่าเรียนอาจจะทำให้เข้าใจธรรมะดี
    แต่เรียน ๆ ไปจนได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก และมหาเปรียญแล้วก็รู้สึกเหมือนเดิมไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดสุขก็ยังสุข ทุกข์ก็ยังทุกข์จิตใจไม่ดีขึ้น ก็เลยมาค้นหาธรรมะ ว่าธรรมะที่แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน ธรรมะนั้นเป็นอย่างไร
    ตอนนั้นอาตมาเกิดอคติต่อธรรมะ คือแทบไม่เชื่อว่าธรรมะนั้นมีจริง ! คิดว่าเป็นเพียงตัวหนังสือที่ชาวบ้านเขาเขียนกันขึ้นมาให้คนเรียนเท่านั้น
    อาตมาเข้าใจอย่างนั้น มีความเห็นผิดขนาดนั้น ! ต่อมาจึงได้ตัดสินใจ หลังจากได้ยินท่านพระครูประกาศพูดบ้าง ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ้าง
    ครูบาอาจารย์ที่รู้จักมักคุ้นโดยเฉพาะ “ หลวงพ่อใหญ่ ” (ท่านเจ้าคุณวิเชียรมุนี) เจ้าอาวาสวัดอินทารามสมัยโน้น ท่านเป็นพระภาวนาแต่เป็นพระสันโดษ ท่านไม่ค่อยพูด อยู่เงียบ ๆ ท่านเรียกไปพูดให้ฟั IMG_20250605_091223.jpg งก็เลยลองตัดสินใจภาวนาจากตำรา
    มานั่งภาวนาอยู่ในกุฎิคืนหนึ่ง ผลก็คือรู้จักเหตุรู้จักผลดีขึ้น จิตใจสงบลง
    อาตมาภาวนาโดยใช้เพ่งกสิณเพ่งน้ำอยู่คืนหนึ่ง รู้สึกสบายดี ก็เลยตั้งใจจะลองภาวนาดูสัก ๖ เดือน ถ้า ๖ เดือน ไม่รู้อะไรเลยก็จะเลิกแล้ว ไม่เชื่อแล้วธรรมะนี้ ”
    ปฏิบัติกันขั้นอุกฤษฏ์
    เมื่อท่านอาจารย์มหาวิบูลย์พุทธญาโณ ตัดสินใจเช่นนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติและปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง โดยใช้คำภาวนา “ พุท-โธ ” บ้างใช้ภาวนา “ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ” บ้าง
    แต่ส่วนมากใช้ อาโปกสิณ หรือไม่ก็ เตโชกสิณ ท่านบอกว่าเป็นวิธีที่ง่ายหน่อย รวมจิตเร็ว
    การปฏิบัติของท่านอาจารย์มหาวิบูลย์นั้น ท่านปฏิบัติอยู่ในสามอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง ไม่มีการนอนตลอด ๖ เดือน !
    ยืนก็ภาวนา เดินก็ภาวน นั่งก็ภาวนา เพ่งกสิณบ้าง ถึงกระนั้นท่านยังบอกว่าสองเดือนแรกไม่เห็นผลอะไร พอเข้าเดือนที่สามจึงรู้สึกจะได้ผลดี จิตมีความรู้แปลก ๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็เกิดรู้ขึ้น อะไรที่แปลกปลอมเข้ามา จิตก็เริ่มรู้ทันเร็วขึ้น ธรรมะที่ไม่เคยเรียนรู้ก็ผุดขึ้นมาในใจ
    การปฏิบัติของท่านตอนนั้นทำให้สุขภาพทรุดโทรม ร่างกายผ่ายผอม แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ท่านต้องการเห็นธรรมะ ท่านต้องการรู้ธรรมะ แม้ตัวจะตายท่านก็ยอม
    “ พออาตมาปฏิบัติได้ครบ ๖ เดือนก็เข้าป่า ” ท่านบอก
    การธุดงค์ครั้งแรก
    ครั้งแรกที่ท่านแบกกลดสะพายบาตรออกจากวัดอินทารามตลาดพลูนั้น ท่านธุดงค์ไปอยู่ที่เกาะสีชัง โดยถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัด
    เมื่อไปอยู่เกาะสีชังพักหนึ่งเห็นผู้คนชักจะพลุ่กพล่าน ท่านก็หนี ธุดงค์ขึ้นไปทางภาคเหนือ ท่องเที่ยวหาวิเวกไปตั้งแต่พิษณุโลก แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่
    ท่านบอกว่า “ อาตมาไม่ได้ไปแต่แม่ฮ่องสอนเท่านั้น ”
    การธุดงค์ของท่านนั้นปฏิบัติเป็นประจำทุกปี นับแต่ พ.ศ.๒๕๐๖ ถึงปัจจุบันนี้
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระนางพญาหลังธรรมจักร หลวงพ่อมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ จ.ตาก
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250605_091223.jpg IMG_20250605_091317.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2025 at 09:35
  7. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,997
    ค่าพลัง:
    +5,697
    จองครับ
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    รับทราบครับขอบคุณครั
    แต่
    พระนางพญา ลพ.มหาวิบูลย์ มีสมาชิกบูชาไปก่อนแล้ว ครับ

    รายการ เหรียญและ พระสมเด็จ ได้ครับ
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749097139559.jpg FB_IMG_1749098313528.jpg FB_IMG_1749096908473.jpg FB_IMG_1749097290623.jpg

    พระพิมพ์รูปเหมือนพระมงคลเทพมุนี
    พิมพ์จันทร์ลอย รุ่นแรก
    สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๐
    ฝังอัญมณีสีแดง ด้านหน้า รูปเหมือนหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ด้านหลัง ซุ้มปราสาททำวิชชา
    ผสมผงมวลสารพระของขวัญวัดปากน้ำ รุ่น ๑~๒~๓ และเส้นเกศาหลวงพ่อพระราชพรหมเถร(วีระ คณุตฺตโม)
    รุ่นแรกหาไม่ยาก วัดออกให้ ทำบุญ ตอนสมัยนั้น ๓,๐๐๐
    ประวัติพระเถระแห่งอำเภอดำเนินสะดวก
    “พระเทพญาณมงคล” (เสริมชัย ชยมังคโล) หรือ “หลวงป๋า” พระเถระชื่อดัง อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    มีนามเดิมว่า เสริมชัย พลพัฒนาฤทธิ์ เกิดเมื่อวันที่ ๖ มี.ค. ๒๔๗๒ ที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เป็นบุตรคนที่ ๔ ของคุณพ่อทองดี และคุณแม่บุญนาค พลพัฒนาฤทธิ์ มีพี่น้อง ๖ คน
    จบการศึกษา รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำงานเป็นพนักงานต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐ ประจำสำนักข่าวสารอเมริกัน แห่งสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญฝ่ายการวิจัย
    เข้าพิธีอุปสมบท วันที่ ๖ มี.ค. ๒๕๒๙ ที่พัทธสีมาวัดปากน้ำภาษีเจริญ มีสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโร) วัดสามพระยา กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์, สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ กรุงเทพฯ (ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพรหมคุณาภรณ์) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ (ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมธีรราชมหามุนี) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ชยมังคโล
    ศึกษาพระปริยัติธรรมจากสำนักเรียน วัดปากน้ำภาษีเจริญ พ.ศ.๒๕๓๑ สอบได้ นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ พ.ศ. ๒๕๓๗ สอบได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค
    จากที่กระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศตั้งวัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามขึ้นในวันที่ ๙ ก.ค. ๒๕๓๔ ขณะที่อายุ ๖๒ ปี พรรษาที่ ๕ จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่บัดนั้น
    ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๓๔เป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม พ.ศ.๒๕๓๙ เป็นพระอุปัชฌาย์
    ผลงานด้านการศึกษา พ.ศ.๒๕๓๔ เป็น ครูสอนพระปริยัติธรรม และเป็นกรรมการสอบธรรมสนามหลวง พ.ศ.๒๕๖๑ เป็นรองศาสตราจารย์พิเศษ ผอ.วิทยาลัยสงฆ์ราชบุรี
    ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.๒๕๔๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระภาวนาวิสุทธิคุณ วิ.
    พ.ศ.๒๕๔๗ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่พระราชญาณวิสิฐ
    พ.ศ.๒๕๕๔ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระเทพญาณมงคล
    มีผลงานทางวิชาการ อาทิ นิพพาน ๓ นัย, อริยสัจ ๔, ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ, หลักสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน, ธรรมะคุณภาพเพื่อชีวิต, โพธิปักขิยธรรม เป็นต้น
    ทั้งนี้ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามก่อสร้าง “พระมหาเจดีย์สมเด็จฯ” ซึ่งเป็นอาคารทรงจัตุรมุข ๔ ชั้น มีความกว้าง ความยาว และความสูง ๑๐๘ เมตร เพื่อเป็นปูชนียสถานสำหรับประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันตธาตุสำคัญที่ปรากฏขึ้นที่วัดหลวงพ่อสดฯ
    กระทั่งเวลา ๑๖.๕๐ น. วันที่ ๗ ต.ค.๒๕๖๑ ละสังขารอย่างสงบด้วยภาวะหัวใจวาย ระหว่างเดินทางไปรักษาตัวที่ร.พ.ดำเนิน สะดวก สิริอายุ ๙๐ ปี พรรษา ๓๒
    บทความโดย ขวัญเพชร โชคบรรดาลสุข เผยแพร่ในเว็บไซต์ ข่าวสด ๖ ต.ค. ๖๓
    เรียบเรียงบทความโดย เพจfacebook:พระคณาจารย์และวัตถุมงคลอำเภอดำเนินสะดวกพระคณาจารย์และวัตถุมงคลอำเภอดำเนินสะดวก
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เมื่อหลวงปู่วัดปากน้ำ กล่าวถึงบารมีธรรมของหลวงปู่วีระ คณุตฺตโม
    พุทธรัตนะ คือ กายพระพุทธเจ้า
    ธรรมรัตนะ คือ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า
    สังฆรัตนะ ธรรมกายละเอียดอยู่ในดวงธรรมรัตนะ นั่นเรียกว่าสังฆรัตนะ
    นี้ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูม ใส นี่แหละที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าหละ
    นี่แหละพระพุทธเจ้าแท้ๆ “วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายติ” ละ
    นี่แหละ ที่ท่านยกบาลีว่า
    “สงฺขตา วา อสงฺขตา วา วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายติ”
    สังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
    อสังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
    “วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายติ” วิราคธรรมประเสริฐเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น เมื่อถึงวิราคธรรมที่เป็นตัวพระพุทธเจ้าแท้ๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด
    เมื่อรู้จักเช่นนี้ เห็นไหมล่ะ แต่เพียงแสดงให้ฟังเช่นนี้เราก็เบื่อเสียแล้ว ไม่ต้องไปทำละ ก็มันยากอย่างนี้ ฟังก็ยาก เข้าใจก็ยาก รู้ก็ยาก เบื่อทีเดียว ไม่อยากจะฟังเชียว ถ้าว่าไม่นึกอายในใจ เห็นท่าจะลุกไปเสียทีเดียว มันน่าลำบาก นี่มันยากแค้นอย่างนี้นี่ เห็นไหมล่ะมันยากแค้นอย่างนี้
    พึ่งรู้เถิดว่า ที่ท่านทรงรับสั่ง “พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ” ความบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นของยากอย่างนี้
    นี้ #พระบวชใหม่ท่านทำเป็นแล้ว เป็นแล้วอย่างนี้ท่านจึงละสมบัติพัสถานได้ ท่านจึงบวชจริง ตั้งใจจริง ท่านไปสอนในประเทศญี่ปุ่นมาทั้งประเทศละนี่น่ะ เพระท่านถึงนี่แล้ว ท่านถึงความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้แล้ว ถึงตลอด ถึงไกลไปกว่านี้อีกนับไม่ถ้วน ท่านไปไกลแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านเห็นจริงเห็นจังอย่างนี้แล้ว นี่แหละธรรมอันนี้เป็นของลึกซึ้ง
    ถ้าว่าผู้ใดไปถึงเข้าแล้ว ผู้นั้นก็จะรู้สึกน่ะ ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย พุทโธ่เอ๋ย เราเกิดมาตั้งแต่เล็กจนโต เป็นหนุ่มเป็นสาว ครองเหย้าครองเรือนเหมือนเด็กจริงๆ เด็กๆเล่นขายของกันแท้ๆ เดี๋ยวก็ตีเดี๋ยวก็ทะเลาะกัน เพราะอ้ายนั่นไม่พออ้ายนี่ไม่พอ หึงหวงกันต่างๆนานา เหมือนเด็กๆเล็กๆแท้
    ถ้าไปถึงพระเข้าแล้วก็ อ้ายนี่มันไม่ใช่เรื่องอย่างนี้หรือนี่ นี่แกก็ไปเห็นอย่างนั้นเข้าเหมือนกัน แกจึงทิ้งบ้านทิ้งช่อง แม้ใครจะมายอมเป็นภรรยา แกก็ไม่ยอมอีกนั่นแหละ แกกลัวจะเล่นเรื่องเด็กกันอีก แกกลัวแกรีบมาเสีย แกกลัวจะไปเล่นเรื่องเด็กกันอีก ยุ่งๆเหยิงๆกันต่างๆนานา
    ที่รบกันไปรบกันมานั้นกัน ก็เรื่องเด็กๆนะ ไม่ใช่เรื่องผู้ใหญ่ ถ้าเรื่องผู้ใหญ่ไม่รบกันดอก ดูแต่ผู้ใหญ่เข้ากับผู้ใหญ่นั่นซิ อยู่ด้วยกันไปๆก็ไม่เป็นไร โอบอ้อมอารีซึ่งกันและกัน ไม่ค่อยจะเป็นอันตรายนัก แต่ว่าต่างคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่ เป็นเด็กๆไม่รู้เดียงสา พูดไม่รู้เรื่อง ฟังกันไม่รู้เรื่อง กลับเป็นเด็กๆเสียอีก เพราะเหตุนี้ความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นของได้ยาก ต้องเป็นผู้ใหญ่จริงๆนะจึงจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ถ้าเป็นเด็กๆเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่
    เมื่อสมัยยังเป็นเด็กๆ พระพุทธเจ้าไม่มีทะเลาะกันกับใคร ใจดีนักทีเดียว ไม่ข้องแวะกับใคร ไม่กระทบกระเทือนใครทีเดียว สังเกตุดูพระบวชใหม่แกไม่กระทบกระเทือนแก่ใครๆ แกหลีกของแก ตามเรื่องของแกทีเดียว เพราะเหตุอะไร แกเป็นผู้ใหญ่เข้าแล้ว มีธรรมของผู้ใหญ่เข้าแล้ว มีกระแสพระพุทธเจ้าเข้าแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าเข้าแล้ว มีได้ยากอย่างนี้ ของได้ยากอย่างนี้ ของได้ยากไม่ใช่ได้ง่าย หลายคนด้วยกันพี่น้องกัน ก็มีน้องคนสุดท้องก็ยังไม่ได้กับเขาเลย ประพฤติกับเขาเหมือนกัน น้องคนรองมานั้นได้แล้ว พี่ชายยังไม่ได้ มารดาก็ได้แล้ว เพราะเห็นเข้าแล้วในวันนั้น
    วันนี้เขาทำบุญเป็นอย่างแปลกประหลาด อย่างอัศจรรย์ คนที่รู้จักบุญ เห็นบุญ เช่นนี้ บุญก็ไหลมาเหลือประมาณ นับประมาณไม่ได้ เจ้าของเขาก็เห็นเป็นดวงใหญ่โตมโหฬาร นับประมาณไม่ได้ บุญที่ส่งมาคราวนี้แหละจะได้เป็นกำลังของพระบวชใหม่ ให้ประกาศศาสนาในประเทศญี่ปุ่น ให้ญี่ปุ่นเขาเคารพนบนอบหมดทั้งประเทศ มันสำคัญอย่างนี้ #ส่งบุญมาวันนี้#ต้นธาตุส่งบุญมาให้มโหฬารทีเดียว นับประมาณไม่ไหว
    พระบวชใหม่ในวันนั้น คือ..
    พระวีระ คณุตฺตโม
    ต่อมารับหน้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาของวัดปากน้ำภาษีเจริญ (ปัจจุบันท่านละสังขารแล้ว)
    พระเดชพระคุณพระราชพรหมเถร หรือหลวงปู่วีระ คณุตฺตโม ท่านเป็นศิษย์องค์สำคัญ ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องสูง โดยตรงจากพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร
    พระเดชพระคุณหลวงปู่วีระ คณุตฺตโม ท่านยังได้ถ่ายทอดวิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องสูง ให้แก่ศิษย์เอกองค์สำคัญ คือ พระเดชพระคุณพระเทพญาณมงคล หรือ หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ( ปัจจุบันท่านละสังขารแล้ว)
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความที่มาอย่างสูงครับจาก เวปเรารักวัดหลวงพ่อสด
    พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม)
    อดีตรองเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
    วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
    วิชชาทั้งหมดทุกระดับนั้น
    เบื้องต้นใครๆก็ได้รับ...ไม่มีปัญหา
    เบื้องกลาง คือ ระดับวิปัสสนา ....ที่เป็นพระธรรมเทศนานั้น
    ผู้ที่บันทึกไว้คือ ท่านเจ้าคุณพิพัฒน์ธรรมคณี โดยท่านได้บันทึกเทปไว้
    ซึ่งท่านได้มอบเทปที่บันทึกไว้ทั้งหมดแก่ พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม)
    และท่านพระมหาจัน เปรียญธรรม ๕ ประโยค ซึ่งจดวิชชาเอาไว้ที่เป็น “วิชชาชั้นสูง” หรือ “วิชชาครู” นั้น
    ก็ตกทอดมายัง พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม) เช่นกัน
    เพราะฉะนั้น หลวงพ่อพระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม)
    รองเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
    จึงเป็นที่รวมของวิชชาธรรมกายตั้งแต่ เบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องสูง
    ขณะเดียวกันท่านก็ได้ “ถ่ายทอดวิชชา” ให้กับ พระราชญาณวิสิฐ (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    .... ซึ่งมีทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
    โดยตรงก็ “สอน” กัน
    โดยอ้อมก็ให้ “รวบรวมเรียบเรียงขึ้นเป็นตำรา”
    ซึ่งได้รวบรวมเรียบเรียงใน ระดับสมถวิปัสสนา และ มหาสติปัฏฐาน ๔ รวมทั้งพระธรรมเทศนา
    หลวงพ่อพระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม) ท่านได้ให้ความเมตตาไว้วางใจแก่
    พระราชญาณวิสิฐ (เสริมชัย ชยมงฺคโล) ร่วมกับ พระครูสมุห์ณัฐนันท์ กุลสิริ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
    ในการรวบรวม “วิชชาธรรมกายชั้นสูง” คือ มรรคผลพิสดาร เล่มที่ ๑ / มรรคผลพิสดาร เล่มที่ ๒
    ต่อมาท่านก็ให้รวบรวม "วิชชาชั้นสูง เล่มที่ ๓” อีก
    และได้จัดพิมพ์เป็นเล่มไว้แจกแก่บุคคล (ที่ได้ธรรมกายแล้ว)
    หลังจากที่ได้มาฝึกปฏิบัติกับท่านพอสมควรแล้ว
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงจันทร์ลอยรูปเหมือนหลวงพ่อสดฝังพลอยแดงรุ่นแรก ปี๒๕๓๐ ผสมมวลสารพระปากน้ำรุ่น๑-๒-๓

    ให้บูชา 550 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250605_100205.jpg IMG_20250605_100237.jpg IMG_20250605_100118.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749105908555.jpg FB_IMG_1749105912384.jpg FB_IMG_1749105916193.jpg

    พระผงไตรรัตนจักร พระครูประดิษฐ์ (พระโพธิปัตโต)เนื้อผง
    อธิฐานจิต ณ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม.
    หลวงพ่อ พระโพธิปัตโต
    หลวงปู่บุญกู้ อนุวัฑฒโน
    หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร
    หลวงปู่ทองคำ สุวโจ
    ตั้ง นะโม 3 จบ
    ทุสะนิมะ อิสวาสุ สุสวาอิ พุทธะโสปิติอิ
    เมื่อรวมกำลังธาตุ นะโมพุทธายะ จะได้ 56 คือกำลังพุทธคุณ ส่งผลให้เกิดกำลังธรรมคุณ 38 และกำลังสังฆคุณ 14 รวมกำลัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณได้ 108 เชื่อว่าหากกระทำการใดเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เช่น ปลุกเสกลงเลขยันต์ให้ครบ 108 ครั้งจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากได้ผลตามใจปรารถนา
    มวลสารพระผงไตรรัตนจักร
    รุ่นมงคลนิรันตราย
    1.ผงลบครูฝึกศิษย์ในดงจากถ้ำแสงวิเศษ
    2.ผงปถมัง จากถ้ำฤษี
    3.ผงลบ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก
    4.ผงลบ หลวงปู่ทองคำ อาศรมสุวโจ
    5.ผงลบเก่าหลวงพ่อเก็บไว้นานแล้ว
    6.ทรายทอง แดนอาถรรพ์
    7.ผงสมเด็จรุ่นแรกหลวงพ่อ
    8.ข้าวสารหิน จากถ้ำแสงวิเศษ
    9.เกศา + จีวร + ข้าวก้นบาตรหลวงพ่อ
    10.สีผึ้งเทียนชัยสามพิธีและน้ำมนต์ หลวงปู่ทองคำ
    11.ผงธูป ดอกไม้บูชาพระ หลวงพ่อ
    12.น้ำมันมนต์ หลวงพ่อ
    13.หินแก้วสารพัดนึกหลวงพ่อ
    14.พระธาตุข้าวบิณฑ์ ครูบาชัยวงศา
    15.ฝนอธิฐาน หลวงพ่อหนุน วัดพุทธโมกพลาราม
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของระบบความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250529_132842.jpg IMG_20250529_132907.jpg IMG_20250529_132809.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749104806880.jpg FB_IMG_1749104809556.jpg get_auc3_img (11).jpeg

    กลุ่มคุณหมอทั้งหลายที่ในโรงพยาบาลสวนดอก (เชียงใหม่) ต่างยกย่องกล่าวขานถึงหลวงพ่อว่าน่าอัศจรรย์แท้ !! เพราะเขาถ่าย x-ray ท่านออกมาปรากฏว่ากระดูกข้างในเป็นแก้วทั้งหมด หมอทั้งหลายในโรงพยาบาลสวนดอก เลยเคารพท่าน
    กราบไหว้พระอริยเจ้าองค์นี้ และหลวงตามหาบัวก็ยืนยันในความดีและคุณธรรมของท่านพระอาจารย์ประสิทธิ์
    พระเจ้าเพรชเงินล้าน ฝังปฐวีธาตุ หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร ปี 2554
    หลวงพ่ออธิฐานจิต 1 ไตรมาส เข้าพิธีอธิษฐานจิตโดยองค์หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร ณ วัดศรีมุงเมือง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ มหาวิหารไทลื้อปุญญมากโร สภาพสวยสมบูรณ์
    คุณวิเศษ ของปฐวีธาตุ นั้น ครูบาอาจารย์ ท่านกล่าวไว้ว่า ครอบจักรวาล
    มวลสารพระเจ้าเพรชเงินล้าน ฝังปฐวีธาตุ หลวงพ่อประสิทธิ์
    1. ปฐวีธาตุ หลวงพ่อประสิทธิ์
    2. ผงพุทธคุณ พระธาตุเจดีย์นพีสีพิศาลมงคล - ผงเบ้าหลอมพระเจ้าเพชรเงินล้าน
    3. ผงธูปพุทธคุณ เสาร์ 5
    4. ผงดอกไม้ บูชาพระเจ้าเพชรเงินล้าน ตั้งแต่ปี2550-2552 หลวงพ่อประสิทธิ์ เสกทุกวาระที่มีการปลุกเสกพระ
    - งานเสกมวลสารพระเจ้าเพชรศรีมุงเมือง รุ่นแรก และหล่อพระเจ้าเพชรเงินล้าน วิสาขะ 2550
    - งานเสกพระเจ้าเพชรศรีมุงเมืองรุ่นแรก และเสกพระเจ้าเพชรเงินล้าน 5 ธ.ค. 2550
    - งานเสกรูปเหมือนลอยองค์ หลวงพ่อประสิทธิ์ 16 ม.ค. 2552
    - งานกฐินมหากุศล และเสกประเจ้าเพชรเงินล้าน รุ่นแรก 22 ต.ค. 2552
    - งานเสกพระสิวลี (ต่ออายุ) 15 เม.ย.2553
    - งานบรรจุหัวใจ พระสิวลี (ต่ออายุ) 25 ก.ค. 2553 (เป็นองค์พระแล้ว)
    5. ทรายเสก เสาร์ 5
    6. กล้วยน้ำหว้า เสาร์ 5
    7. ข้าวก้นบาตร เสาร์ 5
    8. น้ำมนต์ เสาร์ 5
    หลวงพ่อประสิทธิ์'ละสังขารแล้ว สิริอายุ75ปี
    31 ก.ค. 2016 เวลา 21:39 น.
    'หลวงพ่อประสิทธิ์'ละสังขารแล้ว สิริอายุ75ปี
    "หลวงพ่อประสิทธิ์" เจ้าอาวาสวัดป่าหมู่ใหม่ ละสังขารแล้ว สิริอายุ 75 ปี คณะศิษยานุศิษย์ นำสรีระสังขารหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดถ้ำสหายฯ
    วันนี้ (31 ก.ค.) เมื่อเวลา 14.23 น. หลวงพ่อหลวงปู่ประสิทธิ์ ปุญญมากโร เจ้าอาวาสวัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ได้ละสังขารเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว สิริอายุ 75 ปี 4 เดือน 26 วัน 55 พรรษา (พรรษานี้เป็นพรรษาที่ 56) ซึ่งหลวงพ่อได้เข้ามารับการรักษาอาการอาพาธเป็นระยะหนึ่งที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น และขณะนี้คณะศิษยานุศิษย์ ได้นำร่างหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี แล้ว ท่านเป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตาและเป็นพระที่ชาวเชียงใหม่ให้ความเคารพนับถืออย่างมาก โดยเฉพาะสายวัดป่า
    หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร เกิดที่บ้านหนองบัวบาน ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2484 บิดาชื่อ พ่อสนธิ์ มารดาชื่อแม่มุก นามสกุล สิมมะลี มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 7 คน เป็นชาย และหญิง 4 คน
    ชีวิตในวัยเด็ก หลวงพ่อประสิทธิ์ เท่ากับเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว เมื่อมีอายุ 7 ปี ได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล บ้านหนองบัวบาน ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ สอบไล่ได้ตำแหน่งที่ 1 หรือ ที่ 2 เป็นประจำทุกปี ตลอดจนจบชั้นประถมปีที่ 4 พอจบชั้นประถมแล้ว ครูใหญ่ชื่อ “ปรีชา” ให้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมพิทยานุกุล ในตัวจังหวัดอุดรธานี หลวงพ่อได้ถามบิดาว่า “จะเรียนดีหรือไม่เรียนดี” และเมื่อบิดาบอกว่ “ทำไร่ทำนาดีกว่า สบายใจดี” หลวงพ่อฯ จึงตัดสินใจช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา
    หลวงพ่อประสิทธิ์ เมื่อเยาว์วัย จึงเป็นแรงสำคัญช่วยงานบิดา มารดา อย่างเต็มความสามารถ ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือชั้นประถม จนเช้าสู่วัยหนุ่มอายุ 19 ปี จึงเกิดความคิดอยากเข้าวัด เนื่องจากวัดป่านิโครธาราม ของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ อยู่ใกล้บ้าน ท่านได้ทบทวนชีวิตฆราวาส ผ่านมาได้ช่วยบิดามารดามา จนเป็นที่พอใจแล้ว ฐานะทางครอบครัวก็พอดีๆ ไม่รวยและไม่จน และพี่น้องต่างก็โต พอจะช่วยงานของครอบครัว พ่อแม่ได้แล้ว หลวงพ่อท่านคิดว่า ได้เกิดมาใช้หนี้บุญคุณพ่อแม่พอที่ได้อาศัย ท่านมาเกิดในชาตินี้แล้ว จึงคิดมองหา เส้นทางจิต ที่คิด ไม่อยากกลับมาเกิดเป็นหนี้ภพชาติอีกต่อไป โดยเกิดศรัทธาปัญญาในทางพระพุทธศาสนา คิดจะบวชไม่มีกำหนดตลอดชีวิต หวังอยู่ปฏิบัติ ตนเพื่อหลุดพ้น ความเกิดจนถึงอมตะพระนิพพาน
    ต่อมาครอบครัว ได้พาหลวงพ่อเข้าไปฝากตัวกับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2503 เวลา 19.00 น. และได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2503 ณ วัดโพธสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นเมื่ออายุครบ 20 ปี พ.ศ.2504 จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี ในวันที่ 1 มิถุนายน โดยมีพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูอุดรคณานุศาสน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    หลวงพ่อประสิทธิ์ ได้บวชและอยู่ศึกษาอบรมธรรมะกับหลวงปู่อ่ออน ญาณสิริ วัดนิโครธาราม ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ภายหลังหลวงปู่อ่อน มรณภาพลง ท่านได้ไปปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
    จากนั้นได้เดินธุดงค์ขึ้นสู่ภาคเหนือ มาอยู่ปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่แหวน สุจิณฺโร วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ แล้วเดินธุดงค์ แสวงหาความวิเวก จนกระทั่งมาพบสถานที่ป่าสงบเงียบ หลังที่ทำการชลประทานแม่แตง จึงได้ขออนุญาตจัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์ และยกฐานะเป็นวัดตามลำดับ
    วัดป่าหมู่ใหม่ เป็นวัดป่าสายธรรมยุตที่สงบเงียบ หลวงพ่อประสิทธิ์ ได้อนุรักษ์สภาพพื้นที่ป่าเดิม พร้อมกับปลูกป่าเสริมเพิ่มต้นไม้ตลอดเวลา ทำให้วัดมีต้นไม้ใหญ่สมบูรณ์ร่มรื่น
    การที่วัดป่าหมู่ใหม่มีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง แต่ละกฏิไม่มีการสะสมสิ่งของ ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆ เป็นวัดปฏิบัติธรรม จึงเป็นวัดป่าศักดิ์สิทธิ์ และมีเสน่ห์สำหรับผู้เข้าไปสัมผัส ทั้งนี้เพื่อ มรรค ผล นิพพาน อย่างแท้จริงนั่นเอง
    "กรรมใหญ่ของหลวงพ่อมันมาถึงแล้ว กรรมหมู่ใหญ่ครั้งนี้มันระดมต่อแถว พากันมาทวงคืนกับเราทั้งหมด ชาติสุดท้ายแล้วอะไรๆ มันก็พากันมาทวงคืนเอาทั้งหมด มันเป็นกรรมในอดีตชาติของเราทั้งหมด กรรมที่เราเคยเบียดเบียนมนุษย์ กรรมที่เราเคยเบียดเบียนสัตว์ กรรมที่เราเคยเบียดเบียน ทุบตีวัวนี้มันจะเข้ามาสนองก่อนเพื่อน กรรมนี้จะเป็นตัวเปิดประตู ให้กรรมอื่นๆ ในอดีตตามมา.." หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
    (ที่มา : ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน , ศูนย์เผยแผ่ธรรมะออนไลน์กัณฑกะ)
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250605_142654.jpg IMG_20250605_142725.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2025 at 22:58
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749112788627.jpg FB_IMG_1749112783412.jpg FB_IMG_1749112798518.jpg
    พระผงหลังใบโพธิ์ หลวงพ่อเขียน วัดสำนักขุนเณร จ.พิจิตร ปี 2516 หลวงพ่อทบ, หลวงปู่โต๊ะ ฯลฯ ปลุกเสก
    พระผงหลังใบโพธิ์ หลวงพ่อเขียน วัดสำนักขุนเณร จ.พิจิตร ปี2516 เมื่อปี พ.ศ.2516 ทาง วัดสุขุมาราม วัดที่หลวงพ่อเขียนสร้างไว้ ได้จัดสร้างวัตถุมงคลพระเครื่องเพื่อหารายได้สมทบทุนสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ขึ้น จึงจัดพิธีพุทธาภิเษกครั้งใหญ่ยิ่ง มีการอัญเชิญ ไฟพระราชทาน จากสมเด็จพระสังฆราช มายังพิธีโดยทางรถไฟ พระเครื่องวัตถุมงคลในพิธีดังกล่าวจัดสร้างพระผงจำนวน 2 พิมพ์ คือ พระพิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์และพระรูปเหมือน หลวงพ่อเขียน สามเหลื่ยม นอกนั้นเป็นเหรียญรูปหล่อ และพระบูชา พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อเขียน สามเหลี่ยม ปี 16 มีส่วนผสมผงเก่ามากมาย อาทิเช่น ผงหลวงพ่อเขียน , แป้งที่หลวงพ่อเขียนปลุกเสก,ผงหลวงพ่อพิธ,ผงหลวงพ่อเงิน เป็นต้น รายชื่อพระเกจิอาจารย์ ที่ร่วมพุทธาภิเษก คือ
    1.พระครูวิชิตพัชราจารย์ (หลวงพ่อทบ วัดพระพุทธบาทชนแดน จ.เพชรบูรณ์)
    2.พระราชสังข์วราภิมนต์ (หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี)
    3.หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
    4.หลวงพ่อเตียง วัดเขารูปช้าง จ.พิจิตร
    5.หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม
    6.หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช จ.อยุธยา
    7.หลวงปู่เส็ง วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพ
    8.หลวงพ่อชม วัดเขาดิน จ.อยุธยา 9.หลวงปู่เกตุ วัดศรีเมือง จ.สุโขทัย
    10.ครูบาอินถา วัดพระธาตุดอยเต่าคำ จ.ลำปาง
    และพระเกจิในจังหวัดพิจิตรและเกจิในละแวกใกล้เคียง ร่วมกันปลุกเสกอีกคับคั่ง
    ส่วนผสมมวลสารขององค์พระ ประกอบไปด้วย ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงว่านวิเศษ108 ผงใบโพธิ์จากวัดหลวงพ่อเงิน และเส้นเกศา จีวรของหลวงพ่อเขียน **หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง (นั่งปรกในทิศตะวันออก) หลังพิธีพุทธาภิเษก หลวงพ่อบอกกับท่านพระครูสุรินทร์ว่า พิธีนี้สมบูรณ์มาก เป็นประกายพรึกสว่างไสวไปทั้งโบสถ์ (ไม่ใช่เฉพาะวัตถุมงคลแต่จากวัตถุมงคลแผ่รัศมีประกายพรึกจนสว่างไปทั้งโบสถ์ซึ่งเป็นพิธีที่ดีมากที่สุดพิธีหนึ่ง) รัศมีประกายพรึก ในความหมายหมายถึงพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์หมดทุกอย่าง หลวงพ่อฤๅษีลิงดำบอกพระครูสุรินทร์ว่า เป็นพิธีมหาจักรพรรดิ เพราะเจตนาในการสร้างนั้นก็บริสุทธิ์ สร้างเพื่อแจกผู้ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์วัดสุขุมาราม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกอีกว่า หลวงปู่เขียนท่านก็มาร่วมปลุกเสกด้วย หมายถึงเอากายทิพย์มาร่วมครับ คาถาบูชาวัตถุมงคลรุ่นนี้ ตั้งนะโม 3 จบ ว่าพุทธาราธะนัง ธัมมาราธะนัง สังฆาราธะนัง แล้วว่า คาถามหาลาภ ธะนะกาโม ละเภ ธะนังธะนะโภคัง ภะวันตุ เม อัตถิ การะเย กายะญายะ เทวานัง ปิยะตังสุตวา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างส่งครับ
    .
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250605_153835.jpg IMG_20250605_153906.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2025 at 16:53
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749121993223.jpg

    สมเด็จรุ่น ๒ เนื้อผงพุทธคุณผสมผงตะเคียน
    ผงตะเคียนอาถรรพ์สู่มหาทานบารมีสมเด็จรุ่นนี้หนึ่งในเนื้อจัดสร้างสมเด็จรุ่น๒หลวงพ่อสืบตั้งใจที่จะลบล้างอาถรรพ์ด้วยการ
    นำผงจากต้นโพธิ์ปราชิกในส่วนของเนื้อไม้ตะเคียนทอง
    ที่ยืนต้นตายและโค่นลงนำมาบดผสมรวมกับผงพุทธคุณแล้วกดพิมพ์เป็นพระสมเด็จรุ่น๒เข้าพิธีเมื่อปี2551เหมือนบวชให้แม่ตะเคียนเพื่อสร้างทานบารมีให้หลุดพ้นดีอย่างไรแอดคงไม่เหมาะที่จะเล่าคงต้องหามาลองใช้กันเอง
    สมเด็จหลังสิงห์รุ่น2
    จัดสร้างเมื่อปีพศ.2551 (พิธีเดียวกับเสมารุ่นแรก)
    เนื้อผงตะเคียนและผงพุทธคุณ ฝังตะกรุดเงิน สร้าง 1,500 องค์
    ฝัตะกรุดทองแดง สร้าง 1,500 องค์
    แบบไม่มีตะกรุดจารดินสอ สร้าง 5,000 องค์
    เนื้อผงพุทธคุณล้วน(เนื้อขาว) สร้าง 500 องค์
    หลวงพ่อสืบ ปริมุตโต ( เจ้าอธิการลำดับที่ 8 )
    วัดสิงห์ ต.ท่าพระยา อำเภอนครชัยศรี จ.นครปฐม
    ช่วงประมาณปี พศ.2526-พศ.2559
    พระครูพิทักษ์วีรธรรม ฉายา ปริมุตฺโต
    นามเดิมของท่าน ชื่อ สืบสันต์ นามสกุล ยวดยงค์
    เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พศ.2475
    พื้นเพเดิมท่านอาศัยอยู่บ้านตลาดบน ตำบลท่ากระซับ
    อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
    ท่านเกิดในครอบครัวเกษตรกรรม
    ประวัติการศึกษา
    1.ระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดไทร
    นครชัยศรี จ.นครปฐม
    2.ระดับชั้นมัธยม โรงเรียนเพิ่มวิทยา
    วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม
    3.โรงเรียนพลตำรวจ นครปฐม
    4.โรงเรียนนายสิบทหารม้ายานเกราะรุ่นที่ ๕
    ประวัติการทำงาน
    1.เข้ารับข้าราชการตํารวจปฎิบัติงานที่
    สถานีตำรวจลุมพินี กรุงเทพฯ
    2.เข้ารับราชการทหารสังกัด
    กองพันทหารม้ายานเกราะจังหวัดสระบุรี
    เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ 2 ครั้ง

    อุปสมบทครั้งแรก
    ปีพศ.2497 เป็นการอุปสมบทครั้งแรก
    ของหลวงพ่อสืบเพื่อทดแทนคุณ บิดามารดาตาม
    ประเพณีนิยมในช่วงนั้นหลวงพ่อสืบอายุ 22 ปี
    ได้จัดพิธีอุปสมบท ณ.วัดท่าใน ตำบลท่าพระยา
    อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม โดยมี
    1.พระครูสิริวุฒาจารย์ (ห่วง สุวัณโณ )
    วัดท่าใน เป็นพระอุปัชฌาย์
    2.พระอาจารย์ ปิ่น วัดศรีษะทอง
    เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    3.พระอธิการม้วน วัดไทร
    เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ได้รับฉายา "ทานรโต" หลังจากอุปสมบทแล้ว
    จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าในท่านได้ศึกษาธรรมและ
    ปฏิบัติรับใช้ หลวงพ่อห่วง ที่วัดท่าในได้ 1 ปี ได้เรียนวิชาก้าวหน้าพอสมควร จิตใจเกิดรุ่มร้อน อยากจะลองวิชาที่เรียนมาว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ร้อนรุมอยู่ไม่ได้จึงตัดสินใจลาสิกขานึกถึงคำพูดของเพื่อนว่า "เป็นลูกผู้ชายต้องเป็นทหารกล้า" หลังจากนั้น
    ท่านจึงได้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนนายสิบทหารม้าฯ
    อุปสมบทครั้งที่ 2 ในช่วงปี พศ. 2514เมื่อครั้งหลวงพ่อสืบท่านรับราชการทหารได้
    ใช้ชีวิตลูกผู้ชาย คุ้มค่า
    โลดโผนโจนทะยานจน
    เบื่อหน่ายเต็มที่ หันหน้ากลับท้องทุ่งท่าพญาอำเภอนครชัยศรี เพื่อไปพบหลวงพ่อม้วนซึ่งในสมัยบวชครั้งแรกเป็นพระคู่สวดในขณะนั้นซึ่งในเวลาต่อมาหลวงพ่อม้วนท่านได้รับตำแหน่งเป็น
    "พระครูอินทรสิริชัย" หลวงพ่อสืบ(ขณะเป็นฆราวาส)
    ได้ระบายความในใจว่าชีวิตฆราวาสมีแต่ทุกข์สับสน
    วุ่นวายกิเลสตัญหามากมายแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น มีแต่อิจฉาริษยาได้ไปทดลองท่องดินแดนฆราวาส
    มานานหลายปีรับรู้รสชาติหมดทุกอย่างจึงคิดว่ามิใช่
    หนทางแห่งการสิ้นทุกข์มีแต่ทุกข์เพิ่มขึ้นเหมือนอยู่
    ในวังวนแห่งกิเลสหลวงพ่อท่านจึงได้ข้อคำปรึกษา
    และปรับทุกข์จาก พระครูอินทรสิริชัย (หลวงพ่อม้วน)
    แล้วจึงตัดสินใจออกบวชอีกครั้ง ครั้งนี้จะใช้ชีวิตบรรพชิตจนชีวิตจะหาไม่
    หลวงพ่อสืบท่านจึงตัดสินใจอุปสมบทอีกครั้งและตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่สึก โดยมี
    1.พระครูอินทสิริชัย (ม้วน อินทสุวัณโณ) เป็นพระอุปัชฌาย์
    2.พระอธิการ ง้อ ปัญญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    3. พระอาจารย์ทับทิม กตปุญฺโญ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ได้รับฉายาว่า "ปริมุตโต" จำพรรษาอยู่วัดไทร
    ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมจนแตกฉาน
    แล้วจึงหันมาสนใจเวทวิทยาคม ระลึกถึงภูมิเก่าวิชาที่ได้รํ่าเรียนมาจาก หลวงพ่อห่วง วัดท่าใน ทบทวนจนแม่นยำและศึกษาเพิ่มเติมจาก หลวงพ่อม้วน วัดไทร อุปนิสัยของหลวงพ่อสืบเป็น
    คนมีจิตใจแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว เป็นวาจาสิทธิ์พูดคำ
    ไหนคำนั้น จนได้รับความไว้วางใจในการจัดการงานต่างๆจากหลวงพ่อม้วนอยู่บ่อยครั้ง
    ตำแหน่งที่ท่านปฎิบัติรับใช้พระพุทธศาสนา
    1.ดำรงตำแหน่งเป็นพระอธิการและเป็นเจ้าอาวาสวัดสิงห์
    ได้รับการแต่งตั้งเมื่อปีพศ.2526
    2.ดำรงตำแหน่งเป็นพระสมุห์
    ได้รับการแต่งตั้งเมื่อปีพศ.2527
    3.ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการตรวจประโยค
    นักธรรมสนามหลวงได้รับการแต่งตั้งปีพศ.2528
    4.ดำรงตำแหน่งเป็นพระครูสัญญาบัตร
    ได้รับการแต่งตั้งปีพศ.2532
    5.ดำรงตำแหน่งเป็นพระอุปัชฌาย์
    ได้รับการแต่งตั้งเมื่อปีพศ.2534
    6.ดำรงตำแหน่งพระครูสัญญาบัตร
    เจ้าคณะตำบลชั้นโทได้รับการแต่งตั้งเมื่อปีพศ.2539
    7.ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลท่าพระยา
    ได้รับการแต่งตั้งปีพศ.2555
    8.ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานมูลนิธิปิยสีโล
    (หลวงปู่เจือ ปิยสีโลเป็นประธาน) ไม่ทราบปี
    การศึกษาพุทธาคมและคณาจารย์ของ
    พระครูพิทักษ์วีรธรรม (สืบสันต์ ปริมุตฺโต)
    ท่านเป็นพระที่ใฝ่ทั้งทางธรรมและด้านพุทธาคม
    เรียกได้ว่าครบเครื่องอีกท่านหนึ่งของหน้า
    ประวัติศาสตร์พระเกจิเมืองไทยในยุคปีพศ.2550
    ท่านได้เรียนพุทธาคมจากหลายคณาจารย์ที่เป็น
    เพชรนํ้าเอกของแวดวงพระเกจิในสมัยนั้นซึ่งปัจจุบัน
    บางท่านก็มรณภาพไปและและอีกหลายท่านยังคงอยู่
    ปฐมบทในการเรียนพุทธาคมของหลวงพ่อสืบเริ่มต้น
    ที่วัดท่าใน จังหวัดนครปฐม เนื่องจากหลวงพ่อสืบตั้ง
    แต่เด็กจนเข้าสู่วัยรุ่นก็เป็นพื้นเพเป็นคน ท่าพระยา
    โดยกำเนิด ไปมาหาสู่วัดท่าในตั้งแต่เด็กและได้มา
    ช่วยงานหลวงพ่อห่วง วัดท่าในตั้งแต่เป็นวัยรุ่น
    ด้วยหลวงพ่อสืบท่านเคารพหลวงปู่ห่วงเป็นอย่างมาก
    ในสมัยก่อนคนในระแวกคลองบางแก้วก็ให้ความเคารพ
    นับถือหลวงปู่ห่วงเนื่องจากท่านเป็นพระที่สร้างความ
    เจริญให้กับพื้นที่แถบนี้ รวมไปถึงท่านยังให้ความเมตตา
    สอนญาติโยมโดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ ใครมาได้กราบไหว้
    ก็ได้ชื่นใจและท่านยังสร้างวัตถุมงคลไว้ให้ชาวบ้านแถว
    นี้ได้คุ้มตัวจนเกิดประสบการณ์
    มากมายมีชื่อเสียงเป็นที่ยอม
    รับทั้งในบริเวณนครชัยศรีและนครปฐม อีกท่านนึงก็มีบทบาทในช่วงปฐมบทของหลวงพ่อสืบนั้นก็คือหลวงพ่อม้วน วัดไทร องค์นี้จะเรียกได้ว่าเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่ห่วงเลยก็ว่าได้ ดังนั้นหลวงพ่อสืบจึงมีความสนิทสนมและนับถือและคอยช่วยงานหลวงปู่ห่วงและหลวงพ่อม้วนมาตั้งแต่เป็นฆารวาสจนได้บวชเข้ามาที่วัดท่าในในครั้งแรกเมื่อปี พศ.2497
    นอกจากนี้ยังมีหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้วหลวงปู่เจือและหลวงพ่อสืบท่าน รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก หลวงปู่เจือท่านจะมีอายุมากกว่าหลวงพ่อสืบ 6 ปี หลวงพ่อสืบท่านเรียกหลวงปู่เจือว่า "พี่่่เจือ"
    พอมาในช่วงที่หลวงพ่อสืบบวชครั้งที่2 และได้รํ่าเรียนเวทวิทยาคมมาพอสมควรแล้วเวลามีกิจนิมนต์ที่ไหนหลวงพ่อสืบและหลวงปู่เจือ
    ก็จะออกกิจนิมนต์ด้วยกันเสมอ หลวงปู่เจือเมื่อท่านว่างหรืออยากพักผ่อนท่านก็
    จะมาจำวัดที่กุฏิของหลวงพ่อสืบท่านเสมอ เมื่อมีงานพุทธาภิเษกวัตถุมงคลของหลวงปู่เจือ หลวงพ่อสืบท่านก็จะถูกเรียกให้มาร่วมงานด้วยกันทุกครั้ง หลวงปู่เจือในช่วงนั้นเป็นประธานมูลนิธิปิยสีโล หลวงพ่อสืบท่านดำรงตำแหน่งเป็นรอง ประธานจนกระทั่งมูลนิธิปิดตัวลงหลังจากหลวงปู่เจือมรณภาพหลวงพ่อสืบท่านเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบและดูแลทรัพย์สินของหลวงปู่เจือในขณะนั้นจนเป็นที่เรียบร้อย
    เมื่อครั้งหลวงพ่อสืบท่านออกวัตถุมงคลครั้งแรก
    หลวงปู่เจือท่านก็บอกให้หลวงพ่อสืบทำเบี้ยแก้ด้วย
    เพราะเรียนวิชาไปนานแล้วแต่หลวงพ่อสืบท่านไม่
    ยอมทำเพราะถือว่าหลวงปู่เจือยังอยู่ จึงเลือกทำตะกรุดแทนไม่ยอมทับสายของผู้เป็นพี่จนกระทั่งวันที่ 14 ตุลาคม พศ.2552 จากพี่และ
    น้องเปลี่ยนเป็นลูกศิษย์และพระอาจารย์อีกครั้งเมื่อ
    หลวงปู่เจือท่านมาปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นไตรมาส 52
    ของหลวงพ่อสืบหลวงปู่เจือท่านจึงถามหลวงพ่อสืบ
    ท่านว่า"ได้ทำเบี้ยแก้บ้างหรือยัง" หลวงพ่อสืบท่านก็ตอบไปว่า "ยังครับ"
    หลวงปู่เจือจึงถามหลวงพ่อสืบท่านว่า" ชันโรง หอยเบี้ยปรอท และอุปกรณ์ที่ให้มาอยู่ที่ไหน ไปเอามาซิ" หลวงพ่อสืบท่านจึงได้ให้ลูกศิษย์ไปขนของต่างๆที่หลวงปู่เจือท่านให้ไว้มาที่กุฎิหลวงพ่อสืบในขณะนั้น หลวงปู่เจือท่านกล่าวว่า
    " ให้ลูกศิษย์ไปรับท่านพร (พระครูพิจิตรสรคุณ) มา
    เราจะมอบวิชาให้อีกครั้งและอนุญาติให้ทำได้เลยไม่
    ต้องรออะไรแล้ว เรียนไปก็นานแล้วแต่ทำไมไม่ยอม
    ทำกันสักที"
    ในวันนั้นหลวงปู่เจือท่านจึง ทำการจับมือตีเบี้ยแก้ซึ่ง
    มีทั้งหมดรวม 3องค์ และทุกท่านก็เป็นที่ยอมรับใน
    เวลาต่อมาในการทำเบี้ยแก้ คือ
    1.พระครูพิทักษ์วีรธรรม(หลวงพ่อสืบ)วัดสิงห์
    2.พระครูพิจิตรสรคุณ(พระอาจารย์พร)วัดบางแก้ว
    3.ท่านมหาไพบูลย์ (มหาป๊ะ) วัดท่าใน
    และอีกองค์ที่เคยเรียนมากับหลวงปู่เจือ คือ ท่านพระมหาสุรศักดิ์ วัดประดู่พระอารามหลวงฯ

    ในคราวแรกหลวงพ่อสืบท่านก็จะไม่ทำเบี้ยแก้
    ท่านตั้งใจจะทำเพียง 9ตัวที่หลวงปู่เจือท่านกรอก
    ไว้ให้ เแต่พอข่าวการตีเบี้ยแพร่สะพัดออกไปทำ
    ให้มีคนมาขอเช่าบูชากันเป็นอันมากหลวงพ่อสืบจึงต้องนั่งทำเบี้ยแก้มาตลอดจน
    หลวงพ่อสืบท่านมรภาพลงโดยเบี้ยแก้ที่หลวงพ่อสืบ
    สร้างนั้นจะทำตามฤกษ์ยามตามแบบโบราณตามสายวิชาเบี้ยวัดกลาบางแก้ว โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงปู่เจือที่ได้สอนไว้ทุกประการ
    (เบี้ยที่หลวงปู่เจือกรอกไว้นั้นหลวงพ่อสืบได้
    เก็บไว้บนกุฎิโดยไม่ได้นำออกมาเปิดให้บูชา)
    หลวงพ่อสืบท่านได้เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อเปิ่น
    วัดบางพระ นครปฐม และเริ่มนั่งปรกครั้งแรกพร้อม
    กับหลวงพ่อเปิ่น ซึ่งมีภาพเป็นหลักฐานอยู่ในภายใน
    กุฏิหลวงพ่อ หลวงพ่อสืบท่านเป็นผู้แสวงหาความรู้
    ทางพุทธาคมท่านจึงเป็นศิษย์หลายสำนักโดยจำแนก
    ได้คราวๆดังนี้
    การลูกอมโลกธาตุและการเสกไหม ท่านได้เรียนวิชาเสกไหมมาจาก
    หลวงพ่อหยอดวัดแก้วเจริญจ.สมุทรสงครามโดยหลวงพ่อหยอดท่านจะทำไหม 7 สีเพื่อไม่เปรียบท่านกับอาจารย์หลวงพ่อสืบท่านจะทำไหมเพียง 5สี
    การเสกปลัดขิก ท่านได้ไปเรียนมาจากสายหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก และกับสายวิชาหลวงพ่อโศก วัดปากคลองบางครกและมาเรียนเพิ่มเติมจากหลวงพ่อตัด วัดชายนา จ.เพชรบุรี
    และหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร จ.ฉะเชิงเทรา
    การเสกมีดหมอ เป็นสายวิชาเวทของ หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือจ.อยุธยาซึ่งหลวงพ่อเอื้อนวัดวังแดงใต้ จ.อยุธยา เป็นผู้ถ่ายทอดให้กับหลวงพ่อสืบวิชาทำตะกรุดหนังเสือ หลวงพ่อท่านได้เล่าเรียนจากหลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุมจ.กาญจนบุรี และท่านยังได้เรียน วิชาตระกรุดหนังเสือเพิ่มเติมจากหลวงพ่อเอื้อน วัดวังแดงใต้ เกจิอาจารย์ที่มีพุทธาคมแก่กล้าแห่งอยุธยา
    หลวงพ่อเอื้อนท่านเรียนวิชามาจาก หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียงผู้เป็นปรมาจารย์ การสร้างตะกรุดหนังเสือ
    ของหลวงพ่อตาบนั้นได้รับการสืบทอดมาจาก หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ

    การสร้างตะกรุด ท่านเรียนมาจาก หลวงพ่อตัด วัดชายนา โดยประมาณช่วงปี 50 หลวงพ่อตัดท่านไปช่วยเสกช่วยสอนวิชามหาอุตให้หลวงพ่อสืบเพราะหลวงพ่อตัดอยากช่วยบูรณะเจดีย์ที่วัดสิงห์ในตอนนั้นต่อมามีข่าวร่ําลือกันเกี่ยวกับตะกรุดหลวงพ่อสืบว่านำไปใช้ หรือลองกัน แล้วปืนแตกคือผลเหมือนตะกรุดของวัดชายนา
    วิชาเสกหนุมาน ท่านเรียนมาจากหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร ท่านเก่งการเสกหนุมานกับลิงจับหลักซึ่งทำให้ความเข็มขลัง
    ของวัตถุมงคลหลวงพ่อสืบ ท่านเด่นครบ ทุกด้านทั้ง เมตตา แคล้วคลาด มหาลาภ ด้วยบารมีครูอาจารย์ที่หลวงพ่อท่าน ได้ศึกษามาจนครบถ้วนเพื่อให้ ศิษย์ของท่านมีของดีไว้ใช้จนเกิด ประสบการณ์มากมาย
    เครดิตข้อมูล
    พระมหาไพบูลย์ วิปุโล (วัดท่าใน จ.นครปฐม)
    ข้อมูลวัดสิงห์และประวัติหลวงพ่อสืบ ลงข้อมูลเว็ปสวนขลังและเว็ปพลังจิต ผู้ลงข้อมูล คุณปรัช ไทยภักดี หนังสือพระราชทานเพลิงศพ พระครูพิทักษ์วีรธรรม(สืบสันต์ ปริมุตโต)
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลังสิงห์รุ่น ๒ หลวงพ่อสืบวัดสิงห์ฝังตะกรุด

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250605_181214.jpg IMG_20250605_181239.jpg IMG_20250605_181150.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749182636654.jpg FB_IMG_1749182644830.jpg

    รูปถ่ายหลังจีวรหลวงปู่เยี่ยมวัดประดู่ทรงธรรม
    S ผู้สร้างความอัศจรรย์สกแก้วใสให้สว่าง S
    ..หลวงปู่เยี่ยม ปิยธัมโมวัดประดู่ทรงธรรม..วันนี้อยากกล่าวถึงพระดีรูปหนึ่งที่น้อยตนจะรู้จัก ท่านผู้มีพลังจิตแก่กล้านี่คือ หลวงปู่เยี่ยมปิยธัมโม หรือบางท่านเรียกว่าหลวงปู่ศรีโรจน์ แห่งวัดประดู่ทรงธรรม จ.อยุธยาศิษย์เอกของหลวงพ่อสละ เถระปัญโญ วัดประดู่ทรงธรรม ในด้านวิชาอาคมท่านเชียวชาญหลายด้าน เห็นได้จากท่านสามารถลงตะกรุดจักรพรรดิกับตะกรุดมหาระงับ ได้เข้มขลัง
    มาก สำหรับตะกรุด จักรพรรดิตามตำราท่านจะใช้ทองคำหนัก 4 บาทส่วนโลหะอื่นท่านจะไม่ใช่เลยทางวิปัสสนากรรมฐานท่านก็เชี่ยวชาญ มักมีศิษย์มาขอขึ้นกรรมฐานกับท่านมากมายห้องกรรมฐานท่านแรงครูสูงและมีอาถรรพ์มากหากใครเล่นวิชาประเภทเสน่ห์เล่ห์กล หรือมีของที่ผสมเข้าคุณผีติดตัวมาเมื่อเข้ามานั่งกรรมฐานกับท่าน ทุกรายต้องมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เรียกว่าขับของไม่ดีออกจากกายหมดทุกคน เรียกว่าสายท่านคุณพระล้วนเป็นสายบุญฤทธิ์คล้ายหลวงปู่ดู่ ตามปกติท่านเป็นตนพระพูดูน้อย แต่หากใครทำไม่ดีมาพบท่าน ๆ จะดุขึ้นมาทันที

    4 เสกลูกแก้วจักรพรรดิคราวหนึ่งมีคณะศิษย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ได้สร้างรูปหลวงปู่ทวดขนาดใหญ่ แล้วได้นำลูกแก้วที่จะใช้วางบนมือหลวงปู่ทวดพร้อมพระเครื่องมาขอให้ท่านช่วยอธิษฐานจิต ลูกแก้ว
    ที่ว่านี้เป็นลูกแก้วชนิดใสแบบปกติ แต่เมื่อ
    หลวงปู่เยี่ยมนำมาวางบนฝ่ามือ แล้วเข้าสมาธิอธิษฐานจิตปลุกเสกให้เป็นแก้วจักรพรรดิสาระพัดนึก ในขณะท่านเสกอยู่ก็ปรากฎว่าลูกแก้วมีแสงสว่างขึ้นมาได้เองอย่างอัศจรรย์ศิษย์หลวงปู่ดู่ที่สังเกตการณ์อยู่จึงรีบถ่ายภาพเก็บไว้ และได้เป็นหลักฐานยืนยันถึงเรื่องพลังอำนาจจิตและความอัศจรรย์เหนือธรรมชาติมาได้จนปัจจุบัน อภินิหารบางประการ
    -ทราบถึงมรณกาลล่วงหน้าอย่างแม่นยำ
    -เมื่อท่านมรณะภาพปรากฏว่าศพไม่เน่า
    ปัจจุบันร่างท่านยังอยู่ที่กฏิภายในวัดประดู่ทรงธรรม โดยมีสภาพแห้งลงไปเฉย ๆ และแข็งคล้ายหินสามารถเสกน้ำมนต์ปทุมมาศ โดยท่านจะให้นำเอาดอกบัวตูม ใส่ลงในถัง แล้วท่านจะเสกดอกบัวจนแย้มกลีบบานออกได้ ถึงจะอาบให้ศิษย์ ซึ่งตามปกติดอกบัวหากเด็ดจากต้นแล้ว
    จะไม่บานหลวงปู่ท่านเคยเสกหนุมาน จนเด็กน้อยที่มากับพ่อแม่ชี้ไปข้าง ๆ ท่านแล้วบอกเห็นลิงตัวสีขาวเต้นไปเต้นมา
    มีคนได้รับหนูมานเสกจากท่านไป แล้วนำไปวางบูชาไว้บนหิ้งที่บ้าน ปรากฎว่ารถขับไปเกิดอุบัติเหตุที่หางไกล แต่น่าแปลกหนุมานที่บ้านกลับตกมาจากหิ้งคอหัก (เนื้อผง) เพราะหนุมานท่านรับเคราะห์แทนเจ้าของได้ปัจจุบันท่านผู้นี้บวชเป็นพระอยู่ วัดบางทะลุจ.เพชรบุรี
    สมัยก่อนเวลาใครไปคุยกับท่าน แล้วโกหกหลอกท่าน มักจะโดนดูแบบแทงใจดำกลับมาเสมอผู้รับเหมาหนุ่มไปเคลียงานเรื่องเหมืองที่เมืองกาญ ถูกอริยิงด้วยปืนลูกซองระยะเผาขนเข้าที่หน้าอก กระเด็นสลบไป2ชั่วโมง ตื่นมามีแค่รอยเขียวช้ำ แต่ไม่มีบาดแผล ในตัวมีเหรียญหลวงปู่เพียงเหรียญเดียวอยู่ในกระเป๋าเสื้อนี่เป็นเพียงบางส่วนที่ศิษย์พอนึกได้ และยืนยันว่าเป็นความจริงทุกประการ เพราะหลาย ๆ ประสบการณ์เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวทั้งสิ้น เห็นเป็นเรื่องที่น่าสนใจจึงขอนำมาบันทึกไว้ดังนี้
    #หมายเหตุ : ปัจจุบันมีวัตถุมงคลที่ท่านปลุกสกตกค้างอยู่ที่กูฏิ นับเป็นขอดีมากพุทธคุณที่ราคาเพียงหลักร้อย ใครสนใจเชิญที่วัดประดู่ทรงธรรมครับ
    #ไม่ใช่พวกใส่ชุดขาวหลับตาเพื่อสร้างภาพ#เป็นเพียงแค่ตนบาปที่ผ่านมา
    // #ตนขลัง #คลังวิชา //สนใจบทความติดตามได้โดยกด ==>> #Likeเพจ << ==
    ทุก #Like / #Share คือ กำลังใจ
    ขอบพระคุณทุกท่านที่สนใจ
    เรียบเรียง โดย : ตนขลัง คลังวิชา
    Cr. ข้อมูลและภาพประกอบบทความจาก
    Thiti Preamwongsiri
    คุ้มเทวา
    บ้านใต้ ใจโต
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    รูปถ่ายหลังจีวรหลวงปู่เยี่ยมวัดประดู่ทรงธรรม

    ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท

    FB_IMG_1749182638901.jpg FB_IMG_1749182641414.jpg
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749188181762.jpg FB_IMG_1749187968174.jpg

    สมเด็จคำคะนิง บางท่านเรียกกันว่าสมเด็จรุ่น ๒ ออกปี พ.ศ.๒๕๒๘ (ไม่ทันหลวงปู่) ในโอกาสเคลื่อนสรีระสังขารหลวงปู่ขึ้นสู่โลงแก้ว พระรุ่นนี้ใช้มวลสารเก่าจากพระผงชุดแรก(สมเด็จรุ่น ๑ พระผงนารอด)ที่แตกหักนำมาพลีบดเป็นมวลสารของพระชุดนี้ อีกทั้งยังได้มีการนำเส้นเกศา และจีวรของหลวงปู่ นำมาบรรจุไว้ตรงฐานของสมเด็จรุ่นนี้ทุกองค์
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่คําคะนิง จุลมณี
    วัดถ้ำคูหาสวรรค์
    อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
    หลวงปู่คําคะนิง จุลมณี เกิดเมื่อ วันพุธ เดือน ๔ ปีกุน ตรงกับปี พ.ศ.๒๔๕๔ ณ บ้านหนองบัว แขวงคําม่วน ประเทศลาว โยมบิดาชื่อ คิน ทะโนราช โยมมารดาชื่อ นุ่น มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน ๕ คน หลวงปู่คําคะนิงเป็นคนที่ ๓
    หลวงปู่คําคะนิง ก่อนบวชเป็นพระภิกษุ ท่านเคยเป็นฤาษีดาบสมาก่อน ท่านได้ท่องเที่ยวธุดงค์รอนแรมไปตามป่าเขาลําเนาไพรนานถึง ๑๕ ปี เพราะเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตในทางโลกที่มีแต่ความทุกข์ ท่านต้องการพ้นทุกข์จึงหันหน้าเข้าสู่ทางธรรมโดยไปขอเป็นศิษย์กับหลวงปู่สีทัต ที่ วัดพระธาตุท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม แต่หลวงปู่สีทัตได้แนะนําให้ไปเรียนกับ พระอาจารย์เหม่ย แทน ซึ่งท่านเป็นพระผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติธรรมเช่นกัน
    พระอาจารย์เหม่ย ได้สอนการพิจารณาอสุภกรรมฐาน โดยนําหลวงปู่คําคะนิง ไปนั่งพิจารณาซากศพกลางป่าลึก จนสภาวะจิตของหลวงปู่เข้มแข็ง เกิดเป็นพลังจิตสูงขึ้นเป็นลําดับ
    ต่อมาความทราบถึง เจ้าศรีสว่างวัฒนา เจ้ามหาชีวิต แห่งประเทศลาวในขณะนั้น เกิดความเลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงปู่คําคะนิง จึงได้ขอ ขมาต่อหลวงปู่เพื่อขอปลงผมของท่านที่ยาวถึงเอว ซึ่งหลวงปู่คําคะนิงก็ได้อนุญาต แต่มีข้อแม้ว่า ต้องขอบวชเป็นพระภิกษุก่อน
    ในที่สุดทางสํานักพระราชวังจึงได้จัดงานอุปสมบทให้กับหลวงปู่คําคะนิง โดยมีพระสังฆราชลาวเสด็จมาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ณ วัดหอเมืองเก่า
    แขวงนครจําปาศักดิ์ โดยสํานักพระราชวัง ข้าราชการ และประชาชนผู้มีความเลื่อมใสศรัทธา ต่างนําผ้าไหมแพรทองมาปูรองรับเส้นเกศาของหลวงปู่คําคะนิง กันอย่างเนืองแน่น
    ต่อมาหลวงปู่คําคะนิง ได้ธุดงค์ข้ามจากฝั่งลาวมาจําพรรษาอยู่บน ถ้ำคูหาสวรรค์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๐ สมัยนั้นยังเป็นป่ารกทึบ ไม่มีถนนหนทางเหมือนเช่นทุกวันนี้
    “หลวงปู่กิ ธมฺมุตฺตโม หลวงปู่โชติ อาภคฺโค เคยเล่าว่า.. มีหลวงพ่อองค์หนึ่งชื่อ “คำคะนิง” อยู่ในถ้ำคูหาสวรรค์ บนยอดเขาบ้านด่าน อำเภอโขงเจียม เป็นพระผู้เฒ่าชาวลาวละว้า หนีคอมมิวนิสต์มาจากฝั่งลาว ญาติโยมชาวลาวได้ฝากฝังหลวงปู่คำคะนิง ไว้กับหลวงปู่โชติ วัดภูเขาแก้ว ขอให้ช่วยดูแลหลวงปู่คำคะนิงด้วย เพราะแก่ชรามากแล้ว หากละสังขารเมื่อใด ก็ขอให้หลวงปู่โชติ ช่วยจัดการฌาปนกิจศพให้ด้วย”
    ด้วยบารมีที่หลวงปู่คําคะนิง ได้บําเพ็ญธรรมอย่างเคร่งครัดมาตลอด จึงมีศิษยานุศิษย์จากทั่วประเทศเดินทางไปกราบไหว้และทําบุญกับท่านมิได้ขาด หลวงปู่คําคะนิง มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๘ สิริอายุได้ ๙๐ ปีเศษ
    บรรดาลูกศิษย์ได้เก็บรักษาสรีระของหลวงปู่คําคะนิง ไว้ในหีบแก้วใต้บุษบก ในบริเวณถ้ำ วัดถ้ำคูหาสวรรค์น เพื่อเป็นที่สักการบูชาของลูกศิษย์และพุทธศาสนิกชนทั่วไป ทุกๆ ปีในวันที่ ๑๗ เมษายน จะมีงานประเพณีทําบุญกราบ ไหว้สรีระอันอมตะ ของหลวงปู่คําคะนิงเป็นประจํา
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จคำคะนิงมวลสารเกษาและจีวรหลวงปู่ด้านใต้ฐานครับ เกษาใสเป็นแก้ว เลยครับ องค์นี้ ใต้ฐาน

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250606_121736.jpg IMG_20250606_121814.jpg IMG_20250606_121705.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749196186118.jpg

    เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วค่ะ หากผู้ใดมี "เขี้ยวแก้ว"
    จะเป็นผู้อยู่ยงคงกระพัน มีความเก่งกล้าทางพระเวทย์ อาคม หากกล่าวสิ่งใดก็จะเป็นสิ่งนั้น......
    เรื่อง เขี้ยวแก้ว
    มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันที่ หลวงปู่กาหลง เตชวัณโณ วัดเขาแหลม จังหวัดสระแก้ว มรณภาพ ลุงยันต์ก็ได้เล่าให้หลวงตาฟังว่า "รู้มั้ยหลวงตา หลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้ว ท่านมรณภาพแล้วนะ" หลวงตาได้ยินท่านก็บอก "ของกูก็มีเขี้ยวแก้วเหมือนกัน" แล้วท่านก็อ้าปากให้ดู "ดูสิเนี่ย" แล้วลุงยันต์ก็มองเข้าไปดูในปากปรากฏว่ามีฟันซี่หนึ่งแหลมเพี้ยว งอกมาจากเพดานปากจริงๆ......
    Cr.หนังสือประวัติและวัตถุมงคลหลวงปู่โสฬส ยโสธโร
    ภาพที่1 หลวงปู่โสฬส วัดโคกอู่ทอง
    ภาพที่2 หลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้ว - วัดเขาแหลม
    ประวัติ
    หลวงปู่กาหลง เตชวัณโณ (หลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้ว)
    หลวงปู่กาหลง เดิมท่านเป็นชาวคลอง 7 ปทุมธานี เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2461 มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน ท่านเป็นบุตรคนโต
    ตอนท่านจะถือกำเนิดมีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้น โดยมีชายคนหนึ่งชื่อ"ลุงบาง"อาชีพหาปลามีอยู่คืนหนึ่งขณะที่ลุงบางออกหาปลาได้เห็นดวงไฟประหลาดลอยมายังหน้าบ้านของหลวงปู่ จึงตามดวงไฟดังกล่าวเพื่อ จะดูให้รู้ว่าคือดวงไฟอะไรพอ ตามไปแกก็เห็น พระฤาษี ตนหนึ่งจูงเด็กน้อยเข้าไปในบ้านของหลวงปู่ฯ เมื่อลุงบางเห็นดังนั้น จึงยกมือขึ้นไหว้ด้วย ความศรัทธา แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ว่าหากสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริงเด็กที่เกิดในบ้านต้องเป็นเด็กชาย และหากเป็นจริง ก็จะเลิกอาชีพหาปลาหันมาเข้าวัดฟังธรรมไม่นานโยม แม่ของหลวงปู่ฯ ก็คลอด ลูกออกมาเป็นเด็กชาย และให้ชื่อว่า "กาหลง" ส่วนลุงบางเมื่อพบว่าสิ่งที่ตนเห็นเป็นจริงก็เลิกหาปลาตั้งแต่นั้น เป็นต้นมาและปิดเรื่องที่เห็นในคืนนั้นเอา ไว้มิได้บอกใคร หลวงปู่กาหลงอุปสมบท เมื่ออายุได้ ๒๐ ปีที่วัดนาบุญคลอง เจ็ด จ.ปทุมธานีใน วันที่หลวงปู่ฯอุปสมบทลุงบางได้เล่าเหตุการที่ได้เห็นมาเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วให้พระอุปัชฌาย์ฟังและขอถวายตัวเป็นโยมอุปัฐากตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา หลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้ว พระเถราจารย์ผู้มี ฤทธิ์อำนาจ วาจาประกาศิต ด้วยเขี้ยวแก้วกลางเพดานปาก พระเถราจารย์ที่มีบุญ อำนาจวาสนาอาคมแก่กล้า ความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ พระผู้มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด 1 ปี สรงน้ำ 1 ครั้ง ลป.กาหลง ท่านเล่าว่าเคยสิ้นลม หายใจ มรณภาพมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยท้าววิษณุกรรมมารับ แต่โบสถ์วัดเขาแหลมหลังที่ 9 ยังสร้างไม่เสร็จจึงต่ออายุขัยให้" ของ ๆ ฉัน ๆ ตั้งใจทำมากับมือต่อไปจะมีค่ายิ่งกว่าทองคำจะหายากยิ่งกว่าเพชร ถ้าฉันไม่แน่จริงคงสร้างโบสถ์ได้ไม่ถึง 8 หลัง หรอก"
    "ฉันทำเครื่องรางของขลังมาตั้งแต่ปี 2485 แต่ไม่เคยประกาศให้ใครรู้มีแต่บอกต่อกัน ถ้าไม่แน่จริงฉันคงสร้างโบสถ์ได้ไม่ถึง 8 หลังหรอก ขณะนี้กำลังสร้างหลังที่ 9""วัตถุมงคลทุกอย่างที่ฉันสร้างจะไม่มีวัดเสื่อม " ส่วนหนึ่งในคำพูดของเกจิอาจารย์หนึ่งในมหาพิธี 25 พุทธศตวรรษปี 2500 “เขี้ยวแก้ว “ นับว่าเป็นของกายสิทธิ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเฉพาะผู้มีบุญวาสนาบารมีสูงเท่านั้นและยังสามารถงอกสูงขึ้นและหดเข้าไปได้ด้วยแรงอธิษฐานของท่าน ซึ่งเขี้ยวแก้วนี้มีมาแต่เกิด เมื่อครั้งยังเด็กที่ปลายเขี้ยว มีลักษณะคล้ายรูปองค์ พระนั่งสมาธิแต่เมื่อ ท่านคิดว่าเป็นถึงรูปองค์พระไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในปากเพราะต้องใช้ ฟันบดเคี้ยวอาหาร จึงตั้งจิตอธิษฐานให้หลุดหายไปคงเหลือแต่ ่เขี้ยวแก้วเสมือนหนุมานทหารเอกพระรามที่พระอิศวรได้ประทานกุณฑลขนเพชรเขี้ยวแก้วให้เป็นของวิเศษกายสิทธิ์เพื่อต่อสู้กับศัตรู หลวงปู่กาหลงได้มีโอกาสศึกษาวิชาอาคมปฏิบัติพระ กัมมัฎฐานกับครูบาอาจารย์หลายท่าน เช่น หลวงพ่อเนียม วัดนาบุญ ปทุมธานี หลวงปู่ช้าง วัดเขียนเขต ปทุมธานี หลวงปู่ด๊วด วัดกลางคลอง 4 ปทุมธานี หลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก นครปฐม หลวงพ่อแข่ม วัดตาก้อง นครปฐม หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง เพชรบุรี หลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู ลพบุรี เจ้าคุณพระอินทสมาจารย์(เงิน) วัดอินทรวิหาร กทม เจ้าคุณพระราชมงคลมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ กทม. และศึกษา สายวิชาหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า นับว่าท่านเป็นเกจิอาจารย์รุ่นเก่าที่เก่งกาจมานานเคยเข้าร่วมพิธีปลุกเสก ครั้งยิ่งใหญ่ พิธี 25 พุทธศตวรรษ
    ณ สนามหลวงและพระวิหารหลวง วัดสุทัศน์
    ท่านเคยไปปลุกเสกตามวัดต่างๆหลายต่อหลายวัดมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ไปปลุกเสกร่วมกับ ลป.โต๊ะ หลังเสร็จพิธีการลป.โต๊ะถึงกับกล่าวและชี้มาที่ ลป.กาหลง หัยลพ.แช่มวัดนวลนรดิศและศิษย์ที่นั่งอยู่ฟังว่า "พระรูปนี้ชื่ออะไรอยู่วัดไหน ทำไมพลังอำนาจจิตถึงได้รุนแรงพิศดารแบบนี้ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน
    หลวงปู่กาหลง เป็น พระภิกษุสงฆ์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบมีอาคม แก่กล้ามีอำนาจวาสนาบารมี ความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ประกอบด้วยคุณงามความดีเป็น เนื้อนาบุญแห่งพุทธศาสนาเป็นรอยอริยะที่ ผู้มีไว้ครอบครองควรพิจารณาระลึกถึงความดี เดินตามรอยเส้น ทางความถูกต้อง มีคุณธรรม ยึดมั่นในศีลในธรรมตามแบบอย่างท่านสืบไป
    หลวงปู่กาหลง ท่านได้อาพาธตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา และได้เข้ารักษาอาการอาพาธ ซึ่งท่านได้ตรวจพบเจอ มะเร็งที่ลำคอ ต่อมาอาการของหลวงปู่ท่านก็ได้ทรุดหนักลงจนกระทั่ง ท่านได้ถึงแก่มรณภาพลงอย่างสงบเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552 ณ โรงพยาบาลเปาโล รวมสิริอายุได้ 91 ปี บวชเรียนมา 71 พรรษา [3] หลังจากนั้นได้นำศพของท่านมาตั้งสวดพระอภิธรรมศพเป็นเวลา 7 คืน และสวดศพ 100 วัน จากนั้นได้นำศพของท่านนำบรรจุใส่โลงแก้ว ให้สาธุชนได้กราบไหว้ต่อไป
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลังนกกาหลง หลวงปู่กาหลงเขี้ยวแก้วยุคต้น
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250531_235124.jpg IMG_20250531_235154.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2025 at 17:02
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749199399888.jpg
    FB_IMG_1749199051386.jpg
    พระสมเด็จ นะเมตตาหรือ นะคู่ ปี๒๕๑๒ เป็นพระสมเด็จรุ่นเเรกของหลวงพ่อประสิทธิ์(เมียง) วัดไทรน้อย
    เป็นพระที่สร้างขึ้นในยุคเเรกๆของท่านครับ เป็นพิมพ์ทรงสี่เหลี่ยมชิ้นฟักคล้ายพระสมเด็จในหลายๆวัด เเต่ที่เป็นเอกลักษณ์คือ จะมีอักขระตัว นะ อยู่ข้างพระภักต์ขององค์พระทั้งซ้ายเเละขวา เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน จึงเป็นชื่อเรียกกันว่า สมเด็จ นะคู่ หรือ นะเมตตา การสร้างเเบบโบราณ การตำมวลสารการกดพิมพ์พระในวัด การตัดขอบองค์พระเเบบยุคเก่า
    มวลสารหลักเป็นปูนเปลือกหอย กล้วย เกษรดอกไม้ ดอกไม้บูชาพระ น้ำมันตังอิ๊ว ชิ้นส่วนพระสมเด็จวัดระฆังเเตกหัก ชิ้นส่วนพระกรุบางขุนพรหมลูกศิทษ์นำมามอบให้เพื่อสร้างพระชุดนี้
    ผงอิทธิเจ ปถมัง มหาราช ตรีนิสิงเห ผงชุดนี้หลวงพ่อท่านเขียนเเละลบผงรวบรวมไว้นานหลายปีเเละนำมาเป็นมวลสารหลักในการสร้างพระสมเด็จรุ่นนี้ เเละยังมีมวลสารจากวัดดังอีกหลายที่ครับเนื้อหาของพระจะละเอียดบางองค์หยาบๆก็มี เนื่องจากการสร้างทำเเบบ
    โบราณการตำผงอาจละเอียดไม่เท่ากันในบางครกเนื้อพระจะปรากฏเกษรดอกไม้ ดินว่านต่างๆ ในองค์ที่ผ่านการใช้เนื้อหรือสัมผัสพระจะหนึกนุ่ม
    พระผ่านการอธิฐานจิตปลุกเสกจากหลวงพ่อมานับครั้งไม่ถ้วนครับ จัดเป็นพระยุคเเรกของท่านที่มีการสร้างเเละมวลสารที่ดีมากๆ
    พิมพ์พระมีทั้งหน้าเดียวเเละสองหน้า เเบบพิมพ์สองหน้าเกิดจากลูกศิทษ์ที่ช่วยกันกดพิมพ์พระนำแม่พิมพ์มาประกบเเล้วพระมีความสวยแปลกจึงทำกันไว้ใช้มีจำนวนไม่มาก พระทั้งหมดสร้างเเละกดพิมพ์ภายในวัดโดยลูกศิทษ์ทหารเรือพระเณรเเละชาวบ้านครับ
    พระเกจิในดวงใจ
    วันนี้ขอเสนอ ชีวประวัติพระเถราจารย์รามัญเมืองนนทบุรี สุดยอดพระเถระรามัญแห่งบ้านกระทุ่มมืด พระเถระมอญผู้สร้างตำนานตะกรุดโทนเมืองไทรน้อยอันลือลั่น พระเถระรูปนี้ก็คือ...
    “พระครูนนทสิทธิการ (ประสิทธิ์ สิทธิกาโร)”
    อดีตเจ้าคณะตำบลไทรน้อย เขต ๒ อดีตเจ้าอาวาสวัดไทรน้อย ตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี
    พระครูนนทสิทธิการ หรือที่ชาวบ้านเรียกขานท่านว่า หลวงพ่อวัดไทรน้อย ท่านมีนามเดิมว่า ประสิทธิ์ นามสกุล พุ่มย้อย ท่านเกิดวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๘ ที่บ้านคลองราชาพระภิมณฑ์ ตำบลหนองไทร แขวงอำเภอบางบัวทอง เมืองนนทบุรี (ปัจจุบัน เรียกคลองพระพิมล และเปลี่ยนชื่อจาก ต.หนองไทร เป็น ต.ไทรน้อย ต่อมาได้จัดตั้งเป็นอำเภอไทรน้อย และได้โอนย้าย ต.ไทรน้อย จาก อ.บางบัวทอง ให้มาขึ้นต่อ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี) โดยท่านเป็นบุตรชาย ของโยมพ่อ มาก พุ่มย้อย และโยมแม่ ทวี พุ่มย้อย ซึ่งท่านถือกำเนิดในตระกูลชาวมอญแห่งบ้านกระทุ่มมืด โดยครอบครัวของท่านประกอบอาชีพเกษตรกรรม
    ในวัยเด็ก ครอบครัวของท่านได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่บ้านคลองทับยาว(คลองมอญ) ตำบลทับยาว อำเภอแสนแสบ จังหวัดมีนบุรี (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อจาก อ.แสนแสบ เป็น อ.ลาดกระบัง และได้ยุบ จ.มีนบุรี เป็น อ.มีนบุรี จ.กรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ในเขตการปกครองของ แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ ) ท่านได้เข้ารับการศึกษาและสำเร็จการศึกษาชั้นสามัญ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัดสุทธาโภชน์ ต่อมาเมื่อท่านอายุได้ ๑๕ ปี จึงได้บวชเป็นสามเณรที่วัดสุทธาโภชน์เป็นเวลา ๓ ปี กระทั่งเมื่อท่านมีอายุได้ ๑๘ ปี จึงได้ลาสิกขามาช่วยบิดามารดาทำนา กระทั่งอายุครบอายุเกณฑ์ทหาร ท่านจึงได้เข้ารับราชการทหาร ณ กรมขนส่งทหารบกสะพานแดง บางซื่อ เป็นเวลา ๒ ปี หลังจากปลดประจำการทหารแล้ว ในขณะนั้นท่านมีอายุ ๒๓ ปี ท่านจึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดสุทธาโภชน์ เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๙๑ โดยมี พระอธิการโพธิ์ วัดราษฎร์บำรุง เขตหนองจอก เป็นพระอุปัชฌาย์ มี พระอธิการสังข์ วัดสุทธาโภชน์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ โดยท่านได้รับฉายาทางธรรมว่า “สิทธิกาโร”
    เมื่อท่านได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านก็ได้อยู่จำพรรษาที่วัดสุทธาโภชน์มาตามลำดับ โดยท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่สำนักวัดสุทธาโภชน์ จนกระทั่งสอบไล่ได้นักธรรมชั้น ตรี-โท-เอก ตามลำดับ ต่อมาท่านจึงได้รับมอบหมายให้เป็นครูสอนปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณรประจำสำนักวัดสุทธาโภชน์ ในช่วงที่ท่านจำพรรษาที่วัดสุทธาโภชน์นั้น ท่านก็ได้ศึกษาตำราวิชาต่างๆ จากสมุดข่อยโบราณจากวัดสุทธาโภชน์ ซึ่งท่านได้รับการแนะนำจากพระอาจารย์อ่อน และพระอาจารย์เทียม ตลอดทั้งท่านยังได้ศึกษาวิชาอาคมเวทย์ และวิชาการทำวัตถุมงคล จากพระอาจารย์อ่อน และพระอาจารย์เทียม วัดสุทธาโภชน์ และพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในแถบนั้นอีกด้วย ต่อมาหลวงพ่อประสิทธิ์ได้เข้ามาศึกษาบาลีไวยากรณ์ ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม พระนคร โดยจำพรรษาที่วัดตรีทศเทพ พระนคร เป็นเวลา ๔ พรรษา แต่ยังไม่บรรลุผล และกาลต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙ พระอธิการเผื่อน เจ้าอาวาสวัดไทรน้อย ในขณะนั้นได้มรณภาพลง ทางมัคนายกและชาวบ้านจึงได้ไปนิมนต์ให้ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดไทรน้อยสืบแทน ต่อมาในวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๙ ท่านจึงได้เดินทางมารับตำแหน่งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดไทรน้อย และในวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี และในปีเดียวกัน ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็น พระอธิการ
    ในสมัยที่ท่านมาเจ้าอาวาสใหม่ๆนั้น วัดไทรน้อยอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมมาก ท่านจึงได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดไทรน้อยใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มจากการสร้างกุฏิสงฆ์ใหม่ และ เมื่อออกพรรษาในปีเดียวกัน ท่านจึงได้จัดงานฝังลูกนิมิตอุโบสถหลังเก่า ต่อมาในปีพ.ศ.๒๕๐๑ ท่านได้เริ่มสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ศาลาการเปรียญ กุฏิ ตามลำดับ และเมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๒ อุโบสถหลังเก่าของวัดไทรน้อย ได้ชำรุดทรุดโทรมลงมาห ท่านจึงสั่งให้รื้อออก แล้วได้สร้างอุโบสถหลังใหม่โดยใช้เวลาสร้างประมาณ ๕ ปีจึงแล้วเสร็จ กระทั่งเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ จึงได้จัดงานฝังลูกนิมิต ได้กราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีตัดลูกนิมิตอุโบสถหลังใหม่
    ท่านได้พัฒนาวัดไทรน้อยมาตามลำดับ จนวัดไทรน้อยได้เจริญขึ้นมาก ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะตำบลไทรน้อย เขต ๒
    และต่อมาท่านได้สอบวิชาครูพิเศษมูลได้ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๓ กระทั่งเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ท่านจึงได้รับตราตั้งเป็น พระอุปัชฌาย์ ในตำแหน่งเจ้าคณะตำบลไทรน้อย เขต ๒
    หลวงพ่อประสิทธิ์ สิทธิกาโร ท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่อีกหนึ่งรูปของอำเภอไทรน้อย ที่ชาวบ้านตลอดจนพระสงฆ์ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ท่านจึงเป็นพระเถระที่มีลูกศิษย์ลูกหามาก ท่านได้อบรมสั่งสอนอันเตวาสิกในสัทธิวิหาริกของท่านให้เป็นคนดีของสังคม ดำเนินชีวิตโดยความไม่ประมาท ประกอบสัมมาชีพด้วยความสุจริต และท่านยังได้ส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณร ตลอดถึงบุตรหลานของชาวบ้านให้มีความรู้ ได้มีโรงเรียนเพื่อเป็นที่ศึกษาหาความรู้กัน ท่านจึงได้เปิดโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม และโรงเรียนประชาบาลวัดไทรน้อย ทำให้ในสมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดไทรน้อยนั้น เป็นยุคทองของวัดไทรน้อยเลยก็ว่าได้ และจากคุณงามความดีของท่านที่ได้สร้างไว้ กระทั่งเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นตรี ที่ "พระครูนนทสิทธิการ" ซึ่งนำความปราบปลื้มยินดีมาสู่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก
    ต่อมาเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ที่ราชทินนามเดิม
    ต่อมาเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ท่านได้รับการแต่งต้ังเป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ที่ราชทินามเดิม
    พระครูนนทสิทธิการ(ประสิทธิ์ สิทธิกาโร) ท่านเป็นพระที่มีสุขภาพแข็งแรงมาโดยตลอด เมื่อท่านเข้าสู่วัยชรา ท่านได้อาพาธลงด้วยหลายโรครุมเร้า จนท่านไม่สามารถเดินเหินได้อย่างแต่ก่อน แต่ท่านก็ยังสามารถปฏิบัติกิจของสงฆ์ได้อยู่ ต่อมาเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.๒๕๕๖ ท่านได้มีอาการของโรคกำเริบ ลูกศิษย์จึงได้นำตัวท่านเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าฯ จ.นนทบุรี ท่านได้รักษาตัวมาตามลำดับ แต่อาการของท่านก็ไม่ดีขึ้น กระทั่งเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ หลวงพ่อประสิทธิ์ สิทธิกาโร จึงได้ละสังขารลงอย่างสงบ ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าฯ ด้วยอาการปอดติดเชื้อ ท่ามกลางความโศกเศร้าของบรรดาศิษยานุศิษย์ที่มาเฝ้าไข้ สิริรวมอายุท่านได้ ๘๘ ปี พรรษา ๖๕
    หลวงพ่อประสิทธิ์ สิทธิกาโร วัดไทรน้อย ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถในทางวิชาอาคมเวทย์เป็นอย่างมาก ตามแบบฉบับพระสงฆ์ที่มีครูดี โดยหลวงพ่อประสิทธิ์นั้นเคยได้มาเรียนวิชาสายมอญจาก หมอพุฒ ปานเจริญ สุดยอดอาจารย์ฆราวาสแห่งบ้านคลองขุนศรี อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี และท่านยังเคยได้แลกเปลี่ยนวิชากับหลวงปู่บาง ปัญญาทีโป แห่งวัดสโมสร อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี อีกด้วย ในยุคหลังปีพ.ศ. ๒๕๑๐ ลงมา ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์รูปสำคัญของอำเภอไทรน้อย ที่ได้รับเชิญนิมนต์ให้ไปร่วมปลุกเศกวัตถุมงคลของวัดต่างๆทั่วประเทศ ท่านเป็นพระเถระที่มีชื่อเสียงในการปลุกเศกวัตถุมงคลอันดับต้นๆของเมืองนนทบุรีก็ว่าได้
    หลวงพ่อประสิทธิ์ สิทธิกาโร ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ตะกรุด เหรียญ รูปหล่อเหมือนตัวท่าน เป็นต้น แต่ที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุด เห็นทีจะหนีไม่พ้น ตะกรุดโทนไนลอนเขียว ของท่านเป็นแน่ โดยท่านได้เริ่มสร้างตะกรุดโทน มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเรียนตำราอยู่ที่วัดสุทธาโภชน์ เรื่อยมาจนกระทั่งท่านมรณะภาพ โดยตะกรุดของท่านนั้น จะมีทั้ง ตะกรุดโทน ตะกรุดคู่ ตะกรุดชุด ตะกรุดสาริกา และเป็นที่ทราบกันดีว่าพุทธคุณจะเด่นไปทางคงกระพันแคล้วคลาด ถือเป็นตะกรุดโทนสายเหนียวอีกสำนักนึงของอำเภอไทรน้อยเลยก็ว่าได้ และเมื่อครั้งงานปลงศพ พระอธิการเผื่อน อดีตเจ้าอาวาสวัดไทรน้อย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านยังได้สร้างเหรียญรูปเหมือนพระอธิการเผื่อน เพื่อใช้แจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่มาร่วมงานอีกด้วย ปัจจุบันนี้วัตถุมงคลของท่านนั้นราคายังไม่แพงมาก ยังพอจับจองเช่าหากันได้ เรื่องพุทธคุณไม่ต้องพูดถึง วัตถุของสำนักนี้ ไม่แพ้สำนักใดในสยามเช่นกัน สมดั่งคำที่ว่า...พระหลักร้อย แต่พุทธคุณหลักล้าน
    เรียบเรียงโดย
    ขุนแผน แดนรามัญ
    ขอขอบพระคุณแหล่งที่มาข้อมูลต่างๆ
    ข้อมูลประวัติจาก วัดไทรน้อย ต.ไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี , หนังสือ ประวัติอำเภอไทรน้อย จ.นนทบุรี , เว็บไซด์ Google// ประวัติเขตลาดกระบัง กรุงเทพ
    ข้อมูลภาพจาก วัดไทรน้อย ต.ไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี , คุณวิบูลย์ ไชยกุมาร , คุณขุนแผน แดนรามัญ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จนะเมตตา นะคู่ ปี ๒๕๑๒ หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย นนทบุรี

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)


    IMG_20250605_194628.jpg IMG_20250605_194659.jpg IMG_20250605_194604.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2025 at 17:04
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390
    FB_IMG_1749207163624.jpg FB_IMG_1749206815855.jpg

    พระนางพญาเสน่ห์จันทร์ เคลือบ ( เขียว ) รุ่นสมบูรณ์ทรัพย์ สมเด็จพระสังฆราชอธิษฐานจิต ปี ๒๕๔๗
    พระรุ่นนี้ ทราบมาว่า สร้างพร้อมขุนแผนเคลือบ รุ่นสมบูรณ์ทรัพย์ และได้ผ่านการอธิฐานจิตจากหลวงปู่ชื้น วัดญานเสน แต่มาออกให้เป็นที่ระลึกในปี 2547 ( ซึ่งหลวงปู่ ชื้น มรณภาพ ในปี 2546 ) จึงทำให้เป็นที่สงสัยกันว่าไม่ทันหลวงปู่ชื้นเสก แต่อย่างไรก็ตาม มวลสารต่างๆที่นำมาสร้างก็ได้จากหลวงปู่ รวมทั้งมวลสารเก่าๆ ของผู้จัดสร้างอีกจำนวนมาก
    พระนางพญาเสน่ห์จันทร์ เคลือบ เขียว รุ่นสมบูรณ์ทรัพย์ ปี๒๕๔๗
    สมเด็จญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราชฯ วัดบวรนิเวศวิหารเมตตาอธิฐานจิต พระนางพญาเสน่ห์จันทร์เคลือบ สมเด็จญาณฯ วัดบวรฯ กรุงเทพ ปี ๒๕๔๗
    จัดสร้างโดย พล.ต.ท.ธานี สมบุณร์ทรัพย์ โดยมอบให้ อ.สนิท คชสาคร รวบรวมชิ้นส่วนของ พระซุ้มกอ,พระนางกำแพง และพระกรุทุ่งเศรษฐี ที่มีทั้งหมดนำผสมสร้างพระนางพญาเสน่ห์จันทร์เคลือบ และได้รับความเมตตาจาก สมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ วัดบวรนิเวศฯ เมตตาอธิฐานจิตให้
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250606_174538.jpg IMG_20250606_174615.jpg IMG_20250606_174509.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,238
    ค่าพลัง:
    +21,390

แชร์หน้านี้

Loading...