ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน การบรรลุมรรคผลพระนิพพานของพระสาวกรูปแรกและรูปสุดท้าย

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 15 กันยายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน การบรรลุมรรคผลพระนิพพานของท่านอัญญาโกณฑัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก
    [​IMG]
    “..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์จะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็ทัดทานว่า เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็ก การนิพพานที่นั่นจะไม่เหมาะสม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเหมาะ เพราะเมืองกุสินาราเคยเป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ และคนที่เป็นจักรพรรดิในเมืองนั้นก็คือ ตถาคต ฉะนั้นเมืองใดที่เคยมีจักรพรรดิ เมืองนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ เมืองที่พระอานนท์ท่านเสนอก็คือเมืองราชคฤห์กับเมืองพาราณสี การที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมืองกุสินารามหานครเมื่อก่อนนี้เป็นมหาประเทศ เป็นเขตที่อยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกนั้นเป็นเหตุอย่างหนึ่ง แต่เนื้อแท้จริงๆ การที่พระองค์จะทรงไปนิพพานที่นั่นก็เพื่อหวังจะไปโปรดบริษัทคนสุดท้าย เพราะคนที่เกิดมาจะได้บรรลุมรรคผล บางคนก็พระอรหันต์สอนได้ แต่บางท่านพระอรหันต์สอนไม่ได้เพราะวิสัยตรงเฉพาะพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้นคือ ท่านสุภัททะปริพาชก

    เวลากลางคืนก่อนที่องค์สมเด็จพระบรมครูจะเข้าสู่พระนิพพานในวันรุ่งขึ้นเวลาใกล้รุ่งอรุณ ก็ปรากฏว่ามีท่านๆ หนึ่งคือ สุภัททะปริพาชก ต้อง การจะเข้าไปกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ทรงห้ามไว้ เพราะเวลานี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชวรหนัก ท่านอย่าไปรบกวนพระองค์เลย ขณะที่พระอานนท์กำลังพูดกับท่านสุภัททะปริพาชก พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับด้วยทิพโสตญาณ เมื่อพระองค์ทรงทราบก็บอกพระอานนท์ให้ปล่อยเข้ามา “ว่าการที่ตถาคตมาที่นี่ ก็มาเพราะลูกชายคนนี้เท่านั้น” จะเห็นว่าตอนก่อนจะมาพระองค์ตรัสอย่างหนึ่ง ถ้าตรัสว่าจะมาโปรดสุภัททะปริพาชก ก็คงจะต้องถูกทัดทาน พระองค์จึงให้เหตุผลคนละอย่าง เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุภัททะปริพาชก พระสาวกก็สอนไม่ได้ เป็นคนมีอารมณ์แข็ง ก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้เป็นพี่น้องกันกับ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นน้อง ท่านสุภัททะปริพาชกเป็นพี่ แต่ท่านอัญญาโกณฑัญญะเวลาทำบุญจะเริ่มทำบุญตั้งแต่แรกนา ส่วนพี่ชายคือท่านสุภัททะปริพาชกทำบุญเมื่อขนข้าวเข้ายุ้งเสร็จแล้ว

    ฉะนั้น เมื่อเวลาสำเร็จมรรคผล ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงได้บรรลุมรรคผลก่อนคนอื่นทั้งหมด สำหรับพี่ชายทำบุญเมื่อเก็บข้าวเสร็จแล้ว จึงบรรลุมรรคผลหลังสุดคือพระพุทธเจ้าจะนิพพาน เป็นอันว่าท่านสุภัททะปริพาชกก็เข้ามา พระองค์จึงถามถึงความประสงค์แล้วก็ตรัสว่า “เวลานี้ตถาคตป่วยมากนะ เวลาก็ใกล้จะสว่างมากแล้ว เมื่อใกล้สว่างตถาคตก็ต้องนิพพาน ฉะนั้นการถามปัญหาของเธอจงงดไว้ จงฟังเทศน์เถิด”

    พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ปรารภขันธ์ ๕ ว่า “จงอย่าสนใจกับร่างกายของเรา อย่าสนใจร่างกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกับวัตถุธาตุใดๆ ทั้งหมด เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าไปยึดแล้ว ก็เป็นทุกขัง เป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง ต้องเป็นอนัตตา ดึงมันไว้ไม่อยู่ ฉะนั้นขอเธอจงปรับใจของเธอให้เข้าใจถึงเรื่องนี้ให้รู้ตามความเป็นจริง” รวมความว่า ไม่ให้สนใจในรูปโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือรูปของเรา

    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบประเดี๋ยวเดียว ท่านสุภัททะปริพาชกก็ไปปฏิบัติ สักครู่เดียวก็สำเร็จอรหัตผล...
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...