ธัมมธาตุ๗

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย tapranksan, 15 พฤศจิกายน 2012.

  1. tapranksan

    tapranksan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +5
    ธรรมธาตุ ๗
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    ส่วนหนึ่งของ
    ศาสนาพุทธ

    อภิธานศัพท์ศาสนาพุทธ
    หมวดหมู่ศาสนาพุทธ
    ธรรมธาตุ 7 หมายถึง ระบบการทำงานของนามธาตุ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มโน จิต และ ภวังค

    องค์ประกอบ

    1.จิต
    พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอัสนีธาตุ จิตเกิดจากกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบของนามธาตุ มีลักษณะเป็นตัวเชื่อมต่อกระบวนการทำงานต่างๆ เช่น เชื่อมรูปธาตุและนามธาตุให้สัมพันธ์กันได้ คำว่า "จิต" มาจากการที่เป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งได้ เช่นคำว่าวิจิตร หมายเอาสภาวะของจิตที่แปรปรวนตามเจตสิกที่เข้ามาประกอบปรุงแต่งเป็นอารมณ์ 121 อาการ
    2.มโน
    หมายถึง หมายถึงสิ่งที่ใจน้อมไป มาจากคำว่า นะมะ (ความนอบน้อม)มาเป็นมโนความน้อมรู้ หมายเอากิริยาที่จิตให้ความสนใจต่อสิ่งใด ใหรือมุ่งหวังส่ใจสิ่งใดเป็นสำคัญ เช่น มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จได้ด้วยใจ เช่นเราเพ่งความสนใจไปที่ใดอาการที่ใจเราไปสนใจนั้นคือมโน มีลักษณะน้อมไป ยึดไว้ เคลื่อนย้าย มโนคือกฎอนิจจังแห่งธรรมนิยามของนามธาตุ เกิดจากการที่นามธาตุมีความสัมพันธ์ต่อรูปธาตุและเกิดจากกระบวนการภายในของนามธาตุเอง คือการให้ความสนใจไปในสิ่งใดสิ่งสิ่งหนึ่งที่จิตเหนี่ยวรั้งมาพิจารณา และจิตเกิดการสนใจหรือย้ายความสนใจในสิ่งที่พิจารณาอยู่
    3.ภวังค์
    จิตใต้สำนึก ภวังค์ มาจากคำว่าองค์แห่งการเกิดภพ หรือตัวเกิดหมายเอากระบวนการของจิต ที่มีการเกิดหรือปฏิสนธิจิต ชวนะจิตต่างๆ ก็จะมาจบที่ภวังคจิตอันเป็นข้อมูลทั้งปวงของจิตหรือจิตใต้สำนึก ที่จะส่งต่อข้อมูลไปยังจิตดวงใหม่ก่อนที่จิตดวงเก่าจะดับ จึงมักใช้ในความหมายของจิตใต้สำนึกของจิต เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน มีแต่สภาวะเกิดขึ้นจากกฎแห่งเหตุและผลของธรรมชาติอย่างละเอียด (หรือเรียกว่ากฎแห่งกรรม) อธิบายเช่นต้นไม้แต่ก่อนมีเพียงเมล็ดกิ่ง ก้าน ราก ดอก ผล ใบย่อมมีมาแต่ไหน เพราะในเมล็ดย่อมมีเพียงข้อมูล แล้วอาศัยอาศัยปัจจัยเพิ่มปริมาณสสารขึ้น อาศัยข้อมูลในเมล็ดทำให้มีลักษณะต่างๆ ถ้าเป็นสัตว์ก็คือ DNA ภวังค์ก็มีลักษณะเช่นนั้น คือเป็นข้อมูลของจิต ทำให้สัตว์มีลักษณะนิสัย สันดานแตกต่างกัน เมื่อจิตออกจากร่างภวังคะจะจดจำข้อมูลสร้างร่างจากจิตตะอันเป็นอัสนีธาตุหรือธาตุพลังงานทำให้มีรูปร่างตามแต่ปัจจัยกำหนด ที่มักเรียกกันว่าผี ภวังค์คือกฎวัฏฏตาแห่งพีชนิยามของนามธาตุ ทำให้เกิดวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดขึ้น
    4.เวทนา
    หมายถึงธรรมชาติรับรู้อารมณ์ ทางกายคือ 1.สุขํ สุข 2.ทุกขํ ทุกข์ 3.อทุกขมสุขํ ไม่สุขไม่ทุกข์ ทางใจ 3คือ 1. โสมนัส สุขใจ 2.โทมนัส ทุกข์ใจ 3. อุเบกขา วางเฉย เวทนา คือกฎทุกขังแห่งธรรมนิยามของนามธาตุ คือการแปรปรวนผันผวนของนามธาตุ ทุกขเวทนาเพียงดังน้ำที่ถูกต้มให้เดือด
    5.สัญญา
    หมายถึง ความทรงจำมี6 คือ จักขุสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางตา (ภาพ) โสตสัญญา (เสียง) สิ่งที่ทรงจำทางหู ฆานะสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางจมูก (กลิ่น) ชิวหาสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางลิ้น (รสชาติ) กายสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางกาย (ประสาทสัมผัส) มนสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางใจ สัญญา คือกฎสมตาแห่งพีชนิยามของนามธาตุ อย่างเช่น ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เกิดจากการจดจำทุกขังและปรับสมดุลด้วยสมตา สัญญาก็เป็นดุจภูมิคุ้มกันของจิต ที่เกิดจากการจดจำทุกขังและปรับสมดุลด้วยสมตา
    6.สังขาร
    หมายถึงสิ่งที่ปรุงแต่ง มี 3 คือ กายสังขาร (การบังคับร่างกาย) วจีสังขาร (ความคิดตรึก ตรอง) จิตตะสังขาร (อารมณ์ที่จรเข้ามาในใจ)1. กายสังขาร (สิ่งที่ปรุงแต่งกายอัสสาสะ ลมหายใจเข้า ปัสสาสะ ลมหายใจออก)อัสนีธาตุของจิตตะ จะเชื่อมกับ อัสนีธาตุของกายสังขาร ที่เกิดขึ้นจากลมหายใจเข้าออกอันเป็นเหตุให้หทยวัตถุ (หัวใจ) เต้น เหมือนเขื่อนเปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า ทำให้จิตสามรถสั่งการให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ 2.วจีสังขาร (สิ่งที่ปรุงแต่งวาจาหรือภาษานั้นคือ วิตก (ตรึก) วิจาร (ตรอง ) อันเรียกว่าความคิด ) 3.จิตตสังขาร (สิ่งที่ปรุงแต่งจิต มี 2 คือเวทนา สัญญา)จิตตะเป็นปภัสสรคือบริสุทธิ์ว่างเปล่าราวกับอากาศไม่สว่างหรือมืด แต่เพราะ เวทนาและสัญญา ที่จรเข้ามาทำให้จิตมีอารมณ์เป็นไปตามเวทนาและสัญญานั้น เช่น เวลาหลับเราเมื่อย เวทนาก็เป็นอิริยาบถให้เราหายเมื่อย เราเดินเองโดยอัตตโนมัติเพราะร่างกายเราจดจำสัญญาในการเดินไว้ทำให้บางที่เดินไปในที่เคยชิน และสัญญาที่เกิดจากวิตก (ตรึก) วิจาร (ตรอง) การตรึก คือการน้อมไปในการใช้สัญญา เช่น สิ่งนี้คือต้นไม้ ต้นไม้นี้ชื่อต้นไผ่ วิจารทำให้เกิดการเปรียบเทียบ เช่น คนนี้สวยกว่าคนนี้ ชีวิตเราสำคัญน้อยกว่าความรัก เงินสำคัญที่สุดเป็นต้น ทำให้เกิดจิตสังชารที่ทำให้ยึดมั่นและเกิดอารมณ์ต่างๆตามมามากมาย เช่นรัก โลภ โกรธตระหนี่ ริษยา อิจฉา อันเป็นเจตสิกต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิต สังขารคือกฎชีวิตาแห่งพีชนิยามของนามธาตุ ได้แก่นามธาตุชนิดต่างๆทั้ง50ชนิด(เจตสิก) ที่ทำมีหน้าที่ต่อกัน ทำงานเป็นกระบวนการ
    7.วิญญาณ
    วิญญาณ มาจากคำว่ารู้แจ้ง หมายเอา จิตที่ทำหน้ารับรู้ทางอายตนะทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมายถึงการรับรู้ หรือ วิญญาณทั้ง 6 คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ มโนสิ่งที่รับรู้ทางใจ มี 3 คือ รับรู้เวทนา รับรู้สัญญา รับรู้สังขาร วิญญาณคือกฎอนัตตาแห่งธรรมนิยามของนามธาตุ ทำให้เกิดความว่างเพื่อเป็นทางผ่านเจตสิกทำให้เกิดการรับรู้ขึ้น

    อ้างอิง

    หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา ชื่อเรื่อง ธมฺมธาตุ (พระธัมมธาตุ) เลขหมู่ นม.บ.229/1 หมวดหมู่ ปกิณณกะ (ธรรมคดี) ภาษาบาลี-ไทย คัมภีร์ใบลาน จำนวน 1 ผูก: เส้นจาร ฉบับลานดิบ ไม่มี บทคัดย่อ/บันทึก ได้มาจากวัดเหมสูง ต.ทองหลาง อ.จักราช จ.นครราชสีมา รายละเอียดดังนี้: กล่าวถึงธรรมธาตุ 7 คือ ภวังค์ 1 มโน 1 จิตตัง 1 วิญญาณัง 1 สังขาร 1 เวทนัง 1 สัญญา 1 ท่านได้อธิบายธรรมธาตุ 7 หัวข้อนี้ออกไปโดยพิศดาร โดยวิธีถาม – ตอบ ในช่วงต้น ๆ จะอธิบายในแนวของพระอภิธรรมปิฎก คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ในตอนกลางจะอธิบายในแนวของพระสูตร และในตอนท้ายจะอธิบายในแนวของพระวินัย คือว่าด้วยเรื่องศีลค่อนข้างละเอียด.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...