เรื่องเด่น ทางเกิดของปัญญา : พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 28 เมษายน 2017.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    maxresdefault.jpg

    .. ถ้าหากเรายังยึดติดอยู่ในโลกธรรมแปด เราก็ละไม่ได้ มันก็ยังติดอยู่ พระอริยเจ้าท่านรู้แจ้งเห็นจริงท่านก็หลุดไปได้ละไปได้ ไม่รู้ว่าท่านจะมีความสุขแค่ไหนพระอริยเจ้าทั้งหลาย พระพุทธองค์ เป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อพระพุทธองค์รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ก็ได้ตรัสเทศนาสั่งสอน ภิกขุโณ ภิกขุณี พุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องอย่างนี้ก็มีผู้รู้ผู้เห็นตามที่พระองค์สั่งสอน ก็บรรลุธรรมไปได้มากมาย ในสมัยครั้งพุทธกาล

    .. ครูบาอาจารย์ท่านบวชสืบศาสนามาจนมาถึงพวกเราปัจจุบัน ก็มีครูบาอาจารย์หลายท่านรู้แจ้งเห็นจริงละปล่อยวางพ้นทุกข์ไปได้ ไม่รู้ว่ากี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านองค์ที่ท่านพ้นทุกข์ไปก่อนพวกเรา พวกเรานี้ก็ยังล้มลุกคลุกคลานกันอยู่ในการบำเพ็ญนี้ไม่รู้กี่ชาติ จนมาถึงขนาดนี้ก็คงทำความดีมาหลายชาติบ้างล่ะ เราก็ได้ปลื้มใจว่าเราได้ติดตามรอยเบื้องพระยุคลบาทพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ปล่อยปละละเลยในชีวิตของตน ไปอยู่ที่ไหนบ้านใดเมืองใดตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไม่เห็นแก่หลับแก่นอน ปลุกตนเองให้ชื่นอยู่ ตลอดเพราะต้องการพ้นทุกข์ มันเป็นเรื่องของตนเอง จะให้คนอื่นไปปลุกเราทำไม เราต้องปลุกตนเองและคุมตนเอง เพราะเราอยากพ้นทุกข์ คนอื่นจะมาจูงเราให้พ้นทุกข์ก็ได้แต่เทศน์ให้ฟังเท่านั้น ก็มีสุตตามยปัญญา ฟังเทศน์ท่านแล้วก็นำไปพินิจพิจารณาให้เข้าใจ จึงจะเกิดปัญญาขึ้น

    .. เมื่อนั่งสมาธิจิตใจสงบแล้วก็ต้องมาวิเคราะห์วิจารณ์ ไตร่ตรองใคร่ครวญ เพื่อที่จะได้เข้าใจ เป็นภาวนามยปัญญา มีจินตามยปัญญา คิดหน้าคิดหลัง ไตร่ตรองใคร่ครวญ ยืนเดินนั่งนอนก็สามารถมีปัญญาเกิดขึ้น รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งนั้น เข้าใจในสิ่งนั้นชัดเจนได้ ก็จะบรรลุไปได้เหมือนกันตามระดับ

    ..ทางเกิดของปัญญานั้นมี 3 ทาง พระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้ จินตามยปัญญาทางหนึ่ง สุตตามยปัญญาทางหนึ่ง ภาวนามยปัญญาอีกทางหนึ่ง ทางที่จะเกิดปัญญาได้ 3 ทางนี้ บุคคลใดที่จะฝึกฝนอบรมตนเองได้ ทางไหนที่จะทำให้เกิดสติปัญญา ที่จะรู้โลกธรรมแปดดังได้กล่าวมานี้ ก็จะแก้ไขตนเองได้ ให้จิตใจของตนเองที่มันติด มันยึดมั่นอยู่ ไม่วางเอาไว้เพราะมันหลง เมื่อมันไม่วางมันก็เลยกำเอาไว้ ไม่ปล่อย ไม่แบออกไปมันก็ติดมือ

    .. คนเราตายไปแม้เงินบาทเดียว ก็ไม่สามารถเอาติดมือไปได้ แม้แต่ตอนมีชีวิตอยู่ก็ยังห่วงเงินห่วงทองอยู่ไม่สามารถมาบำเพ็ญภาวนาได้ พวกเรานี้มาได้ก็แสดงว่าเราก็ชนะอยู่ ชนะละสิ่งนั้นมาได้ มาบำเพ็ญภาวนา มาฟังเทศน์ได้ ก็ควรที่จะปลื้มใจว่าตนเองนี้เสียสละออกมาได้ มาฟังเทศน์ฟังธรรมมาปฏิบัติ เพื่อที่จะฝึกหัดตนเองให้ก้าวหน้าให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไป เป็นหนทางที่ถูกต้องแล้ว อยากที่ต้องการพ้นทุกข์เสียแล้ว พระอริยเจ้าท่านก็ฝึกฝนอบรมมาหลายภพหลายชาติ ท่านจึงมีสติปัญญาแก่กล้า เรียกว่ามีอินทรีย์ 5 สมบูรณ์

    ..มีศรัทธาเป็นใหญ่ตั้งใจที่จะบำเพ็ญ มีิวิริยะความเพียรพยายามที่สุด ไม่ปล่อยปละละเลยให้เสียเวลา มีสติปัญญารอบคอบสามารถควบคุมจิตใจให้สงบลงได้เป็นสมาธิ มีความรอบรู้ในกองสังขารทั้งปวง ทั้งปวงก็คือหมดเลยทีเดียว สังขารทั้งหลายมีลาภมียศมีสุขสรรเสริญก็รู้ เสื่อมลาภเสื่อมยศมีทุกข์มีนินทาท่านก็รู้ เมื่อท่านรู้แล้วท่านก็มีจิตใจวางเป็นกลางทั้งดีและทั้งไม่ดี

    .. เหมือนพวกเราไปเห็นสิ่งดีและสิ่งไม่ดี อันนี้เขาสมมุติว่าเป็นสิ่งดี อันนี้เขาก็สมมุติว่าเป็นสิ่งไม่ดี เราจะทำอย่างไรให้จิตใจของเรารู้เรื่องอย่างนี้ เพื่อที่จะให้จิตใจของเราเป็นกลาง เปรียบไปเหมือนเราพบกับคนที่ดีและไม่ดี คนสองคนนี้เราจะทำกับเขาอย่างไร เราจะกลับบ้านเราจะทิ้งเขาไปได้ไหม หรือเราจะไปยึดกับคนที่ดีนั้นอยู่ ก็หนีไปไหนไม่ได้ หรือเราจะยึดคนที่ไม่ดี เราจะควบคุมให้มันทำดีจนได้ ถ้าเราไปยึดมั่นอย่างนั้นเราก็จะเกิดความทุกข์อีก ทุกข์กับทั้งสองคนเลยทีเดียว นี่มันเป็นอย่างนี้ก็ให้เราศึกษา ศึกษาทั้งดีและทั้งไม่ดี มันเป็นธรรมะหมด อะไรมันดีอะไรมันไม่ดี

    .. ของไม่ดีมันเหม็น คนเห็นคนก็อยากเดินหนี แต่ของดีนี้มันเป็นกิเลส มันทำให้คนติดติดในความสุข เหมือนคนติดกับความสบายอยู่ในห้องแอร์เลยหนีไปไหนไม่ได้ ออกจากห้องไม่ได้ จะไปวัดไปวาไปโน่นไปนี่ก็ไม่ได้ นี่มันเป็นอย่างนี้เลยไปติดอยู่ในบ้านนั้น เรียกว่าโลกธรรมแปด มันติดอยู่มันไม่รู้ คนที่ออกมาได้เขาก็ละได้ ไปนั้นไปนี้ได้ ก็เรียกว่าคนนั้นละกิเลสไปได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น หลุดออกไปเสียได้ก็เลยเกิดความสบาย

    .. เหตุฉะนั้นพวกเราทั้งหลายเป็นนักปฏิบัติ สอนมาหลายครั้งหลายคราวแล้ว ให้รู้จักจิตใจของตน ความคิดความอ่านของตน ว่ามันยึดมั่นถือมั่นอะไร มันติดอยู่ในอะไรบ้าง สิ่งไหนที่มันไม่ดีมันเสื่อมไป พระพุทธองค์จึงสอนว่ามันเป็นธรรมะทั้งคู่ สุขกับทุกข์เป็นคู่กัน ร้อนกับเย็นก็เป็นคู่กัน ถ้ามีอย่างหนึ่งก็ต้องมีอีกอย่างหนึ่ง เมื่อมีสุขต่อไปก็ต้องมีทุกข์ ก็ให้เรามาวิจัยในเรื่องอย่างนี้ เรียกว่าวิจัยเรื่องกิเลส ที่เกิดขึ้นมาสัมผัสกับตน พระอริยเจ้า ท่านไม่มีอะไรที่จะติดที่จะยึดสัมผัส เพราะจิตใจของท่านรู้ ท่านไม่ยึด ท่านรู้ทั้งดีและไม่ดี ท่านก็เลยไม่โศกเศร้าโศกากับสิ่งเหล่านั้น เมื่อมีลาภมียศสุขสรรเสริญท่านก็ไม่ตื่นเต้น เสื่อมลาภเสื่อมยศทุกข์สุขนินทา จิตใจท่านก็ไม่เหี่ยวแห้งเศร้าหมอง..อโศกัง วิระชัง เขมัง ท่านก็เลยอยู่เกษมสานต์ จิตเลยอยู่สบาย เอตัมมังคะละมุตตะมัง เป็นมงคลอันสูงสุด จิตใจของบุคคลที่ฝึกฝนอบรมได้แล้วจึงเป็นมงคลอันสูงสุด ก็เหมือนกับเป็นคนใหม่แล้ว เหมือนกับพวกเราที่แต่ก่อนยังละไม่ได้ความโลภความโกรธความหลง ถ้าเราละความโลภความโกรธความหลงได้ มันก็เหมือนจะเป็นคนใหม่เพราะจิตใจมันเปลี่ยนใหม่แล้ว มันละความหลงใหลนั้นออกไปได้หมดแล้ว ก็เลยมีแต่ความรู้ ความรู้ก็เหมือนกับบุคคลที่มีความฉลาด รู้จักถูกรู้จักผิด อะไรทำให้เกิดทุกข์อะไรทำให้เกิดสุขก็จะรู้หมด เขาก็จะเข้าใจได้ ก็จะมีความสบาย จึงเรียกว่าเป็นมงคลอันสูงสุด..

    https://www.facebook.com/บูชาธรรม-พ่อแม่ครูอาจารย์-547484925274505/?hc_ref=NEWSFEED&fref=nf
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤศจิกายน 2017
  2. NuchabaGreenmonkeys

    NuchabaGreenmonkeys สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +132
    น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...