ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 15 กันยายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)
    [​IMG]
    “...เรื่องของคนที่ตายไปแล้วกลับมาเกิดใหม่ระลึกชาติได้ก็ดี ตายชั่วคราวฟื้นขึ้นมาเล่าเหตุการณ์ที่ประสบมาก็ดี ที่เล่าเรื่องทั้งหลายมานี้ก็เพื่อเปลื้องความสงสัยที่บรรดาท่านสาธุชนและท่านปุถุชนทั้งหลายพากันสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางท่านก็พยายามค้านว่าคนที่ตายแล้วถ้าเกิดจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทำไมไม่มีใครมาส่งข่าวคราวให้ทราบบ้าง บางท่านก็ว่าถ้าเทวดามีจริง ญาติที่เป็นเทวดาทำไมไม่มาช่วยเหลือให้มีความสุขบ้าง เรื่องสงสัยนี้แม้พระที่ท่านเทศน์โปรดประชาชนบางท่านที่เป็นสหายคู่เทศน์กับอาตมาเองก็เคยปรารภให้อาตมาทราบว่าท่านสงสัย แต่ท่านรูปนั้นขณะนี้หายสงสัยแล้วด้วยได้ให้กำลังใจท่านโดยขอให้ท่านทดลองปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่าทำตนเพียงเป็นคนอ่านอย่างเดียว ให้ท่านทำตามด้วย ในที่สุดท่านก็ไม่มีอะไรสงสัยอีก ท่านจะได้อะไรถึงขั้นระดับไหนนั้นเป็นเรื่องที่ท่านเจ้าของจะอธิบายให้ฟัง

    เรื่องที่บรรยายมาแล้ว ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ผู้บรรยายก็ไม่มีกฎบังคับอะไร ท่านที่เชื่อก็ลองหาทางปฏิบัติเพื่อพ้นอบายภูมิ สำหรับท่านที่ไม่เชื่อก็คิดว่าฟังหลวงตาแก่เล่านิทานก็แล้วกัน เรื่องที่นำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ได้มาจากพระมหาถาวรซึ่งเป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอกับอาตมา เคยร่วมสำนักอุปสมบทแห่งเดียวกัน เคยศึกษาพระปริยัติธรรมร่วมกันมา เคยฝึกพระกรรมฐานในสำนักเดียวกัน เคยร่วมงานบริหารคณะสงฆ์มาด้วยกัน บัดนี้ท่านเลิกทุกอย่างคือ เรื่องงานบริหารหรือแม้กิจนิมนต์ที่เห็นว่าไม่จำเป็นนัก ท่านปลีกตัวออกสู่แดนไพรเพื่อแสวงหาความสุขอันเกิดจากวิเวก คือความสงบสงัดมีร่มไม้ชายป่าเป็นที่อาศัย มีธรรมปีติเป็นอาหารใจ ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ท่านไม่สนใจในคำนินทาและคำสรรเสริญ ขอท่านทั้งหลายอ่านเรื่องราวของท่านต่อไป ท่านจะได้ทราบถึงการตายของท่านมหาถาวร ท่านตายถึง ๘ วาระ เมื่อตายแล้วท่านได้เห็นนรก สวรรค์ พระนิพพาน แล้วท่านมิได้นิ่งนอนใจท่านพยายามฝึกฝนตนเองเพื่อให้ได้ทิพยสมบัติส่วนใดส่วนหนึ่งตามที่ท่านตั้งใจไว้ ท่านจึงละทุกอย่าง อาทิ ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข ที่มีอามิสเป็นเชื้อออกสู่ป่าดง ประสงค์เพื่อได้สุขที่มีแต่ความบริสุทธิ์ไม่มีอามิสเป็นเชื้อ ท่านทั้งหลายจะได้ทราบเรื่องของท่านพระมหาถาวร ดังต่อไปนี้

    ก่อนที่ท่านจะเริ่มเข้าสู่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา

    พระมหาถาวร เกิดที่เมืองสุพรรณบุรี อำเภอบางปลาม้า ตำบลสาลี หมู่ที่ ๒ เกิดวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เวลา ๐๗.๓๑ น. บรรดาโหรทั้งหลายเมื่อได้วันเดือนปีเกิดของท่านแล้วโปรดช่วยกันผูกดวงดูด้วยว่า ท่านผู้นี้จะสึกจากพระมาเป็นชาวบ้านอีกหรือไม่ เมื่อท่านเกิด ท่านทราบจากท่านแม่ของท่านเล่าให้ฟังว่าก่อนที่จะเข้าสู่ครรภ์ ท่านแม่ฝันว่าเห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งเป็นทองเหลืองอร่ามลอยมาทางด้านทิศตะวันออกเข้ามาทางจั่วบ้านทิศเหนือ พระพุทธรูปองค์นั้นนอกจากจะเป็นทองสุกปลั่งแล้วยังมีดาวประดับเต็มองค์ มีแสงสว่างมาก ท่านแม่เห็นเข้าก็วิ่งไปที่พระแล้วกางแขนออกรับ พระพุทธรูปองค์นั้นก็เข้ามาสู่วงแขนอยู่ภายในอ้อมกอดของท่านแม่ แล้วท่านก็ตื่นหลังจากนั้นท่านก็เริ่มตั้งครรภ์ นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อท่านเริ่มเข้าสู่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา คราวนี้มาพูดกันถึงเรื่องการตายของท่าน ท่านมีประสบการณ์ตายถึง ๘ วาระ ดังต่อไปนี้

    การตายครั้งที่ ๑

    เวลานั้นฉันอายุ ๒ ปีเศษๆ ย่างเข้า ๓ ปี ตั้งแต่อายุปีเศษๆ พอพูดได้บ้าง ท่านแม่ก็เกณฑ์แนะนำแกมบังคับว่าก่อนจะหลับต้องภาวนาว่า “พุทโธ” แต่การสอนภาวนาว่า “พุทโธ” ของท่านก็ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ไม่ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ถ้าทำอย่างนั้นเด็กๆ ทำไม่ได้แน่ ท่านต้องการคำเดียวคือว่า “พุทโธ” ก่อนจะหลับ จะต้องภาวนาให้ท่านได้ยิน ถ้าหลับก่อนที่จะพูดว่า “พุทโธ” ให้ท่านได้ยิน ๓ ครั้งไม่ได้ ท่านจะปลุกให้ตื่นให้ว่า “พุทโธ” ตามเดิม คือต้องให้ท่านได้ยินว่า “พุทโธ” “พุทโธ” “พุทโธ” เพียงเท่านั้นท่านให้หลับได้

    พออายุ ๒ ปีเศษๆ ใกล้ถึง ๓ ปี ฉันป่วยฉับพลันนั่นก็คือเป็นโรคท้องร่วง เมื่อโรคท้องร่วงเกิดขึ้นท่านแม่ก็บอกให้ท่านลุงมารักษา ท่านลุงท่านเป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ เป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก แต่ว่ายาของท่านสู้โรคไม่ได้ ในที่สุดฉันก็ตาย การตายคราวนั้นมีญาติอยู่มาก มีท่านย่ามาพยาบาลอยู่ด้วย เมื่อฉันตายเข้าจริงๆ ท่านย่าก็กลับบ้าน เป็นเวลาใกล้จะ ๕ โมงเย็น ที่ฉันรู้ก็เพราะท่านพ่อกับท่านแม่และท่านย่าเล่าให้ฟัง เด็กคงจำอะไรไม่ได้ เมื่อท่านย่ากลับไปบ้านท่านก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็จะกินข้าวเย็นอิ่มแล้วจะได้กลับมาฟังพระสวดอภิธรรม แต่พอแต่งตัวเสร็จก็ปรากฏว่าท่านลงจากบ้านวิ่งตื๋อมาบ้านฉันทันที บ้านไม่ไกลกัน บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายแปลกใจไม่เคยเห็นจริยาของท่านย่าแบบนี้ ทุกคนก็วิ่งตามมามีความรู้สึกว่าท่านย่าอาจจะเสียใจที่ฉันตาย และเรื่องร้ายอาจจะเกิดขึ้นที่บ้านก็ได้ท่านจึงวิ่งมา ท่านย่าขึ้นมาบนบ้านแทนที่ท่านจะนั่งตามปกติ เพราะปกติท่านชอบนั่งพับเพียบ แต่วันนั้นพอขึ้นมาท่านนั่งสมาธิ ๒ ชั้น แล้วก็ถามว่า“ลูกของกูป่วยไข้ไม่สบายเท่านี้ มึงรักษากันไม่ได้หรือ ทำไมปล่อยให้ลูกของกูตาย” ท่านพ่อบอกว่า “คุณแม่ครับ คุณแม่ก็มารักษาด้วยตนเอง มาพยาบาลด้วยตนเองก็ทราบอยู่แล้ว” เสียงท่านผิดจากเดิมเป็นลักษณะของผู้ชาย พูดจาห้าวหาญบอกว่า “กูไม่ใช่แม่ของมึง กูคือพระอินทร์ เป็นพ่อของเจ้าเด็กคนนี้ เจ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของกูมานับเป็นแสนชาติ ทำไมเท่านี้พวกมึงรักษากันไม่ได้หรือ”

    แล้วท่านก็เรียกหมอคือท่านลุงเข้ามาถามว่า “ทำไมโรคแค่นี้เอ็งรักษาไม่ได้หรือ โรคไม่หนักนัก” ท่านลุงก็บอกว่า “เกินวิสัยของผมแล้วครับ เป็นเร็วเหลือเกิน ยาสู้ไม่ได้” ท่านก็เลยบอกว่า“ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมนต์” เมื่อทำนํ้ามนต์เสร็จ ท่านก็บอกว่า “เลื่อนเด็กเข้ามาใกล้ๆ ข้า” เขาก็เลื่อนศพไปใกล้ๆ ท่านเอามือลูบไปครั้งหนึ่งพร้อมกับเป่าแล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่าแล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่า พอ ๓ ครั้งท่านก็อมนํ้าประเดี๋ยวก็เป่าพรวด เป่าไปครั้งแรกไม่มีอะไรผิดปกติ พอเป่าไปครั้งที่ ๒ ปรากฏว่าเด็กที่ตายไปแล้วลืมตาขึ้น ขยับมือได้ พอเป่าไปครั้งที่ ๓ ปรากฏว่าเด็กลุกขึ้นพูดจาได้ตามปกติ อาการโรคต่างๆ ที่เป็นหายหมด

    หลังจากนั้นท่านก็ประกาศว่า “ต่อแต่นี้ไปถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร ถ้าเห็นว่าจะเกินวิสัยที่จะเยียวยาได้ให้จุดธูปบอกท่าน ท่านจะมาช่วยรักษา” แล้วท่านก็มองมาที่เด็ก เรียกเข้ามาใกล้ๆ ให้หันหน้ามาบอกว่า “เจ้าจงจำไว้นะ ว่าพ่อนี้คือพ่อของเอ็ง เอ็งเป็นลูกพ่อมานับเป็นแสนชาติ พ่อนี้คือพระอินทร์ ต่อนี้ไปถ้ามีความกลัวอะไรเกิดขึ้นหรือมีการขัดข้องอะไรก็ตามจงนึกถึงพ่อ พ่อจะมาหาทันที ถ้ากลัวผีพ่อจะช่วยขับผี ถ้ากลัวหมาบ้าพ่อจะช่วยขับหมาบ้า” เวลานั้นฉันกลัวทั้งผีทั้งหมาบ้า ปกติกลัวผีมาก สมัยเป็นเด็กๆ อยู่บนบ้านคนเดียวไม่ได้ ถ้านั่งอยู่ข้างล่างก็นั่งอยู่คนเดียวไกลผู้ใหญ่ไม่ได้กลัว สำหรับสุนัขนี่ ผู้ใหญ่เขาหลอกว่าหมาบ้าจะกัดก็เลยมีอารมณ์กลัวหมาบ้าอีก หลังจากนั้นท่านก็ลาไป ปกติฉันเป็นคนกลัวผี บางวันท่านพ่อท่านแม่ พี่ท่านไปข้างล่างท่านบอก “อยู่ข้างบนนะ อย่าไปไหนเลย อย่าเที่ยวไป อย่าเล่นไป จะหล่นใต้ถุนจะเจ็บ” คำสั่งฉันถือเป็นคำสั่ง ถ้าเป็นคำสั่งของท่านผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติตาม เมื่ออยู่คนเดียวก็กลัวผี ถ้าจะลงก็กลัวถูกตี ในที่สุดก็แก้ปัญหาช่วยตัวเองโดยนึกถึง “ท่านพ่อพระอินทร์” ว่า “ขอท่านมาช่วยโปรด เวลานี้กลัวผีแล้ว”

    พอนึกปั๊บก็เห็นท่านทันที เราเข้าใจกันว่าพระอินทร์ตัวเขียว ท่านก็มาเขียวๆ มาแล้วท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องกลัว พ่อมาแล้ว ผีมาไม่ได้ ผีทั้งหมดสู้พ่อไม่ได้” และในบางครั้งท่านมีภารกิจ ท่านมาแล้วท่านก็บอกว่า “พ่อต้องรีบกลับแต่สองคนนี้จะช่วยลูก” สองคนเป็นผู้หญิงสาวและก็สวยใส่ชฎาด้วยทั้งตัวและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเพชรแพรวพราวเป็นระยับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอกว่า “คนนี้เป็นแม่ของเจ้ามาหลายแสนชาติเพราะเป็นชายาของพ่อ และคนนี้เป็นพี่สาวของเจ้ามาหลายแสนชาติเหมือนกัน ท่านจะช่วยสงเคราะห์ ต่อแต่นี้ไปถ้าพ่อมีธุระจะให้แม่กับพี่มา” ก็คุยกันแบบธรรมดา ฉันก็ชอบสวยๆ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านถามว่า “นี่สวยไหม ตรงนี้สวยไหม เพชรตรงนี้ดีไหม” ท่านก็ชวนคุย ฉันก็มีความเพลิดเพลินมีความสุข แต่คุยไม่นานท่านก็จับไปนอนตัก รู้สึกว่าเนื้อของท่านนิ่มกว่าเนื้อของแม่ในชาตินี้มากและมีความอบอุ่นเป็นพิเศษ ท่านลูบไปลูบมาประเดี๋ยวเดียวฉันก็หลับ นี่เป็นเรื่องของเทวานุภาพ

    วันต่อๆ มาบางครั้งบางทีฉันอยู่คนเดียวก็มีความรู้สึกว่ามีลุงคนหนึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย ลุงคนนี้เป็นลุงในชาตินี้ ท่านตายไปแล้ว สมัยเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ท่านรักฉันมากและเคยขอท่านพ่อท่านแม่ว่า “คนนี้ขอเป็นลูกของฉัน” เพราะท่านไม่มีลูก ท่านพ่อท่านแม่ก็อนุญาตยกให้เป็นลูก บางทีฉันนั่งข้างนอก ท่านก็มานอนอยู่ในห้องมีเสียงกรนให้ได้ยิน จำได้ว่าเป็นเสียงลุง ได้รับกลิ่นตัวก็จำได้เป็นกลิ่นตัวของท่านก็หมดความกลัว บางขณะเดินไปไหนตอนที่ฉันโตเป็นหนุ่มแล้ว เมื่อเกิดความกลัวขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลังแต่มองไม่เห็นตัว บางทีฉันก็แกล้งบอกว่า“เอ้า เดินข้างหน้าบางสิ เดินข้างหลังอย่างเดียวได้ไง” ก็รู้สึกเหมือนคนเดินหลีกไปทางขวาแล้วเดินไปข้างหน้าและก็มีเสียงคนเดินข้างหลัง บางคราวก็มีเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กหัวเราะต่อกระซิก ลักษณะคล้ายๆ เป็นการขบขันเหลือเกินที่กลัว ความจริงฉันเป็นหนุ่มแล้วฉันก็ยังหวาดกลัว

    แต่ลักษณะของฉันเป็นลักษณะของคนดื้อ ถ้าก้าวเท้าก้าวแรกออกแล้วจะไม่ยอมถอยหลังกลับ จะไปไหนต้องไปให้ได้มืดค่ำก็ตาม ฉะนั้นเสียงคนติดตามจึงมีอยู่เสมอ มีคราวหนึ่งฉันเดินไปที่ตรงนั้นมันมืดและก็มีสุมทุมพุ่มไม้ พอเข้าเขตนั้นชักไม่ไว้ใจตาก็มองจุดนั้น มือหนึ่งก็ดึงปืนออกจากกระเป๋า อีกมือหนึ่งถือมีดคิดว่าถ้าข้าศึกออกมาก็ต้องยิงกัน ถ้ายิงไม่ออกก็ต้องฟันกัน พอฉันคิดอย่างนั้น ก็มีเสียงหัวเราะครืนทันที จึงถามว่า “ใครมาหัวเราะทำไม ท่านแม่และท่านพี่หรือ” ตอบว่า “น้อง” ถามว่า “น้องมีกี่คน” ตอบว่า “รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร” ทั้งหมดแสดงให้ปรากฏชัด กลางคืนมืดๆ ก็เหมือนไฟสว่าง ๒,๐๐๐ แรงเทียน เห็นชัดมากหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เธอแต่งตัวเป็นนางฟ้าไม่ใช่คน

    เป็นอันว่าการตายครั้งแรกของฉัน ฉันเป็นเด็กไม่รู้ภาษีภาษา ก็อาศัยคำภาวนาว่า “พุทโธ” โดยไม่ได้ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ซึ่งเป็นประโยชน์ เวลาที่ฉันตายแล้วฟื้นมาใหม่ ทำให้ฉันรู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า ฉะนั้นฉันจึงเชื่อว่า เทวดามีจริง ทั้งๆ ที่เวลานั้นฉันยังไม่เคยฟังเทศน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เทวดามีจริง

    การตายครั้งที่ ๒

    เป็นการตายเมื่อวัยเด็กอายุ ๑๒ ปี ด้วยโรคอหิวาตกโรค โรคนี้แปลตามศัพท์แปลว่า โรคลมที่มีพิษเหมือนงูพิษ ป่วยก่อนวันตาย ๑ วัน ตอนนั้นอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า ตอนบ่ายก่อนวันตาย นักเลงสุราเขาหาหอยโข่งจากกลางนามาพล่ากินกับเหล้า เมื่อเขาทำเสร็จเขาก็เรียกฉัน แต่ทว่าฉันไม่ได้กินเหล้า บ้านฉันทั้งหมดไม่มีใครกินเหล้าเลย ชอบกินหอยโข่งพล่า เนื้อออกรสหวานๆ อร่อยมาก เขาพล่าแบบขี้เมา กินเสียจนอิ่มเต็มอัตราศึก เมื่ออิ่มแล้วก็ออกวิ่งเล่นไม่มีอะไรแสดงว่าท้องจะเสีย แต่ทว่าเวลานั้นชาวบ้านกำลังตายด้วยโรคอหิวาต์กันเกลื่อน กลางคืนหาคนเดินเที่ยวเตร่ไม่ได้ ตำบลนั้นและตำบลใกล้เคียงเงียบสงัด สุนัขหอนตั้งแต่ตอนหัวค่ำเกือบตลอดแจ้ง

    วันรุ่งขึ้นตอนเช้าเวลาเกือบ ๙.๐๐ น. ก็เริ่มปวดท้องแล้วก็ถ่ายแบบไม่มีเสียงสะบัดเป็นสัญลักษณ์ของอหิวาตกโรค เมื่อถ่ายครั้งแรกก็เรียนให้ท่านแม่ทราบ ท่านจัดหายามาให้และใช้ให้คนรีบไปตามท่านลุงที่เป็นหมอ ท่านลุงเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก มีความรู้ทั้งแผนโบราณและปัจจุบัน กว่าท่านลุงจะมาท้องก็ถ่ายเป็นวาระที่ ๓ มีอาการเพลียมากแรงไม่มี ท้องก็ปวดมากมาถึงผิวหนัง ภายในมีความร้อนมาก ผ้าที่นุ่งต้องวางทาบไว้จะขมวดหรือรัดเข็มขัดก็ไม่ได้เพราะมันปวดเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้นได้ เมื่อท่านลุงมาถึงก็ฉีดยาให้ ๑ เข็ม ค่อยมีอารมณ์ใจสบาย เมื่อท่านแม่ให้กินยาแล้ว ท่านก็นำพระพุทธรูปองค์ที่ฉันรักมากที่สุดมาวางไว้ทางขวามือพอมองเห็นถนัด ท่านจุดธูปที่มีกลิ่นหอมมากเห็นจะเป็นธูปแขกหอมชื่นใจจริงๆ พอท่านแม่จัดเรื่องพระเสร็จท่านก็บอกว่า“ลูกภาวนาว่า พุทโธ นะลูก ภาวนาไว้และจำรูปพระให้ติดตา เมื่อหลับตาจงนึกถึงภาพพระ เมื่อลืมตาก็จงดูพระไว้ ภาวนาไว้ พระจะช่วยให้ลูกหายเร็วๆ และจะไม่เจ็บท้อง”

    เมื่อท่านแม่สั่งฉันก็ภาวนา ฉันอยากให้อาการปวดท้องหาย มันทรมานเหลือเกิน ฉันมองดูพระองค์ที่ฉันรัก ฉันรักท่านมาก สีท่านเหลืองอร่ามหน้าก็ยิ้มสวย กลิ่นธูปก็หอมตลบ ฉันสบายใจเมื่อหลับตาฉันเห็นภาพพระลอยที่หน้าฉัน ภาวนาไปไม่กี่นาที อาการปวดท้องรู้สึกคลายลงพร้อมกับเห็นภาพพระที่ลอยตรงหน้าสวยมากขึ้นทุกที เดิมเป็นสีเหลืองธรรมดา ต่อมาเพิ่มความสดใสขึ้นทีละน้อยจนเห็นชัด ต่อมาเกิดเป็นแสงประกายคล้ายเพชรอย่างดีที่ถูกแสงไฟ และเป็นประกายแพรวพราวไปทั้งองค์ ใจฉันเพลิดเพลินกับความสวยของภาพพระ เลยลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น มันไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย เวลาผ่านไปประมาณ ๙.๐๐ น.เศษ ฉันลืมตามองดูคนที่มาและภาพต่างๆ สายตามันสั้นเข้ามาทุกที ชั่วเวลา ๒-๓ นาที ก็มองอะไรไม่เห็นเลยแต่ใจสบาย สิ่งที่เสียดายมากที่สุดก็คือฉันมองไม่เห็นพระองค์ที่ฉันรัก ฉันเลยหลับตา ความรู้สึกสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะปกติ อาการปวดไม่มี ฉันเลยคิดเอาว่าเมื่อไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ท่านแม่เคยบอกว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราภาวนาว่า “พุทโธ” พระท่านจะไปหาทันที ฉันคิดได้ฉันก็เลยภาวนาเรียกพระ ขอให้ท่านมาหาฉัน พอภาวนาได้สัก ๓ ครั้ง ปรากฏว่าพระมา ท่านไม่ใช่พระพุทธรูปแต่เป็นพระสงฆ์ มีรูปร่างสวยมาก นิ้ว แขน ขา ทุกส่วนกลมไปหมดไม่เป็นเหลี่ยมเหมือนของฉัน ริมฝีปากท่านแดงน้อยๆ กำลังน่ารัก เนื้อเต็มไม่มีส่วนบกพร่อง ท่านเห็นฉันท่านยิ้มน้อยๆ แต่ท่านไม่พูด ท่านยิ้มตลอดเวลา ปกติฉันชอบคนยิ้ม ฉันเองก็ชอบยิ้มให้คนอื่นที่ฉันพบ แต่ถ้ายิ้ม ๓ คราวเขาไม่ยิ้มรับฉันจะไม่ยอมยิ้มให้อีกเลย ตรงนี้ไม่ค่อยดีเป็นเรื่องของคนที่มีกิเลส อย่าเอาไปปฏิบัติตาม

    ภาพพระท่านสวยขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาท่านมีแสงออกจากตัวมี ๖ สี มองดูคล้ายพระอาทิตย์ทรงกลดแต่สวยมากกว่าจนเทียบไม่ได้ องค์พระแทนที่จะเป็นสีเหลืองกับมีสีเป็นประกายทั้งองค์ ฉันมองจนลืมตัว มองไปมองมาปรากฏว่าตัวฉันกลายเป็นคน ๒ คน คือคนหนึ่งไปยืนอยู่ข้างคนเดิม ตัวใหม่นี้สวยกว่าตัวเก่ามาก ฉันมองดูเนื้อฉันใสเหมือนแก้ว มีผ้านุ่งเป็นสีทอง เสื้อสีทอง มีแก้วประดับผ้าทั้งผืน มองดูเนื้อฉันสีทองมาจับแลเป็นสีทองทั้งตัว บนศีรษะมีชฎาทองประดับแก้ว แก้วที่ประดับเสื้อผ้าและชฎามีแสงสว่างออกมาก ฉันลองขยับเขยื้อนตัว มันคล่องแคล่วมีความเบาผิดปกติ การเคลื่อนไหวสะดวกมาก ดูตัวที่นอนฉันก็ทราบว่ามันเป็นตัวของฉันแต่มันไม่สวย น่าเกลียดน่ากลัวมาก ฉันไม่รักมันเลยมันไม่มีลมหายใจ ฉันไม่ชอบและไม่ห่วงมัน ฉันหันไปดูพระท่านหายไปเสียแล้ว เดินวนไปเวียนมาอยู่พักหนึ่ง เห็นมันสบายไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย มีความสบาย ชักอึดอัดใจที่ยืนอยู่บนบ้าน อยากจะลงไปเดินเล่นหลังบ้านเพราะที่นั่นเย็นสบายดี แต่การไปนอกบ้านปกติต้องลาท่านแม่ จึงเข้าไปลาท่านไปหลังบ้าน ท่านก็ไม่ยอมพูดด้วยท่านมองแต่เจ้าคนนอน เอามือไปจับตัวท่าน ท่านก็ไม่เหลียวมามอง ไปลาลุงท่านก็ทำแบบเดียวกัน เมื่อไม่มีใครสนใจก็เลยถือโอกาสไม่ลา เดินลงบันไดแล้วไปยืนอยู่หลังบ้าน ได้ยินเสียงบางคนบนบ้านร้องไห้ รู้สึกแปลกใจคิดว่าเขาร้องไห้ทำไม ไม่มีใครตายสักคน ยืนอยู่หลังบ้านครู่หนึ่งเห็นคนเดินมาจากทางทิศใต้เป็นแถวยาวเหยียด คิดในใจว่าพวกนี้เขาจะไปไหนกัน เมื่อพวกเขามาใกล้เห็นชาย ๔ คนคุมมา คน ๔ คนนุ่งผ้าเขียวเหมือนกันตัวใหญ่และสูงมาก พวกที่เดินตามมาหัวแค่เอวเขาเท่านั้นเอง ฉันเห็นเขาตัวใหญ่ก็เลยทำตัวใหญ่และสูงเท่าเขามั่ง ชาย ๔ คนนั้น คนหนึ่งเดินนำหน้ามีสมุดข่อยในมือ อีกสองคนเดินขนาบข้าง ๒ ข้าง คนที่ ๔ เดินท้าย แสดงว่าควบคุมกันหนี เมื่อหัวหน้าใหญ่มา ฉันก็เข้าไปยกมือไหว้ถามว่า “คุณลุงจะไปไหนกันครับ”

    คุณลุงมองหน้าฉันแล้วก็เปิดสมุดข่อยแล้วบอกว่า “ชื่อเธอไม่มีในบัญชี เข้าบ้านเถิดหลานเดี๋ยวแม่จะบ่นหา” แล้วก็จูงมือฉันมาที่บันไดบ้าน และกลับไปนำขบวนเดินต่อไป ฉันแปลกใจว่าตาลุงนี่ท่าจะยังไงเสียแล้ว ถามว่าไปไหนกลับมาบังคับเราให้เข้าบ้าน ต้องถามเอาความให้ได้จึงเดินตามออกไปเห็นคนที่เดินผ่านหน้าเป็นคนที่เคยรู้จักกันหลายคนและเขาตายไปหลายวันแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเมื่อเขาตายไปแล้วเขามาเดินอยู่ได้อย่างไร พอคนที่ขนาบข้างและคนท้ายมาถึง ฉันก็เข้าไปถามเขาอย่างนั้น เขาก็ทำอย่างเดียวกันก็เลยสงสัยใหญ่

    เมื่อเขาเดินห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตรฉันก็สะกดรอยตามเขาไป เดินไปทางทิศเหนือไปไม่ได้ไกลนักก็เข้าป่าไผ่ มีทางเล็กๆ เดินคดเคี้ยวไปตามทางก็มีเขาต่ำๆ ขวางทางเป็นระยะๆ ข้ามเขาลงเขาไปประมาณ ๑๐ ลูก ในที่สุดก็ถึงเขาใหญ่และสูงมากหัวหน้าขึ้นไปถึงยอดเขาก็กางบัญชีออกตรวจพล เมื่อถึงคนสุดท้ายเขาบอกว่าครบ ก็พอดีฉันโผล่ขึ้นไปทั้ง ๔ ท่านรู้สึกมีอาการตกใจมากถามว่า “พ่อหนูมาทำไม” จึงบอกว่า “เมื่อผมถามคุณลุงว่าไปไหน คุณลุงไม่บอกผม ผมก็ต้องตามมาดูให้หายสงสัย” แล้วถามว่า “พวกนั้นเขาไปไหนกันครับ” คุณลุงฟังแล้วก็พากันหัวเราะฟันขาวด้วยตัวแกดำมากแล้วตอบว่า “ลุงไปรับพวกนั้นเขามาส่งนรก” จึงถามท่านว่า “คนที่เอามาส่งนรกเขาทำความผิดอะไร” เขาตอบว่า “คนพวกนี้เคยถูกลงโทษในนรกมาแล้ว เมื่อหมดโทษเขาให้ไปเกิดเพื่อทำความดีกลับทำตนเลวทราม ไม่เคารพศีลธรรมขาดความเมตตาปรานี เมื่อทำชั่วอีกเขาก็นำมาลงโทษอีก”

    ไปที่สำนักพระยายมราช

    ว่าแล้วก็ชี้ให้ดูทางทิศเหนือต้องลงจากเขาไปก่อนจึงจะถึงผืนแผ่นดินใหม่ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดินมีพิภพต่างหากจากมนุษย์ มองตามไปเห็นแผ่นดินใหญ่โตกว้างขวาง มีอาคาร ๓ หลังมีคนยืนอยู่ทางด้านซ้ายหลายพันคน มีคนตัวโตๆ อย่างพวกคุณลุงมากมายยืนถือหอกหน้าถมึงทึง อาคารในจำนวน ๓ หลัง หลังกลางเป็นหลังใหญ่ที่สุด มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย มีคนตัวโตเดินนำเข้าไปทีละกลุ่ม พวกที่สวนออกมามีคนตัวโตเดินนำหน้า เมื่อออกจากอาคารเดินเลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันออก เรื่องทิศนี้เทียบทางเมืองมนุษย์ สำหรับเมืองนรก สวรรค์ พรหม หรือนิพพาน ไม่มีอาทิตย์เป็นเครื่องวัดทิศทาง เมื่อเห็นคนเข้าคนออกอาคารหลังนั้นก็สงสัย จึงถามคุณลุงว่า “คุณลุงครับพวกนั้นเขาเข้าไปในบ้านหลังนั้นทำไม และพวกที่ออกมานั้นดูท่าทางอิดโรยหน้าตาเศร้าสร้อยเขาไปทางไหนกัน”

    คุณลุงหัวหน้าบอกว่า “เมืองนี้เขาเรียกว่าเมืองนรก” แล้วชี้ไปทางคนที่ยืนคอยอยู่หลายพันคนแล้วบอกว่า “ทุกคนที่ยืนคอยนั้น เขาคอยการตัดสินของพระยายมราช พวกที่เข้าไปเขาถูกพระยายมราชเรียกตัวและชำระโทษตามความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พระยายมราชชำระคดีแล้วก็นำไปลงโทษตามความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พระยายมราชชำระคดีแล้วก็นำไปลงโทษ” พูดแล้วก็ชี้มือไปทางทิศตะวันออก เมื่อมองตามไปเห็นทุ่งกว้างหาที่สุดมิได้ มีแสงไฟพุ่งขึ้นสูง บริเวณแสงไฟก็ไกลแสนไกลไม่รู้ที่สุดของบริเวณอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าตรงนั้นแหละที่เรียกว่านรก เป็นสถานที่ลงโทษคนที่ทำความชั่ว เมื่อสิ้นลมปราณแล้วเขาก็นำมาลงโทษกันที่นี่ ถามว่า “เขาลงโทษนั้นเขาทำอะไรบ้าง” ตอบว่า “โทษที่เหมือนกันหมดก็คือ ถูกไฟเผาเหมือนกันแต่ความร้อนของไฟไม่เท่ากัน คนที่ทำชั่วมากไฟมีความร้อนมากกว่าคนที่ทำความชั่วน้อย นอกจากไฟยังมีประหารด้วยอาวุธ แต่ทว่าพวกนี้ไม่มีการตายต้องเจ็บต้องร้อนตลอดเวลา เป็นการลงโทษเพื่อให้เข็ดหลาบ”
    ฉันขออนุญาตลงไปดู ทั้ง ๔ ท่านต่างแสดงอาการเดือดร้อนมากร้องออกมาพร้อมกันว่า “ไม่ได้ ถ้าหลานลงไปลุงทั้ง ๔ คนจะถูกลงโทษอย่างหนัก” จึงถามว่า “เพราะอะไรคุณลุงจึงจะถูกลงโทษและใครเป็นคนลงโทษคุณลุง” ตอบว่า “เพราะว่ากฎของเมืองนี้มีอยู่ว่า คนก่อนที่จะตายถ้าภาวนา “พุทโธ” หรือ “อรหัง” ถ้าลุงอนุญาตให้เข้าไปในแดนนรก ท่านพระยายมราชจะลงโทษลุงอย่างหนัก” จึงบอกว่า “เมื่อคุณลุงไม่ได้จับผมไปเอง ทำไมคุณลุงจะต้องถูกลงโทษ” ตอบว่า “ไม่ได้ เพราะหลานมาขณะที่ลุงนำคนมา ถ้ามาเองและลงไปเองไม่เป็นไร”
    พอทำท่าจะลุกขึ้นเดินลงไปก็พากันกั้นไม่ให้ลงแล้วถามว่า “อยากดูนรกขุนไหน” ถามว่า “นรกมีกี่ขุม” ตอบว่า “นรกขุมใหญ่มี ๘ ขุม นรกบริวารมีอีกขุมละ ๑๖ ขุม ยมโลกียนรกมีอีก ๑๐ ขุม” บอกว่า “อยากดูนรกขุมใหญ่ ๑ ขุม จะได้ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร” คุณลุงชี้มือบอกว่า “นรกขุมที่ ๑ อยู่ตรงนี้” เห็นชัดเหมือนกับยืนดูอยู่ที่ปากขุม ภาพในนรกขุมนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนลงไปนั่น
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...