ธรรมะเปิดโลก (หลวงพ่อคง จัตตมโล)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย satan, 19 มีนาคม 2010.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ธรรมะเปิดโลก (หลวงพ่อคง จัตตมโล)

    วัดเขาสมโภชน์ ตำบลบัวชุม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี

    ธรรมเปิดโลกเป็นอานุภาพที่พระพุทธเจ้าทรงใช้สมัยเสด็จลงจากดาวดึงส์ โดยใช้พุทธานุภาพเปิดโลกทั้งสามให้มนุษย์ เทวดา และเปรต นรก เห็นกันได้หมด จากนั้นก็ไม่มีปรากฎการณ์ทำนองนี้อีกเลยในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

    จนกระทั่งหลวงพ่อคงท่านปฏิบัติมหาสติปัฏฐานอยู่ที่ถ้ำอรหันต์ ลพบุรี หวังหลุดพ้นแต่ยังไม่หลุดพ้นสักที ท่านจึงอธิษฐานว่าหากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจริงขอให้โปรดท่านให้มีดวงตาเห็นธรรมะและหลุดพ้นด้วยเถิด

    และในที่สุดท่านก็ปฏิญาณว่าท่านได้พบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง และถึงฝั่งอรหันตภูมิแล้ว จึงประกาศธรรมะเปิดโลก แต่กำลังพระอรหันต์ไม่เท่าพระพุทธเจ้าที่จะสามารถทำให้เห็นด้วยตาเปล่าได้ แต่ทำให้เห็นด้วยญาณ และปรากฎการณ์ทางกายและจิตใจได้

    หลักการฝึกจิตแบบธรรมเปิดโลก

    ด้วยกายนี้เป็นที่ตั้งแห่งกรรมชรูป และจิตชรูป กรรมกิเลส ตัณหา และอวิชชามากมาย โดยมีจิตและเจตสิกเป็นผู้ทำงานร่วมพร้อมด้วยตลอดเวลา จึงให้ใช้กายเป็นฐานในการบำเพ็ญจิต เพื่อคลายอาสวะเหล่านั้นแห่งเจตสิกออกมา

    เมื่อมีการกระทบกันของกาย จิต เจตสิก ย่อมเกิดการเคลื่อนไหว และการคลายตัวตามธรรมชาติ คลายมลทินต่างๆ ที่ฝังแน่นในอัตตาออกมาในรูปของการสะท้อน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่อัดแน่นอยู่ในตัวตน

    และเพื่อให้ปลอดภัยและรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านให้ถวายกรรม ถวายเวรให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน และให้อาราธนาพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพมาโปรดกำกับกระบวนการด้วย

    วิธีฝึกจิตแบบธรรมเปิดโลก

    ก่อนอื่นผู้ประสงค์จะเจริญกรรมฐานธรรมะเปิดโลกจะต้องถวายกรรม ถวายเวรให้กับพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้าก่อน เพื่อเป็นการอาราธนาอำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ลงมาโปรด หากไม่อาราธนาแล้วท่านจะไม่มายุ่งด้วย เพราะถือว่าเจ้าของไม่อนุญาต แต่เมื่อาราธนาแล้ว น้อมธรรมะมาใส่ตัว อานุภาพของพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมเจ้าก็ดี พระสังฆเจ้าก็ดี จะลงมาโปรดเปิดโลกให้ได้รู้

    วิธีภาวนา

    เมื่อมอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ต่อไปก็น้อมรับอำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มาสถิตประสิทธิ์ประสาทในขันธสันดานของตน อำนาจวิสุทธิทิพย์จะเข้ามาเพื่อบุคคลน้อมเข้ามาใส่ตนเท่านั้น

    ผู้ปฏิบัติพึงเฝ้าดูอาการของลมหายใจที่ลิ้นปี่ (ก้นปอด) ยามขยายตัวพองออกก็รู้แจ้งชัดว่าขยายพองตัวพองออก บริกรรมกำชับความรู้ตัวว่า “ พองหนอ ” เมื่อมันยุบแฟบลงก็รู้แจ้งชัดว่ายุบแฟบลง บริกรรมกำชับความรู้ตัวว่า “ ยุบหนอ ” นี่คืออานาปานสติฐานเดียว

    เมื่อทราบวิธีการแล้วจึงลงมือปฏิบัติได้ โดยนั่งคู้บัลลังก์ เท้าขวาทับขาซ้าย หรือเท้าซ้ายทับขาขวา ก็ได้ตามถนัด เอามือขวาทับมือซ้าย หรือมือซ้ายทับมือขวา หรือประสานกันไว้วางบนหน้าตัก ตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น

    มองไปที่พระพุทธรูป บอกกับตัวเองว่า “ บัดนี้ฉันได้ถวาย ร่างกายและชีวิตนี้ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้าแล้ว ต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะปล่อยให้เป็นไปตามอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บัดนี้ฉันจะเจริญสมาธิ ให้นิ่งอยู่ด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม ฉันจะไม่สนใจเรื่องภายนอก ฉันจะไม่ยินดียินร้ายกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่อาจมากระทบ จะสนใจเพียงประการเดียวคือความรู้ตัวอันบริสุทธิ์เท่านั้น ” จากนั้นค่อยๆ หลับตาลง

    แล้วเริ่มสังเกตดูอาการของลมหายใจ เอาจิตจดจ่ออยู่ที่ลิ้นปี่ เฝ้าดูอาการของลมปราณอยู่อย่างปกติเฉย เมื่อมันพองออกก็บริกรรมว่า “ พอง ” เมื่อมันยุบก็บริกรรมว่า “ ยุบ ” ลมจะสั้นจะยาวจะช้าจะเร็ว อย่าเข้าไปบังคับมัน การเข้าไปบังคับลมหายใจจะทำให้ขาดความสมดุลในกระบวนการ อาจเกิดการอึดอัด เหนื่อยหอบ คอแห้ง เป็นต้น

    ด้วยอำนาจของสตินั้นจะทำให้จิตถอนตัวออกจากขันธ์และอาการของขันธ์ เมื่อเราถอนจิตออกจากขันธ์ ขันธ์จะผ่อนคลาย และสงบเย็น สิ่งผิดปกติในขันธ์จะถูกกำจัดออกไปปรากฎเป็นอาการต่างๆ ก็ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ตามและไม่ต้าน เสมือนขณะที่เรากวาดฝุ่นละอองออกจากบ้าน ฝุ่นกระจายฟุ้งไปเราก็ไม่คว้าฝุ่นนั้นไว้ หรือไล่ตามฝุ่นไปฉันใด ในยามที่เราชำระขันธ์ ความเครียดของกรรมเก่าคลายออกไป เราก็ไม่ต้องไปคว้ากรรมนั้นมาไว้อีก หรือไหลตามกรรมนั้นไปฉันเดียวกัน ปล่อยให้มันคลายออกไปตามกลไกธรรมชาติ เราพึงทรงสติรู้ดูเฉยอยู่ ขันธ์จะกระตุกเต้นก็ปล่อยไป แต่จิตจะไม่เข้าไปเต้นกระตุกด้วย ให้ทรงสติรู้อยู่ ด้วยวิธีนี้จิตจะถอนออกไป เมื่อกรรมนั้นคลายออกไปหมดก็เป็นอันสิ้นกรรมตัดเวรนั้นๆ ขาดไป แต่หากมีกรรมใหญ่ที่ไม่อาจคลายได้หมด หรือกรรมที่ตัดไม่ขาดเพราะยังมีเจ้ากรรมนายเวรจองล้างจองผลาญอยู่ ก็ให้เชิญเจ้ากรรมนายเวรมาแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล และทำพิธีอโหสิกรรม ตัดเวร เพื่อเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรเสีย

    ชำระขันธ์เพิ่มพลังอำนาจ

    การคลายกรรมและตัดกรรมออกไปด้วย จะทำให้ขันธ์ของท่านสะอาดโปร่งเบาขึ้น เมื่อใจสงบลง องค์ประกอบภายในอันได้แก่กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็จะจัดเรียงตัวกันใหม่ให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น นำมาซึ่งความมั่นคง แข็งแรง และมีพลังอำนาจ

    ความตึงเครียดทั้งหลายทั้งที่เครียดเพราะติดดี และติดเลว สามารถเอาออกจากขันธ์ได้โดยการลดความเร่าร้อนของจิตใจลง เมื่อใจสงบลงแล้ว อุณหภูมิของกายก็จะค่อยๆ ลดลง ขันธ์ต่างๆ ก็จะสงบลงระบบต่างๆ จะค่อยๆ จัดเรียงตัวกันใหม่ให้เป็นระเบียบ ช่วงนี้อาการเครียดอันแปลกปลอมอยู่ในร่างกายก็ดี ใจก็ดี จะเริ่มคลายออก ซึ่งอาจจะออกทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง

    ทางร่างกาย เช่น ชาตามมือตามเท้า เกร็งทั้งตัว สั่น แน่นหน้าอก รู้สึกเสียวไปทั่วสารพางค์กาย ปวดศีรษะ ปวดเอว เมื่อยหลัง ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมของการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ประพฤติผิดในกาม และดื่มน้ำเมา เสพสิ่งเสพติด

    ทางวาจา เช่น ร้องไห้ ร้องเพลง ส่งเสียงเอิ๊กอ๊าก ร้องด่าผู้อื่น โอดครวญคราง สารภาพผิด ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมของการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ล้อเลียน

    ทางใจ เช่น รู้สึกอึดอัด มือตื้อ รู้สึกวาบหวิวเหมือนตกจากที่สูง ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมทางใจที่โลภ โกรธ และหลงใหล งมงาย ขาดปัญญา

    เมื่อจิตเริ่มเป็นสมาธิ อาการเหล่านี้จะเริ่มคลายออกมา หากมีอาการใดเกิดขึ้น นักปฏิบัติไม่ต้องตกใจ ปล่อยให้มันเกิด ไม่ตาม ไม่ต้าน ทรงสติมั่นรู้อยู่ เข้าใจอยู่ว่านั่นสักแต่ว่าเป็นผลกรรม ไม่เป็นตน เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เรารู้แล้วว่าทำชั่วได้ชั่วจริง ต่อไปนี้ชีวิตเราจะไม่ทำกรรมชั่วอีก แม้แต่น้อย ตั้งใจให้แน่วแน่ เด็ดเดี่ยวแล้วอาการจะค่อยๆ หายไปเอง

    ที่สำคัญอย่าออกจากสมาธิในขณะที่มีอาการ เพราะจะทำให้อาการนั้นค้างอยู่ในชีวิต ควรนั่งต่อไปจนอาการนั้นหายไปจึงค่อยออกจากสมาธิ

    สมาธิควบคู่กับการงาน

    การประกอบการงานเป็นกุศโลบายที่สำคัญมากที่จะประคองสมาธิไว้กับจิตใจให้ตั้งมั่นตลอดเวลา นำพลังอำนาจของสมาธิมาใช้ประกอบการงานทำให้ผลงานมีประสิทธิภาพ นำพลังอำนาจของสมาธิมาใช้ประกอบการงานทำให้ผลงานมีประสิทธิภาพ ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างราบรื่นมีความเจริญทั้งในทางโลก และทางธรรม การเจริญสมาธิควบคู่กับการงานจึงเป็นตบะที่ทุกคนควรต้องฝึกหัดบำเพ็ญให้เป็นที่ยิ่ง

    การเจริญสมาธิควบคู่กับการงานนั้นควรบำเพ็ญสลับระหว่างนั่งกรรมฐาน และการออกสู่การงาน โดยนำอำนาจจิตที่เจริญขึ้นในระหว่างการภาวนานั้น มาใช้ประกอบการงานสรรค์สร้างความผาสุกให้กับสังคม เริ่มด้วยการออกจากกรรมฐานอย่างสำรวมระวัง รักษาสติอยู่เสมอในทุกๆ อิริยาบถที่เคลื่อนไหวไป อำนาจสมาธิก็จะตั้งมั่นแนบแน่นอยู่ในจิตใจ ด้วยการฝึกกรรมฐานแล้วออกมาผประกอบการงานนั้น เสมือนหนึ่งการย้อมผ้า เมื่อเรานำผ้าไปจุ่มสีแล้วก็เอาขึ้นมาตากแดด เมื่อตากแดดแรกสีย่อมจางไปบ้าง จึงเอาไปจุ่มสีอีก ตากแดดที่สองก็จางลงอีกเล็กน้อย จึงเอาไปจุ่มสีอีก จุ่มอีกตากแล้ว ตากแล้วจุ่มอีกเช่นนี้ จนสีแนบแน่นติดเนื้อผ้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน ครานี้แม้จะนำผ้าไปตากแดดสักเท่าใดสีก็ไม่เสียไป การฝึกกรรมฐานแล้วออกมาประกอบการงานก็เช่นกัน เมื่อมากระทบกับปัญหาในการทำงานครั้งแรกอาจจะรู้สึกว่าจิตหวั่นไหวเสียสมาธิไปบ้าง ก็เข้ากรรมฐานอีก เข้ากรรมฐานแล้วออกมาทำงานอีกเช่นนี้ตลอดไปในที่สุด จิตใจก็จะมั่นคงในทุกขณะของชีวิต แม้ระหว่างประกอบการงานหรือเผชิญคลื่นปัญหาที่รุนแรงเพียงใดก็ไม่ไหวหวั่น ที่สำคัญคือเมื่อออกจากกรรมฐานให้ประคองสติสัมปชัญญะไว้ด้วยความสำรวมระวัง และประกอบการงานหรือเผชิญคลื่นปัญหาที่รุนแรงเพียงใดก็ไม่ไหวหวั่น

    การจะพัฒนาจิตใจให้ก้าวหน้าไปสู่ความสมบูรณ์ได้นั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า จะต้องบำเพ็ญเป็นที่สม่ำเสมอ ดังนั้นจะหายใจทิ้งไปทำไมเปล่าๆ เล่า ควรเจริญสติ สมาธิ ไปด้วยทุกลมหายใจดีกว่าจะได้คุณประโยชน์อันเป็นอเนกอนันต์

    ยามคิด คิดด้วยความสุขุม เปี่ยมด้วยเจตนาดีต่อสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งปวงโดยส่วนรวม

    ยามพูด พูดด้วยใจอันอ่อนโยน การุณย์

    ยามกระทำ ก็ทำด้วยใจดี มีปัญญาใคร่ครวญในทุกกิจที่กระทำ

    เมื่อปฏิบัติด้วยดีแล้ว การงานทั้งหมดจะสำเร็จด้วยใจ มีใจเป็นใหญ่ขับเคลื่อนอำนาจสู่การกระทำ เพื่อสร้างสรรค์งานให้สำเร็จลุล่วงด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์

    นักปฏิบัติควรฝึกหัดกระทำดังนี้เสมอๆ ก็จะพบความมหัศจรรย์ของชีวิต พบคุณค่าแท้จริงของจิตใจ มีอำนาจภายในตั้งมั่นอยู่อย่างไม่เสื่อมสลาย

    ----------------------------------------------------------
    http://www.en.rmutt.ac.th/prd/page92Dhama.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...