ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 11 กันยายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
    [​IMG]
    "...สมัยหลวงพ่อปานอายุ ๓๘ ปี ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้มีความดีประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี ท่านเป็นพระที่ช่วยป้องกันคนอื่นมามากก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ วันหนึ่งหลวงพ่อหานไปที่วัดประตูสาน จังหวัดสุพรรณบุรี วัดนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของจัวหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้นทางที่จะไปวัดป่าเลไลย์ในสมัยนั้น ตอนเย็นท่านเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ก็ถอดอังสะ อังสะของท่านมีพระเครื่องอยู่ด้วย แล้วท่านก็ล้มลุกไม่ได้ ท่านถูกบังฟัน เขาใช้คาถา ตั้งใจจะฟันคนไหน เขาก็ฟันผักฟันฟักแฟงก็ตามเขาก็ว่าคาถาจะฟันให้ถูกตรงนั้น เขาฟันวัตถุแต่แผลมันปรากฎในร่างกาย ผิดหนังภายนอกไม่ปรากฎรอยแผล ท่านถูกบังฟันเป็นแผลยาวในอกข้างใน และยังเป็นรอยนูน ผลที่สุดก็ต้องหามกันลงเรือแจว หลวงพ่อปาน เวลาไปไหนท่านใช้เรือสัมปันนี มีเก๋ง ทาสีขาวทั้งลำ มีคนแจวหัวแจวท้าย ในขณะนั้นท่านมีอาการใกล้ปางตาย ท่านขอร้องให้พาท่านกลับวัด พอมาถึงวัดบางซ้ายใน ปรากฎว่าอาการของท่านหนักมาก ท่านบอกให้แวะเข้าไปที่วัดบางซ้ายในก่อน ให้หามท่านขึ้นไปบนศาลา ก็อาศัยศาลาท่าน้ำนอนอยู่ แล้วให้ไปตามอาจารย์จาบเป็นหมอและเป็นเพื่อนท่าน ต้องใช้ม้าไปรับกันในสมัยนั้น ที่บางบาลมันไกลมาก
    อาจารย์จาบมาถึงจับชีพจรแล้วบอกว่า "ท่านปานยังไม่ตาย ไม่ธุระประเดี๋ยวก็กลับ" อาจารย์จาบบอกว่า "ยาฉันเป็นยาสูง พระต้องใช้ยาสูง ใช้ยาต่ำไม่ได้" สมัยนั้นเป็นป่า เป็นดง เป็นทุ่งตลาดไม่มี ท่านก็เดินไปเด็ดยอดไม้ ยอดมันสูง ท่านก็บอก "นี่เขาเรียกยาสูง" วันนั้นยังไม่ฟื้นผ่านไปสัก ๖-๗ ชั่วโมงใกล้รุ่ง หลวงพ่อปานจึงรู้สึกตัวและก็ฉันยาของอาจารย์จาบ เป็นอันว่าท่านก็หายและก็เล่าความเป็นมาให้ฟังว่า
    ขณะที่ท่านเจ็บ เขาก็หามลงเรือ ท่านก็ภาวนาบ้างพิจารณาบ้างให้จิตเป็นสุข ท่านไม่ได้ปล่อยกรรมฐานเลย ต่อมาอาการมันเครียดหนักท่านจึงสั่งให้ขึ้นวัดบางซ้ายใน คิดว่าไม่ถึงวัดบางนมโค เพราะจากวัดบางซ้ายในถึงวัดบางนมโคต้องแจวเรือ ๒-๓ ชั่้วโมง หลวงพ่อปานท่านบอกเห็นท่าไม่ไหว ก็ขึ้นไปนอนจับพระกรรมฐานเป็นปกติ ทุกคนในที่นั้นบอกว่าท่านสลบไป แต่ท่านบอกว่าท่านไม่ได้สลบ อทิสสมานกายมันออก คือตัวในออกจากตัวนอกมีสภาพเป็นกายเดินออกไปเรื่อย ๆ ตามสบาย พอไปถึงจุดสุดเข้าเขตชั้นดาวดึงส์ใกล้จะเข้าชั้นดุสิต เห็นอาคารลิบ ๆ อยู่ข้างหน้าแพรวพราวระยิบระยับ เป็นสง่าสวยสดงดงามมาก ท่านตั้งใจจะไปสู่อาคารหลังนั้น ปรากฎว่าขณะนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกขึ้นว่า "ท่านปาน ท่านปาน หยุดก่อน" ท่านจึงเหลียวหลังมาดูเห็นพระพุทธเจ้า
    ยืนงามสง่าสวยอร่าม มีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ ท่านก้มลงกราบพระองค์ พระองค์ตรัสว่า "จะไปไหน" หลวงพ่อปานตอบว่า "จะไปชั้นดุสิต" พระองค์บอกว่า "คุณปาน คุณยังไปไม่ได้ ภาระใหญ่ของคุณยังมีมาก วัดวาอารามคุณยังสร้างไม่เสร็จและกิจอื่นที่คุณต้องทำยังมีอยู่ จงกลับไปปฏิบัติงานให้เสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะไปได้ สถานที่นี้เธอมีโอกาสจะได้อยู่แน่นอน "หลวงพ่อปานก็บอกว่า "ร่างกายมันไม่ดีทนไม่ไหว ทุกขเวทนามันหนักทนไม่ไหวจึงออกมา" พระองค์บอกว่า "หมอจาบ เขามาแล้วรักษาแผลได้และพิษต่าง ๆ สลายตัวแล้ว กลับลงไปเถอะ" พอสิ้นเสียงของพระพุทธเจ้าก็ปรากฎว่าจิตเข้าร่างพอดี ท่านก็ลืมตาขึ้นใกล้สว่างแล้วของวันใหม่ หลวงพ่อปานท่านบอกว่ามันเป็นกฎของกรรม มาจากโทษปาณาติบาตทำให้ร่างกายไม่ดี ในชาตินี้โทษปาณาติบาตของท่านเห็นจะไม่มี และท่านก็บอกอีกว่า "ต่อไปฉันก็ต้องตายด้วยแผลอันนี้ แต่เวลานั้นแผลหายไปหมดแล้ว" นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่านก็ไม่มีความประมาทในชีวิตคิดว่าความตายอยู่แค่ปลายจมูก ถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้น เมื่อหายจากอาการไข้แล้ว ท่านก็เร่งรัดทำความดีหนักขึ้น คือสงเคราะห์บรรดาประชาชนทั้งหลายด้วยการรักษาโรคบ้าง มีใครอดอยากที่ไหนท่านก็นำอาหารการบริโภคไปแจก พระวัดไหนไม่มีกฐินจะรับ ท่านก็ไปทอดกฐินถึง ๑๗ วัด การก่อสร้างก็สร้างคราวเดียว ๓-๔ วัดพร้อม ๆ กัน และสำหรับจริยาวัตรนั้นก็สั่งสมอบรมพระทุก ๆ ๑๕ วัน คือวันโกนของกลางเดือนกับวันโกนของวันสิ้นเดือน ท่านจะต้องประชุมพระแนะนำข้อวัตรปฏิบัติตามพระวินัย วิธีที่จะปฏิบัติให้เข้าถึงจุดอย่างง่าย ๆ และอุปสรรคในการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    การที่ท่านทำทุกอย่างอย่างนั้นจัดเป็นมหากุศล เพราะการทำบุญที่เป็นส่วนสาธารณชนนั้น เช่น เอาข้าวสารอาหารแห้งไปแจกคนจน เอาเสื้อผ้าไปแจก ถ้าจะเปรียบการให้ประเภทนี้ก็มีความดีคล้ายกับถวานสังฆทานแต่เสมอสังฆทานไม่ได้ เพราะสังฆทานเป็นทานที่หมายเอาพระพุทธเจ้าเป็นประธานมีพระอริยสงฆ์เป็นผู้รับ การที่เราให้กับคน บางทีคนที่รับก็เป็นคนมีศีลไม่บริสุทธิ์ อานิสงฆ์ก็น้อยไปหน่อย แต่ถึงจะน้อยประการใดก็ตามที บุญบารมีประเภทนี้ก็่สามารถจะส่งผลให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตายในชาติปัจจุบัน ทางที่เราจะไปได้ก็คือสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ตัวอย่าง ท่านอังกุรเทพบุตร ให้ทานแก่คนภายนอกพระพุทธศาสนา ปรากฎว่าตายจากมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก แต่ว่าสภาพร่างกายไม่ผ่องใสพอ มีศักดาไม่เสมอด้วยเทวดาทั้งหลาย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเทวดาแล้ว ถึงแม้จะเป็นเทวดาท้ายแถวก็ยังดีกว่ามนุษย์หัวแถวเพราะไม่มีแก่ ไม่มีหิว ไม่มีกระหาย ไม่มีความหนาว ไม่มีความร้อน ไม่มีการป่วยไข้ไม่สบาย จะมีก็เพียงเกิดเป็นเทวดา แล้วก็ตายจากการเป็นเทวดาเท่านั้นเอง
    ฉะนั้น การบำเพ็ญกุศลทานแก่คนภายนอกพระพุทธศาสนา หรือแก่คนในเขตพระพุทธศาสนา แต่ว่าไม่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง การบำเพ็ญกุศลด้วยวิธีนี้แม้จะมีผลน้อยก็ตาม แต่ถ้าทำบ่อย ๆ ก็มากเหมือนกัน เพราะการเกื้อกูลซึ่งกันและกันเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขทั้งในชาติปัจจุบันและชาติต่อไป ในชาตินี้ก็มีคนรักเรามากเพราะผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ ไปทางไหนก็มีแต่คนไหว้คนเคารพ อันตรายก็ไม่มี การเดินทางไหไหนจะตกรถ ตกเรือ จะหิวตายไปในระหว่างทางจะไม่มีสำหรับคนประเภทนี้...."

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...