ธรรมะง่ายๆ อ่านแล้วฮากระจาย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย SPcorona, 17 พฤศจิกายน 2011.

  1. SPcorona

    SPcorona สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +3
    พอดีเพื่อนฝากมา ยังไงก็ช่วยลองดูแล้วแนะนำนะครับ เขาคงรอผลตอบรับอยู่ เพื่อไปแก้ไข



    เปิดตัวครั้งแรกกับ ธรรมะ มา ฮา ธรรมะคู่ความฮา ที่จะเปลี่ยนเรื่องของธรรมะมาให้ฮากระจาย
    เปิดตัวแรกแย้มกับ ธรรมะ มา ฮา กับเรื่องของ ไตรลักษณ์ ที่เป็นกฎธรรมดาของทุกสิ่งรวมทั้งชีวิตมนุษย์โลกที่ชอบส่องกระจกแล้วโพสท่า ทางแปลกๆต่างๆนานาแล้วบอกตัวเองว่า ฉันสวยและรวยมาก ทั้งที่จริงแล้วต่างก็รู้กันอยู่แก่ใจค่ะ ว่าที่ทำอยู่นั้นคือความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเป็น ซึ่งเอยังก็ได้เห็นเพื่อนตัวเองทำแล้วปวดใจมาก หมุนตัวอยู่หน้ากระจกเป็นสิบๆนาทีแล้วทำท่าทำทางประหลาดๆจนโลกไม่ลืม ทั้งจิกเท้า เบิกตา บีบปาก เกร็งหน้าท้อง ยกสะโพกหนึ่งข้าง ถ้าไม่นับรวมเรื่องการโพสท่าถ่ายรูปที่แทบจะทั้งหมุนคอมังเอียงคอมังเกือบ 360 องศาเพื่อให้หน้าเรียวแบบสาวเกาหลีแล้วเอาลง Facebook แทบทุกรูปคือมุมไม่เกินสามสิบองศาของร่างกายนางที่ทำให้คนเห็นตัวจริงแล้ว ตกใจว่าคนในรูปใช่หล่อนแน่หรือ แต่ในใจของเอยังหวังว่าหมอนรองกระดูกของเพื่อนยังคงปกติดีอยู่



    แล้วไตรลักษณ์คืออะไรหนอ อย่างที่บอกไปว่าแล้วค่ะ ไตรลักษณ์เป็นกฎธรรมดาของทุกสิ่งอย่าง ประกอบไปด้วยสามอย่าง คือ อนิจจตา ทุกขตา และอนันตตา ทั้งหมดไม่ต้องไปมองที่ไหนไกลหรอกค่ะ อยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้น ไม่เชื่อก็ลองไปส่องกระจกค่ะ แต่อย่าเผลอไปโพสท่านะคะ เดี๋ยวจะนานจนลืมมาอ่านต่อ



    เริ่มจาก อนิจจตา เป็นอย่างแรกค่ะ อนิจจตาคืออะไรค่ะเด็กๆ คืออะไรนะคะ ความไม่แน่อะไรค่ะ “ความไม่แน่.........นอน” เก่งมากค่ะ... ใช่แล้วค่ะ ความไม่แน่นอน ลองส่องกระจกดูตัวเองอีกครั้งค่ะ แล้วถามตัวเองค่ะ ว่าตัวเองนั้นสวยหรือหล่อตลอดไปมั้ย ถ้าตอบว่า “ไม่” คุณเก่งมากค่ะ เพราะคุณรู้เท่าทันสภาวะของตัวเอง แต่ถ้าตอบว่า “ใช่” รบกวนช่วยเอาหัวโขกกับใบมะขามแรงๆสักสามสี่ทีแล้วตื่นด้วยค่ะ แล้วลองไปถามผู้สูงวัยใกล้ตัวดูว่าเขาสวยหล่อตลอดเวลาหรือไม่ ถ้าเขาผู้นั้นตอบ “ใช่” ก็รบกวนชวนกันไปโขกหัวกับต้นมะขามให้มะขามร่วงมาด้วยค่ะ เอยังจะได้เก็บไปขาย ซึ่งเพื่อนสาวของเอยังก็ชอบพูดตลอดเวลาว่าตัวเองสวย ทั้งที่ความจริงนางสร้างความปวดร้าวแก่จิตใจของเด็กแรกเกิดถึงเด็กอนุบาลที่ เดินผ่านนางค่ะ ความสวยหล่อไม่อยู่ตลอดไปนะค่ะ พอผ่านไปเริ่มเหี่ยวเริ่มยานถึงขั้นนมฟาดบ่า ไข่ยานฟาดเข่า ตอนนั้นแหละค่ะคือความจริงของความไม่แน่นอนของชีวิต ผู้ที่รู้ทันความไม่แน่นอนของชีวิตย่อมจะไม่ค่อยทุกข์ค่ะ เพราะรู้ว่าสิ่งนั้นจะต้องเกิดแล้วดับไป โดยเฉพาะความทุกข์มีเกิดก็ต้องมีดับไป เหมือนกับทุกคนที่เคยอยู่นอกบ้านแล้วปวดอึอย่างหนักนับเป็นความทุกข์อย่าง ยิ่ง เมื่อใกล้ถึงบ้านยิ่งนับทุกข์ยิ่งยวด เมื่อถึงบ้านจะถอดรองเท้าแทบจะไม่ได้ ได้แต่วิ่ง 4*50 เมตรในเวลาสิบวินาทีเพื่อเข้าถึงเส้นชัยหรืออาจหลุดออกก่อนถึงเส้นชัย เมื่อนั้นแหละค่ะที่ความทุกข์ได้สิ้นไป เห็นยังค่ะความไม่แน่นอน ทุกอย่างคือความไม่แน่นนอนแม้ความสุข ความหนุ่ม ความสาว ความยาวความยืด ถ้าจะแน่นอนก็คงต้องเจอ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน อ่านตรงนี้จบอย่าเพิ่งง่วงนอนแล้วไปนอน ก่อนจะนอนต้องอ่านให้จบก่อนแล้วค่อยนอนนะค่ะ



    ต่อมาค่ะ ทุกขตา ความทุกข์ที่เกิดขึ้นและสลายตัวตลอดเวลา อย่างที่เอยังเคยกล่าวไว้ข้างต้นค่ะว่า มันมีเกิดก็ต้องมีดับเหมือนกับเด็กอนุบาลที่เดินผ่านเพื่อนสาวแล้วเกิดความ ทุกข์ที่ได้เห็นเพื่อนสาวของเอยัง แต่เมื่อเด็กอนุบาลคนนั้นหันมามองเอยัง ความทุกข์ที่มีอยู่ก็ได้สลายตัวไปแล้วก่อเกิดความสุขขึ้นมาแทน หรือไม่ก็เมื่อเวลาผู้อ่านส่องกระจกแล้วบอกว่าตัวเองสวยและรวยมาก พอเดินออกจากบ้าน เจอแม่ค้าขายหมูปิ้ง 3 ไม้ 10 บาท ทักคุณว่า “อีหอย...เอ็งจะไปขุดหน่อไม้ที่ไหนว่ะ” ทันใดนั้นเองคุณเกิดความทุกข์ในใจ เหตุใดอีป้าปิ้งหมูที่เคยซื้อกินตอนเช้าทุกวันทักแบบนี้ หรือที่จริงแล้วคุณไม่สวยและรวยมากเหมือนที่คิดไว้ จึงเดินด้วยความเร็วแสงเพื่อให้พ้นจากร้านหมูปิ้ง แต่พอเดินมาถึงแยกปากหมาที่วินมอไซน์ไปพารากอนคิด 20 บาททักคุณว่า “ว่าไงจ๊ะน้องสาว แต่งตัวแบบนี้ไปพารากอนชิมิ มากับพี่ พี่คิด 20 บาท” ทันในนั้นเองความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากคำทักของแม่ค้าได้หายไป และยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าสวยและรวยมากจริงๆ ถึงแม้ความทุกข์ต่อไปอาจจะต้องทุกข์กับข้าวมันไก่จานละ 60 บาทที่พารากอนแถมยังไม่รวมค่าน้ำอีก 10 บาท เห็นยังค่ะว่าความทุกข์นั้นบีบให้เกิดขึ้นและสลายไปอยู่ทั่วทุกขณะ



    สุดท้ายของวันนี้ อนันตตา ที่ ทาทายัง ยังเข้าใจ นั้นก็คือความไม่มีตัวตน ไม่มีเจ้าของ ไม่เป็นของใคร อ่านตรงนี้อาจจะงงว่ายังไงแล้ว ทาทายัง เข้าใจได้อย่างไร มาดูกันนะค่ะว่าว่ามันเป็นอย่างไร ลองมาดูขนม นม เนย หรืออะไรก็แล้วที่เรากินกันนั้นแต่ก่อนหน้านี้มันเป็นของใครค่ะ ที่รู้ไม่ใช่ของเรา แต่เมื่อเราซื้อมาเราก็อ้างสิทธิ์ว่าเป็นของเรา พอเรากินแล้วอึออกมา ตอนนั้นเองค่ะ ตีโพยตีพายกันใหญ่ว่าไม่ใช่ขี้ของหนู ของใครก็ไม่รู้ สังสัยคนนั้นกินแบบเดียวกับหนูแต่ที่รู้ขี้นี้ไม่ใช่ของหนู นั้นแหละค่ะไม่มีอะไรเป็นของเราทั้งนั้นแหละค่ะ ทีนี้ลองเปรียบขนม นม เนย เหล่านั้นเป็นร่างกายของเราแล้วตัวเราเป็นวิญญาณ ตอนเราอยู่ในร่างนั้นเราก็บอกว่านี้ร่างของฉัน แต่พอมีขี้ไคล้ ขี้หู ขี้มูก หลุดออกมาทำไมไม่บอกละค่ะเป็นของตัวเอง โยนให้กันใหญ่ว่าของคนนู่นคนนี้ สนุกสนานเฮฮากับการโยนขี้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าขี้ของเรา นั้นแหละค่ะแม้ร่างกายนี้ก่อนหน้านี้มันเป็นอะไรเราเองก็ไม่รู้ อาจมีบางส่วนเคยเป็นร่างของคนตายไปก่อนแล้วก็ได้ นี้แหละค่ะความไม่มีตัวตนของร่างกายเรา ท้ายสุดตายไปแม้ร่างกายก็เอาไปไม่ได้ค่ะ มันเป็นสิ่งที่เราถือได้ไว้ชั่วคราวแล้วก็ต้องส่งร่างกายเรากลับคืนสู่ ธรรมชาติ



    เห็นยังค่ะธรรมะง่ายๆใกล้ๆตัวเรา ถึงแม้ตอนนี้เราอาจมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วเราเองเฝ้าสังเกตุดูก็จะเห็นไว้ว่าสิ่งที่พระพุทธสอน ไว้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ไหนไกลมันอยู่ใกล้ๆตัวเรานี้แหละค่ะ สุดท้ายนี้ก็ขอให้ผู้อ่านได้เห็นถึงความจริงบางส่วนในชีวิตเพื่อที่ได้เข้า ใจและหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นนะคะ เอยังต้องขอตัวลาไปบอกให้เพื่อนหยุดทำท่าแปลกๆหน้ากรระจกเพียงเท่านี้แล

    ที่มา
    ธรรมะ มา ฮา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2011
  2. oh my buddha

    oh my buddha สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +30
    หนุกดีครับ..........
     

แชร์หน้านี้

Loading...