ปลง ขันธ์ ๕ ...หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 7 เมษายน 2009.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ปลง
    เรามาอาศัยธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟนี้ประชุมกันเข้า เรียกว่าเป็นตัวเป็นตน
    เมื่อเราจำแนกแจกธาตุแล้วมันก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรสักอย่าง
    มีแต่ธาตุ รวมลงเป็นรูป รูปกาย ได้แก่ ธาตุ ๔ นี้
    นามกาย ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    สิ่งเหล่านี้เขาเป็นอะไรล่ะ ล้วนแต่ไม่เที่ยง
    เวทนาก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง สังขารก็ไม่เที่ยง วิญญาณก็ไม่เที่ยง
    มันเป็นอย่างงั้น

    นี่แหละเรามาพิจารณาให้ลงยังงี้
    เราอย่าถือว่าเป็น “คน”เราอย่าถือว่า “เป็นตัวเป็นตน” เข้าใจไหมข้อนี้
    ต่างคนต่างเพ่งพิจารณา แล้วโรคภัยมันก็ไม่มี...

    นี่แหละเราควรพิจารณายังงั้น
    สิ่งเหล่านั้นมันเป็นธาตุ ธาตุดินธาตุน้ำธาตุลมธาตุไฟ
    สิ่งเหล่านั้นมันเป็นตัวเวทนา เป็นตัวสัญญา เป็นตัวสังขาร เป็นตัววิญญาณ
    เราเห็นสิ่งทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

    ตนอยู่ที่ไหนเล่าที่นี้ โอปนยิโก เราต้องน้อมเข้า ปัจจัตตังรู้เฉพาะตน เท่านั้น
    ใครเป็นผู้รู้เวทนา ใครเป็นผู้รู้สัญญา
    ใครเป็นผู้รู้สังขาร ใครเป็นผู้รู้วิญญาณ
    เราต้องน้อมเข้ามา ใครว่าธาตุดิน ใครว่าธาตุน้ำ ใครว่าธาตุลมและธาตุไฟ
    ผู้ใดไม่ได้เป็นพุทธะก็ไม่รู้อะไร

    ดังนี้เราจึงจับตัวมันได้ ที่ไม่รู้จักอันใดนั้นเพราะมันคลุมเครือกันอยู่
    ไม่รู้จะเอาอันใดเป็นสุข ไม่รู้จะเอาอันใดเป็นทุกข์
    จะเอาอันใดดีจะเอาอันใดชั่ว มืดอยู่ยังงั้น

    นี่เรา นี่เราจำแนกแล้ว
    ส่วนใดเป็นธาตุดินมันก็เป็นธาตุดินไปแล้ว
    ส่วนใดเป็นธาตุน้ำมันก็เป็นธาตุน้ำลงไปแล้ว
    ส่วนใดเป็นลมก็เป็นลมเป็นลมไปแล้ว
    ส่วนใดเป็นไฟก็เห็นเป็นไฟไปหมด
    ไฟเขาเป็นอะไร ดินเขาเป็นอะไร เขาหลับเขานอนไหมล่ะ
    เขาเจ็บเขาปวดเขาเหนื่อยเขาหิวไหมล่ะ
    สิ่งเหล่านี้เราพิจารณาให้มันรู้ เพื่อกำจัดภัย กำจัดเวร
    กำจัดกิเลสตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ
    เราจึงจะไม่ยึดไม่ถือ

    เมื่อเราเห็นแล้ว “จิตของเรา”มันก็วางลงน่ะซี่
    ให้ดูซิ น้ำเขาเป็นอะไรล่ะ ดินเขาเป็นอะไรล่ะ
    เขาเจ็บเขาปวดไหมล่ะ เขาหมุนเขาเวียนไหมล่ะ
    เขาไม่ได้ว่าอะไร เขาอยู่เฉยๆยังงั้น
    นี่หละก้อนขี้ดินละ นั่งอยู่คนละก้อน
    ก็มัวถือว่าเป็นคน ว่าเป็นตัว ว่าเป็นตน มันก็ทุกข์ละซี่ เกิดวุ่นวายเกิดเดือดร้อนซี่
    ไปสมมุติเอาว่า เราเป็นโรค ว่าเราเป็นภัย ว่าเราเป็นโน่น ว่าเราเป็นนี่
    เรื่องสมมุตินี้สัตว์ทั้งหลายจมอยู่ในมหาสมุทร จมอยู่ที่ สมมุติ อันเป็นนั่นเป็นนี่
    หากเราจำแนกแจกออกแล้วมันก็ไม่มี
    “จิต”มันก็สงบน่ะซี่ พอ “จิต”สงบแล้วมันก็หาย หมดภัยเวรทั้งหลาย
    เหลือแต่กรรม เหตุนั้นจึงให้พากันดูให้รู้

    อายตนะ (อวัยวะรับสัมผัส) เป็นบ่อเกิดแห่งสิ่งทั้งหลาย คือ ตา หู จมูก
    ตาเขาเป็นอะไร หูเขาเป็นอะไร จมูกเขาเป็นอะไร ลิ้นเขาเป็นอะไร กายเขาเป็นอะไร
    เขาไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง
    ตาสำหรับดู หูสำหรับฟัง จมูกสำหรับดม เท่านั้นไม่ใช่เรอะ
    ลิ้นก็สำหรับรับรสอาหาร กายก็สำหรับสัมผัส ใจเป็นธรรมารมณ์
    นี่แหละให้พิจารณา
    นี่เป็นบ่อเกิดแห่งสุขและทุกข์ เขาว่าเห็นอย่างโน้นเห็นอย่างนี้
    เราต้องน้อมเข้าไป เราไม่ว่าแล้วมีอะไรไหมล่ะ นี่จึงให้พากันพิจารณา...

    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
     
  2. วรุณบุตร

    วรุณบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +1,018
    สาธุ อนุโมทนาบุญกับสาระธรรมของท่านธรรมภูติครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ธรรมหลวงปู่ยอดเยี่ยมครับ
     
  4. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    อนุโมทนาค่ะ
    กราบหลวงปู่ฝั้นเจ้าค่ะ สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...