จิตเข้าสู่ฌาน : หลวงปู่ปาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 27 กันยายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เมื่อวันที่ ๒๔-๒๗ ฉันมีธุระเกี่ยวแก่การตอบจดหมายเสีย ไม่มีโอกาสคุยกับลูกหลาน วันนี้พอว่าง วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ อากาศมันหนาวเย็นเหลือเกิน ฉันเป็นคนแก่ไม่ชอบความหนาว แต่ฉันคิดว่าฉันจะทนหนาวไปชั่วคราว โดยไม่ทำใจให้ลำบากเพราะความหนาวจนกว่าจะสิ้นลมปราณ เมื่อฉันตายแล้วฉันก็จะไม่หนาว เพราะบ้านที่ฉันจะไปอยู่ใหม่ไม่มีหนาว ไม่มีร้อน มันเย็นพอสบาย บ้านก็สวยตระการตาน่าอยู่จริง ๆ หาความลำบากไม่ได้เลย ฉันอยากไปอยู่บ้านหลังนั้นเร็ว ๆ จะได้มีความสุข แต่ทว่าฉันจะรีบไปก่อนกำหนดเวลาไม่ได้ ด้วยฉันสร้างความชั่วไว้มากในอดีต ฉันต้องชดใช้กรรมไปจนกว่าจะหมดโทษตามกำหนดของกรรม ฉันไม่หนักใจเรื่องใช้กรรมเพราะฉันหวังความสุขข้างหน้า เรื่องของกรรมงดไว้เท่านี้ เพราะพูดไปก็ไม่มีใครเห็นด้วย

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif] จะพูดให้ฟังเรื่องบวชเลยทีเดียวก็เสียดายความฝัน คนแก่ชอบนอนฝัน เมื่อฝันได้ตามความตั้งใจแล้วมันมีความสุข เมื่อวันที่ ๒๗ เดือนนี้ ได้ยินข่าวเขาปฏิวัติกัน ฉันคิดถึงลูกหลานว่าทุกคนเขาอยู่ในเขตปฏิวัติจะเป็นอย่างไรกันบ้างก็เลยอยากฝัน เมื่อนอนหลับฝันว่าทุกคนไม่มีใครเดือดร้อน เพราะคณะปฏิวัติเป็นคนไทยและรักคนไทย ตั้งใจเขี่ยไทยที่เอาใจออกห่างออกนอกวงการ ฉันตื่นแล้วฉันก็สบายใจ
    [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif] เมื่อคืนวันที่ ๒๘ ฉันฝันอีก คราวนี้ฝันว่าฉันออกจากตัวไปที่พระจุฬามณีที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อไปถึงเชิงจุฬามณี ที่ตรงนั้นฉันเคยพบพรหมและเทวดามากมาย แต่วันนี้เงียบเชียบเหลือเกิน หาใครสักคนก็ไม่ได้ ฉันเดินเข้าไปใกล้ประตูด้านทิศตะวันตกของพระจุฬามณี เห็นท่านมเหสักขา ท่านเป็นเทวดายามอยู่ที่หน้าประตู ท่านยกมือไหว้แล้วท่านรายงานว่า วันนี้พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์ จึงไม่ใคร่มีใครเดินหรือยืนให้เห็น ฉันรีบเข้าไปเห็นพรหม เทวดา พระ นั่งกันสงัดเต็มจุฬามณี แยกเป็นพวก ๆ พรหมแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ พรหมโลกีย์นั่งอยู่พวก ๑ พรหมอริยะนั่งอยู่พวก ๑ เทวดาก็เหมือนกัน พวกที่ได้ญาณแต่ยังไม่ตายเห็นไปนั่งอยู่พวก ๑ ฉันเดินหลังต่ำ (ก้มหลัง) เข้าไปนั่งรวมกับพระที่ไม่อยากเกิด ได้ยินเสียงท่านเทศน์ว่าคนที่ละขันธ์ ๕ ได้แล้วมีความสุขกว่าพวกทรงขันธ์ ๕ มาก เช่น เทวดาหรือพรหมก็ตามที่นั่งอยู่ในที่นี้ต่างก็ละขันธ์ ๕ มาแล้ว ลูกหลานก็คงจะเข้าใจแล้วว่าขันธ์ ๕ คืออะไร เพื่อความแน่ใจหลวงตาคือฉันจะย้ำสักหน่อย เพื่อความมั่นใจ คำว่าขันธ์ ๕ พวกนักธรรมที่ชอบคุยเขาชอบโม้เป็นคุ้งเป็นแควว่ามันมีรูปกับนาม ฟังน่าเบื่อหู แล้วเขาว่าต่อไปอีกว่ารูป ได้แก่ รูปคือสิ่งที่เห็นด้วยตาและมีการสัมผัสรู้สึก มีตัวตน เนื้อหนัง เป็นรูป ส่วนนามนั้นได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาว่าอย่างนี้ ลูกหลานฟังรู้เรื่องไหม ฟังได้ก็ฟังไป ฟังไม่ได้เขาก็พยายามพูดให้ฟังน่ารำคาญ ฉันว่าพูดอย่างนี้ดีกว่า เอาภาษาชาวบ้านมาให้ดีกว่า ฉันแม้จะบวชเป็นหลวงตาแก่ แต่ฉันเป็นลูกชาวบ้าน ฉันชอบภาษาชาวบ้าน รู้เรื่องง่ายไม่ต้องแปล ไม่ต้องขยายความ ฉันว่าขันธ์ ๕ ก็คือร่างกายของเรา มันจะมีอะไรบ้างก็ช่างหัวมัน ไม่ต้องแยกเพราะเราไม่ต้องโม้ เมื่อเรามีร่างกาย ท่านว่าอย่างนั้น มันก็ปวดเมื่อย หนาว ร้อน หิว มีความป่วยไข้ไม่สบาย และมีเรื่องยุ่งจิปาถะ อยากสวย อยากดี อยากรวย อยากมีอำนาจ อยากเก่ง อยากเด่น ไม่อยากหนาว ไม่อยากร้อน ไม่อยากหิว ไม่อยากกระหาย ไม่อยากป่วย ไม่อยากตาย ดังนี้เป็นต้น ดูขันธ์ ๕ แล้วเหมือนคนบ้าที่มันบ้าฝืนอารมณ์เราทุกอย่าง หรือว่าเราบ้าฝืนกฏที่มันต้องเดินไป ช่วยกันคิดดูก็แล้วกัน เราบ้าหรือขันธ์ ๕ มันบ้า เรื่องนี้ปล่อยไป มาว่ากันตามที่ท่านเทศน์ ท่านเทศน์สั้น ๆ ว่า พรหมและเทวดาเมื่อละขันธ์ ๕ มาแล้วมีความสุข เพราะไม่ต้องหนาว ไม่ต้องร้อน ไม่หิว ไม่ป่วย ไม่เมื่อย ไม่มีความลำบาก จากเหตุที่เกิดจากกายคือ ขันธ์ ๕ ดีกว่าเกิดเป็นมนุษย์มาก ฉันนั่งฟังแล้วฉันก็สบายใจ ฉันเห็นว่าท่านเทศน์ถูก เทศน์ตรงตามความเป็นจริง ท่านเทศน์ต่อไปว่า การละขันธ์ ๕ มาเป็นเทวดาหรือพรหมก็ตามยังเอาสุขแท้แน่นอนไม่ได้ เพราะเทวดาหรือพรหมที่ได้บรรลุมรรคผลถึงระดับสกิทาคามีขึ้นไปหรือถึงอนาคามีแล้วก็ตาม ต่างก็ยังมีกังวล ยังมีภาระต้องทำ และยังมีความหนักใจ คือเทวดาที่ได้อริยะต่ำกว่าสกิทาคามีต้องลงไปเกิดอีก จะต้องมีขันธ์ ๕ จะต้องลำบาก ต้องมีทุกข์ เทวดาหรือพรหมที่ได้อริยะตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไปก็ยังมีภาระที่ต้องปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ สู้ละขันธ์ ๕ แล้วเข้านิพพานเลยไม่ได้ ท่านเทศน์เท่านี้แล้วท่านก็หยุด ฉันเห็นมีโอกาส ฉันกราบท่านแล้วทูลถามท่านว่า คนที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจะใคร่ครวญอย่างไรจึงจะง่ายและสั้นที่สุด ท่านตรัสว่า เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูก หลาน เหลนก็ไม่มี แม้ว่าร่างกายเราก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระคือร่างกายพังแล้วเราเราจะไปนิพพาน เมื่อความป่วยไข้ปรากฏจงดีใจว่า ภาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว คิดไว้อย่างนี้ทุกวัน จิตจะชินจะเห็นเหตุผล เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายแล้วก็จะเข้านิพพานได้ทัน พอท่านพูดจบฉันก็ตื่นจากหลับ ฉันฝันอย่างนี้คิดว่าเป็นเรื่องของพระแก่ฝัน จะจริงเท็จอย่างไร จงใคร่ครวญเอาเอง ชอบใจก็เอาไปใช้ ไม่ชอบใจก็วางไว้ อย่าเอาอารมณ์เข้าไปเกาะมันจะเป็นกังวล ต่อไปนี้มาเรื่องเดิมกันต่อไปดีกว่า[/FONT]
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อารมณ์ฌาน

    เมื่อเข้าบวชได้ ๓ วันนับตั้งแต่วันออกบวช หลวงพ่อปานท่านสั่งให้รักษาลมหายใจเข้าออก ท่านถือเป็นหลักใหญ่ ก่อนภาวนาท่านให้ปลงขันธ์ ๕ ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ต้องอธิบายนะ และสอนให้ใคร่ครวญอารมณ์ชั่วที่เกาะใจให้ระงับเสียชั่วคราว คือ นิวรณ์ ๕ ได้แก่ การพอใจในรูปสวย เสียงเพราะหรือเสียงประจบเอาใจ กลิ่นที่ชอบใจ รสอร่อยจากรสอาหารหรือรสสัมผัส และให้ตั้งอารมณ์เมตตาไม่เป็นศัตรูกับใคร เราจะเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั้งโลก ตัดความสงสัย ตัดอารมณ์นอกรีตนอกรอยที่คิดเกินครูสอน ระงับความง่วงเมื่อมันเข้ามาขัดจังหวะ แต่ไม่ให้ทนง่วงจนเกินพอดี ท่านบอกว่าจะเกิดโรคประสาท เขาจะหาว่าทำกรรมฐานบ้า ความจริงทำกรรมฐานรักษาอารมณ์ปกติเป็นการปฏิบัติตัดอารมณ์บ้า แต่ถ้าใครทำจนเป็นบ้า คนนั้นก็เป็นคนทำเกินพอดี เกินคำสั่งของพระพุทธเจ้า เรียกว่าลูกศิษย์ไม่เชื่อครู เรื่องการพยายามเกินพอดีท่านกำชับมาก ห้ามทำเด็ดขาด ถ้าทราบจะถูกประณามในที่ประชุม ท่านสอนการใคร่ครวญ ท่านให้ทำให้มาก เมื่อมีอารมณ์ระงับความชั่วได้แล้วและพอมองเห็นจริงกับไตรลักษณ์บ้างแล้ว จึงให้ภาวนา วิธีสอนของท่านมีผล ๒ ทาง คือ อารมณ์คิดหรือใคร่ครวญเป็นการปล่อยเรือให้ไหลไปตามกระแสน้ำก่อน คือไม่เอาเรือขวางเมื่อน้ำเชี่ยว ทั้งนี้เพราะจิตมีความสัมพันธ์กับความคิดที่ไม่มีขอบเขตมาแล้วหลายแสนกัป คิดเป็นชาติเกิดก็หลายล้านชาติ ทุกชาติที่เกิดมันคิดตามอารมณืของมัน ไม่มีใครห้ามปรามมัน มันมีอิสระในความคิด ตอนนี้เราจะเกิดห้ามมันคิด เอะอะก็ห้ามกันเลย มันจะไหวหรือ ท่านให้คิดก่อน แต่หาเรื่องให้คิดในมุมกลับ คือ คิดตัด คิดระงับ แต่ก็ไม่ตัดไม่ระงับในทันทีทันใด เช่นคิดถึงรูป มันก็ต้องมองหาความสวยกันก่อน เมื่อจะระงับอารมณ์ที่ติดในความสวย คราวนี้ต้องแก้ผ้าคนสวยกัน เมื่อแก้ผ้าแล้วยังเห็นว่าสวยก็ต้องผ่าท้องกันเอาตับไตไส้ปอดออกมาดู คราวนี้จะมีอะไรสวย มันก็หมดเรื่องกัน เมื่อหาเรื่องให้คิด จิตพอมีอารมณ์สบาย แม้ไม่มีโอกาสเที่ยวไกลนักแต่ก็ยังมีโอกาสเที่ยว อารมณ์กลุ้มก็บรรเทา อันนี้เป็นวิธีบรรเทาอารมณ์กลุ้มของจิต อันดับที่ ๒ เมื่อใคร่ครวญตามนั้นก็เกิดอารมณ์เบื่อใน รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส หมดความสงสัยเพราะเห็นจริงกับความจริงที่มองเห็น เกิดอารมณ์ยับยั้ง ใจไม่ดิ้น มีอารมณ์เบื่อหมดสงสัย ใจก็เป็นสมาธิง่าย ถ้าพิจารณาไม่เห็นตอนความเปลี่ยวไม่ลด ท่านห้ามภาวนา เมื่อทำตามท่านรู้สึกว่ามันง่ายจริง ๆ ใคร่ครวญพอสมเหตุสมผลแล้วเริ่มจำความเคลื่อนไหวของลมหายใจ จับภาพพระโดยเฉพาะหลวงพ่อองค์ยิ้มง่ายมากและแจ่มใสชัดเจน ทรงอยู่ได้นานเป็นชั่วโมง คืนที่ ๒ ลองตั้งอารมณ์อย่างนั้น ๕ ชั่วโมง เห็นทรงได้สบาย จะทรงอารมณ์เมื่อไรก็ได้ พอย่างเข้าวันที่ ๓๔ ยิ่งมีความคล่อง ทรงอารมณ์ได้ฉับพลันนานเท่าไรก็ได้ พอเช้าวันที่ ๔ เวลาฉันข้าวเช้า หลวงพ่อท่านฉันอิ่มท่านวางมือ มองไปมองมาท่านหัวเราะแล้วพูดว่า เออเจ้ากระทิงเปลี่ยว ๔ ตัวมันเก่งว่ะ มันทรงฌาน ๔ กันหมดทั้ง ๔ องค์ น่ารักนะ เขามา ๓ วันเขาทรงฌาน ๔ ได้ พวกที่บวชพระก่อนเขาได้อะไรกันบ้าง เรื่องของฌานที่ท่านบอกฉัน ฉันไม่เห็นมีอะไร มีอารมณ์สบายและความตั้งมั่นเท่านั้น ไม่เห็นมีรุปมีร่าง คิดว่าตัวหนังสือที่เขาเขียน ๆ มากไป ถ้าเรทรงฌานจริงไม่มีอะไร นอกจากใจไม่กังวล รักษาอารมณ์ให้ทรงตัวเท่านั้น ไม่เห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์อะไรเลย
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พระและชาวบ้านเจ้าของถิ่น

    ตามที่หลวงพ่อพูดว่าพวกบวชก่อนเขาได้อะไรบ้าง เรื่องของคนนี้เป็นเรื่องธรรมดาจริง ๆ ที่เขาเห็นว่าของที่มีอยู่ในบ้านเป็นของคนมีค่าน้อย และไม่ใคร่สนใจอะไรกับสิ่งที่อยู่ในบ้าน มีเมียอยู่ที่บ้านดีกว่าพวกขายเนื้อสดเยอะ โรคก็ไม่มี เงินก็ไม่เสีย แต่พ่อเจ้าประคุณสนใจกันเมื่อไร ดันออกไปเสียเงินเสียค่ายารักษาโรคเสียเวลาการงาน เพราะเห็นของดีที่บ้านเป็นของเลว แม้อาหารการบริโภคก็เหมือนกัน ที่บ้านจะเอาเปรี้ยวเค็มอย่างไรก็ได้ไม่ชอบ ชอบออกไปเสียเงินแพง ๆ แต่ไม่เห็นว่าอาหารราคาแพงมันจะช่วยลดความแก่ลงได้เลย เรื่องของหลวงพ่อปานก็เหมือนกัน พวกเราไปปฏิบัติเพื่อผลที่ต้องการ แต่ชาวบ้านกับชาววัดเจ้าถิ่นเขาไม่สนใจ ยิ่งเราพูดเรื่องผลให้เขาฟัง เขากลับหาว่า บ้า ๆ บอ ๆ เลยไม่ต้องพูดให้ฟังต่อไป พวกเจ้าถิ่นก็ดีแต่คุยโม้ แต่เอาดีอะไรไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้คุณธรรมอย่างนี้ที่วัดบางนมโค นอกจากอาจารย์ฉัตรแล้วอย่าไปหาใครอีก ไม่มีเลย สมัยที่หลวงพ่อปานสอนพวกฉัน พระที่นั่นเขาก็พยายามไปหาอาจารย์ที่อื่นสอน ไม่ต่างกับสมัยพระพุทธเจ้าอยู่เลย พระพุทธเจ้าทรงคุณวิเศษขนาดนั้นเทวทัตและพระโกกาลิกะยังลงอเวจีได้ ที่เขียนบอกไว้ก็เกรงว่าท่านที่อ่านพบจะเข้าใจว่าเจ้าถิ่นเขาสนใจอยากเรียนบ้าง จะไปพบของญี่ปุ่นเข้า พระได้นักธรรมเอก นักธรรมโท ดีแต่โม้ให้พวกเราฟัง เมื่อพูดเรื่องการปฏิบัติเขาว่าครึเกินไป พวกเหล่ากอเทวทัตมากจริง ๆ เรื่องนี้ขอผ่านไป
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ท่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    เมื่อกาลเวลาในการฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อปานผ่านมาเดือนเศษ การรักษาอารมณ์ทำได้เป็นปกติ ตั้งอารมณ์นานเท่าใดก็ได้ การเห็นนรกตามความสามารถเดิม เห็นได้ชัดแจ่มใสมาก ไปหาตาลุงง่าย แต่ทว่าการลงนรกเองไปสวรรค์เองไปไม่ได้ และสวรรค์ที่ต้องการเห็นก็ยังไม่เห็น เพื่อน ๆ อีก ๒ คนเขาไล่เบี้ยกสิณ ๑๐ กันจนจบเกม เขาฝึกอภิญญากัน เขามีความสามารถตามพื้นเพและวาสนาบารมีของเขา เขาคล่องด้วยประการทั้งปวง แต่ฉันมันเกะกะ ๆ อยู่ไปไหนไม่รอดเลย ในที่สุดทนความอดอยากไม่ไหว วันหนึ่งใกล้กลางเดือน ๑๐ ฉันคิดว่าสัญญาที่หลวงพ่อให้ไว้กับฉันยังไม่ถึงที่สุด ฉันยังลงไปนรกเองไม่ได้ ไปสวรรค์และพรหมก็ไม่ได้ ฉันต้องไปทวงสัญญากับหลวงพ่อ เมื่อฉันข้าวเช้าเสร็จก็ห่มผ้าตามระเบียบเข้าไปกราบหลวงพ่อ พอเงยหน้าขึ้นท่านถามว่าเธอจะมาทวงสัญญาฉันหรือ ความจริงเรื่องนี้ยังไม่ได้พูดกับท่านและยังไม่ได้บอกใครเลย เพียงคิดในใจเท่านั้น แปลกใจ แต่ไม่มีอะไรสงสัยด้วยไม่ว่าอะไรที่ผิดปกติท่านพูดก่อนบอกเสมอ เมื่อท่านถามก็กราบเรียนท่านตามตรง ท่านบอกว่าดี ความจริงเธอไปได้แล้วแต่เธอไม่ไปเอง ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ คิดว่าถ้าไปได้ทำไมเราจะไม่ไป เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เธอกลับไปแล้วเข้าฌานรักษาอารมณ์ให้คงที่ตลอดเวลา รักษาลมจนปรากฏว่าไม่มีลม ลมหายใจ รักษารุปพระให้แจ่มใส ทรงกำลังใจ จับนิมิตไว้ ฉันมีเวลาฉันจะไปแนะเธอ ปัปเดียวไปได้เลย นรก สวรรค์ พรหม เธอไปได้หมดแล้ว พอฟังท่านบอกใจมันพองโตบอกไม่ถูก มีอารมณ์ครึ้มมาก คิดว่าวันนี้แหละถ้าไปได้ละก็นายเอ๋ย ฉันจะเที่ยวไปให้จบแดนเลย อีเมืองไหนที่ใครอยากรู้ฉันจะไปให้ปรุ อารมณ์อย่างนี้มันมีกิเลสตัณหาผสมอยู่ด้วยถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ มีอารมณ์ดีไม่เกิน ๑๐เปอร์เซ็นต์ หรืออาจมีอารมณ์ดีไม่ถึง ๓ เปอร์เซ็นต์ก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ คนที่บ้าดีอย่างฉันแม้จะเป็นดีผสมชั่ว ทำอย่างไรเสียก็ยอไม่หยุดเมื่อท่านสั่งแล้วก็กราบลาท่านมา

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เมื่อมาถึงกระท่อมก็ทรงเครื่องครบ พาดสังฆาฏิ นั่งขัดสมาธิตั้งแต่เช้ายันเพล อากาศก่อนฝนจะตกมทันร้อนระอุ ตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ด้วยฤทธิ์อยากไปสวรรค์อุตส่าห์ทนเอา ทรงสมาธิจนไม่รู้สึกร้อน เพราะอารมณ์เป็นเอกัคตารมณ์ คือ ทรงอารมณ์เดียวจนไม่รู้สึกว่าหายใจ เห็นภาพหลวงพ่อองค์ยิ้มสวยอร่ามแพรวพราวระยิบระยับคล้ายเพชรอย่างดีประดับทั่วองค์ ลืมความปวดเมื่อยความร้อนเสียสิ้น มีอารมณ์แจ่มใส อารมณ์เหมือนมีพระอาทิตย์ปรากฏในอกสัก ๑๐๐ ดวง เมื่อเสียงกลองเพลปรากฏ อารมณ์ที่กำหนดไว้เดิมว่าถึง ๑๑ น. อารมณ์จงคลาย มันก็คลายตัวของมันเอง ความจริงไม่ได้ยินเสียงกลองเพล เพื่อนทั้ง ๓ แอบมายืนอยู่ข้างกระท่อมเมื่อไรไม่รู้ เจ้าฤาษีโพธิวัตรอ้ายเจ้าเกลอมันถามว่าจะไปสวรรค์หรือวะ กูนึกว่าไปแดกข้าวลิงเสียแล้ว อ้ายเจ้าระยำนี่มันเก่งกว่าฉันเยอะ มันถามก็เลยทำเฉยเสียไม่ตอบมัน ต่างพากันไปฉันข้าวเพล เมื่อพบหลวงพ่อท่านบอกว่า ฉันไม่ว่างเลยแขกมากจริง ๆ เป็นพวกก่อสร้าง เพลแล้ว เธอฉันเสร็จแล้วไปเตรียมตัวไว้ตามที่ฉันสั่ง ฉันว่างฉันจะไปแนะให้ เรื่องของตัณหาพายุ่ง ความอยากเป็นกำลังใหญ่ เมื่อฉันเพลแล้วก็เข้ากรรมฐานกันใหม่ หมายถึงการทำสมาธิกันอีก ท่านอาจตำหนิเอา เลยทำตามแบบที่เรียนมาทุกประการ ไม่มีอะไรหนัก ตัดกังวล ไม่มีความฝืน วางอารมณ์ทุกประการ จับนิมิตเป็นสรณะ คำว่าสรณะหมายถึงว่าที่พึ่ง คือนิมิตกับลมหายใจเข้าออกเท่านั้นที่จะบอกสัญลักษณ์อารามณ์ฌาน รักษาอารมณ์ ทรงอารมณ์เป็นปกติตั้งแต่เพลถึง ๑๔ น. ไม่เห็นหลวงพ่อท่านมา อากาศที่มีฝนตั้งเค้ามันร้อนอย่าบอกใครเชียว ระอุไปหมดทั้งตัว จีวรสบงชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หลวงพ่อท่านไม่มาก็คิดว่า เรานั่งตั้งแต่เช้า จะฝืนอิริยาบทเกินไป จึงคิดจะผ่อนคลายอิริยาบท สักครู่ จึงคลายสมาธิทรงอารมณ์ไว้ในอุปจารสมาธิคือรักษานิมิตไว้พอเห็นถนัด เปลื้องเครื่องทรงเต็มยศพระออก เครื่องเต็มยศพระก็คือ สบง ๑ สังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า) ๑ จีวร (ผ้าที่ห่มพระ) ๑ รวมเป็น ๓ ตัวด้วยกัน สำหรับอังสะ (ผ้าพาดชั้นในคล้ายเสื้อชั้นใน) รัดประคดเอว (ผ้าคาดพุง) ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องประกอบ เมื่อเอาสังฆาฏิ จีวรออกแล้วยังไม่แก้สบงด้วยเกรงว่าสุนัขมันจะอาย ไปเอาผ้าสำหรับอาบน้ำฝนที่เขานิยมถวายกันวันเข้าพรรษามาผลัดนุ่งแทน แล้วจึงเปลื้องสบงออก ผ้าอาบน้ำฝนอีกผืนหนึ่งมาคล้องคอ ผืนแรกนุ่งลอยชาย [/FONT][FONT=trebuchet ms,sans-serif]เมื่อเปลี่ยนเครื่องเสร็จก็ถือกล่องสบู่ ขันน้ำ เข้าห้องน้ำที่ทำไว้ติดกระท่อม [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]พอเข้าไปในห้องน้ำอาศัยไอน้ำทำให้เกิดความเย็นมีความสบายเกิดขึ้น คิดจะอาบน้ำทันทีก็เกรงว่าจะเป็นไข้ เพราะกำลังร้อนจัด อารมณ์ก็จับนิมิตไว้เป็นปกติ ใจคิดว่าถ้าเราไปได้จะไปชั้นดาวดึงส์ก่อน เพราะชั้นนั้นเขาว่ามีนางฟ้ามากเหลือเกิน และเป็นเทวสถานของพระอินทร์ อยากจะเห็นพระอินทร์ อยากเห็นจุฬามณี อยากเห็นสวนดอกไม้บนเมืองสวรรค์ เมื่อคิดแล้วก็ปล่อยอารมณ์คิดเสีย ด้วยเกรงว่าอารมณ์จะฟุ้งซ่านเกินไป ถ้าหลวงพ่อท่านมา หากทรงฌานไม่ทันท่านจะหาว่าขัดคำสั่ง เมื่อปล่อยอารมณืแล้วคิดว่าจะพักในห้องน้ำแล้วจึงจะอาบน้ำ จึงนั่งพิงตุ่มน้ำ ตุ่มน้ำมีความเย็นกำลังสบาย จิตที่ทรงสมาธิตลอดวันเมื่อมีความสบายเกิดขึ้น ไม่มีอารมณ์เครียดทางกาย ใจว่างจากความอยาก อารมณ์เป็นเอกัคตารมณ์มาทันที อารมณ์ดับวูบแล้วก็มีความรู้สึกตัวคล้ายตื่นจากหลับ มันไม่ได้ตื่นที่ตุ่มน้ำ มันไปตื่นที่ไหนก็ไม่รู้ เห็นตัวเองยืนอยู่มีอาการคล้ายตายวาระแรก คือ พอเพลินมีอารมณ์วูบแล้วเห็นตัวเองยืนอยู่ข้างร่างเดิม แต่คราวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น มีความรู้สึกว่าตัวเองมายืนอยู่ข้างสวนดอกไม้ สวนนี้ช่างสวยเหลือเกิน มีดอกไม้ล้วน ๆ ปลูกไว้เป็นระเบียบ แต่ละสีไม่ปะปนกัน เป็นแถวยาวเหยียด ไม้ดอกแต่ละต้นมีสภาพเหมือนแก้วแพรวพรายไปทั้งต้น ไม้และดอกก็เป็นแก้วไปทั้งหมด มันสวยบอกไม่ถูกจริง ๆ สถานที่นั้นเงียบสงัด ไม่มีใครเลย [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ยืนแปลกใจสงสัยอยู่ครู่หนึ่งได้ยินเสียงแจ๋ว ๆ ฟังเพราะจับใจ ไม่แหบ ไม่เครือ เสียงมีกังวานแจ่มใสดังมาข้างหลัง เสียงนั้นเป็นเสียงหญิง ได้ยินเธอพูดว่า "โอ้โฮ ! พระคุณเจ้ามาโปรดชาวสวรรค์หรือเจ้าคะ พวกดิฉันขอฟังเทศน์เจ้าค่ะ พวกเรา พระท่านมาโปรดแล้ว มาฟังเทศน์กันเร็ว" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เธอพูดเอาเองตามประสาผู้หญิง ไม่เคยให้ฉันตอบเลย พอเหลียวไปมองดูเธอ เห็นหญิงร่างอรชรอ้อนแอ้นเอวเล็กเอวบาง ร่างสมส่วนสมทรงทุกอย่าง เครื่องแต่งตัวสีเขียวอ่อนมองเย็นตา นุ่งผ้าจีบคล้ายละคร มีเนื้อบาง ๆ แต่มองไม่เห็นเนื้อ เป็นเสื้อแขนสั้นมีผ้าสไบเฉียงเหมือนอุบาสิกาสมัยโบราณ ผ้าทั้งหมดเป็นสีเดียวกัน เครื่องประดับแพรวพราวบอกไม่ถูก มองดูระยับไปทั้งร่าง คิดในใจว่าเธอนี่ช่างสวยและร่ำรวยเสียจริง ๆ เป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เมื่อเธอเรียกพวกเธอ พอสิ้นเสียง ปรากฏร่างสาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกันนับร้อยแต่งตัวเหมือนกันหมด สวยเหมือนกัน รูปทรงไม่ต่างกันเลย ผิวพรรณหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันมาก มานั่งพับเพียบพนมมือเป็นแถว กะประมาณพวกเธอเห็นจะเกินกว่าทหาร ๕ กองพันเป็นไหน ๆ แต่ไม่เห็นมีผู้ชายเลย ครั้นก้มลงมองดูตัวเองกลับมีสภาพเหมือนอสุรกุ๊ยเพราะหัวโล้นนุ่งผ้าลอยชาย และมีผ้าคล้องอีก ๑ ผืน รู้สึกอายใจมาก [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ถามเธอว่า "ที่นี่เขาเรียกเมืองอะไร" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เธอตอบว่า "เมื่อก่อนจะมาท่านพระคุณเจ้าว่าจะไปเมืองไหน" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ตอบเธอว่า "ฉันอยากเห็นดาวดึงส์ อยากเห็นสวนดอกไม้" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เธอตอบว่า "ที่นี่เขาเรียกว่าดาวดึงส์เจ้าค่ะ สวนนี้เขาเรียกว่า สวนจิตรลดาวัลย์ เป็นสวนของพระอินทร์ ขอพระคุณเจ้ากรุณาเทศน์โปรดพวกฉันเป็นการเสริมสร้างบารมีสักกัณฑ์เถิดเจ้าค่ะ"[/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]พอทราบว่าเป็นดาวดึงส์ก็ตกใจ คิดว่ามาได้อย่างไร และแม่พวกนี้ทราบความคิดของเราได้อย่างไร จึงถามเธอว่า "เธอทราบได้อย่างไรว่าฉันคิดจะมาดาวดึงส์" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เธอตอบว่า "เทวดาทราบความคิดของคนเจ้าค่ะ มนุษย์คิดเทวดาทราบแล้ว และที่พระคุณเจ้าคิดอยากแต่งงานกับนางฟ้า พระอินทร์ท่านก็ทราบแล้ว ถ้าหากพระคุณเจ้ายังมีความประสงค์อย่างนั้นไม่มีทางมาดาวดึงส์หรือสวรรค์ชั้นใดได้เลย ตอนนี้พระคุณเจ้ามีอารมณ์ชั่วระงับแล้ว ทรงสมาธิสมบูรณ์ มาได้" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]พอเธอพูดตรงใจเลวเข้าชักอายบอกไม่ถูกเลย และเรื่องที่เธอขอให้เทศน์จะเอาอะไรมาเทศน์ด้วยไม่เคยเรียนเทศน์ พอบวชก็มุ่งปฏิบัติ ตอบเธอว่าฉันบวชใหม่เทศน์ไม่เป็น ขออย่าให้เทศน์เลย เธอตอบว่าเทศน์ตามที่ทราบแล้วกันเจ้าค่ะ คำสองคำก็พอแล้ว ที่นี่พระมาโปนดยาก อยากฟังเทศน์ก็ไม่ใคร่ได้ฟัง นาน ๆ จะมีพระทรงคุณวิเศษมาสักครั้ง เธอยิ่งพูดฉันยิ่งอาย อารมณ์ที่คิดอยากจะเป็นผัวนางฟ้าไม่มีเลย ด้วยพวกเธอเห็นพระแล้วไม่ทำท่าเหมือนสาว ๆ ในเมืองมนุษย์ สาวเมืองมนุษย์ยังมีการพูดหยอกเย้าล้อเลียน พวกนางฟ้านี่จะฟังแต่เทศน์อย่างเดียว แล้วพวกเธอก็สวยเสียจนไม่อยากรัก เพราะคิดว่าถ้าขืนรักเธอคงไม่ตกลงด้วยแน่ เมื่อทราบว่าเขาไม่ตกลงด้วยก็ไม่คิดรัก เลยสบายใจดีกว่าเยอะ [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เมื่อทนอายไม่ไหวก็ขอร้องเธอว่า "ฉันแต่งตัวไม่เป็นปริมณฑลคือไม่ถูกต้องตามระเบียบของพระยังเทศน์ไม่ได้ ขอให้กลับไปแต่งตัวใหม่ก่อน" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]แม่นางฟ้าก็จอมตื๊อเหลือเกิน แกบอกว่าพวกแกไม่ต้องการเครื่องแต่งตัว พวกเธอต้องการแต่ธรรมเท่านั้น แม่ตื๊อสะเด็ดเลย ในที่สุดก็ตัดบทว่ารอก่อน ฉันยังแต่งตัวไม่เป็นปริมณฑลเพียงใดฉันก็จะไม่เทศน์ ขอให้ฉันกลับลงไปแต่งตัวใหม่ก่อน พวกเธอเห็นหลวงตาเฒ่าหัวงูไม่ยอมแน่ เธอก็ยอมตกลง เมื่อคิดว่าจะกลับมันก็ไม่มีอะไนมาก ปรากฏว่ารู้สึกตัวมีอาการคล้ายหลับแล้วตื่นขึ้น นึกถึงสัญญาไม่ใช่นึกถึงความงามของนางฟ้า เรื่องอยากได้นางฟ้าขอยกยอดทิ้งไป รูปร่างอย่างเจ้าโล้นโกนหัวห่มผ้าเหลืองใครเขาเลวอย่างนี้บ้าง กำเริบอยากจะเป็นผัวนางฟ้า มันบ้าเกินไปแล้ว ฉันมีอารมณืเลว ๆ พอที่จะอวดได้เยอะ ถ้าให้คนอื่นเขาเขียน อาการเลว ๆ อย่างนี้ไม่มีใครเขียน เขาก็เขียนยกย่องให้ฉันเป็นเทวดาไปเท่านั้นเอง ปฏิปทาสัตว์นรกอย่างนี้รับรองว่าไม่มีใครเขาเขียนให้ฉเนแน่ เมื่อหาคนอื่นเขียนให้ไม่ได้ ฉันเขียนของฉันเอง ชาวบ้านเขามีดีจะอวดและก็อวดดีกันมาก แต่ฉันมีเลวอวด คนบวม ๆ อย่างฉันยังมีอีก ขณะนี้ยังไม่มีใครโผล่หัวออกมาจากโปง เมื่อมีคนเปิดโปงโผล่หัวให้เห็นสักคนคิดว่าไม่ช้าคงโผล่หัวกันเป็นแถว แล้วพวกเธอทั้งหลายจะได้ทราบความเลวที่ชาวบ้านชอบปกปิด แต่พวกบวมผิดปกติชอบเปิด มันก็จะเป็นเรื่องชวนสนุกไม่น้อยเลย [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เมื่อความรู้สึกปรากฏ ฉันแน่ใจว่าฉันไม่ได้นั่งหลับฝัน ไปปักใจเอาเองว่าเป็นผลของสมาธิ จึงเดินเข้ากระท่อมนุ่งสบงจีวรพาดสังฆาฏิว่ากันเต็มยศ แต่ทว่าเลยเต็มไปหน่อย เพราะอาศัยที่ไม่ได้ศึกษาพระปริยัติมาก่อน ตอนบวชฉันเห็นหนังสือเล่มหนึ่งเขาเขียนภาพพระมาลัยตอนที่ท่านไปเที่ยวสวรค์และนรก ท่านมีรองเท้า มีไม้เท้า มีย่าม มีบาตร ฉันเห็นภาพนั้นฉันก็คิดว่าจะไปสวรรค์ต้องมีเครื่องครบตามพระมาลัย ฉันเลยเสริมเครื่องยศเลยพระวินัยเข้าให้ คือพระวินัยมีแต่ สบง จีวร สังฆาฏิ ฉันเติมรองเท้า ไม้เท้า ความจริงไม้เท้าไม่มี ฉันเลยเอาไม้ท่อนเป็นไม้ไผ่ขนาดย่อม โตกว่าแขนนิดหน่อยยาวประมาณ ๑ เมตรเศษ เอามาแทนไม้เท้า มีย่าม มีบาตรสะพายไหล่เสร็จ [/FONT][FONT=trebuchet ms,sans-serif]ทีนี้ตอนที่จะออกไปสวรรค์จะไปตรงไหน จะนั่งในกระท่อมเกรงว่าจะไปไม่ได้ ต้องไปนั่งในห้องน้ำ เพราะไปที่ตรงนั้นจึงไปได้ ความคิดเช่นนี้เป็นความโง่ของฉันเพราะโทษของการที่ไม่ได้ศึกษามาก่อน แต่ท่านที่ศึกษามามาก ๆ ฝ่ายปริยัติเวลาท่านไปกันท่านไปแบบไหนไม่เคยถามท่าน ท่านคงไปได้แน่เพราะท่านไม่โง่เท่าฉัน [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เมื่อทรงเครื่องเสร็จก็ยุรยาเข้าห้องอาบน้ำ ไม่มีส้วมรวมอยู่ด้วย พอนั่งก้นถึงพื้นรู้สึกว่าไปป๋ออยู่ที่เดิม ไม่ต้องตั้งท่าอะไรเลย ง่ายเหลือเกิน พอขึ้นไปที่เดิมไม่เห็นมีใครสักคน นางฟ้าหรือแม้แต่เงานางฟ้าก็ไม่มี พิจารณาดูตัวเองมันช่างรุงรังเต็มทน คิดว่าเป็นระเบียบจะต้องทำเลยจำใจทำ ยืนเก้ ๆ กัง ๆ สักประเดี๋ยวเดียว คราวนี้ปรากฏเทวดาผู้ชายองค์หนึ่งมาหา ไม่สวมชฎา แต่เครื่องแต่งตัวแพรวพราวไปหมด เสื้อแขนยาว ผ้านุ่งยกสวย มีเพชรประดับเต็มเสื้อผ้าไปหมด [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]มาถึงมายกมือไหว้บอกว่า "พระอินทร์ท่านให้นิมนต์ไปที่เทวสภา" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ตอนนี้ชักยุ่ง คิดว่าเพียงเทศน์ให้นางฟ้าก็จะพอเทศน์แบบบุ่ยใบ้อะไรก็ได้ คราวนี้เกิดมีเทวดาทั้งดาวดึงส์มาฟังกันหมด แถมมีพระอินทร์รวมอยู่ด้วย คงจะแย่แล้วตาเถรมาลัยปลอม แต่ว่าเมื่อเป็นเทวบัญชามายากจะขัด พอเดินออกนอกที่เดิมไปทางทิศตะวันตกไม่ไกลก็ถึงเทวสภา อาคารหลังนี้สวยระยับจับตาจริง ๆ เขาไม่ได้ใช้หินอ่อนอย่างสภาผู้แทน ของเขาเป็นแก้วหลายสีแพรวพราวระยับตา เป็นแก้วล้วน ๆ ไม่มีหินปนสักนิด มีเทวดานางฟ้านั่งเต็มอาคาร แลดูสวยจริง ๆ วิมานหรืออาคารก็เป็นแก้ว คนก็มีแก้วประดับแลดูรัศมีกายรัศมีแก้วสว่างช่วงโชติสวยงามพรรณาไม่ไหว ใครอยากเห็นก็ไปดูเอาเอง พอเดินเข้าไปใกล้ มีเทวดาองค์หนึ่ง เทวดานี่สวยทุกองค์ นางฟ้าก็สวยทุกคนอย่าพรรณาเลย ท่านเดิมเข้ามาใกล้ ท่านไม่ได้สวมชฎา แต่ในใจมีความรู้สึกว่าท่านเป็นพระอินทร์ ตัวท่านไม่เขียว ผิวค่อนข้างเหลือง ทรวดทรงสวย เทวดาแก่ไม่มี หนุ่มสาวทั้งหมด ท่านออกมาหา ท่านพูดว่า "คุณเอาบาตรส่งมาให้โยม บนสวรรค์ไม่มีใครเขาใส่บาตรหรอก ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว คุณจะบิณฑบาตเอาไปไหน" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]บอกท่านว่า "เห็นเขาเขียนภาพพระมาลัยไว้อย่างนั้นคิดมาสวรรค์ต้องเตรียมพร้อมจึงแต่งมาอย่างนี้" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ท่านยิ้มแล้วก็ตอบว่า "คราวต่อไปไม่ต้องเอามา ภาพนั้นคนเขียนภาพเขาไม่เคยเห็นพระมาลัยเวลาไปสวรรค์ เขาคิดเอาเอง เขียนตามความคิดเห็น มันไม่ถูกต้องอะไร ไม้เท้าย่ามรองเท้าก็เหมือนกัน ทีหลังไม่ต้องเอามา" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]อายท่านเสียเกือบแย่ เมื่อเข้าไปในเทวสภาท่านก็แนะนำเทวดาหลายร้อยองค์ว่าเป็นพ่อเป็นแม่บ้าง เคยเป็นญาติบ้าง เป็นลูกพี่ลูกน้อง บริวาร ผู้บังคับบัญชา และภรรยา พวกภรรยานี่เกินกว่า ๒๐๐ คน แกไปแออัดอยู่บนนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่ท่านบอกว่าเป็นภรรยาเอกที่เคยอยู่ร่วมกันมาหลายแสนชาติ คนนี้ชื่อว่าพรรณวดีศรีโสภาค คุณเรียกแกสั้น ๆ ว่าแม่ศรี แกเข้ามาหา แกแต่งตัวสวยกว่านางฟ้าอื่นทั้งหมด ทรวดทรงสวยมาก ท่านทางมีอำนาจ ท่านบอกเขามีอำนาจควบคุมเวชยันตวิมานของโยม ท่านแนะนำตัวท่านว่าเคยเป็นพ่อฉันมาหลายแสนชาติ ท่านออกปากอนุญาตในการทัศนาจรดาวดึงส์ บอกว่ามาเมื่อไรก็ได้ โยมอนุญาตทุกสถานที่ [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ฝ่ายแม่ศรีแกก็บอกว่า "ลูกแกลงมาเกิด ๒ องค์ ให้ฉันติดตามสอนจะได้กลับมาที่เดิมหรืออาจไปสูงกว่าเดิม" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]พระอินทร์ท่านเตือนแม่ศรีว่า "พระยังหนุ่มอยู่ยังไม่ควรพบลูก รอเมื่อถึงกาลอันสมควรจะพบกันเอง" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เมื่อท่านแนะนำแล้วก็ถามแม่ศรีว่า "เธอทำไมไม่มาเกิด" [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เธอตอบว่า "ท่านจะลงไปบวช ถ้าฉันไปเกิดด้วยท่านก็ทนบวชไม่ไหว ฉันทราบว่าท่านจะบวชฉันจึงไม่ไปเกิด" [/FONT][FONT=trebuchet ms,sans-serif]เมื่อมีโอกาสคุยใจชักกล้า [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]พอได้เวลาท่านให้ขึ้นแท่นสูงเป็นแก้วเก้าสี ท่านให้เทศน์ ไม่รู้จะเทศน์อะไรเลยเทศน์เรื่องที่ปฏิบัติมา พวกเทวาชอบใจมาก เทศน์เดี๋ยวเดียวก็เลิก [/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]พระอินทร์ท่านบอกว่า "ข้างล่างเกือบสว่างแล้ว นิมนต์กลับก่อน วันต่อไปนิมนต์มาตามสบาย คุณจะมาก็มาได้นานแล้ว คุณไม่ปล่อยอารมณ์ ถ้าปล่อยอารมณ์หรือฉลาดพอ คุณมาได้ตั้งแต่ก่อนบวชแล้ว"[/FONT]
    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]เมื่อถึงเวลาก็ลาท่านมา ปรากฏว่าเมื่อรู้สึกตัวเวลาเลย ๒ น. ของวันใหม่ เจ้าสามเพื่อนกับหลวงพ่อปานมายืนคุมหน้าห้องน้ำ เจ้าเพื่อนโพธิวัตรมันว่า "เฮ้ย บิณฑบาตเมืองสวรรค์ได้อะไรบ้าง มาแบ่งกันกินบ้างซิวะ" เลยเอามือเขกหัวมันโป๊กถนัด มันไม่ว่าอะไร[/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ที่เอาเรื่องนี้มาเขียนไม่ใช่ว่าอวดความสามารถ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับนักปฏิบัติตามพระพุทธโอวาท เอามาเขียนเพื่อให้ทราบว่าเมื่อจิตยังมีกังวล การปฏิบัติสมาธิไม่มีผล ถ้าตัดกังวลได้แล้วจะพบผลมหาศาล หลวงพ่อท่านพูดว่า คุณ ฉันทราบว่าคุณไปได้ตั้งแต่เด็กแต่คุณไม่ฉลาด เมื่อฉันเห็นคุณโง่ก็อยากให้คลายโง่ด้วยตนเอง ต่อไปนี้จะไปไหนก็ได้ตามใจชอบแต่อย่าลืมทรงสมาธิ อ่านแล้วก็คิดเอาเอง สำหรับวันนี้ขอพักเท่านี้ วันหน้าคุยใหม่[/FONT]
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    โลกียอภิญญา

    โลกียอภิญญานี้ท่านแยกเรียกว่าวิชชา ๘ ก็มี อภิญญา ๕ ก็มี จะเอามารวมไว้ที่เดียวกันและบอกวิธีปฏิบัติโดยย่อไว้ด้วย ใครอยากได้ เดินไปหาอาจารย์ที่ทำได้แล้วก็เรียนแล้วกัน คนที่อ่านหนังสือจำได้ แต่ทำไม่ได้ อย่าไปขอเรียน จะพากันเลอะใหญ่ ฉันเคยเป็นนักเทศน์สอนคนจนตัวฉันเกือบลงนรกมาหลายที ทั้งนี้เพราะตีความหมายของตำราไม่ตรง เมื่อทราบแล้วต้องกลับไปเทศน์แก้ใหม่เกือบแย่ อยากหุงข้าวเป็นก็ไปเรียนกับพ่อครัว อย่าไปเรียนกับลิงที่ไม่มีวิชาความรู้เรื่องหุงข้าว อยากเดินป่า จงอย่าเอาปลาในทะเลเป็นครู อยากได้อภิญญาถ้าไปหาคนที่ไม่ได้จะเอาอะไรมาสอน ตัวเองยังสอนตัวเองไม่ได้ จะเสียเวลาเปล่า


    ที่มา
    http://sites.google.com/site/sphrathrrmthassi/Home-1-2-1
     
  6. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...