ทางสายเอกโดยพระราชพรหมยาน ตอน เตือนตนเอง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 1 ธันวาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ทางสายเอกโดยพระราชพรหมยาน ตอน เตือนตนเอง

    ห่วง
    [​IMG]
    พระพุทธเจ้าบอก ปุตตัง คีเว ธนัง ปาเท ภริยัง หัตเถ ใช่ไหม
    ปุตตัง คีเว ห่วงลูกผูกคอ
    ธนัง ปาเท ห่วงทรัพย์สินผูกข้อเท้า มีทรัพย์มีสินมากๆ ไปไหนไกลไม่ได้ กลัวขโมยมันจะมาลักใช่ไหม ก้าวขาไม่ค่อยออก ไอ้ห่วงลูกผูกคอนี่ เรามีกินมีใช้อยู่คนเดียวสบายทุกอย่าง แต่ทว่ามีลูกขึ้นมาของอะไรๆ กลืนไม่ลงถ้าลูกไม่ได้กินด้วย

    แหม..คิดถึงลูกใช่ไหม เออ..ไอ้พวกนี้เอาเข้าแล้ว ปุตตัง คีเว
    ภริยัง หัตเถ มีผัวมีเมียก็ต้องเร่งทำงานล่ะสิ เคยทำงานวันกินสามวัน นี่ไม่ได้แล้ว ต้องช่วยกันทำยกใหญ่ กลัวว่าจะจนใช่ไหม อ้าว..แกอยากโง่เองนี่ แต่งงานไปแล้ว ไอ้อย่างข้านี่มันไม่ได้ตั้งใจฉลาด มันบังเอิญฉลาด (หัวเราะ) โอ๊ย..เมื่อก่อนบวชข้าก็เคยโง่มาก่อนนะ สาวๆ แบบนี้ข้าเจอะมาแล้ว เกี้ยวดะ ใช่ไหม

    มีเงินไม่รู้จักใช้

    “...หลวงพ่อคะ พิจารณาดูลูกยังสงสัยเทปที่หลวงพ่อเปรียบเทียบ ว่าคนมีเงินไม่รู้จักใช้...”
    “...ทำไม...”
    “...หนูไปเปิดเทปหลวงพ่อฟัง ที่หลวงพ่อเปรียบเทียบคนมีเงินไม่รู้จักใช้...”
    “... อ๋อ ใช่ มันยังไม่ถึงเวลานี่ คำว่า คนมีเงินไม่รู้จักใช้นี่มันเป็นอย่างนี้นะ

    ว่าคนที่ปรารถนาสาวกภูมิถ้ามีบารมีเต็มแล้ว ถ้ายังไม่รับคำสอนจะบรรลุไม่ได้เหมือนกันหมด คือต้องได้รับคำสอนก่อน ถ้ารับคำแนะนำนิดหน่อยเขาเข้าใจเลย มันเหมือนกับคนที่มีน้ำ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบเหมือนคนที่มีน้ำในตุ่มเต็ม แต่ฝามันปิด ถ้ายังไม่มีใครมาแนะนำให้เปิดฝา อันนี้เขาจะรู้จักน้ำไม่ได้เลยนะ พวกนี้เขาไม่บรรลุเอง ถ้าสาวกนี่เหมือนกันหมด แล้วเวลาที่จะใช้หรือว่าจะเข้าถึงธรรมะต้องรอเวลาเหมือนกัน

    คือว่าเราเกิดมานี่มันมีเหตุ ๒ ประการ คือว่า กุศล กับ อกุศล ถ้าขณะในตอนต้นอกุศลมันยังอยู่ เรามองไม่เห็น ไอ้ตุ่มน้ำหรือสตางค์ในกระเป๋า มันมองไม่เห็น มันไม่รู้จัก พอกุศลเริ่มให้ผล กุศลเดิมเริ่มให้ผล อกุศลถอยไป ตอนนี้เริ่มรู้จักใช่ไหม หรือว่ามีเงินรู้จักใช้ แต่ความจริงมันรู้จักอยากได้เงิน แต่ไม่รู้จักเงินใช่ไหม อยากได้เงิน ถ้ารู้ว่าเงินมีในกระเป๋าไปกินก๋วยเตี๋ยวเสียนานแล้ว...”

    ทำบุญร่วมกันมา จึงพูดกันรู้เรื่อง

    “...ฆราวาสนี่มีทางทำให้ทานบารมีเต็มไหมครับ...”
    “...มี ก็พระพุทธเจ้าท่านเคยเป็นฆราวาสมาก่อน...”
    ฆราวาสที่เขาฟังเทศน์จบเดียวเป็นอรหันต์น่ะ เขาเต็มทุกอย่างทั้ง ๑ อย่าง เต็มหมดแล้ว
    แต่คำว่า สาวก เขาแปลว่า ผู้รับฟัง ถ้าไม่รับฟังคำสอนนี่บรรลุอรหันต์ไม่ได้ เหมือนกับน้ำที่เต็มตุ่มแล้ว แต่เจ้าของไม่รู้จักเปิดฝา ฉะนั้นที่ไม่สามารถจะบรรลุได้อยู่ที่ว่าไม่ได้เปิด ยังไม่ได้ฟัง สาวกภูมิ สาวกะ แปละว่าฟังยังไงล่ะ

    “...ทีนี้ว่าจะทำบุญแบบไหนจึงจะไปเจอพระที่เปิดฝาถูกใจและได้ผลเร็ว...”
    “...ก็ทำบุญกับฉันสิ (หัวเราะ) เอาย่ามเปิดไว้เสมอ อย่างถามเมื่อกี้น่ะมีเหตุมีผล การรับฟังนี่ต้องเฉพาะบุคคลที่เคยเนื่องกันมา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน...”
    พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่จะโปรดคนได้ทุกคน สังเกตไหมว่าเวลาที่ท่านจะตรวจอุปนิสัยของสัตว์ ตอนหัวค่ำน่ะตรวจไกลเข้ามาหาใกล้ ถ้าตอนเช้ามืดตรวจใกล้ไปหาไกล

    หมายความถึงว่าตรวจตั้งแต่ใกล้ที่กุฏิยาวไปทั่วจักรวาล ถ้าไกลเข้ามาหาใกล้หมายถึงว่าจากจักรวาลไปหากฏิ ว่าวันนี้ใครจะบรรลุมรรคผลบ้าง ใครตกในข่ายพระญาณบ้าง ใช่ไหม ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรวจอุปนิสัย ทุกวันต้องพบว่าคนนั้นคนนี้ต้องบรรลุมรรคผลอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร บุญเก่าทำอะไรไว้ จะไปพูดว่ายังไงจึงบรรลุมรรคผล นี่รู้หมด

    แต่ทว่าถ้าตรวจอีกครั้งอีกจุดว่า เราจะไปก่อนเองดีหรือให้ใครไปก่อน คนนี้เคยเนื่องกับเราหรือเปล่า ถ้าเคยเนื่องกับพระองค์ก็โปรดเอง ถ้าไม่เคยเนื่องกับพระองค์ พระองค์ก็ดูก่อนว่าพระอยู่กับท่านมีใครบ้างไหมที่เคยทำบุญร่วมกับคนนี้มาก่อน ถ้ารู้ว่าองค์นั้นเคยทำบุญร่วมกันมาก่อนก็ใช้องค์นั้นไปก่อน เขาจะพูดกันรู้เรื่องง่าย

    ในเมื่อองค์นั้นไปแล้ว เรียกว่าทะเลาะกันก่อน ไม่ใช่ตีกันนะ โต้กันไปเถียงกันมา เถียงไปเถียงมา.. แพ้ แพ้พระ ใช่ไหม ทีนี้พระพุทธเจ้าก็เสด็จเหาะไปเลย เหาะไปเดี๋ยวนั้นเลย เหาะไปแล้วก็ลงไปนั่งข้างๆ พระองค์นั้นก็เข้าไปกราบว่านี่คืออาจารย์ของเรา พราหมณ์นั้นเลยนึกว่าลูกศิษย์เก่งขนาดนี้ อาจารย์จะเก่งมากกว่านี้ เลยรับฟังเทศน์ พอเทศน์จบก็เป็นพระอรหันต์

    ฉะนั้นการรับฟังการแนะนำก็เหมือนกัน เวลานี้เวลานั้นก็เหมือนกัน คนต้องเนื่องกันมาในชาติก่อน ถ้าไม่เนื่องกันมาไม่มีทางรู้เรื่อง
    “...ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าลูกหลานทั้งหมดที่นั่งกันประจ๋อประแจ๋นี่ ก็ทั้งเนื่องทั้งเกี่ยวกันมานะครับ...”
    “...ก็ไม่แน่ ประเภทลองมาดูก็มี รู้ทุกวันแหละ ใครนั่งตรงไหนก็รู้หมด...”
    ที่มาhttp://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงถวายวัดกุฏีทอง-รับพระผงกริ่งนาคราช.557837/
     

แชร์หน้านี้

Loading...