บวชเพราะรัก

ในห้อง 'งานบวช' ตั้งกระทู้โดย MBNY, 22 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,864
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,510
    บวชเพราะรัก


    ยามเย็นของวันที่ 4 กรกฎาคม 2548 ที่ร้านอาหารมังสวิรัติ 'บ้านสวนไผ่' ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แถวซอยราชครู ย่านพหลโยธิน วันนั้น ภิกษุฟับหยุ่ง (Thich Chan Phap Dung) ชาวเวียดนาม และ สามเณรฟับเจือง (Thich Chan Phap) ชาวลาว สองศิษย์ท่านติช นัท ฮันห์ จะเดินทางกลับหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส เราได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับสามเณรฟับเจือง หลังจากที่ได้สนทนาธรรมกับภิกษุฟับหยุ่งไปแล้วเมื่อก่อนที่ท่านจะบินไปออสเตรเลีย ขณะเดียวกัน พระชาย วรธัมโม ก็มีเรื่องเล่ามากมายตามประสาพระหนุ่ม มาฝากในช่วงที่ท่านธุดงควัตรไปลาวด้วยกัน
    0 0 0

    สามเณรฟับเจือง ซึ่งมีความหมายว่า 'รุ่งธรรม' เดิมชื่อ Nguyen Van Chi เป็นชาวสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวโดยกำเนิด สมัยเป็นหนุ่มวัย 17 ได้ลี้ภัยมาอยู่ประเทศไทย 2 ปีเนื่องจากลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ และไปใช้ชีวิตในเยอรมนีในปี พ.ศ.2519 ก่อร่างสร้างตัวจนมีร้านอาหารไทย ร้านอาหารจีน 3 ร้าน และร้านขายดอกไม้อีกหนึ่งร้าน

    การเปลี่ยนแปลงชีวิตของเถ้าแก่ Nguyen Van Chi เริ่มต้นในปี พ.ศ.2538 หลังจากที่ได้ฟังธรรมของพระสงฆ์จากหมู่บ้านพลัมที่เดินทางไปสอนปฏิบัติธรรมให้กับชาวเยอรมันในกรุงเบอร์ลิน

    ครั้งนั้นท่านเล่าว่า พระท่านสอนว่าทำอย่างไร เราจึงจะกลับมาอยู่กับตัวเอง ทำอย่างไรชีวิตจึงจะสงบได้ แล้วท่านก็สอนเดินจงกรม ตอนนั้นเราเป็นเถ้าแก่อยู่ ก็ฝึกเดินจงกรมในร้านในสวนที่เรามีอยู่ เรารู้สึกถึงความสุข สงบ ก็รักที่จะไปบวช เลยขอพ่อ แต่พ่อยังไม่ให้ จนรอถึงปี พ.ศ.2545 จึงได้บวช

    Nguyen Van Chi ใช้เวลาราว 7 ปีในการปฏิบัติธรรมเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนบวช ช่วงขณะนั้นก็เดินทางไปมาระหว่างเยอรมนีกับผรั่งเศส
    "เราไปหมู่บ้านพลัม ถามซิสเตอร์เจิงคอมว่าถ้าเราจะบวช เราจะขายทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมอบสมบัติให้กับทางหมู่บ้านพลัมได้ไหม"

    หลวงแม่เจิงคอม (ท่านอยู่ท่ามกลางสงครามเวียดนาม และช่วยเหลือชาวเวียดนามอย่างไม่แบ่งแยกฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ กับไถ่นัท ฮันห์จนกลับประเทศไม่ได้เป็นเวลากว่า 39 ปี) บอกว่า ถ้าใครจะมาบวชที่นี่ต้องมามือเปล่า สมบัติที่มีส่งให้ที่ไหนก็ได้

    "การตัดสินใจเราก็ง่าย ท่านบอกว่าถ้าเรามีตังค์ไว้ในนั้นจะทำให้ใจเราไม่อยากบวช คิดว่านี่เป็นของเรา เดี๋ยวถ้าเราไม่พอใจ เราก็จะใช้อภิสิทธิ์ ซิสเตอร์เจิงคอมบอกให้มามือเปล่า ให้เราทิ้ง ไม่ต้องเอาอะไรไป"

    แต่ช่วงนั้นสามเณรฟับเจืองในเพศฆราวาสมีร้านอยู่หลายร้าน ธุรกิจไปได้ดี เจ้าของตึกที่ให้เช่าร้านก็ไม่อยากให้เลิกทำธุรกิจ

    "เขารู้ว่าเรามีประสบการณ์เยอะ เป็นนายทุนที่ทำมาหลายปีและไม่เคยมีปัญหา เขาไม่ยอมให้เราออก ก็ขอเขาออก และต้องให้ร้านฟรี ร้านแทนที่จะเซ้งก็ไม่ได้ หาคนมาแทนก็ไม่ได้ เขาต้องการเรา กว่าจะออกได้ก็ต้องเอาตังค์เจ้าของตึกอีก แล้วก็ทิ้งเลย ตอนนั้นไม่ห่วงเรื่องธุรกิจ แต่ที่เป็นปัญหาคือคนรัก"
    ฟับเจืองเล่าต่อมาว่า ก่อนหน้าที่จะขายร้าน เราฝึกมาก่อนหน้านั้นประมาณ 4-5 ปี มีสังฆะอยู่ที่เบอร์ลิน เวลาเลิกงานก็ไปเดินจงกรมในป่าช้าประมาณ 5 ทุ่ม อยากรู้ว่าเราจะชนะความกลัวของเราได้อย่างไร ก็เลยฝึกเดินเข้าไปในป่าช้าลึกๆ เดินตามกำลังของเรา เดินกับความรักของเรา พยายามมองว่าทุกคนที่นอนอยู่ข้างล่างก็คือเรา แต่ละก้าวเราภาวนาให้เขารู้ ด้วยความรัก ความกลัวมันจะไม่เข้ามาในใจเรา เราเดินแล้วมีความสุขด้วย"

    มีครั้งหนึ่งคนทำสวนมาที่ป่าช้า หมอกเยอะ ฟับเจืองเล่าว่า เขาเห็นเราเดินคนเดียวก็วิ่งหนีกันใหญ่เลย เขาคิดว่าผี ไปเรียกคนมาตั้ง 4 คน แล้วมอง เขาบอกว่าทำไมคุณเดินอย่างนี้ ก็เล่าให้เขาฟังว่าเรากำลังเดินฝึกสติอยู่ คราวหลังอย่ากลัวนะ
    "มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเผลอแป๊บเดียว ความกลัวมันเข้ามา หิมะตก เทียนที่เขาจุดอยู่ในสุสานมันยังมีเปลวเทียนอยู่ มันสวยมากเลย ช่วงนั้นเราลืมภาวนา ความกลัวมันเข้ามา เรารู้เลยว่าเราเผลอสติ ก็คิดถึงลมหายใจ แล้วมองเจ้าความกลัวนั้น เราไม่วิ่ง เรามองว่าความกลัวมาจากไหน ความกลัวมันก็หายไปเอง แล้วความสุขก็มาแทนที่ ตอนนี้ก็เลยเชื่อใจตัวเองมากขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาอย่างไรก็ได้ เรารู้ว่าเราจะทำอย่างไร ก็เลยกลับบ้านเล่าให้แฟนฟัง แฟนบอกว่าบ้า คุณไม่ต้องบวชก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว"

    การชนะความกลัวทำให้ฟับเจืองตอนเป็นฆราวาสมั่นใจมากขึ้น จนกระทั่งบวช
    "มีอยู่อีกครั้งหนึ่งเราทำภารกิจเสร็จก็ออกไปในป่านั่งสมาธิ มีหมามาตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลย วิ่งใส่ ความกลัวของเรามันก็ขึ้น คิดว่ามันจะคาบเราไป เรากำลังนั่งอยู่ เห็นภาพมันจะกัดเรา มันจะวิ่งใส่ ก็คิดว่าถ้าเราไม่ทำอะไรมัน มันก็ไม่ทำอะไรเรา เราก็นั่งอยู่ตรงนั้น บอกตัวเองว่าไม่ต้องกลัว ไม่ต้องลุกขึ้น มันก็วิ่งเข้ามา แล้วเห่า แต่ไม่ทำอะไรเรา เจ้าของก็มาดึงไป ตอนนั้นเราเชื่อแล้วว่าเราภาวนาทางดี สัตว์ก็รับรู้ได้ในทุกกรณี"

    ย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2542 ก่อนที่ฟับเจืองจะบวช ท่านเดินทางไปหมู่บ้านพลัม เห็นพระเล่นบอล ภิกษุณีก็เล่นปิงปอง ก็เห็นว่าพระที่นี่สบายดี มีอิสระ ได้ออกกำลังกาย ได้ร้องเพลง รู้สึกมีความสุข

    "ปีต่อมาจึงถามหลวงปู่นัท ฮันห์ว่าจะฝึกอย่างไร จะปฏิบัติอย่างไรให้แฟนเราปล่อยเราไป และสนับสนุนให้เราไปบวช"

    หลวงปู่สอนว่า พระพุทธองค์ยังละได้ แล้วท่านก็สอนวิธีจะทำอย่างไรให้แฟนเห็นด้วย

    "เราก็พยายามฝึกตามที่หลวงปู่สอน แต่แฟนก็ไม่ยินดี เราถามหลวงปู่ว่าตอนที่เราได้รู้วิธีปฏิบัติธรรมจากหมู่บ้านพลัม ทุกวันแฟนเรายิ่งกอดเราแน่น ไม่ยอมปล่อย จะทำอย่างไรจึงจะเอาออกได้ หลวงปู่ก็หัวเราะ"

    แล้วหลวงปู่นัท ฮันห์ก็สอนว่า ให้บอกกับแฟนว่าไปบวชเพราะรักแฟนของเรา
    "พยายามอยู่อีก 1 ปีเพื่อให้ใจเขาสบายก่อน แต่ก็ยาก เขาไม่ยอมรับ เราต้องตามใจเขา และต้องบอกทุกวัน บอกไปเขาก็ร้องไห้ไป เขายังไม่พร้อม และไม่สนใจที่จะปฏิบัติธรรม"

    ในที่สุดก็ถึงเวลาแยกจากกันกับคนรักชาวเยอรมันที่อยู่ด้วยกันมา 20 ปี
    "พอไปบวชไม่ให้ข่าวแฟนเลย เวลาก่อนจะปลงผมก็บอกสังฆะที่เบอร์ลินให้รู้ว่าเราบวชวันนั้น แล้วให้สังฆะไปบอกกับแฟน หลังจากนั้นเธอก็บินมา เราก็ไปรับที่สนามบิน ก็กลัวว่าจะเข้ามากอดพระก็เลยให้หลวงพี่ตัวโตๆ ไปดูแล บอกเขาว่าเวลาคุยกับพระต้องห่างกันอย่างน้อยเมตรยี่สิบเซน เขาเอาแต่ร้องไห้น้ำตาตก เราก็พาเข้าหมู่บ้านพลัม เราบอกแฟนว่าเราแต่งงานกับทางธรรมแล้ว ถ้าจะมาเมื่อไหร่ก็มาพักที่นี่ มาฝึกด้วยกัน แต่เราไม่กลับบ้านแล้ว"

    สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง ในวัยสามสิบกว่ากับชีวิตครอบครัว และธุรกิจที่กำลังรุ่งโรจน์ แต่คนรักในวัยเกือบ 50 ปี ที่มองเห็นความทุกข์ในโลกแล้ว และมีจิตใจที่น้อมมาทางธรรม ไม่ง่ายนักที่ความรักต่างวัย ต่างจุดสนใจ จะพาใจไปบนหนทางเดียวกัน

    "วันนั้นเราก็เลยบอกว่า สังฆะมี 100 กว่าคน ถ้าทุกคนให้เสียงว่าให้เรากลับ เราจะกลับ แต่ถ้าคนเดียวให้กลับ 99 คนไม่ให้กลับ เราก็ไม่กลับ เพราะเราแต่งงานกับสังฆะ พอแฟนเจอภิกษุกับภิกษุณีทุกรูปก็ขอให้เรากลับบ้าน หลวงปู่ก็เลยสงสารเชิญเข้าไปคุย

    "หลวงปู่บอกว่ามาคุยกัน แฟนก็บอกว่า พูดหมดแล้ว แต่วางไม่ได้ หลวงปู่บอกว่า แล้วว่าไง จะกลับไหม แฟนก็ตอบว่า ฟับเจืองจะกลับ หลวงปู่บอกว่า are you sure? แล้วแฟนมาถามว่าจะกลับไหม เราก็ตอบว่าไม่กลับหรอก จะอยู่ที่นี่ ก็ตอบให้เขาฟัง หลวงปู่จึงบอกว่า มันสายไปแล้ว ลูกไก่มันออกจากไข่แล้วกลับไม่ได้"
    จากนั้นหลวงปู่นัท ฮันห์ก็เดินจงกรมกลับสังฆะ แฟนของอดีตเถ้าแก่ก็นั่งร้องไห้ แล้วก็บินกลับเยอรมัน
    "ความจริงเขาเข้าใจ แต่ปล่อยวางไม่ได้ เขายึดเรา เขาหึง เขารู้ว่าเราเป็นคนสปอร์ต ใจดี ใครมีปัญหาอะไรเราก็ช่วย เขารู้นิสัยเรา ไม่เคยพูดคำว่า No ใครต้องการความช่วยเหลืออะไรเราช่วยหมด เขาบอกว่าไม่มีเราเขาอยู่ไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราปล่อยแล้ว แต่เขาไม่ยอมปล่อย"

    ในสังฆะหลวงปู่นัท ฮันห์ เคยสอนว่า พี่น้องรักกัน เวลาเจอกัน 5 นาทีก็ยังรักกันอยู่ พอ 10 นาทีทะเลาะกันแล้ว ท่านขอปากกาแล้วพูดว่า ทุกคนรู้ไหมว่าท่านจะมีแรงหักได้ไหม หลวงปู่บอกว่า ถ้ามือนี้จะหักปากกา แต่อีกมือหนึ่งไม่หัก มันจะหักได้ไหม ถ้ามีคนหนึ่งทะเลาะ แต่อีกคนไม่ทะเลาะ จะทะเลาะกันได้ไหม
    "นี่ทำให้เราไม่เคยทะเลาะกับแฟน เวลาแฟนว่าเรา เราจะเรียกเขาว่าเมียขวัญ ประมาณนั้น เราจะบอกเขาว่า มีไหม คนถูกว่าก็ยังทำดีอย่างนี้ แฟนบอกว่า ไม่เคยมี"
    นั่นจึงเป็นเหตุให้คนรักของฟับเจืองไม่ยอมปล่อยวางในตัวเขาง่ายๆ ไม่เหมือนความรักของพ่อแม่พี่น้องที่เป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ปล่อยเขาง่ายกว่า แต่ก็ใช้เวลาพอสมควร
    0 0 0
    ฟับเจืองเล่าว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นแม่ว่าลูกซักคำ พ่อก็เหมือนกัน เมื่อสามปีก่อนพ่อเสียเป็นมะเร็งปอด คุณแม่เพิ่งเสียไปเมื่อปีที่แล้ว ฟับเจืองได้ส่งคุณพ่อกับคุณแม่ทั้งสองท่านด้วยตัวเอง

    "พ่อเป็นหมอแผนโบราณ อยู่ปากเซ ใครเป็นไข้เป็นอะไรก็รักษาให้ ไม่เก็บตังค์ พอวันตรุษจีนคนก็เอาของมาให้ ก็พออยู่พอกิน ตอนที่พ่อจะเสีย เราอยู่กับท่าน พยายามสอนให้ท่านปฏิบัติธรรม ฝึกหายใจ ก๊อบปี้ซีดีพระสูตรของหลวงปู่ให้ฟัง พ่อก็เปิดฟังเองทุกวัน ในพระสูตรให้กลับมาอยู่กับลมหายใจ พิจารณาว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เราจะไม่ติดอยู่กับร่างกายนี้ พ่อก็นอนสบาย ไม่ปวด แต่ก่อนหน้านี้ทรมานมาก ร้องลั่นเลย ตอนหลังฟังธรรมแล้วท่านก็ปล่อย ความเจ็บปวดก็ไม่ทำให้ท่านทรมาน"
    ช่วงนั้นฟับเจืองนั่งสมาธิให้คุณพ่อทุกวัน ตั้งใจให้คุณพ่อไปสบายๆ
    "เช้าวันที่พ่อเสีย ตอนตี 5 เราเดินจงกรมไปที่เตียง พ่อเปิดตามองแล้วยิ้ม หายใจเข้าแล้วปล่อย ท่านไปตอนนั้น ท่านตัวแดงไม่ซีด เราก็ขอหมอว่า เราต้องการอย่างน้อย 6 ชั่วโมงที่จะเงียบอยู่ในห้องเพื่อนั่งสมาธิ"
    จากนั้นฟับเจืองนั่งอยู่ในห้องกับพ่อ พี่น้องเดินทางมาถึงก็รีบจะมาใส่เสื้อผ้าให้พ่อ จะเอาทอง เอาข้าวใส่ข้าวนิดหน่อย

    "เราก็บอกพี่น้องว่าอย่าใส่อะไรเลย อย่าร้องไห้ เพราะตอนที่พ่อนอนอยู่นั้น ท่านยังไม่รู้ว่าท่านเสียแล้ว เราต้องช่วยท่านให้ท่านไปอย่างสงบ แล้วเราปลอบใจกันว่าเรายังโชคดีที่คุณแม่ยังอยู่ แล้วเราก็ทำพิธีให้พ่อ 7 อาทิตย์ 49 วัน นั่งสมาธิภาวนา อ่านพระสูตรกัน"

    ตอนนั้นพี่น้องของฟับเจืองยังทะเลาะกันเพราะต่างคนต่างมีไอเดียของตัวเอง แต่ละคนมีความเชื่อในการทำศพต่างกัน แต่ใครจะว่าอะไรฟับเจืองก็เฉย
    "เราก็นั่งสมาธิภาวนาไป ในอาทิตย์ที่สาม เราพยายามบอกแม่ว่า ลูกเคยเรียนมา เวลาฟังเสียงระฆัง ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจ เวลากินอาหารให้รู้สึกเหมือนอยู่ในสวรรค์ เพราะทุกคนอยู่ด้วยกัน เป็นโอกาสดีมาก คุณพ่อก็อยู่กับเราด้วย ทุกคนกินอาหารอย่างสงบ เราสอนให้ทุกคนเมื่อได้ยินเสียงระฆังให้หยุดกินอาหาร พอกินไปสัก 15-20 นาที เราเคาะระฆัง ทุกคนแสดงความรู้สึกว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีพี่เขยคนหนึ่ง ไม่ได้เรียน เพิ่งมาจากข้างนอก ถามภรรยาว่าทำอะไร ก็ไม่ตอบ ถามลูก ลูกก็ไม่ตอบ เพราะตอนนั้นยังไม่ได้เคาะระฆัง พี่เขยบอกว่าคนนี้จะทำให้คนบ้า (เขาว่าฟับเจือง)"

    แต่ฟับเจืองถูกพี่เขยว่าก็เฉย พอวันรุ่งขึ้นฟับเจืองไปขอโทษพี่เขย บอกว่าวันก่อนยังอยู่ในช่วงกินอาหารอย่างมีสติ

    "พี่เขยก็เข้าใจ พี่สาวทุกคนก็เข้ามากอด เข้ามาหอมแก้มเราใหญ่ ปกติที่บ้านจะไม่ค่อยกอดกัน แต่วันนั้นทำได้ ญาติโยมมาก็เห็นว่าที่บ้านเมื่อก่อนไม่เคยท่องพระสูตร ทำไมวันนี้ท่องกันเหมือนอยู่ในวัดเลย เก่งจัง"

    ประสบการณ์ตอนคุณพ่อสิ้น ทำให้ทุกคนในครอบครัวของฟับเจืองได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับการภาวนา ตอนคุณแม่สิ้นอีกคนหนึ่ง ฟับเจืองได้กลับมาดูแลคุณแม่ด้วย 3 อาทิตย์

    "หลังจากนั้นพระจากหมู่บ้านพลัมก็มาช่วยงานอีก 2 รูป พอพระเข้ามาในบ้านท่านแปลกใจว่า ที่บ้านนี้ไม่เห็นร้องไห้เลย เพราะฟับเจืองสอนไว้แล้ว เล่าให้ฟังว่าสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ฟับเจืองไม่ได้นอนเลย ดูคุณแม่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้สึกเหนื่อย"
    ฟับเจืองกล่าวว่า ชีวิตที่ผ่านมาก็ภูมิใจ รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เรายังไม่เคยทำมา
    "แฟนเราก็ให้ความรักมาแล้ว พ่อแม่เราก็ได้อยู่กับท่าน ได้ส่งท่าน เราบวชแล้วเรามีความสุข ปัญหาที่มีมาสอนให้เราโตขึ้น"
    จนบัดนี้การบวชผ่านไปสองปีแล้ว เกิดอะไรขึ้น...

    0 0 0

    ฟับเจืองเล่าว่า บวชก็เหมือนไม่บวช ฝึกก็เหมือนไม่ฝึก เพราะรู้ว่าใจสงบ สบาย
    "ตอนบวชไปสิบเดือน เราตั้งคำถามในหัวว่าหลวงปู่จะสอนเหมือนกับที่เราเคยรับรู้หรือเปล่า เพราะพระบางรูปก็ไม่ค่อยเคร่ง บางรูปบวชมาเป็นสิบปียังอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แต่พอเราสัมผัสกับหลวงพี่แต่ละรูปอย่างลึกซึ้ง ทำให้เราแน่ใจมากขึ้นว่าแต่ละรูปก็กำลังเรียนรู้อยู่"

    ฤดูหนาวปีนี้ สามเณรฟับเจืองจะเป็นภิกษุแล้ว ท่านเล่าว่าตั้งใจจะเขียนขอร้องให้หลวงปู่นัท ฮันห์ต่อเวลาให้เป็นสามเณรไปอีกสัก 5 ปี แต่รู้ว่าอย่างไรก็ตามหลวงปู่ก็ไม่ให้แน่ จะต้องให้เป็นภิกษุตามเหตุปัจจัย

    "เราคิดว่า พอเป็นภิกษุแล้ว เราจะไม่เป็นอิสระ คนจะคาดหวัง คนจะนับถือเรามากกว่าที่เราเป็น พอเป็นภิกษุไปสี่ห้าปีก็ต้องรับตะเกียงธรรม เป็นครูสอนธรรมะ งานก็เยอะขึ้น จริงๆ ตอนนี้งานก็เยอะ สามเณรก็สอนธรรมะได้อย่างไม่เป็นทางการ แล้วก็เข้ากับฆราวาสได้ง่ายกว่า ไม่ต้องเป็นรูปแบบ ไม่ถูกคาดหวัง เรากลัวว่าถ้าคนนับถือเรา แล้วเราถือว่าหน้าที่นั้นเป็นความพอใจของเรา เราก็ละยาก"
    บางคนถามว่าฟับเจืองว่า บวชแล้วอยากบรรลุธรรมหรือเปล่า ท่านตอบว่า อยากเป็นแค่สามเณร บวชอย่างไรไม่ทำให้คนโกรธ

    "บวชอย่างไรให้เป็นคนน่ารักเท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องมีปัญญาเยอะ คือเราบวชเพื่อศึกษาใจเราดีกว่า"

    สามเณรรุ่งธรรม หรือฟับเจือง ตอนนี้อายุ 50 ปีแล้ว แต่ใบหน้าสดใสราวกับอายุ 30 ปี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านก้าวหน้าเพียงใดในหนทางธรรม

    (ล้อมกรอบ)
    สนใจกิจกรรมของสังฆะที่ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในหนทางแห่งการภาวนาในนาม 'สังฆะแห่งสติ' คลิกเข้าไปที่ www.sanghaofmindfulness.blogspot.com หรือจะเข้าไปศึกษาการภาวนาแนวเซนจากหลวงปู่นัท ฮันห์ คลิกเข้าไปที่ www.plumvillage.org


    ที่มา :http://www.nationweekend.com/weekend/20050802/wec02.shtml
     

แชร์หน้านี้

Loading...