ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกไปพระนิพพาน(หลวงปู่นาค วัดระฆัง)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 23 กันยายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายก มรณภาพแล้วไปพระนิพพาน(หลวงปู่นาค วัดระฆัง)
    [​IMG]
    "...เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๑๔ อาตมาทราบจากคุณนิด (อรอนงค์ อรรถไกวัลวที) ว่า ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธนายก ตาย เวลานั้นพอดีเจ้าท้องมันทำพิษต้องใช้ยาระยาย มันเพลียเลยขี้เกียจเที่ยว อาศัยปลงสังขารรู้สึกสบายดี แต่ก็แปลกใจอยู่หน่อยหนึ่ง คืนที่กลับมาค้างบ้านครูนนทา กำลังปลงสังขารพอสบายก็ปรากฎแสงสว่างเกิดพุ่งมาทางศรีษะ มีแสงสว่างมากแต่ก็ไม่คิดสงสัย เพราะขณะใดที่มีอารมณ์สบายจะปรากฎว่ามีพระพุทธรัศมีแบบนั้นปรากฎเสมอ แต่ทว่าวันนั้นเป็นแสงสว่างธรรมดาไม่มีแสงอื่นผสมก็เลยคิดว่าคงเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งมาสงเคราะห์ มันเพลียมากก็เลยปล่อยไปไม่ได้สนใจอะไรอีก ตอนกลางวันฉันยาแก้หวัดเข้าไปเลยนอนหลับตื่นขึ้นเวลา ๑๕.๐๐ น. รู้สึกสบายใจมีกำลังทางร่างกายดี เก็บงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เสร็จแล้วก็คิดว่าคืนนี้จะออกเที่ยวสักที นานมาแล้วไม่ได้เที่ยว
    พอถึงเวลา ๑๙.๕๕ น. ก็เตรียมสมาทานพระกรรมฐานกันตามปกติ เมื่อเสร็จพิธีสมาทานก็ปลงสังขารตามเคย เวลาผ่านไป ๓๐ นาทีคือเวลา ๒๐.๓๐ น. ได้ยินเสียงนาฬิกาให้สัญญาณว่าเหลืออีก ๓๐ นาทีจะหมดเวลาแล้ว จึงออกจากกายพบ สมเด็จองค์ปฐม ท่านมายืนคุม ได้กราบทูลถามว่า "ท่านเทพประสิทธินายกไปไหน" ท่านบอกว่า "ไปพระนิพพาน" ถามท่านว่า "ท่านเป็นพระอรหันต์ระดับไหน" ท่านบอกว่า "เป็นพระอรหันต์ระดับวิชชาสามและทรงมโนมยิทธิ แต่ทิพจักขุญาณใสเป็นพิเศษ" เลยลาท่านจะไปตามดูท่านเทพประสิทธินายก ท่านก็บอกว่า "ไปเถอะทางนี้ฉันดูเอง" หมายถึงคุมคนที่กำลังเจริญพระกรรมฐานกันอยู่
    เมื่อไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เข้าพบโยมคือท่านปู่พระอินทร์กับท่านย่า เห็นบรรดานางสาวสวรรค์เข้าเวรกันมาก จึงถามท่านว่า "มาหาบ่อย ๆ โยมรำคาญไหม" ท่านบอกว่า "ไม่รำคาญ มาบ่อย ๆ ดี ใจจะได้ไม่ต่ำ เวลาตายจะได้ไม่ไปอบายภูมิเพราะจิตเกาะกุศล" อาตมามองดูแม่สาว ๆ วันนี้ไม่สวมชฎาปล่อยผมมาปรกหลัง ได้ถามว่า "ทำไมไม่สวมชฎา" ตอบว่า "อยู่เวรปกติไม่ต้องสวมชฎา เวลาท่านผู้ใหญ่ประชุมเทวดาจึงจะสวมชฎา" คุยกับโยมแล้วก็ลาท่านไปพระจุฬามณี ความจริงก็มีสถานที่ติดกันนั่นเอง ท่านบอกว่า "นิมนต์ตามสบาย จะมาหาท่านเทพฯใช่ไหม" ตอบท่านว่า "ใช่" ท่านบอกว่า "ท่านเทพฯกำลังมาที่พระจุฬามณี" อาตมาจึงเดินเข้าพระจุฬามณีทางประตูทิศตะวันตก เมื่อผ่านท่านมเหสักขาที่ยืนเป็นยามเฝ้าประตู ท่านเป็นเทวดาอนาคามี
    ท่านมเหสักขาบอกว่า "หลวงพ่อครับ ท่านเทพฯ ที่หลวงพ่อต้องการพบท่านกำลังจะออกมาแล้ว" ก็เลยเดินสวนเข้าไปพบท่านเทพฯ เดินสวนออกมาพอดี ท่านสว่างมากเหลือเกิน ท่าทางสง่างดงามมาก พอถึงกันท่านก็จับมือบอกว่า "ตามฉันทำไม" ตอบท่านว่า "ไม่ทราบว่าไปทางไหนแต่ก็ลองตามดู" ท่านบอกว่า "ดีแบบนี้ดี ทำไปเป็นปกติเถอะ มีประโยชน์แก่ตัวเองมาก" ถามท่านว่า "ท่านมีทิพจักขุญาณแจ่มใสมาก ผมทำไม่ได้อย่างท่าน เมื่อท่านตายแล้วผมก็หนัก ยิ่งแก่มากผมก็ยิ่งหนัก เพราะคนก็จะรวมตัวเข้ามา ขอให้ผมแจ่มใสอย่างท่านบ้างได้ไหม" ท่านบอกว่า " รักษาสมาธิที่ศูนย์ไว้เป็นปกติก็แล้วกัน มันจะคล่องตัวเอง และชำระใจให้สะอาดมันจะสว่างมากเอง" แล้วต่างก็ลากันไปท่านไปที่ของท่าน อาตมาเข้าไปนมันการพระ พอเข้าไปพระท่านก็บอกว่า "คุณไม่มานานแล้วควรมาเป็นปกติ การปลงสังขารเป็นของดีแต่ญาณเครื่องรู้จะผิด เวลานี้เรามีศิษย์จำเป็นต้องใช้ญาณ ควรหันกลับเข้าใช้ญาณตามเดิม ความรู้จะได้ว่องไวตามเดิม" และท่านก็สอนมาก ต่อจากนั้นท่านก็ให้ไปเฝ้า สมเด็จพระสมณโคดม ที่พระนิพพาน
    พอขึ้นไปก็เห็นท่านใสสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ เข้าไปนมัสการท่านที่พระบาท ท่านตรัสเตือนเรื่องใช้ญาณอีก ท่านว่า "เธอปล่อยมากเกินไป การปลงเป็นสมบัติส่วนตัว การทำญาณให้คล่องเป็นเครื่องมือช่วยศิษย์ เธอต้องทำให้คล่องตามเดิม" และท่าน พระมหากัจจายนะ อาจารย์สอนญาณเครื่องรู้ก็เข้ามาหา สมเด็จท่านบอกให้ท่านพระมหากัจจายนะเป็นพี่เลี้ยงเดินนำทางไปเฝ้า สมเด็จพระพุทธกัสสป" ความจริงไม่ต้องนำก็แวะอยู่แล้ว อาตมากราบถามท่าน สมเด็จพระสมณโคดมว่า "ทำไมข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องมีท่านมหากัจจยานะเป็นผู้ควบคุม องค์อื่นคุมไม่ได้หรือ" ท่านตรัสว่า "เธอปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ท่านมหากัจจายนะก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน คนที่ปรารถนาพุทธภูมิจนเข้าถึงบารมีปลายจะเอาพระประเภทสาวกปกติคุมไม่ได้ เพราะจะไม่สามารถทำให้เลื่อมใสได้ ต้องเป็นพวกพุทธภูมิด้วยกัน หรือมิฉะนั้นก็ต้องพระพุทธเจ้าโดยตรงจึงจะทำให้เชื่อและเลื่อมใสได้"

    พบพระนิพพานครั้งแรก

    เมื่อไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านก็เตือนเรื่องใช้ญาณและให้หมั่นขึ้นไปเพราะเวลานี้ขาดเฝ้ามานาน การเฝ้าท่านมีประโยชน์จากการได้รับพระพุทธบัญชา บอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้แล้วเอามาแนะนำต่อ ๆ ไป ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์มาก เมื่อพระองค์ทรงตักเตือนพอสมควรแล้วก็ทรงมีพระพุทธบัญชาให้ไปที่อยู่โดยมีพระมหากัจจายนะ พระอาจารย์เป็นผู้ควบคุม เมื่อจะเข้าประตูวิมานอาตมาเห็นยักษ์ ๔ ตนยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูเป็นปกติ ยักษ์พวกนี้เป็นยักษ์อนาคามี เป็นลูกเป็นหลานเก่า พอเห็นเข้าเขาก็ดีใจ พอเข้าประตูไปด้านในมีพรหม ๔ ท่าน เป็นพรหมอนาคามีเหมือนกันเป็นยามด้านใน เมื่อสนทนาปราศรัยกันตามสมควรแล้วก็เดินเข้าสู่สถานที่อยู่ พอไปถึงหอระฆังหน้าที่อาศัยก็จำได้ว่า เมื่อตายครั้งหลังในชาตินี้มาตรงนี้และพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านได้ตรัสว่า " เธอคิดไหมว่าชาตินี้เธอจะมาพระนิพพานได้" ได้กราบทูลว่า "ไม่เคยคิดว่าจะมาได้" ท่านทรงถามว่า "เพราะอะไรจึงคิดอย่างนั้น" ได้กราบทูลท่านว่า "ไม่ทราบ" ท่านตรัสว่า "นี่ตรงนี้เขาเรียกอะไร" กราบทูลท่านว่า "ไม่ทราบ" ท่านถามว่า "เทวดาและพรหมทุกชั้นเธอรู้จักหมดไหม" กราบทูลท่านว่า "รู้จักหมด" ท่านถามว่า "ตรงนี้เป็นแดนของเทวดาหรือพรหม" กราบทูลว่า "ไม่ใช่เทวดาและพรหมทั้งสองอย่างเพราะพรหมมีชั้นที่ ๑๖ เป็นชั้นสูงสุดก็ผ่านมาแล้ว" ท่านตรัสว่า "ที่ตรงนี้เขาเรียกว่า นิพพาน" จึงกราบทูลท่านว่า "ตามที่เรียนมานั้นครูบาอาจารย์ท่านสอนว่านิพพานไม่มีรูป ไม่มีที่อยู่ ไม่มีอะไรปรากฎ" ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า "เธอมาถึงนิพพานแล้วยังสงสัย"
    เป็นอันว่าในที่สุดท่านรับรองว่า นิพพานมีสถานที่ มีรูป มีความสุข เป็นสถานที่มีอารมณ์ปกติ ไม่มีอารมณ์ความรัก โลภ โกรธ หลง และอารมณ์ขัดข้องใด ๆ เลย เป็นอารมณ์ว่างสบายด้วยประการทั้งปวง ไม่มีห่วง ไม่มีกังวล ขั้นสุดท้ายท่านก็นิรมิตไม้ขึ้น ๑๐ ท่อน ท่านบอกว่า "คนที่จะมานิพพานได้จะแบกไม้นี้ไหว ถ้าแบกไม่ไหวก็จะมานิพพานไม่ได้" แล้วท่านก็เรียกพระที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ที่ตายไปแล้วมา ๙ องค์ ปรากฎว่ามี หลวงพ่อปาน เป็นองค์ที่ ๔ ทุกองค์มาถึงก็แบกไม้ขึ้นบ่าไม่มีท่าทางแสดงว่าหนักเลย เหลืออีกท่อนหนึ่ง ท่านตรัสว่า "ท่อนนี้เธอแบก" ตอนนั้นกำลังใจไม่มีเลย ใจมันบอกว่าไม่ไหว แต่เกรงพระบารมีก็จำต้องเข้าไปหยิบไม้ท่อนที่เหลือท่อนเดียวนั้น ตั้งท่ายักแย่ยักยันออกแรงเสียสุดแรงเกิด พอหยิบเข้าจริงไม้ท่อนนั้นไม่มีน้ำหนักเลย มีน้ำหนักคล้ายเศากระดาษชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้นเอง รู้สึกว่าเบาก็เลยออกเดินตามพระที่แบกก่อนไปพอเดินไปได้หน่อยเดียว ท่านก็เรียกให้เอาไม้มาวางที่เดิมและให้กลับมานั่งที่เก่า ท่านบอกว่า "เธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนายังอ่อน กลับไปซ้อมวิปัสสนาให้เข้มข้นเสียก่อน เธอจะมานิพพานได้ในชาตินี้ สถานที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัยอานิสงส์ที่สร้างวิหารทาน (สร้างที่อยู่อาศัยเป็นสาธารณประโยชน์)
    การป่วยคราวนั้นมีอารมณ์ตัดหมด คิดว่าเราไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีญาติ ร่างกายไม่ใช่ของเรา ห้ามคนที่มาเยี่ยมพูดถึงทรัพย์สินและเรื่องอื่นทั้งหมด พูดได้อย่างเดียวธรรมปฏิบัติ ตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าอารมณ์อย่างนั้นเป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณและเป็นอารมณ์ของพระที่เข้าถึงพระนิพพาน ทำส่งเดชแต่ด้วยใจจริง เข้าทำนองที่ท่านกว่าวว่าบังเอิญขี้ตรงร่อง เมื่อหวนคิดถึงความหลังครั้งนั้นขึ้นมาแล้ว ก็เลยไม่นั่งตรงที่พระพุทธเจ้าท่านนั่ง จึงนั่งลงข้างล่างกราบตรงนั้นสามครั้ง พอเงยหน้าขึ้นเห็นท่านมานั่งที่เดิมอีกและก็ตรัสว่า "วีระ เธอคิดถึงความหลังหรือ" จึงกราบทูลว่า "คิดอย่างนั้นพระเจ้าข้า" พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า "ดีแล้ว ต่อไปนี้จงซ้อมญาณให้คล่องตามเดิมนะ จะได้เป็นที่อาศัยของศิษย์" พระองค์ทรงชี้ให้ดูสถานที่ว่าหลังนี้เป็นที่อยู่ของเธอเป็นแก้วมณีโชติ หลังนี้เป็นที่ประชุม เรียกแก้วมณีเฉย ๆ ไม่ได้หรือ มันไม่เหมือนกัน แก้วมณีธรรมดามีสีใสแต่ไม่สว่าง มีแต่รัศมีออกเมื่อต้องแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ ส่วนแก้วมณีโชตินั้นมีแสงสว่างออกมาเองเหมือนโคมดวงใหญ่แต่สวยสดงดงามมาก
    เมื่อท่านทรงตักเตือนหมดเรื่อง อาตมาก็กราบทูลถามว่า "ท่านเทพประสิทธินายกอยู่ที่ไหน" ท่านก็ทรงชี้ให้ดูทางทิศตะวันออกของที่อยู่ว่า "นี่วิมานของเธอ ต่อไปนั่นเป็นสระโบกขรณีของเธอ ถัดสระไปเป็นวิมานของนนทาเทวี ห่างจากวิมานนนทาเทวีไปสามคาวุตก็ถึงวิมานของท่านเทพประสิทธินายก" ขณะนั้นท่านนั่งอยู่บนที่ของท่าน มองตามไปเห็นท่านนั่งสุกปลั่งคล้ายแสงอาทิตย์ วิมานเป็นแก้วมณีล้วน ทูลถามท่านว่า "สามคาวุตของนิพพาน เทียบระยะความไกลของเมืองมนุษย์ได้เท่าไหร่" ท่านบอกว่า "ประมาณแสนโยชน์" พอตรัสเท่านี้ก็ได้ยินเสียงนาฬิกาที่กุฏิให้สัญญาณบอกเวลา ๒๑.๐๐ น. พระองค์ตรัสว่า "ได้เวลาแล้ว ลูกศิษย์จะทรมานตัวเกินไป เธอกลับได้ อีก ๑๐ ปีเธอมีสิทธิ์มาที่อยู่ของเธอได้ตามความต้องการ แต่จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องตายเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้หรืออีกประเดี๋ยวหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต ก่อนเธอจะมาลูกศิษย์เขาจะทำตนเป็นคนเข้าถึงธรรมได้หลายคน เมื่อกลับไปพรุ่งนี้เธอเขียนเล่าเรื่องนี้ให้อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เขาอ่าน อ๋อยเขาเป็นคนมีศรัทธาจริตและพุทธจริต คือมีศรัทธาแต่เชื่อเหตุผลไม่งมงาย เล่าให้เขาฟัง เขาจะได้เร็วกว่าเดิม" และพระองค์ก็เสด็จกลับ อาตมาก็กลับลงมา"
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...