ถาม-ตอบ ปัญหา ใน ผี วิญญาณ นรก สวรรค์ มีจริงหรือ ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 2 พฤษภาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    ท่านคิดว่า คนที่กลัวผีนี่ กลัวบรรยากาศมากกว่าหรือเปล่าคะ
    คนที่กลัวผีหลอกอย่างนั้นน่า กลัวบรรยากาศด้วย จริงคนกลัวนี่กลัวคืออะไร คนกลัว เพราะยังไม่รู้ สิ่งนั้นจริง คนที่รู้สิ่งนั้นจริง จะไม่กลัวสิ่งนั้นเลย คนที่รู้ที่มืดจะไม่กลัวที่มืด คนที่รู้จักผีแท้ จะไม่กลัวผีแท้ คนที่รู้อะไร จะไม่กลัวสิ่งนั้น รู้แจ้งรู้จริงจะไม่กลัว คนที่ยังกลัวอยู่ เพราะยังไม่รู้จริง

    คนเวลาตายไป ไปนรกจริงหรือคะ

    เป็นๆนี่ ก็ไปนรกกันอยู่ ถ้าคุณมีดวงตา มีตาทิพย์ที่แท้ จะเห็นว่าเราเองนี่ ลงนรกอยู่วันหนึ่ง ไม่รู้กี่หลุม วันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้งนะ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เป็นๆ จิตวิญญาณของคุณมีกิเลส และมีวิบากอย่างนั้น มีพฤติกรรมอย่างนั้น ไม่ได้ล้างจริงๆ คนไม่ใช่ชาติเดียว ตายแล้วก็สูญ คนนี่ไม่ใช่ชาติเดียวตายสูญ ศาสนาพุทธสอนอย่างแน่ชัด คนมีสังสารวัฏ เวียนว่ายตายเกิด มีวิบากกรรมเป็นที่ไป มีกรรมเป็นที่อาศัย กัมมปฏิสรโณ มีกรรมเป็นที่อาศัย มีกรรมจำแนกสัตว์

    เพราะฉะนั้น จะมีเป็นสัตว์นรก หรือเป็นสัตว์เทวดา หรือว่า เป็นสัตว์จริง เทวดาจริง เทวดาปลอม ก็ไปตามวิบากนั้นๆ

    เวลาตายไปแล้ว ไปนรกจริงหรือ

    ตั้งแต่เป็นๆ นี่ก็ไปแล้วนรก เพราะฉะนั้น ตายแล้วยิ่งไม่มีร่างกาย นี่ เป็นจิตวิญญาณของคุณเอง ทีนี้จิตวิญญาณของคุณ อยู่กับจิตวิญญาณแท้ๆ นั่นแหละ ตัวนี้นรกชัดเลยทีนี้ เหมือนเวลา คุณนอนหลับ คุณไม่รู้จักทวารทั้ง ๕ ข้างนอก ตา ปิดหู จมูก ลิ้น กาย ข้างนอก ไม่รู้สึก ไม่ได้รับสัมผัสอะไร มีแต่อยู่กับจิตวิญญาณ นัยอย่างนั้นแหละ นรก สวรรค์ จะเป็นอย่างนั้นนะ แล้วดิ้นไปไหนก็ไม่ออก คนเป็นๆ นี่ก็ยังดี ดิ้นออกมาทางทวารนอก เรียกว่าจิตขึ้นรับวิถี ขึ้นตามตา หู จมูก ลิ้น กาย ยังพอไปพอได้ แต่เวลาตายแล้วจริงแล้ว ทีนี้อยู่ในนรกอย่างนั้น มีทุกข์อย่างนั้น ดิ้นไปไหนไม่ออกเลย ทรมานที่สุด ถ้าเป็นสวรรค์ลวง ก็ประเดี๋ยวก็ลงนรกใหม่ ถ้าเป็นสวรรค์แท้ จะยืนนานบ้าง ถ้าเป็นสวรรค์วิสุทธิ์สบายเลยนะ

    หนูไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้นัก เรื่องชาติหน้า ชาติอะไร

    อาตมาก็ขอแสดงความสงสาร เวทนา สมเพทไว้อย่างยิ่ง คือคนที่ไม่เชื่อว่าชาตินี้ ว่าชาติหน้า คนที่ไม่เชื่อบาป ไม่เชื่อบุญ ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่อสวรรค์ นี่เป็นคนที่น่าสมเพทเวทนามาก เพราะเขาไม่รู้จักบาป จักบุญ เขาไม่รู้จักสิ่งดี สิ่งชั่ว เขาก็ทำชั่วอย่างที่กิเลสมันพา จะชั่วหรือไม่ชั่ว ฉันก็จะทำล่ะ เพราะฉันต้องการ เพราะฉันปรารถนา นั่นกิเลสแล้ว นั่นคือตัณหาแล้ว ฉันก็จะทำตามใจฉัน และเขาก็ได้บาปได้เวร ซึ่งเป็นทรัพย์แท้ อาตมาจะขอไข ตรงทรัพย์แท้ หน่อยหนึ่ง คนเรานี่ ในขณะที่เป็นๆ เราไม่รู้ว่า เราทำกรรม สิ่งที่จะติดตัวเราไปคือ กรรมชั่วกรรมดี กรรมชั่วก็เรียกว่าบาป กรรมดีก็เรียกว่าบุญ หรือกรรมชั่วก็เรียกว่านรก กรรมดีก็เรียกว่าสวรรค์ กุศลกรรมเรียกว่าสวรรค์ อกุศลกรรมเรียกว่านรก หรือเรียกว่า กุศลกรรม เรียกว่าเทวดา แต่เทวดาไม่ค่อยแท้หรอก อย่างอธิบายไปแล้ว มีแต่เทวดาสมมุติ ถ้าไม่มาเรียนจริง ไม่มีการเกิดเป็นเทวดาแท้ได้ จะมีแต่ผีหลอก เทวดาหลอกอยู่ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้เรื่อง ความจริงอย่างนี้แหละ น่าสมเพทเวทนา และคนส่วนมากเป็นปุถุชน เป็นผู้ที่ไม่รู้จักบาป จักบุญ ไม่รู้กิเลสตัณหาแท้พวกนี้ จึงบำเรอๆกิเลสตัวเอง แล้วก็เป็นสุขเทวดาหลอก เทวดายิ่งไปติด ความเป็นเทวดาใหญ่เท่าไหร่ๆ เทวดาหลอกนี่นะ ยิ่งเป็นนรกลึกลงไปเท่านั้นๆ ยิ่งอยากได้จัด ยิ่งยึดมั่นจัด ยิ่งติดใจจัด มันก็ยิ่งทุกข์มาก ยิ่งเพ่งแรงกิเลสต้องการให้ตัวมากๆ มันก็ยิ่งทุกข์มาก มันก็ยิ่งนรกลึก แล้วก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เชื่อว่าเป็นจริง ทั้งๆที่ในขณะนี้เป็นจริง

    เอ้า ทีนี้ อาตมาจะสรุป คนเรานี่ ทำกรรม สมมุติว่า คุณไปคอรัปชั่นๆ คุณได้เงินไหม ได้ไหม นักเรียนทั้งหลาย ไปคอรัปชั่นนี่ ได้เงินไหม ได้นะ แล้วได้กรรมเป็นอกุศลหรือกุศล เป็นบาปเป็นชั่ว ฟังให้ดีนะ คุณได้มา ๑ นัยของนามธรรม เรียกว่า บาป หรืออกุศล ๒ รูปธรรมเรียกว่าเงิน คุณได้เงินมานะ ได้มาในชาติจริง คุณก็ ใช่ปรีดิ์เปรมของคุณไป ใช่ก็บำเรอกิเลสนั่นแหละ แต่เป็นชั่วแล้ว คุณได้ชั่วด้วยนะ คุณได้เงิน เอ้า สมมุติอย่างเร็ว คุณตายลงปั๊บ คุณได้เงินไปด้วยไหม คุณได้บาป ไปด้วยได้ไหม อันไหนไปกับคุณแท้ นี่แหละคนไม่รู้จักกรรม ไม่รู้จักเวร จะบาปเป็น อย่างนี้ๆ น่ากลัวอย่างนี้ แล้วอีกชาติ คุณไม่รู้แล้ว แล้วไปทำชั่วอีก และคุณก็สะสมชั่ว อย่างนี้ไปเรื่อย ที่คุณได้แท้นั่น มันไม่ใช่เงินเลย มันบาป เอาละ คุณจะโกงอย่างสนิท คุณจะโกงอย่างเบา อย่างหยาบ อย่างละเอียด อย่างบรรจุซอง อย่างยังไงก็ตามใจคุณเถอะ ถ้ามันเป็นบาป มันก็คือบาป ถ้ามันเป็นอกุศล ก็คืออกุศล สิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นดีก็คือดี ก็ต้องเรียนบาปบุญ กุศลและอกุศลให้แท้ สุจริต ทุจริตให้แท้ นี่คือสัจจะ สุจริต ทุจริต กุศล อกุศลนี่คือสัจจะ ผู้ใดทำๆนั้น พระพุทธเจ้า ท่านเรียกว่ากรรม เป็นกรรม การกระทำๆในใจเป็นแล้ว พูดก็เป็น ลงทำ ด้วยกายกรรมเลย ยิ่งเป็นเต็มรูป

    เพราะฉะนั้น ใครทำชั่ว-ชั่ว ใครทำชั่วได้ชั่ว ใครทำดีได้ดี นี่เป็นสัจจะอันตายตัว ศาสนาพุทธสอน แต่คนไม่เชื่อมีชาตินี้ชาติหน้า ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อบาป ไม่เชื่อบุญ นี่ถามมาข้อนี้ อาตมาอุตส่าห์ตอบ เสียนานเลย ไม่พอเวลาหรอกอันนี้ แต่นี่สำคัญถามมาดี

    หนูไม่ค่อยเชื่อนักเรื่องชาตินี้ชาติหน้า หนูคิดว่าตายแล้วตายเลย กรรมอะไรได้รับได้ ในชาตินี้เท่านั้น ท่านคิดว่ายังไงคะ นี่กรรมอะไรได้รับในชาตินี้ เท่านั้น

    คุณได้รับเงิน ไปโกงเขามา คุณก็ได้เงินในชาตินี้ แต่ชาตินี้คุณไม่ได้เป็นอะไรเลย ตายแล้วก็สูญไป นี่แหละ คนมักคิดอย่างนี้ เขาถึงทำชั่วในชาตินี้ได้ เพราะเขาไม่คิดอะไรว่า มันมีเนื่องต่อ มันมีอะไร สืบทอดอีกต่อ เพราะไม่มีดวงตา ไม่มีญาณปัญญา ไม่รู้จักสัจธรรม ก็เป็นอย่างนี้นะ เอาละ อาตมาตอบได้แค่นี้นี่นะ จะตอบมากกว่านี้ก็ได้ แต่ว่ามันไม่มีเวลาแล้ว

    ถ้าผีไม่มีจริง ก็คงจะไม่มีคนเชื่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ หรืออาจจะเกิดจากจิตของคน หรือพลังจิตค่ะ แล้วก็อุปาทานความกลัว ความมืด เกรงสิ่งใหญ่ๆ โตๆ หรือนับถือเจ้าป่า เจ้าเขานี้ มันเป็นความเชื่อ ของเขา หรือ ความรู้สึก หรือความนึกคิดของเขาเอง ท่านคิดว่าอย่างไรบ้างคะ
    สรุปรวมเลย อาตมาตอบไปแล้ว เมื่อกี้นี้ และก็ขอขยายอีกนิดหนึ่งเท่านั้นว่า เจ้าป่า เจ้าเขา ที่บอกว่ามีผี มีวิญญาณสิงป่า สิงเขา สิงถ้ำ สิงอะไรต่างๆ นานานี่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ต้นๆ เลยว่า คนที่ไม่รู้เรื่อง เข้าไปกราบ เข้าไปบูชาแม่น้ำ ภูเขา พระอาทิตย์ พระจันทร์ ไปบูชาอะไรต่างๆนานา เพราะความไม่รู้จริง

    เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องผีหลอก มันเป็นเรื่องไม่จริง ถ้าไม่เรียนรู้ อย่างที่อาตมากล่าวแล้ว จะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ แล้วจะแก้ไขเหล่านี้ไม่ออก ความเชื่อที่เชื่อมาอย่างงมงายนั้น เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ มีมาก และเชื่อมา โบราณ นานโบราณกาลมากมาย ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ถึงจะเป็น สัจจะความจริง ถ้ายังไม่ศึกษา ก็จะเข้าใจเพี้ยนๆอยู่อย่างนั้นแหละ ใครเชื่ออย่างไร ก็ได้อย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น และก็นับกันมาอย่างนั้น อย่าว่าแต่พันปีเลย อย่าว่าแต่สองพันปีเลย ไม่รู้กี่แสน กี่ล้านปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน

    มีคำถามว่า ช่วยอธิบายเจ้าแม่กวนอิมให้ฟังหน่อย
    ขออธิบายสักหน่อย เจ้าแม่กวนอิม คือจิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์ จิตวิญญาณของ พระโพธิสัตว์ ที่ตั้งชื่อเรียกว่า เจ้าแม่กวนอิม เป็นการประพฤติ ปฏิบัติ บำเพ็ญและเมื่อมาเป็นปางใด ก็จะมีการเกิดมา อย่างปางนั้นปางนี้ แล้วแต่เกิดมาแล้ว ก็มาทำประโยชน์คุณค่าแก่มนุษย์ สังคมโลก อย่างเป็นผู้ที่ล้างกิเลสตัวเองจริงๆ เป็นโพธิสัตว์นี่โพธิสัตว์ ตรัสรู้ความจริง แล้วก็ล้าง กิเลสออกจริงๆ ล้างกิเลสออก แล้วก็มาช่วยมนุษยชาติ มาเสียสละจริงๆนะ แล้วก็คุณลักษณะ อย่างที่เรียกว่า เจ้าแม่กวนอิมนั่นแหละ เป็นลักษณะหนึ่ง ซึ่งมีมากมาย พระโพธิสัตว์มีมากมาย สรุปแล้ว พระโพธิสัตว์ ก็คือจิตวิญญาณที่มาเกิดในโลกเท่านั้นเอง อาตมาก็ขอตอบ ได้หน่อยหนึ่ง นี่นะ มันมีความลึกซึ้งมากมายกว่านี้ ถ้าจะเรียนรู้โพธิสัตว์ ก็จะยืดยาวมากเลยนะ

    การทรงเจ้าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

    การทรงเจ้า เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ตอบ ฟังดีๆนะ มันมี ๒ แง่ การทรงเจ้าเป็นเรื่องจริงของคนนั้น เขาทรงเจ้าจริงๆ แต่เรื่องเจ้านั้นเป็นของหลอก ฟังให้ชัด มันซ้อนกันอยู่ ๒ ประเด็น การทรงเจ้า เป็นเรื่องจริงของคนที่งมงายอยู่ ในการทรงเจ้า เขาทรงเจ้าจริงๆ นะ ใช่ไหม อาตมาขอถามคุณก่อน

    คนโกหกมีจริงไหม มี และคำโกหกนั่นจริงหรือเท็จ นัยเดียวกัน คนโกหกนั่นมีจริง แต่ในคำโกหก นั่นเป็นคำไม่จริง เช่นเดียวกัน การทรงเจ้า มีจริงๆ เหมือนคนโกหก มีจริงในโลกนี้ แต่ในเนื้อของ การทรงนั้น เป็นของหลอกทั้งหมด ไม่ใช่ของจริง แต่การทรงเจ้ามีใช่ไหม โอ้โฮ หากินกันเยอะแยะไป ทรงกัน จริงๆ อาตมาเล่นมาหมดแล้ว ทรงเจ้า เข้าผีมา เลอะเทอะ ตั้งแต่สมัย เป็นฆราวาส ไม่ได้มาเล่นตอนบวชแล้ว

    จิตวิญญาณที่ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ และไม่ได้จุติในแดนสวรรค์ จะไปเกิดอยู่ ณ ที่ใด และ ทำกรรมเช่นใด ถึงได้ส่งผลให้เป็นเช่นนั้น
    คำถามอันนี้ก็คงจะสงสัยกันเยอะ แต่จิตวิญญาณนี่นะ ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ได้เกิด คงหมายความว่า ไม่ได้เป็นตัวคนนี่ สิ่งเหล่านั้นยังเป็นวิบากในช่วงที่ยังไม่เกิด ท่านมีภาษา เรียกว่า สัมภเวสี ในจิตวิญญาณนี่ จะต้องเกิด เกิดทันทีแหละ สัมภเวสี ก็เกิด แต่ว่า มันเกิดอย่างที่เรียกว่า หาที่เกิดยังไม่ถาวร สัมภเวสี แปลว่าจิตวิญญาณยังล่องลอยอยู่ ยังไม่ได้ที่เกิดถาวร เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณอย่างนั้น น่ะ มันชั่วคราว ถามว่าอยู่ที่ไหน บอกว่าอยู่ที่จิตวิญญาณ จิตวิญญาณ ไม่อาศัยที่เกิด ไม่อาศัยที่อยู่ ไม่อาศัยที่อาศัย ไม่กินที่ ไม่อาศัยสถานที่ จิตวิญญาณมันไม่ใช่ตัวแท่ง และมันก็ไม่ใช่คลื่น ไม่ใช่โฟตอน (Photon) ไม่ใช่ ควอนตั้ม (QUANTUM) อาตมาอธิบายไม่ไหว วันนี้ไม่มีเวลา เคยยกตัวอย่างคล้ายๆ เสียงนี่ มันก็ไม่ใช่กระแส และมันก็ไม่ใช่แท่งก้อน ไม่ใช่ แต่มันก็เกิดพลังงานชนิดหนึ่ง จิตวิญญาณมันก็มีพลัง ที่ละเอียดยิ่งกว่าพลังงานใดๆ พลังงานๆ ที่วิทยาศาสตร์ จับเอามาใช้ได้ มันยังหยาบอยู่ แต่จิตวิญญาณนี่ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถ นักวิทยาศาสตร์ ที่ยิ่งใหญ่ทุกวันนี้ ก็ไม่สามารถจับจิตวิญญาณ ที่มีพลังงานชนิดหนึ่ง ออกมาใช้ได้ ทุกวันนี้ ยังทำไม่ได้เลย ยังทำไม่ได้ เพราะละเอียดยิ่งกว่านั้น เพราะอาตมาจะบอกว่า จิตวิญญาณนั้น เป็นลักษณะอย่างไร ก็ยังอธิบายยังไม่ได้ แต่คุณก็เดาไม่ได้อีกเช่นกัน ตอบได้แต่ว่า จิตวิญญาณนั้น อยู่ที่วิบากกรรม ถ้าวิบากกรรมเราทุกข์ ก็เป็นนรก วิบากกรรมเราเป็นสุข ก็เป็นสวรรค์ ถ้าเป็นสวรรค์ ก็อย่างที่กล่าวแล้ว มันก็เป็น นรกสวรรค์ๆๆ อยู่อย่างนั้นนะ อยู่ที่จิตวิญญาณของคุณ ที่ยังไม่บรรลุ เป็นปรินิพพานนะ อีกหนึ่งนาที ๖ โมง แต่ปัญหาอยู่นี่ตั้งเป็นกอง

    ขอให้ท่านอธิบายความเป็นจริงของไสยศาสตร์ เป็นสิ่งที่เป็นความจริงหรือไม่ หรือจิตของคน อุปาทานขึ้นมา

    ไสยศาสตร์ ไสยะ แปลว่า นอนหลับ พุทธะ แปลว่าตื่น ไสยะ กับ พุทธะ จึงตรงกันข้ามกัน อันหนึ่งของคนหลับ อันหนึ่งของคนตื่น ไสยศาสตร์นี่ เป็นศาสตร์ของคนหลับ พุทธะจึงเป็น ศาสตร์ของคนตื่น

    เพราะฉะนั้น ไสยศาสตร์ จึงเป็นศาสตร์ที่มันลึกลับและมันก็งมงาย และมันก็ไม่แจ้ง ไม่ชัด ก็เพราะเป็นลักษณะ ของคนหลับนะ คลุมๆ เครือๆ สิ่งเหล่านี้ มีมานาน คนที่โง่ นี่ยังมีโง่อยู่ ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น คนโง่ก็ยังมีอยู่ในโลกอยู่เยอะ คนที่ยังอวิชชา ยังโง่อยู่ ยังไม่เข้าใจ สัจธรรมชัดเจน ก็จะหลงในสิ่งนี้ ว่าเป็นความจริง จะเรียกว่า ทั้งอุปาทาน จะเรียกว่า สิ่งที่สร้างขึ้นมา เป็นกิเลสตัณหา อะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ไสยศาสตร์ จึงเป็นวิชชาที่คนใช้เหมือนกันกับ วิชาที่ใช้อยู่ เหมือนกันทุกวันนี้ วิชาทุกวันเป็นวิชาที่โลกศึกษาอยู่ แม้อยู่ในมหาวิทยาลัย รามคำแหง นี่ก็ตาม เรียนกันอยู่ต่างๆนานา เหล่านี้ วิชาความรู้เหล่านี้ เราเรียกว่าศาสตร์ ศาสตร์เหล่านี้ ถ้าคุณเอาวิชาความรู้เหล่านี้ไป คุณได้วิชาความรู้เหล่านี้ แล้วก็นำมันไปใช้ อย่างงมงาย คือใช้อย่างเป็นบาป ใช้อย่างเป็นกิเลสให้ตัวเอง ก็เรียกมันว่าไสยศาสตร์ เช่นเดียวกัน ฟังให้ดีนะ ต่อให้คุณมีความรู้ เรียนมาจาก มหาวิทยาลัยรามคำแหงนี้ไป เรียนไปแล้ว ก็เอาไปใช้เกิดกิเลส โลภ โกรธ หลง มากยิ่งขึ้นๆ ก็เรียกมันว่า ศาสตร์ของผู้หลับไหล หรือผู้หลงไสยศาสตร์ ไม่ใช่ศาสตร์ของ พุทธ ไม่ใช่ศาสตร์ของผู้ตื่นเลย เพราะฉะนั้น ความรู้ที่ได้มา ด้วยกระแสอย่างไร ก็แล้วแต่ จะเป็นไสยศาสตร์ ที่เราเข้าใจว่า เป็นเรื่องลึกๆลับๆ ก็ตาม แม้คุณจะรู้แจ้ง ในศาสตร์เหล่านี้ก็ตาม ศาสตร์ของ ผู้ที่ไม่ทำให้ตัวเองตื่น และเป็นผู้เจริญที่แท้ เป็นผู้ที่มีความลดโลภ โกรธ หลง ช่วยมนุษยชาติ เป็นคนที่ไม่เอาเปรียบเอารัด เป็นคนเสียสละ สร้างสรร เป็นคนที่มีคุณค่า ประโยชน์ อย่างแท้จริง มันก็ไม่ใช่พุทธศาสตร์ แต่มันเป็นไสยศาสตร์ทั้งนั้น

    พุทธศาสตร์ ยังจำเป็นต้องใช้ไสยศาสตร์ด้วยคู่ไปสำหรับเป็นสื่อ นำพาคนมาสู่พุทธะหรือไม่
    ไม่จำเป็นเลย ขอยืนยัน และทุกวันนี้ คนก็หลงงมงาย แม้ในศาสนาพุทธกระแสหลัก ในศาสนาพุทธ ที่เป็นอยู่ ในเมืองไทยทุกวันนี้ ก็ยังเอาไสยศาสตร์มาปนอยู่ แล้วก็อ้างว่า เพื่อเรียกคนเข้าวัด เพื่อเรียกคนมาสอน ขนาดคนตั้งใจมาเรียนโดยบอกตรงๆเลยว่า จะไม่สอนเรื่องไสยศาสตร์ ยังบรรลุได้ยาก แล้วให้เขามาเอาไสยศาสตร์ และเขาก็ตั้งใจจะมาเอา เขาไม่ได้สนใจจะเอา อะไรเขาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย อาตมาเล่นไสยศาสตร์มามาก เล่นไสยศาสตร์มาเยอะ มีคนแนะนำ ยุแหย่ ให้อาตมาใช้ไสยศาสตร์ว่าให้ได้รับคนม๊ากมาก จะได้สอนคนให้ม๊ากมาก อาตมาไม่ทำ ตั้งแต่มาทำศาสนาพุทธร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เคยทำ ไม่เคยเอาไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ขนาดนั้น อาตมายังสอนกัน ไม่หวาดไม่ไหวเลย แล้วจะไปเอาที่มอมเมาลึกๆ ลับๆ งมๆ งายๆ ก็ตายกันพอดี ขนาดมาตื่นๆอย่างนี้ ยังจะล้างกันไม่หวาดไม่ไหว คนที่อ้างเอาไสยศาสตร์มานั่น คนยังติด เป็นคนยังหลงอยู่ แล้วก็อ้างแก้ตัวอยู่ เพื่อตัวเองจะได้ทำสิ่งนั้น เท่านั้นแหละ โดยความจริงแล้วไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำ

    การเกิดทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นตอนไหน ถามพยายามจะชี้เข้าไปตรงจุดสำคัญ

    เกิดขึ้นตอนที่คุณละกิเลส ล้างกิเลส ทำลายกิเลสได้ กิเลสตาย จิตวิญญาณเกิดเป็นเทวดา ความตายของกิเลส จิตวิญญาณสะอาดขึ้นนั่นแหละ เป็นเทวดา ความตาย หรือความหมดออกไป หรือล้างออกไป จากจิตวิญญาณของเรา ความลดออกไปจากจิตวิญญาณของเรา นั่นแหละคือ การเกิดแท้ ทางจิตวิญญาณ เกิดตอนไหน เกิดตอนไหน เกิดตอนที่คุณทำได้ ต้องมีฌาณปัญญา อ่านรู้ แจ้งจริงเลย นั่นแหละจะชัด แต่เวลาปฏิบัติ จะยังไม่รู้ชัด คุณจะค่อยๆรู้ ไปเรื่อยๆ ถึงเรียกว่า ค่อยสร้างตาทิพย์ เมื่อรู้แจ้งเห็นจริง แล้วคุณล้างได้จริง คุณจะไม่งมงาย คุณจะไม่สงสัย แล้วคุณจะไม่กลัวคนหลอก คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ตัวคุณเองจะเป็นผู้วินิจฉัย และตัดสินว่า นี่จริงหรือไม่จริง อาตมาแนะนำ สั่งสอนพวกเรา นี่ ผู้ที่มาเรียนกับอาตมา อาตมาไม่เคยกลัวว่า พวกคุณจะไม่เชื่ออาตมาเลย เพราะอาตมาไม่จำเป็นจะต้องให้คุณเชื่ออาตมา คุณไปเชื่อความจริงที่ คุณพิสูจน์นั่น เรียกว่า เอหิปัสสิโก เรียกว่า สันทิฏฐิโก คือไปเอาตัวเข้าไปพิสูจน์เอง เอหิปัสสิโก ก็คือตัวที่ได้แล้ว ท้าคนอื่นพิสูจน์ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ตัวเองจะแจ่มแจ้งเอง จะรู้แจ้ง เห็นจริงเอง แล้วเชื่อเอง ไม่ใช่เชื่ออาตมา เชื่อของตนเอง

    เพราะฉะนั้น อาตมาไม่กลัวใครไม่เชื่ออาตมา เพราะใครไม่เชื่ออาตมาก็ไม่เป็นไร แต่คุณจะเชื่อ ตัวคุณเอง เมื่อคุณพิสูจน์ถึงสัจธรรมพวกนี้ นั่นนะ คุณจะเห็น

    ผี กับวิญญาณต่างกันตรงไหน

    ผีกับวิญญาณ ต่างกันตรงที่ว่า จิตวิญญาณ นี่มันเป็นอาการชั่ว เป็นอาการกิเลสตัณหา อาการอย่างนั้น เรียกมันว่าผี ก็คืออาการของวิญญาณ นั่นเอง ต่างกันตรงนี้ เพราะฉะนั้น ฆ่าอาการตรงนั้นให้ตาย จนไม่เกิดอาการนั้นอีกในจิตวิญญาณ เราเรียกว่าอรหันต์ ไม่เกิดอีกเลย เรียกว่าอรหันต์ ยังเกิดอยู่ก็ยังมีเศษน้อย เศษส่วนของความยังไม่สมบูรณ์อยู่ ไปตามขั้น ตามลำดับนะ

    ท่านคิดว่า วิญญาณมีตัวตนไหม เพราะอะไร

    วิญญาณที่เป็นผี เป็นเทวดาอยู่ เรียกว่ามีตัวตน วิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาดหมดแล้ว ไม่เป็นผี ไม่เป็นเทวดา ไม่เป็นสุข ไม่เป็นทุกข์เลย สูญ เรียกว่า สุญญตา ว่าง นั่นแหละคือ จิตวิญญาณ บริสุทธิ ไม่มีตัวตน อย่าเข้าใจผิดว่า จิตวิญญาณไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไปเรียนตำรามา จิตวิญญาณ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน จิตวิญญาณที่บริสุทธิเท่านั้น ที่ไม่ใช่ตัวตน จิตวิญญาณที่ยังไม่บริสุทธิ์ ยังเป็นผีอยู่ เป็นตัวตน ยังเป็นกิเลสอยู่ ก็เป็นตัวตน เป็นเทวดาก็เป็นตัวตนเลย แม้เป็นเทวดาแท้ แต่คุณยังติดเทวดาอยู่ ยังเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งอยู่ แม้จะเป็นเทวดาองค์ใหญ่ที่สุด เป็น God ก็ยังเป็นตัวตน เพราะฉะนั้น ในศาสนาที่มีเทวดา มี God จึงไม่มีนิพพาน เพราะยังไม่หมดตัวตน

    คนเราเมื่อตายแล้วไปไหน

    คนเรา เมื่อตายแล้ว เขาก็เอาไปวัด หรือก็ไม่ก็เอาไปกองฟอน บางคนไม่เอาไปวัด อย่างภาคเหนือ นี่ไม่เอาไปวัดหรอก เอาไปเผา ที่เขามีที่กองฟอนนะ มีที่เผา อยู่ข้างทาง อยู่ข้างถนน ไปอยู่เมืองเหนือ มีอยู่ อย่างต่างจังหวัดทางภาคอีสาน นี่มีเป็นที่เผา คนที่ตายแล้ว เขาก็เอาไปเผา หรือเอาไปฝัง หรือเอาไปที่ๆ ควรเอาไป ถามว่า คนเราเมื่อตายแล้วไปไหน

    ถ้าคุณถามว่า วิญญาณเมื่อตายแล้วไปไหน อาตมาตอบแล้ว มีคำถาม ถามมาแล้วว่า วิญญาณ ตายแล้ว มันไปไหน เมื่อกี้ตอบแล้ว มันก็เป็นกรรม เป็นวิบาก มันไม่ไปไหน ไม่อยู่ที่ไหน อยู่กับกรรม เท่านั้น เป็นความทุกข์ และความสุข แล้ว มันไม่กำหนดที่อยู่ มันเป็นอาการความรู้สึก จิตวิญญาณ คือความรู้สึก อยู่กับเราเดี๋ยวนี้ มันรู้สึกอยู่ในนี้ เรียนรู้มันซิ ส่วนมันจะตายแล้ว มันไม่มีที่อยู่ มันไม่มีที่อะไรหรอก อาตมาถึงบอกว่า ตอบยากที่สุดเลย อาตมาคว้ามาอย่างนี้ เอาละ ไม่อธิบาย ก็ต้องอธิบายประกอบบ้าง คว้ายังงี้ นะ เหมือนอาตมากำเอาอากาศอะไรมาอันหนึ่ง หรือว่า อาตมาชี้ดีกว่า ตรงนี้มีเสียงไหม มีไหม คุณเอาเครื่องมาเปิดจับตรงนี้ ก็มีเสียง อยู่ตรงมุมโน้น มีเสียงไหม มี คุณเอาเครื่องมาจับมันมี แล้วมันก็ไม่ใช่ก้อนแท่ง และมันก็ไม่ใช่คลื่น และมันก็ไม่ได้ อยู่กับที่ตรงนี้ เอามาเปิดตรงนี้ ถ้าองค์ประกอบอันนั้นเหมือนกัน ตรงนั้นเหมือนกันไหมกับอันนั้น เอ้า สมมุติง่ายๆ คุณเอาวิทยุมาเปิดตรงนี้ขึ้น จนเสียงอันนั้น ตรงนั้นกับตรงนี้ และมันก็ไม่อยู่ที่นั่น และมันก็ไม่อยู่ที่นี่ นี่แค่พลังงานเสียงนะ

    จิตวิญญาณพลังงานนี่ วิจิตรกว่านี้ ไม่กินที่อยู่ ไม่มีทิศ ไม่มีสถานที่ เอาละ นี่เทียบให้ฟังแค่นี้นะ

    เวียนว่าย ตายแล้วเกิด มีจริงหรือ

    นี่แหละ น่าสมเพทเวทนามาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ไม่เชื่อว่า ตายแล้วจะต้องเกิดอีก จึงกล้าทำชั่ว เพราะถือว่า ก็ตายแล้ว ไม่มีอะไรนี่ ทำชั่วยังไงก็ไม่เห็นมีปัญหา เพราะไม่เชื่อว่า มันมีอะไรต่ออีก มันมีวิบาก มันมีกรรม มันทุกข์ มันมีร้อน มันมีความซวยๆ ต่อไปอีก นักหนาสากรรจ์กว่าเก่า ไม่เชื่อจริงๆนะ อาตมาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เวียนว่ายตายเกิด ไม่มีนี่แหละ ศาสนามันเสื่อมถึงขนาด ทั้งๆที่ศาสนาพุทธ สอนสังสารวัฏ สอนการเกิดการตาย สอนกรรม สอนความชั่ว ความดี สอนกันเรื่อง จิตวิญญาณ ขนาดอภิธรรม ปรมัตถ์นะ แต่เสร็จแล้ว ก็ไม่ยอมศึกษากัน จนกระทั่ง เพี้ยนกัน จนกระทั่งไม่เชื่อถือ สังคมจึงเดือดร้อน

    คนเราประกอบไปด้วยร่างกาย จิตใจ เมื่อเวลาคนเราตาย จิตวิญญาณอยู่ที่ไหน หรือว่า ตายไป พร้อมกับร่างกาย
    วนอยู่ที่เก่า ถามเรื่องเก่า อาตมาก็ตอบไปแล้ว เอาละ คุณถามมา บอกทั้งร่างกาย และจิตใจ

    บอกแล้ว ร่างกายก็เอาไปเผา ไปฝัง ส่วนจิตวิญญาณนั้น อยู่ที่ไหนตอบไม่ได้ แต่มีกรรมของคุณอยู่ มีวิบากของคุณอยู่ และวิบากนั้น ยังไม่สุดสิ้น ถ้าตายไปแล้วสูญ พระพุทธเจ้าจะไม่ต้องมาสอนเรา เสียเวลาช้านาน สอนศีล ๕ ก็พอ ไม่ต้องไปสอนถึงปรมัตถ์ จะต้องมาพากเพียรให้เป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์

    โสดาบัน มีศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่ทำบาปทำชั่วอยู่ในสังคม นี่ก็บุญแล้ว สังคมไม่เดือดร้อนหรอก เป็นแค่โสดาบัน ที่นั่งอยู่ทั้งหมดนี้ เป็นโสดาบันนะ ไม่เดือดร้อนแล้ว สังคมไม่เป็นอย่างทุกวันนี้หรอก ทีนี้โสดาบันก็ไม่ได้ เป็นผีกันเสียส่วนใหญ่ มันจึงเดือดร้อน แต่โสดาบันก็ยังไม่สิ้นสุด ยังไม่ได้ล้าง กิเลสหมดนะ เพราะฉะนั้น ต้องมาพากเพียรจนกระทั่ง เป็นพระอรหันต์ให้ได้ ชาติเดียวนี่ มันไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ เป็นอรหันต์ เพราะพวกเราเกิดมา เป็นพวกเนยบุคคลเสียส่วนใหญ่ เอาละ อาตมาไม่มีเวลาพอขยายความมากกว่านั้น

    เอาอีกแผ่นหนึ่ง ๓ ข้อเหมือนกัน
    การที่พวกว่า ผีเข้าแล้วไปหาพระหาหมอให้ปัดเป่า แล้วอาการหายดีขึ้น พ่อท่านมีความเห็นอย่างไร
    พวกที่บอกว่า ผีเข้าแล้วไปหาพระ แล้วก็พอหมอหรือว่าพระนั้นปัดเป่าให้แล้ว อาการก็ดีขึ้น นั่นก็เป็นโรคจิต เป็นอาการทางจิต เป็นอุปาทาน พอไปรับความเชื่อถือว่าพระ หรือว่า หมอปัดเป่าให้แล้ว เกิดอุปาทานไปได้บ้าง ก็หาย มันเป็นเรื่องทางจิต ภาษาทางแพทย์ เขาก็รู้ เป็นนิวโรซีส เป็นโรคชนิดหนึ่ง

    ทรงเจ้า เข้าผี มีจริงหรือไม่

    ตอบไปแล้ว

    ที่สวดภาณยักษ์ มีความคิดเห็นอย่างไร

    นอกรีตพระพุทธเจ้า สวดภาณยักษ์ ไอ้ที่ไปสวดแล้วก็พรึมๆ แล้วก็ไล่ผี ไล่ยักษ์อะไรนั้น ไอ้อะไร ต่ออะไรต่างๆ สวดภาณยักษ์ นั่นก็คือ เอามาจากที่ใช้ ภาษาแทนสภาพของสัจธรรม แทนลักษณะของ พวกผีชนิดหนึ่ง ที่บอกยักษ์ บอกผี บอกมารอะไรพวกนี้ เป็นอาการของผี เป็นอาการของ ในตัวเรานี่แหละ แต่เสร็จแล้ว ก็มาปั้นเป็นรูป เป็นตัวเป็นตน อะไรต่ออะไร มาเป็นแบบ เหมือนอย่างที่เขามา ปั้นว่า ยักษ์มีเขี้ยวงอก แล้วก็มีตาโปนๆ มีลักษณะต้องโหดร้าย ถือกระบอง เที่ยวได้ทิ่มแทง ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ เขียนเป็นยักษ์ เดี๋ยวนี้จะต้องใช้ปืนเรเซอร์ ไปใช้ตะบอง ไม่ทันกินหรอก มันต้องดุเดือดอย่างนั้น หรือไม่อย่างนั้น ก็ต้องแบกอาวุธ มันต้องแบกลูกระเบิด นิวเคลียร์ อย่างนั้น เป็นลูกระเบิดชนิดสมัยใหม่ นั่น ยักษ์เดี๋ยวนี้ มันดุร้ายถึงขนาดนั้น เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องจริง ยักษ์เป็นภาษาแทนๆ และมีสภาวะจริง ในจิตวิญญาณของคน เพราะฉะนั้น การมาเขียนรูปประกอบไปเท่านั้น ก็เป็นปุคคลาธิษฐานเท่านั้นเอง อธิบายลักษณะ สมัยก่อน เขาก็อธิบายไว้ รูปลักษณะอย่างสมัยก่อน อย่างที่กล่าวแล้ว ที่เขียนเอาไว้หน้าดุๆ อย่างตาโปน แยกเขี้ยวยาวอะไรอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันก็มีเขี้ยวกันลากดิน เขาก็บอกอยู่แล้ว พวกยักษ์พวกอะไรนี่ มีอยู่ในสังคม ในระดับพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด ก็คือยักษ์ คือมาร ทั้งหลายแหล่ ทั้งนั้นแหละ นั่นเป็นความจริงนะ ไม่ใช่ว่าสมมุติเรียก แต่เขาเรียกด้วยภาษาสมัยใหม่ สมัยเก่าเขาเรียกกันยักษ์ สมัยนี้เรียกเสือ สิงห์ กระทิง แรด เรียกอะไรต่างๆนานา นี้ พวกเขี้ยวลากดิน อะไรพวกนี้ นั่นแหละคือ ลักษณะของกิเลส ลักษณะของจิตวิญญาณที่ชั่ว ต่ำทั้งนั้นเลย ศึกษาธรรมะดีๆ แล้วคุณจะรู้ แล้วเอามาใช้กับชีวิตได้ และก็รังสรรชีวิตได้ แล้วก็พัฒนาชีวิต ของตนเองได้

    โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
    เนื่องในงานรามบูชาอาสาฬหะ ครั้งที่ ๑๑ ณ ตึก เอ.ดี.๑ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
    เมื่อ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๔


    ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ ๓๐ ส.ค.๒๕๓๔
    ตรวจทาน ๑. โดย สม.จินดา
    พิมพ์โดย สม.นัยนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...