บทความให้กำลังใจ(รักคนไกล ระอาคนใกล้)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,999
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,081
    เปลื้องใจจากอดีตที่เจ็บปวด
    ภาวัน
    แจ๊ค คอร์นฟิลด์ เป็นอาจารย์กรรมฐานที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของอเมริกา วันหนึ่งมีหญิงชื่อพอลล่ามาปฏิบัติธรรมในสำนักของเขา สีหน้าเธอบ่งบอกถึงความเสียใจระคนความโกรธเพราะเธอเพิ่งถูกสามีทิ้ง ในส่วนลึกของจิตใจ เธอรู้สึกแย่กับตัวเองมาก ระหว่างที่เธอทำสมาธิภาวนา มีเสียงในใจพร่ำบอกเธออยู่ตลอดว่าเธอเป็นคนไม่น่ารัก ไม่มีใครที่ทนอยู่กับเธอได้นานหรอก สมควรแล้วที่เธอจะถูกทิ้ง

    เมื่อแจ๊คถามเธอว่ารู้สึกแบบนี้มานานเท่าใดแล้ว เธอจึงเปิดเผยว่า เมื่ออายุ ๓ ขวบ พ่อทิ้งเธอให้อยู่กับแม่ โดยไม่เคยกลับมาอีกเลย เขาตายในอีกหลายปีต่อมา เธอรู้สึกตลอดมาว่าการที่พ่อเดินจากไปนั้นเป็นความผิดของเธอ นับแต่นั้นมาเธอจึงมีความคิดฝังใจว่าเธอเป็นคนไม่น่ารักและไม่น่าคบ การถูกสามีทิ้งยิ่งซ้ำเติมความรู้สึกดังกล่าวให้รุนแรงมากขึ้นจนกลัวที่จะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนอื่นอีก

    การเจริญสติช่วยให้เธอรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยไม่ผลักไส เพียงแค่เห็นมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และหายไป ขณะเดียวกันก็เจริญเมตตาจิต แผ่ความรักและความปรารถนาดีให้แก่ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง ความทุกข์ใจจึงบรรเทาเบาบางลง อย่างไรก็ตามความเสียใจ ความโกรธ และความกลัวก็ยังวนเวียนกลับมาหาเธอเป็นระยะ ๆ

    หลังจากปฏิบัติธรรมมาได้หลายสัปดาห์ เธอก็พร้อมที่จะย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในอดีตที่สร้างความเจ็บปวดให้เธอมากที่สุด แจ๊คแนะนำให้เธอหลับตาและหวนระลึกถึงคืนที่พ่อทิ้งเธอไป ตอนนั้นเธอยืนอยู่บันไดขั้นบนสุด ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงข้างล่าง แล้วเธอก็เห็นพ่อเดินออกจากบ้านไปด้วยความโกรธโดยไม่เงยหน้าหันมามองเธอเลย “พ่อไม่มองฉันเลย เขาไม่พูดอะไรกับฉันแม้แต่คำเดียว” เธอเล่าด้วยความรู้สึกรวดร้าว เมื่อแจ็คถามเธอว่า เด็กผู้หญิงตัวน้อยคนนี้คิดอะไรอยู่ตอนนั้น เธอตอบว่า “ฉันต้องทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นพ่อก็ต้องอยู่กับเรา”

    ทั้งความเศร้าโศกและความโกรธทะลักทะลายสู่จิตใจของพอลล่า แต่สติก็ช่วยให้เธอรู้เท่าทันอารมณ์เหล่านั้น ไม่ปล่อยให้มันท่วมท้นใจ ขณะเดียวกันเธอได้แผ่ความรักความปรารถนาดีให้แก่เด็กหญิงวัย ๓ ขวบ ไม่นานใจของเธอก็ค่อย ๆ สงบลง ถึงตรงนี้แจ็คแนะนำให้เธอเปลี่ยนมาเป็นพ่อ แล้วถามเธอว่ารู้สึกอย่างไร เธอตอบว่ารู้สึกแย่มาก ตึงเครียด เป็นความรู้สึกของคนที่รู้สึกล้มเหลวในทุกเรื่อง ทั้งชีวิตครอบครัวและการทำงาน อยากจะหนีทุกอย่างไปให้พ้น

    แจ๊คถามต่อว่า คุณรู้ไหมว่าพอลล่าลูกของคุณกำลังยืนอยู่ที่บันไดชั้นบนนั้น “รู้ แต่ฉันทนมองหน้าเธอไม่ได้ ฉันทำไม่ได้จริง ๆ ถ้าเห็นหน้าเธอแล้ว ฉันทิ้งเธอไปไม่ได้แน่ ฉันรักเธอมากเหลือเกิน แต่ถ้าไม่ไป ฉันคงตายแน่ ฉันต้องไปจากที่นั่นให้ได้” แล้วพอลล่าก็ร้องไห้ด้วยความสงสารพ่อ

    ตอนนั้นเองที่เธอได้ตระหนักว่า พ่อทิ้งเธอไปไม่ใช่เพราะเธอไม่น่ารัก หรือเพราะเธอทำอะไรผิด แท้จริงแล้วพ่อรักเธอมาก แต่พ่อมีความจำเป็นที่ต้องทิ้งเธอไปโดยไม่แม้แต่จะหันมาร่ำลาหรือมองหน้าเธอ ความรู้สึกโกรธพ่อที่ฝังลึกมาตลอดชีวิต ถูกแทนที่ด้วยความรักและความเห็นใจ ขณะเดียวกันความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองก็มลายหายไป บาดแผลในจิตใจที่เรื้อรังมานานได้รับการเยียวยาในที่สุด

    หากพอลล่าปล่อยให้อารมณ์ต่าง ๆ จากอดีตครอบงำใจ เธอก็คงโกรธพ่อและเกลียดตนเองไปตลอดชีวิต แต่สติและเมตตาช่วยให้เธอหันกลับมาพิจารณาเหตุการณ์ในอดีตอย่างพินิจพิเคราะห์ และได้เห็นอีกแง่มุมของมันที่ไม่เคยนึกมาก่อน ในที่สุดก็ได้พบว่าความทุกข์ที่รังควานเธอมาตลอดชีวิตนั้น เกิดจากการปรุงแต่งของเธอเอง

    คนเรามักทุกข์เพราะความคิดของตน หากไม่รู้จักทักท้วงหรือไตร่ตรองความคิดของตนเสียบ้าง ก็จะเป็นทุกข์ไม่หยุดหย่อน เหตุการณ์ในอดีตนั้นแม้จะเลวร้ายเพียงใด ก็ทำร้ายเราได้ไม่มากเท่ากับความคิดติดลบของเราเอง
    :- https://visalo.org/article/Image255704.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,999
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,081
    ความดีที่น่าเสี่ยง
    ภาวัน
    คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้างไหม ขณะที่กำลังรอรถเมล์อยู่ ก็มีผู้ชายสีหน้าเศร้า ๆ มาขอเงินคุณ เขาเล่าว่าเขามาตามหาญาติที่กรุงเทพ ฯ จนเงินเกลี้ยงกระเป๋า แต่ไม่พบ อยากจะกลับบ้านแต่ไม่มีเงินค่าโดยสาร จึงอยากขอความช่วยเหลือจากคุณ

    คุณฟังแล้วก็สงสารจึงให้เงินไป ๕๐ บาท เขายกมือไหว้ขอบคุณคุณเป็นการใหญ่ก่อนที่จะจากไป แต่แล้วไม่กี่วันต่อมาคุณก็เห็นชายคนเดียวกันนี้เดินขอเงินจากใครต่อใครไม่ไกลจากจุดที่เขาเคยขอเงินคุณ
    เจอแบบนี้เข้าคุณจะรู้สึกอย่างไร?

    เป็นธรรมดาที่คุณจะเสียความรู้สึกหรือโมโหเมื่อรู้ว่าตนเองถูกหลอก หลายคนถึงกับตั้งใจเด็ดขาดว่าจะไม่ควักเงินให้อีกหากมีใครมาขอเงินเขา ก็พวกนี้มันสิบแปดมงกุฎกันทั้งนั้น

    การสรุปบทเรียนแบบนี้แม้จะดูสมเหตุสมผล แต่ก็น่าคิดว่าเป็นความยุติธรรมหรือไม่ที่เราจะเอาพฤติกรรมของคน ๆ หนึ่งมาเป็นข้อสรุปแบบเหวี่ยงแหว่าใครก็ตามที่แบมือขอเงินเราล้วนเป็นพวกลวงโลกทั้งนั้น หากคุณถูกผู้ชายคนหนึ่งหลอก ควรหรือไม่ที่จะสรุปว่าผู้ชายทั้งโลกเชื่อไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณย่อมรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยที่ถูกตราหน้าอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันอ้าปากหรือโอภาปราศรัยกันเลย

    แม้จะถูกหลอกครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างมากที่เราจะสรุปได้ก็คือคนที่แบมือขอเงินเรานั้นส่วนใหญ่ โกหกเรา ถึงแม้คุณจะถูก ๙ คนหลอก ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่สิบจะเป็นเช่นนั้นด้วย คำถามก็คือหากไม่แน่ใจว่าคนที่สิบจะมาหลอกเราด้วยหรือไม่ เราควรให้เงินเขาไหม? ถ้าคุณไม่อยากถูกหลอกอีก ก็ตัดสินใจไม่ยาก เบือนหน้าหนีเขาก็หมดเรื่อง

    แต่หากลองคิดอีกมุมหนึ่งว่า หากคน ๆ นั้นเขาเดือดร้อนจริง ๆ และมีความจำเป็นต้องกลับบ้านด่วน เพราะทิ้งพ่อที่พิการหรือลูกเล็ก ๆ เอาไว้ การปฏิเสธของคุณอาจมีผลกระทบต่อชีวิตของเขามาก แต่ถ้าคุณให้เงินเขา ก็อาจจะมีความหมายใหญ่หลวงต่อเขา

    ลองนึกอีกทีว่าหากคุณตกอยู่ในที่นั่งเดียวกับเขา แล้วพบว่าไม่ว่าจะแบมือขอเงินจากใคร ก็ถูกปฏิเสธหมด ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เงินจำนวนมาก คุณจะรู้สึกอย่างไรกับผู้คน คุณจะยังมีศรัทธาในเพื่อนมนุษย์หรือไม่ และหากคุณทำความดีมาตลอด แต่ต้องได้รับผลอย่างนี้ คุณจะยังศรัทธาในความดีและเชื่อมั่นในบุญกุศลอีกหรือไม่
    เงิน ๕๐ บาทหรือ ๑๐๐ บาท อาจไม่มากสำหรับคุณ หากถูกหลอก ก็ไม่ทำให้คุณกระเทือนเท่าไร แต่หากเขาเดือดร้อนจริง ๆ เงินจำนวนเล็กน้อยนี้สามารถฟื้นศรัทธาและความหวังของเขาขึ้นมา และยังอาจมีผลต่ออีกหลายชีวิตที่รอการกลับบ้านของเขา มองในแง่นี้การให้เงินแก่เขาจึงเป็นการ “ลงทุน”ที่น่าเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะหากเสียก็เสียไม่มาก แต่หากได้ก็ได้มหาศาล เป็นแต่ว่าผลได้นั้นไม่ได้เกิดกับคุณ ยิ่งกว่านั้นโอกาสที่จะ “ได้” อาจมากกว่าแทงหวยใต้ดินเสียอีก
    การช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักนั้นจะว่าไปก็ไม่ต่างจากการเสี่ยงโชค เป็นไปได้ว่าโอกาสจะถูกหลอกมีมากกว่า ช่วยไป ๑๐ คนอาจกลายเป็นว่าเราถูก ๙ คนหลอก มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดือดร้อนจริง แม้กระนั้นก็ยังคุ้มอยู่ดีมิใช่หรือ

    มีคำกล่าวว่า ปล่อยคนผิด ๑๐ คนยังดีกว่าลงโทษผู้บริสุทธิ์ ๑ คน ในทำนองเดียวกัน ในกรณีที่มีคนมาขอเงินเรา ก็อาจพูดได้เช่นกันว่า ถูกคนโกง ๑๐ คนหลอกก็ยังดีกว่าเมินเฉยผู้ทุกข์ยาก ๑ คน

    ใครที่ยังทำใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าถูกหลอกเอาเงินไป ลองฟังเรื่องราวของ โรเบอร์โต เดอ วิเซนโซ นักกอล์ฟชาวอาร์เจนตินาชื่อก้องโลกเมื่อ ๓๐ ปีก่อน

    ครั้งหนึ่งมีหญิงสาวมาพบเขาแล้วเล่าว่าลูกของเธอป่วยหนักและกำลังจะตาย เขาฟังแล้วก็สงสาร จึงมอบเช็คที่เพิ่งได้รับจากการชนะถ้วยรางวัลให้เธอไป
    หนึ่งอาทิตย์ต่อมา มีเพื่อนมาบอกเขาว่า เขาถูกผู้หญิงคนนั้นหลอก เพราะเธอยังไม่ได้แต่งงาน และไม่มีลูกที่เจ็บป่วย ประโยคแรกที่ออกจากปากของโรเบอร์โตก็คือ “หมายความว่า ไม่มีเด็กที่กำลังจะตาย ใช่ไหม ?”

    เมื่อได้รับคำยืนยัน เขาก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า“นี่เป็นข่าวดีที่สุดที่ได้ยินมาตลอดอาทิตย์นี้เลย” แทนที่จะโมโห เขากลับยินดี เพราะเขานึกถึงเด็กมากกว่าเงินในกระเป๋าของเขา ใช่หรือไม่ว่าถ้าเรานึกถึงคนอื่นมากขึ้น การถูกหลอกจะกลายเป็นเรื่องเล็กลงไปทันที

    :- https://visalo.org/article/Image255112.htm



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2025 at 23:30
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,999
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,081
    น้อยนั้นงาม
    ภาวัน
    เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ใครก็ตามจากประเทศสังคมนิยม หากได้ไปเยือนประเทศทุนนิยมอย่างสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ ย่อมอดไม่ได้ที่จะตื่นตลึงกับความเจริญรุ่งเรืองของประเทศเหล่านั้น สิ่งหนึ่งที่สะดุดใจอาคันตุกะจากแดนไกลเป็นพิเศษ เห็นจะได้แก่ความอุดมล้นเหลือและหลากหลายของสินค้าตามห้างร้าน


    เสน่ห์อย่างหนึ่งของทุนนิยมที่สามารถสะกดคนทั้งโลก จนสามารถเอาชนะระบบสังคมนิยมได้ ก็คือ การให้เสรีภาพที่จะเลือก เสรีภาพที่ว่ามีให้แก่ทุกคนตั้งแต่ออกจากบ้านไปจับจ่ายใช้สอยเลยทีเดียว เพราะมีของให้เลือกมากมาย ยิ่งมีของหลากหลายให้เลือกมากเท่าไร คนก็รู้สึกว่ามีเสรีภาพมากเท่านั้น

    ผลก็คือทุกวันนี้ ไม่ว่าจะซื้ออะไร ก็มีของให้เลือกมากมาย ไม่ใช่แต่หลากยี่ห้อเท่านั้น แม้ของยี่ห้อเดียวกัน ก็มีหลายรุ่นหลายแบบหลายสเป็คให้เลือก อย่าว่าแต่สบู่ ยาสีฟัน แชมพูเลย แม้กระทั่งบริการโทรศัพท์มือถือ แค่บริษัทเดียวก็มีหลายโปรโมชั่นจนผู้คนสับสนไม่รู้จะเลือกอะไรดี

    ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ความหลากหลายของสินค้ามีมากมายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จำเพาะมันฝรั่งทอดอย่างเดียวมีถึง ๒๐ อย่าง แตกต่างทั้งรสชาติ ขนาด และหีบห่อ ยิ่งแชมพู ยาสีฟันด้วยแล้ว มีไม่น้อยกว่า ๙๐ อย่าง ทุกวันนี้ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็ตาม มีของให้เลือกโดยเฉลี่ยถึง ๕๗ อย่าง มีตัวเลขว่าซูเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐขณะนี้มีสินค้าวางขายถึง ๔๘,๗๕๐ รายการ หรือเพิ่มขึ้น ๕ เท่าจากเมื่อ ๓๕ปีที่แล้ว

    ความหลากหลายอย่างล้นเหลือไม่ใช่เป็นเรื่องดีเสมอไป ทั้งกับลูกค้าและห้างร้าน เคยมีการทดลองนำแยม ๒๔ ชนิดมาวางบนโต๊ะให้ลูกค้าเลือกชิม วันต่อมาลดเหลือแยมแค่ ๖ ชนิด ใครที่หยุดดูและทดลองชิมแยมจะได้รับบัตรลด สามารถซื้อแยมยี่ห้อเดียวกันในราคาพิเศษจากในร้านได้ สิ่งที่ผู้ทดลองค้นพบก็คือ คนที่หยุดดูนั้นมีเพิ่มขึ้นหากวางแยมไว้ ๒๔ ชนิด แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เมื่อถึงเวลาซื้อ คนที่หยุดดูแยม ๖ ชนิดมีถึงร้อยละ ๓๐ ที่ เดินไปซื้อแยม ตรงกันข้ามกับคนที่หยุดดูแยม ๒๔ ชนิด มีเพียงร้อยละ ๓ เท่านั้นที่ยอมจ่ายเงิน

    มีการทดลองแบบเดียวกันนี้กับสินค้าชนิดอื่น เช่น ช็อคโกแลต ก็ได้ผลทำนองเดียวกัน ทำให้ได้ข้อสรุปว่าการมีของให้เลือกมากมายนั้น หาได้ส่งเสริมหรือกระตุ้นการขายไม่

    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น การมีของให้เลือกอย่างมากมายจนลานตานั้นไม่เพียงทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน และรู้สึกตัดสินใจยาก เพราะไม่รู้จะเลือกอะไรดี แต่ยังทำให้เกิดความกังวลด้วย เพราะกลัวว่าจะเลือกอันที่ไม่ดี หรือพลาดอันที่ดีที่สุดไป ครั้นเลือกไปแล้ว พบว่าคนอื่นได้อันที่ดีกว่าตน ก็จะยิ่งรู้สึกแย่ (แม้อันที่ตัวเองเลือกจะคุ้มค่าคุ้มราคาแล้วก็ตาม)

    เป็นธรรมดาที่ว่ายิ่งมีของให้เลือกมากมาย ผู้คนก็ยิ่งตั้งความหวังไว้สูงว่าจะต้องเลือกได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องมีเวลาหาข้อมูลให้ครบถ้วน เมื่อไม่มีเวลาทำเช่นนั้นจึงมักลงเอยด้วยการเลือกไม่ได้อย่างที่หวัง ดังนั้นแม้จะเลือกได้สิ่งที่ดีแล้ว ก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ผลก็คือ เกิดความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองที่เลือกผิด ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกค้าหลายคนตัดสินใจไม่ซื้ออะไรเลยเมื่อเห็นสินค้าวางขายมากมายหลายชนิด

    ความทุกข์จากการมีของให้เลือกมากมายหลายหลากนับวันจะรุนแรงมากขึ้น จนถึงกับมีการแห่เข้าคอร์สฝึกอบรมเพื่อช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น “ผู้คนทำอะไรไม่ถูกแล้วเพราะมีทางเลือกมากเกินไป”เป็นความเห็นของผู้จัดคอร์สดังกล่าวซึ่งกำลังได้รับความนิยม นอกจากนั้นยังมีหนังสือมากมายที่แนะนำการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับทางเลือกที่มีมากมาย เช่น “Living Simply: Choosing less in a world of more”

    ปฏิกิริยาต่อสินค้าที่มีให้เลือกอย่างล้นเหลือลานตา ทำให้ผู้ผลิตจำนวนไม่น้อยหันมาลดจำนวนผลิตภัณฑ์ เช่น พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล ได้ลดชนิดของแชมพูจาก ๒๖ เหลือ ๑๕ ชนิด กลิดเดน ซึ่งเป็นผู้ผลิตสีรายใหญ่ ปรับลดชนิดสีทาผนังจาก ๑,๐๐๐ เหลือแค่ ๒๘๒ ชนิด ปรากฏว่านอกจากต้นทุนจะลดลงแล้ว ยอดขายยังเพิ่มขึ้นด้วย

    น้อยคือมาก หรือ “less is more” เป็นแนวทางใหม่ที่กำลังมาแรง ซึ่งมิได้หมายถึงการผลิตให้หลากหลายน้อยลงเท่านั้น แต่รวมถึงการซื้อให้น้อยลงด้วย นอกจากจะทำให้เงินออมเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเพิ่มพูนความสุขทางใจให้แก่ตนเองด้วย อย่างน้อยก็ช่วยให้ความสับสนวุ่นวายลดลงไปมาก

    :- https://visalo.org/article/Image255405.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,999
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,081
    เมื่อโชคมาเยือน
    ภาวัน
    ถอยหลังไปเมื่อ ๔๐ ปีก่อน คอมพิวเตอร์ยังมีขนาดใหญ่เท่าห้อง ราคานับล้าน จำเพาะหน่วยงานใหญ่ ๆ เช่น ธนาคาร สายการบิน มหาวิทยาลัย เท่านั้นที่จะมีได้ เวลาใช้งานก็ต้องพิมพ์คำสั่งทีละบรรทัดลงในบัตรเจาะรู หนึ่งบรรทัดต่อหนึ่งบัตร ถ้าคำสั่งซับซ้อนก็ต้องใช้บัตรเจาะรูหนาเป็นรีม กว่าผลลัพธ์จะออกมาก็ใช้เวลานาน หากมีคนใช้งานหลายคน ก็ต้องเข้าคิวยาว

    เช้าวันหนึ่งในเดือนมีนาคม ๒๕๑๙ หนุ่มวัย ๒๖ หนวดเครายาว ใส่เสื้อผ้าปอน ๆ ขอพบเจ้านายของเขาที่บริษัทฮิวเล็ทแพ็คการ์ด (HP) รวมทั้งผู้บริหารระดับสูง สิ่งที่เขานำมาเสนอก็คือแบบและวงจรคอมพิวเตอร์ชนิดใหม่ ซึ่งไม่เพียงมีขนาดเล็ก หากยังใช้คีย์บอร์ดในการป้อนคำสั่ง และแสดงผลทางจอโทรทัศน์ โดยไม่ต้องพิมพ์เป็นกระดาษยาวหลายทบ ตอนนั้น HP เป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดัง จะเป็นรองก็แต่ไอบีเอ็ม ซึ่งครองตลาดคอมพิวเตอร์ทั่วโลกในเวลานั้น

    ชายหนุ่มคิดว่าเจ้านายและผู้บริหารจะสนใจ มองเห็นศักยภาพของคอมพิวเตอร์ที่เขาออกแบบ ว่าจะช่วยให้ HPเป็นผู้นำในวงการคอมพิวเตอร์ได้ แต่ผิดคาด ผู้บริหารเหล่านั้นมองว่าสิ่งที่เขานำเสนอนั้น “เป็นแค่ของเล่นยามว่าง เหมือนวิทยุ เหมือนหุ่นยนต์สมัครเล่น” ซึ่งมีแค่ไม่กี่คนที่จะสนใจ ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างตลาดใหญ่ได้อย่างแท้จริง ผู้บริหารใช้เวลาไม่นานก็สรุปว่า HP ไม่มีความคิดที่จะพัฒนาสินค้าตัวนี้ ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวัง ไม่นานก็ลาออกจากHP และตั้งบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ของเขาเองร่วมกับคู่หู

    ชายหนุ่มผู้นั้นคือ สตีเฟน วอซเนียก บริษัทที่เข้าก่อตั้งคือ แอปเปิ้ล ส่วนคู่หูนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก สตีฟ จ็อบส์ แบบคอมพิวเตอร์ที่วอซเนียกเสนอนั้นภายหลังได้กลายเป็น Apple II ซึ่งสร้างความร่ำรวยให้แก่เขาและเพื่อน อีกทั้งปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์และก่อความเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก บริษัทของเขากลายเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวตอร์ที่มีสินทรัพย์มหาศาล

    ว่ากันว่า ความสำเร็จของคนเรานั้น เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัยโชคด้วย ผู้คนจึงอยากมีโชค และพากันแสวงหาโชค แต่ใช่หรือไม่ว่าบ่อยครั้งโชคก็มาหาเราเอง สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราจะมองเห็นหรือรู้ไหมว่าโชคมาหาเราแล้ว

    ๔๐ ปีที่แล้ว โชคเดินเข้ามาหาผู้บริหาร HP ถึงสำนักงาน แต่คนเหล่านั้นกลับไม่ตระหนัก ปล่อยให้โชคหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา นี้คือสิ่งที่เกิดกับผู้คนมากมายครั้งแล้วครั้งเล่า หลายคนมักพูดว่าโชคไม่เข้าข้างเขา แต่ที่จริงโชคมาหาเขาแล้วแต่เขาเบือนหน้าหนีต่างหาก

    โชคนั้นบางครั้งมาในรูปลักษณ์ที่เราคาดไม่ถึง ไม่ใช่มาในรูปของชายหนุ่มแต่งตัวซกมกเท่านั้น

    สมไทย วงษ์เจริญ ต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากินตั้งแต่เล็ก อายุ ๑๕ ก็ออกจากโรงเรียนมาค้าขาย เขาขายของสารพัด ไม่ว่าล็อตเตอรี่ หนังสือพิมพ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ภายหลังได้ยืมรถกระบะเก่า ๆ ของพ่อ ตระเวนขายของตามจังหวัดต่าง ๆ ตกค่ำก็นอนในรถ อาบน้ำตามปั๊ม แต่ชีวิตก็ยังไม่ดีขึ้น

    วันหนึ่งเขาไปขายของที่พิษณุโลก ได้เข้าไปกราบพระพุทธชินราช และอธิษฐานขอให้ประสบโชค จากนั้นก็ไปทำงานต่อ แต่ไม่ค่อยมีลูกค้า ระหว่างที่นั่งพักเหนื่อย เห็นรถซาเล้งผ่านมา จึงสอบถามคนขับว่าเก็บขยะจากไหน เก็บอย่างไร ไปขายที่ไหน คำตอบที่ได้รับทำให้เขาตระหนักว่าขยะนั้นมีคุณค่าและสร้างรายได้ดี

    นับแต่นั้นเขาก็เบนเข็มมาค้าขยะและของเก่า ปรากฏว่าทำรายได้ให้แก่เขาเป็นกอบเป็นกำ ในเวลาไม่กี่ปีเขาก็ตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ยิ่งขยายกิจการ ก็ยิ่งร่ำรวย จนทุกวันนี้นอกจากจะมีสาขาหลายร้อยสาขาทั่วประเทศแล้ว ยังมีโรงงานรีไซเคิลครบวงจรที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย

    โชคนั้นบางครั้งก็มาในรูปของรถซาเล้ง หากสมไทยไม่สนใจไยดี ปล่อยให้รถซาเล้งผ่านหน้า เขาก็คงไม่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้

    โชคนั้นมักมีโฉมหน้าและมาในจังหวะที่เราคิดไม่ถึง ดังนั้นถ้าอยากมีโชค ก็ต้องเตรียมพร้อมต้อนรับโชคทุกขณะ ขณะเดียวกันก็ต้องฉลาดพอที่จะรู้จักโชคด้วย หาไม่แล้วโชคก็จะผ่านเราไปครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้ประโยชน์
    :- https://visalo.org/article/Image255903.html
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,999
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,081
    คอยได้ ใจเย็น
    ภาวัน
    คนไทยคนหนึ่งเล่าว่า เคยไปซื้อหนังสือที่ร้านดังกลางกรุงโอซากา ซึ่งมีสาขาทั่วประเทศ (รวมทั้งที่เมืองไทยด้วย) เมื่อเลือกหนังสือได้แล้ว ก็ไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ๓,๙๗๑ เยนคือราคาหนังสือรวมภาษีด้วย อันที่จริงถ้าจ่ายด้วยธนบัตร ๕,๐๐๐ เยนก็ไม่มีปัญหา แต่เนื่องจากเขามีเหรียญเยอะมาก จึงล้วงจากกระเป๋ามาเต็มกำมือ พร้อมกับธนบัตร ๑,๐๐๐ เยน ๓ ใบ ปัญหาเกิดขึ้นตรงที่ว่าเขาไม่คุ้นกับเหรียญญี่ปุ่น จึงนับเหรียญได้ช้ามาก เพราะมีทั้งเหรียญ ๑ เยน ๑๐ เยน ๕๐ เยน ๑๐๐ เยน และ ๕๐๐ เยน ยิ่งนับก็ยิ่งงง เพื่อนคนไทยเลยมาช่วยนับด้วย แต่ก็ไม่ทำให้เร็วขึ้นเท่าใด สุดท้ายก็เลยยื่นเหรียญทั้งกำให้พนักงานขายช่วยนับให้

    ระหว่างที่ลูกค้าง่วนอยู่กับการนับเหรียญ พนักงานขายก็ยืนรออย่างสงบ ไม่แสดงให้เห็นเลยว่าลูกค้ากำลังทำให้เขาเสียเวลา ครั้นลูกค้ายื่นเหรียญมาให้นับ เขาก็ยินดีทำโดยไม่มีอาการหงุดหงิดหรือเร่งรีบ ทั้ง ๆ ที่มีลูกค้าคนอื่นเข้าแถวรออยู่

    ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่ถือว่าเวลาเป็นทรัพย์สินสำคัญ จะเรียกว่าเวลาเป็นเงินเป็นทองก็ได้ เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงจะถูกซอยถี่ยิบเป็นนาทีหรือวินาทีทีเดียว เห็นได้จากตารางรถไฟทั่วประเทศ เวลาที่รถไฟมาถึงและออกจากสถานี จะไม่เป็นตัวเลขกลม ๆ แต่จะระบุเป็นนาทีเลย (เช่น ๗.๕๘ น.) แล้วรถไฟก็มาตรงตามเวลาเป๊ะเสียด้วย หากมาช้าไปแค่นาทีเดียว ก็อาจก่อปัญหาตามมา

    มองในแง่นี้การมีชีวิตเร่งรีบของคนญี่ปุ่นจึงเป็นเรื่องธรรมดามากโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ แต่ในอีกด้านหนึ่งเรากลับพบว่าคนญี่ปุ่นมีความอดทนในการรอคอยมาก ไม่ใช่จำเพาะในร้านหนังสือชื่อดังเท่านั้น แต่เห็นได้ในแทบทุกหนทุกแห่ง รวมทั้งบนท้องถนน
    ใกล้ ๆ ร้านหนังสือดังกล่าว เป็นศูนย์การค้าที่มีคนพลุกพล่านมาก บาทวิถีเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ไม่ว่าใครจะเร่งรีบมาจากไหน แต่พอเห็นไฟแดงบนถนนฝั่งตรงข้าม ทุกคนก็หยุดหมด ทั้ง ๆ ที่ถนนบางสายแคบชนิดที่เรียกว่าซอยจึงจะถูก เพราะกว้างแค่ ๓-๔ เมตร แถมไม่มีรถวิ่งเลย คนนับร้อยก็ยังรอคอยอย่างสงบ ต่อเมื่อไฟเขียวสว่างจ้า จึงพากันเดินข้ามถนน

    เป็นธรรมดาที่เราจะเห็นคนเข้าคิวยาวอยู่หน้าร้านอาหารตอนเที่ยง ในเมืองไทยหรือแม้แต่กรุงเทพ ฯ ภาพแบบนี้หาได้ยากเพราะคนไทยไม่ค่อยยอมเสียเวลากับการรอคอยเพียงเพื่อจะได้กินอาหารสักมื้อ ที่จริงกับเรื่องอื่น ๆ คนไทยก็ไม่ค่อยอดทนกับการรอคอยเช่นกัน พนักงานขายหากเจอลูกค้าควักเหรียญเป็นกำมานับต่อหน้า หรือจ่ายเป็นเหรียญ แทนที่จะจ่ายด้วยธนบัตร มักแสดงอาการไม่พอใจให้เห็น (มีบางคนโดนพนักงานเก็บเงินบนเรือด่วนขว้างเหรียญลงพื้นต่อหน้าต่อตา) ส่วนพนักงานขับรถ หากจอดเข้าป้ายแล้ว ผู้โดยสารไม่รีบขึ้นรถ ก็มักจะชิงออกรถไปก่อน
    แต่ในญี่ปุ่นภาพที่เห็นกลับตรงกันข้าม ในเมืองฟูกูโอกะ ขณะที่รถโดยสารกำลังจะเคลื่อนจากป้าย พนักงานขับรถมองกระจกหลังเห็นคุณยายเดินกระย่องกระแย่งมาแต่ไกล เขาดับเครื่องทันทีเพื่อคอยคุณยายมาขึ้นรถ ไม่มีผู้โดยสารคนใดบ่นหรือไม่พอใจพนักงานขับรถ ทั้ง ๆ ที่ต้องคอยนานหลายนาที

    การรู้จักคอยกับความเจริญก้าวหน้าของคนญี่ปุ่น น่าจะมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง เมื่อรู้จักคอย อดทนได้กับผลลัพธ์ที่ยังมาไม่ถึง จึงทำให้ขยันหมั่นเพียรได้ต่อเนื่อง จนประสบความสำเร็จ ตรงกันข้ามกับคนที่คอยไม่เป็น หวังเห็นผลเร็ว ๆ พอทำไปได้สักพัก ไม่เห็นผลสำเร็จเสียที ก็ท้อแท้และเลิกกลางคัน

    สาเหตุที่คนไทยเป็นอันมากนิยมทางลัด อยากรวยเร็ว ๆ ดังเร็ว ๆ จนต้องหันไปใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง เช่น เล่นพนัน คอร์รัปชั่น ใช้เส้นสาย หรือเอาตัวเข้าแลก ส่วนหนึ่งก็เพราะคอยไม่เป็นนั่นเอง
    :- https://visalo.org/article/Image255609.html
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,999
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,081
    โมงยามที่เปี่ยมชีวิตชีวา
    ภาวัน
    วิลโก้ จอห์นสัน เป็นนักร้องและมือกีต้าร์ชื่อดังของอังกฤษ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการก่อเกิดขบวนการพั้งค์ของอังกฤษ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาต้องยกเลิกการแสดงสดอย่างกะทันหันเพราะล้มป่วยจนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล หมอได้แจ้งเขาในเวลาต่อมาว่า เขามีมะเร็งในตับอ่อน ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ และเป็นโรคเดียวกันกับที่คร่าชีวิตของสตีฟ จ๊อบส์

    นี้คือข่าวร้ายที่สุดข่าวหนึ่งเท่าที่สามารถเกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่ง แต่วิลโก้ศิลปินวัย ๖๕ กลับต้อนรับข่าวนี้ด้วยความดีใจ เขาเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกตัวเบา ใจฟู “จู่ ๆ ก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา คุณมองต้นไม้ ท้องฟ้า มองทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วรู้สึกว่า “วิเศษ”จริง ๆ”

    ทั้ง ๆ ที่เขามีเวลาเหลือไม่เกิน ๙-๑๐ เดือนจากการคาดคะเนของหมอ แต่เขากลับแปลกใจที่พบว่าไม่มีความรู้สึกเศร้าสร้อยเลย กลับตรงข้ามด้วยซ้ำ “ความรู้สึกตอนนี้มันมหัศจรรย์มาก คุณรู้สึกมีชีวิตชีวา แค่เดินบนถนน คุณก็รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างมาก”

    ใครที่คิดว่าความตายเป็นเรื่องน่ากลัว วิลโก้เป็นคนหนึ่งที่ไม่คิดเช่นนั้น เมื่อรู้ว่าความตายใกล้เข้ามา เขากลับรู้สึกว่าเวลาแต่ละนาที ประสบการณ์แต่ละขณะเป็นสิ่งมีค่าอย่างมาก ความรู้สึกซึมเศร้าที่เคยรบกวนจิตใจของเขาหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทุกอย่างที่สัมผัสไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กลายเป็นความสดใหม่ขึ้นมาทันที

    “สิ่งเล็ก ๆ ทุกอย่างที่เห็น ลมเย็นทุกสายที่สัมผัสใบหน้า อิฐทุกก้อนบนถนน คุณรู้สึกเลยว่า ฉันมีชีวิต ฉันมีชีวิต” เขายังให้สัมภาษณ์อีกว่า “ผมรู้สึกเหมือนขนนกที่ปลิวไหวไปตามสายลม และลมก็พัดมากระทบผมอย่างเดียวกัน แต่ในใจผมก็ยังรู้สึกถึงความอิสระเสรี เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก”

    ครั้งหนึ่งสตีฟ จ๊อบส์ ได้พูดถึงตัวเองเมื่อระลึกถึงความตายว่า “เกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตกและความผิดพลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับความตาย” ความรู้สึกทำนองนี้ก็เกิดขึ้นกับวิลโก้ เช่นกันเมื่อรู้ว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา “อะไรก็ตามที่เคยทำให้ผมเศร้าสร้อย วิตกกังวล หรือรำคาญ มันไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป จนผมอดคิดไม่ได้ว่า “เฮ้ย” ทำไมถึงไม่เป็นแบบนี้มาก่อนหน้านี้วะ ?”

    ในสายตาของคนทั่วไป ความตายคือสิ่งตรงข้ามกับชีวิต แต่อันที่จริงแล้วความตายสามารถทำให้เรารู้สึกตื่นตัวและมีชีวิตชีวา แทนที่จะอยู่อย่างซังกะตาย เพราะทันทีที่รู้ว่าชีวิตของเรากำลังจะหมดสิ้นไป และโลกทั้งโลกที่เรารู้จักกำลังจะปลาสนาการไป เราจะเห็นคุณค่าของทุกวินาทีที่มีอยู่ และซาบซึ้งกับทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น มันจะไม่ใช่สิ่งซ้ำซากจำเจอีกต่อไป เราจะรับรู้และสัมผัสมันด้วยความรู้สึกสดใหม่

    เป็นความรู้สึกทำนองเดียวกันเมื่อรู้ว่าคนคุ้นเคยกำลังจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เราจะไม่ปฏิบัติกับเขาอย่างเดิม ๆ อีกต่อไป แทนที่จะเมินเฉยหรือรู้สึกรำคาญ กลับให้ความใส่ใจกับเขาอย่างเต็มที่ ทุกถ้อยคำที่เขาเปล่งออกมา จะไม่ปล่อยให้ลอยไปกับสายลม แต่จะเปิดใจรับตระหนักรู้ ขณะที่ความทรงจำเกี่ยวกับเขา โดยเฉพาะในโมงยามสุดท้าย จะประทับแน่นในใจเรา

    ที่จริงเราไม่จำเป็นต้องรอให้ความตายมาประชิดตัว จึงค่อยเห็นคุณค่าของชีวิตและทุกประสบการณ์ เพียงแค่ระลึกถึงความตายว่าจะต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอนไม่วันใดวันหนึ่ง ก็ช่วยให้เราไม่จมอยู่ในความเฉื่อยเนือย แต่จะใช้ทุกนาทีอย่างมีค่าและมีชีวิตอย่างกระตือรือร้น รวมทั้งปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำให้เศร้าหมอง หดหู่ แค้นเคือง ได้ง่ายขึ้น

    ความตายนั้นหาใช่ศัตรูของเราไม่ มันสามารถนำสิ่งดี ๆ มาให้แก่เราหากรู้จักมองหรือใช้ให้เป็นชีวิต
    :- https://visalo.org/article/Image255604.html
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,999
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,081
    รักคนไกล ระอาคนใกล้
    ภาวัน
    “แอม” เสาวลักษณ์ ลีละบุตร เล่าว่าได้พบเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเพิ่งกลับจากการไปปลูกป่า หน้าตาของเธอเบิกบานด้วยความปีติที่ได้ช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ เธอพรรณนาถึงคุณประโยชน์มากมายของการปลูกป่า ทั้งบรรเทาโลกร้อน เพิ่มออกซิเจน ให้ร่มเงา ปกป้องหน้าดิน และช่วยให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ฯลฯ เธอยังเล่าถึงนักปลูกป่าอย่าง ด.ต.วิชัย ที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนมากมาย
    vichai2.jpg


    “ดีจังเลย” แอมยินดีกับเพื่อน “ตอนนี้เธอปลูกต้นไม้ที่บ้านเยอะเลยซีท่า”

    เพื่อนทำหน้าเซ็งทันทีแล้วตอบว่า “โอ๊ย ใครจะไปกวาดใบไม้ไหว ร่วงอยู่ได้ เลยตัดทิ้งไปแล้ว” รักป่ารักต้นไม้ทั่วทั้งโลกนั้น บางครั้งกลับง่ายกว่ารักต้นไม้ในบ้าน เราพร้อมจะไปปลูกป่าทั่วทุกหนแห่ง แต่คร้านที่จะดูแลต้นไม้ในบ้าน ปลูกป่านอกบ้านไม่ใช่เรื่องยาก แค่หย่อนกล้าไม้ลงหลุมแล้วกลบ จากนั้นก็กลับบ้านได้เลย แต่ปลูกต้นไม้ที่บ้านสิ เรายังต้องรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยนานนับปี ครั้นต้นไม้เติบโตสูงใหญ่ ก็ยังต้องเสียเวลากวาดใบไม้ร่วงไม่หยุดหย่อน วันดีคืนดีกิ่งไม้อาจตกมากระแทกหลังคาเป็นรู

    เป็นเพราะต้นไม้นอกบ้านให้แต่สิ่งดี ๆ มีแต่สิ่งที่น่าชื่นชม ไม่เป็นภาระแก่เราเลย เราจึงรักเขาได้ง่าย ส่วนต้นไม้ในบ้านนั้นเรียกร้องการดูแลเอาใจใส่จากเรา แถมยังอาจก่อปัญหาให้ด้วย หลายคนจึงมองเห็นแต่ข้อเสียของเขา จนรู้สึกระอาขึ้นมา

    เป็นเพราะเหตุผลเดียวกันนี้หรือเปล่า ผู้คนเป็นอันมากจึงรักและชื่นชมคนอื่นได้ง่ายกว่าคนในบ้าน เราเห็นแต่ความดีของคนไกลตัวเพราะเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเราเลย ส่วนคนในบ้านนั้นอยู่ใกล้กับเรามากเกินไปจึงเห็นแต่ข้อเสียของเขา หรือเห็นเขาเป็นภาระที่ต้องดูแลเอาใจใส่จนกลบข้อดีของเขาไปเกือบหมด ผลก็คือเรามักสุภาพอ่อนโยนกับคนไกล แต่มึนตึงฉุนเฉียวง่ายมากกับคนใกล้ตัว

    ลองมองให้เห็นคุณประโยชน์หรือความดีของต้นไม้ในบ้านบ้าง เราอาจจะรักเขาได้ง่ายขึ้น หลายคนมาเห็นประโยชน์ของต้นไม้ในบ้านก็หลังจากที่โค่นจนเหลือแต่ตอ แต่นั่นก็สายไปแล้ว จะไม่ดีกว่าหรือหากเรารู้จักชื่นชมเขาขณะที่ยังอยู่กับเรา

    กับคนในบ้านก็เช่นกัน เราควรหัดชื่นชมคุณความดีของเขาบ้าง ที่แล้วมาเราอาจมองข้ามไปเพราะคุ้นชินความดีที่เขาทำกับเราจนมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพลงที่แสนไพเราะ หากได้ฟังทุกวันทุกคืนก็กลายเป็นเพลงดาษ ๆ ไม่มีเสน่ห์สำหรับเรา ฉันใดก็ฉันนั้น คำพูดที่ไพเราะของภรรยา น้ำใจของสามี หรือความใส่ใจของพ่อแม่ หากเราได้ยินได้ฟังหรือได้รับติดต่อกันเป็นปี ๆ หรือนานนับสิบปี ก็กลับกลายเป็นสิ่งสามัญจนเรามองไม่เห็นความสำคัญ ไม่ต่างจากอากาศที่เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าทั้ง ๆ ที่ขาดมันไม่ได้เลย

    น่าแปลกก็ตรงที่หากคนใกล้ตัวทำผิดพลาดหรือสร้างความไม่พอใจแก่เรา แม้เพียงครั้งเดียว การกระทำนั้น ๆ กลับฝังใจเราได้นานหรือลึกกว่าความดีที่เขาทำกับเรานับร้อยนับพันครั้ง ใช่หรือไม่ว่าเวลาเขาทำดีกับเรา เรามองว่านั่นเป็น “หน้าที่ของเขา” หรือเป็น “สิทธิที่เราควรได้รับ”แต่เมื่อใดที่เขาทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราไม่พอใจ เรากลับมองว่าการกระทำเช่นนั้นเป็น “สิ่งที่ไม่สมควร” เป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา” ดังนั้นจึงฝังใจเราได้ง่ายกว่า อันที่จริงเขาอาจไม่ได้ทำผิดพลาดเกินวิสัยปุถุชน แต่ความที่เรามักจะมีความคาดหวังสูงจากคนใกล้ชิด ความผิดพลาดของเขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เราหัวเสีย ขุ่นเคือง หรือน้อยเนื้อต่ำใจได้ง่ายและนาน

    คนในบ้านหรือคนใกล้ตัวนั้น ไม่ว่าจะดีแสนดีเพียงใด ก็ย่อมมีวันที่ต้องกระทบกระทั่งกับเราบ้าง แต่หากเราไม่ฝังใจอยู่กับเหตุการณ์เหล่านั้น หันมามองและชื่นชมคุณความดีของเขา เปิดใจรับรู้ความรักที่เขามีต่อเรา เราจะรักเขาได้ง่ายขึ้น และตระหนักว่าเขามีความสำคัญต่อชีวิตของเรายิ่งกว่าคนไกลตัวเสียอีก อย่ารอให้เขาจากไปเสียก่อนถึงค่อยมาเห็นคุณค่าของเขา ถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว

    อะไรก็ตามยิ่งอยู่ใกล้ตัวมากเท่าไร เราย่อมหน่ายแหนงและระอาได้ง่ายมากเท่านั้น เพราะใจที่ชอบเห็นแต่แง่ลบมากกว่าแง่บวก มิใช่แค่ต้นไม้ในบ้าน หรือคนในบ้านเท่านั้น หากยังรวมถึงทรัพย์สมบัติในบ้านด้วย แต่นั่นยังไม่ใกล้เท่ากับร่างกายและจิตใจของเราเอง ไม่ว่าสวยเท่าใดก็ยังเห็นแต่ความไม่งามของตัวเอง ไม่ว่าจะทำดีเพียงใดก็ยังเห็นแต่ตัวเองในแง่ร้าย คนที่เกลียดตัวเองนั้นทุกวันนี้มีมากมาย ยิ่งรักก็ยิ่งเกลียดเพราะไม่ดีอย่างที่หวัง ยิ่งยึดติดคาดหวังกับความสมบูรณ์พร้อม ก็ยิ่งเห็นแต่ความพร่องของตนเอง

    ลองมองให้เห็นความดีของตัวเองบ้าง ให้อภัยกับความผิดพลาด ยอมรับความไม่สมบูรณ์พร้อม ใช้สิ่งที่มีอยู่แม้น้อยนิดเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม แล้วคุณจะรักตัวเองได้มากขึ้น
    :- https://visalo.org/article/Image255209.htm


     

แชร์หน้านี้

Loading...