จิตที่นึกถึงก่อนตาย.......

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย Shio_Ri, 14 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. Shio_Ri

    Shio_Ri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2009
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +122
    ที่บอกว่าก่อนตายถ้านึกถึงสิ่งที่ดีงาม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จิตจะได้ขึ้นสวรรค์ ถ้านึกถึงบาปกรรม จะตกนระ

    แสดงว่าถ้าสมมุติ ว่ามี นายเอ กับนายบี ทำบุญ 50 เปอร์เซ็น กับ บาปอีก 50 เท่าๆกัน

    นายเอ นึกถึงสิ่งดีก่อนตาย นายบีนึกไม่ออก นึกบาปแทน นายเอขึ้นสวรรค์ นายบีตกนรก แต่พอนายเอเสวยบุญบนสวรรค์เสร็จ ค่อยไปรับที่นรก ส่วนนายบีใช้ที่นรกเสร็จค่อยเสวยบุญ แสดงว่ามันเลี่ยงที่จะตกนรกไม่ได้จริงๆใช่หรือปล่าวค่ะ

    แล้วถ้าหมดทุกอย่างแล้ว เกิดจะเป็นสิ่งเดียวกันหรือปล่าว เช่นคนที่รับบุญก่อนบาปหรือบาปก่อนบุญ มีผลให้การเกิดในชาติใหม่แตกต่างกันหรือปล่าวค่ะ...


    เพราะ สงสัยมานานแล้ว

    ขอบคุณมากค่ะ

    ;aa27
     
  2. undfined

    undfined เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2009
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +240
    ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ ใครรู้ช่วยตอบทีนะครับ
     
  3. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ถ้ากรรมดีและกรรมชั่วใกล้เคียงกัน ตอนจะสิ้นใจตาย
    กรณีที่ 1 จิตใจนึกถึงกุศลก็จะได้ไปสวรรค์ หรือโลกมนุษย์ ถ้าทำกรรมดีต่อเนื่องบาปกรรมที่รอให้ผลจะตามไม่ทันแต่ถ้า ไม่ทำกุศลกรรมเลย เอาแต่สนุกมัวเพลินอยู่ บุญที่มีหมดลงแล้ว กรรมชั่วที่รออยู่จะให้ผลทันที
    กรณีที่ 2 ถ้าระหว่างใกล้ตายจิตใจเป็นอกุศล จะตกอบายภูมิ กว่าจะรอดพ้นมาได้แสนสาหัส เพราะไม่สามารถทำกรรมดีใดๆได้เลย ต้องทรมานใช้กรรมอย่างเดียวเป็นเวลานานมาก ออกมาจากนรกแล้วต้องมาชดใช้เศษกรรมต่างๆอีกมากมาย

    เพราะฉะนั้นช่วงใกล้ตายจึงสำคัญมาก จิตจะเกิดกุศลก็ต่อเมื่อได้ทำกรรมดีต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน จนเป็นวิบากสะสมในใจ .....หรืออาจจะทำกรรมดีบ้างชั่วบ้างแล้วรอวัดดวงกัน...ตอนใกล้ตาย

    หมายเหตุ เรื่องนี้มีรายละเอียดอีกมาก ต้องศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องกฏแห่งกรรมในพระพุทธศาสนา มาพอสมควร จึงพอเข้าใจได้ด้วยตนเอง ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2009
  4. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ที่เจ้าของกระทู้ถามมา เค้าเรียกกันว่าเป็นสภาวะ "จิตสุดท้ายก่อนตาย" คือถ้าไปนึกถึงพระถึงเจ้า นึกถึงความดี นึกถึงพุทโธ สัมมาอรหัง นึกถึงศาสนา อย่างนี้ ก็ไปสู่สุคติ แต่ถ้านึกถึงความเลว ความชั่ว นึกถึงคนที่เราทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ เกิดเห็นภาพมีคนมาตามล้างตามล่า จิตก็เกิดความทุกข์ เกิดความกระวนกระวาย อย่างนี้ ก็ไปสู่ทุคติ

    หรือแม้กระทั่งจิตเกิดความกังวลเพราะเสียงร้องไห้ของคนรอบข้าง เกิดกังวลเพราะลูกยังเล็ก ไม่รู้จะอยู่กับใคร ไม่รู้ใครจะเลี้ยง อย่างนี้จิตก็ไม่สามารถไปสู่สุคติได้ เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจเรื่องนี้ เวลาไปเฝ้าไข้ญาติที่เจ็บหนักที่กำลังจะตาย เค้าถึงบอกกันว่า ให้พยายามเงียบ อย่าไปร้องไห้ให้คนไข้ได้ยิน เพราะจิตของคนที่กำลังจะหลุดออกจากร่างจะถูกดึงไว้ ถูกรั้งไว้ แต่ถ้าคนรอบข้างปล่อยวาง และผู้นั้นไม่ได้มีกรรมหนัก ผู้นั้นก็สามารถไปสู่สุคติได้ เพราะจิตของผู้จะไปนั้น ไม่มีความกังวลนั่นเอง

    สภาวะจิตอีกอย่างคือ ตายโดยไม่รู้ตัว เช่น เกิดอุบัติเหตุ อย่างนี้เปรียบเทียบตัวอย่างได้ว่า เหมือนเราอยู่ในบ้านดีๆ พอรู้ตัวอีกทีก็ออกไปยืนอยู่กลางถนนที่ไหนก็ไม่รู้ อย่างนี้ทำยังไง ก็งงซิครับ กลับบ้านไม่ถูก ฉันใดก็ฉันนั้น ต้องมีคนไปปลดปล่อยวิญญาณ หรือเมื่อครบอายุขัยจริงๆ จึงจะไปจุติได้ ได้ยินมาว่าคนโบราณบางคนจะออกจากบ้าน เค้าหยิบเม็ดดินนี่แหละขึ้นใส่หัว แล้วกำหนดจิตว่า "ข้าแต่พระแม่ธรณี เมื่อข้าพเจ้าได้ออกจากบ้านไปแล้ว ก็ขอให้กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพด้วยเถิด"

    ส่วนที่สงสัยว่า เมื่อนายเอเสวยบุญบนสวรรค์จนครบแล้ว จะลงไปรับโทษที่นรกทันทีหรือไม่ หรือเมื่อนายบีชดใช้กรรมในนรกเสร็จแล้ว จะขึ้นสวรรค์หรือไม่ ขอตอบว่า ไม่แน่ เพราะอะไร เพราะมันมี "ปัจจัยอื่นแทรก"
    ยกตัวอย่างเช่น นายเออยู่บนสวรรค์ นายเอสามารถต่อบุญได้ เช่น ให้ความช่วยเหลือมนุษย์ในการทำความดี รวมทั้งนายเออนุโมทนาบุญกับเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย มีผู้อุทิศส่วนกุศลให้ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ สามารถยังผลให้นายเอเป็นเทวดาต่อได้ หรืออาจจะจุติลงมาในมนุษย์โลกได้ แล้วแต่กรรมจัดสรร ซึ่งเป็นกรรมดีที่นายเอทำเพิ่มตอนที่อยู่บนสวรรค์นั่นเอง
    ในขณะเดียวกัน นายเอก็อาจลุ่มหลงมัวเมากับทิพยสมบัติ อย่างนี้พอหมดบุญ โอกาสที่จะตรงดิ่งลงนรกก็มีอยู่สูง

    นายบี อยู่ในนรก แต่ไม่ใช่ว่าจะขึ้นจากนรกปุ๊ป จะไปสวรรค์ได้ทันที นายบีก็อาจจะต้องมาใช้เศษกรรมในมนุษย์โลกได้ และอาจจะไปสวรรค์ได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับผลของกรรมและปัจจัยแทรก

    ผลของกรรมนั้นก็คือ ถ้านายบีใช้กรรมจนเกลี้ยง อย่างนี้นายบีสามารถไปสวรรค์ได้ ถ้าไม่เกลี้ยง ขนาดเพียงแค่เศษกรรมก็ยังมีผลแรงอยู่ อย่างนี้นายบีก็มีความเป็นได้สูงที่จะต้องมาชดใช้เศษกรรมในโลกมนุษย์

    ส่วนที่ว่าปัจจัยแทรกจะขอยกตัวอย่างดีกว่า เช่น นายบีชดใช้กรรมในนรก ญาติในชาตินี้ก็ตายลง นายบียังอยู่ในนรก แต่ญาตินายบีมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ญาตินายบีก็แสนดี ก็อุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ทั้งในอดีตชาติก็ดี ชาตินี้ก็ดี แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้ทุกวัน ก็คำว่า "อดีตชาติก็ดี" นี่แหละ ครอบคลุมถึงนายบีด้วย พอกรรมในนรกของนายบีเบาบาง ได้จังหวะปั๊ป บุญที่ส่งให้นายบีทุกวันนั้น ก็มีผลทำให้นายบีมีภพภูมิที่ดีกว่ากว่านรกภูมิ ส่วนจะบอกว่าจะไปสวรรค์หรือมาอยู่ในโลกมนุษย์นั้น ก็สุดวิสัยที่จะตอบให้ชัดเจนได้

    เพราะฉะนั้น เรื่องปัจจัยแทรกเนี่ยมีผล จะขอยกอีกตัวอย่างหนึ่ง เคยได้ยินไหมที่มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนๆหนึ่งเนี่ย ได้รับคำทำนายว่า ตายแน่ๆ ต้องตายภายใน 7 วัน แต่พอพ้น 7 วันก็ยังไม่ตาย สืบไปสืบมาถึงรู้ว่า คนๆนั้นเผอิญไปเจอปลาที่กำลังจะตายในแอ่งน้ำที่กำลังแห้ง เกิดความสงสารก็เลยเอาไปปล่อย อย่างนี้เป็นกรรมดีที่แทรกเข้ามา เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยแทรก ก็เลยทำให้คนๆนั้นรอดตาย

    เพราะฉะนั้น อยากสรุปว่า เรื่องของกรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางกรณีก็เกินวิสัยที่มนุษย์จะทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งอย่างถ่องแท้ เพราะเรื่องของกรรมมีหลายเรื่องหลายประเด็นที่มนุษย์ยังไม่รู้ หรือยังเข้าใจไม่ถูก หรืออาจจะมองข้ามไป ดังนั้น การที่เรามัวจะไปสืบหาค้นหาเรื่องกรรมให้รู้ทุกประเด็นนั้น เป็นสิ่งที่เสียเวลา สู้เราไม่ทำกรรมชั่ว และทำแต่กรรมดีจะดีกว่า รวมทั้งเราต้องไม่ประมาทด้วย เพราะไม่ใช่ว่าเราทำกรรมดีมาตลอดชีวิต เราคิดว่าเรารอดแล้ว เราต้องไปสวรรค์แน่ เพราะเราไม่อาจรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้ว่า เมื่อถึงเวลาจริงๆแล้ว สภาวะจิตสุดท้ายของเราอาจเศร้าหมองก็ได้ นั่นหมายถึงเราก็จะต้องไปสู่ทุคติ ดังนั้น จำไว้เลยว่า "ความประมาทเป็นหนทางไปสู่ความตาย" สมดั่งคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
     
  5. jatupop

    jatupop Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +58
    เราสามารถเลือกที่จะไม่ต้องตกนรก และ หนีนรกได้ครับ หลวงปู่ฤาษีท่านก็สอนไว้ แต่เลี่ยงที่จะไม่รับกรรมก่อนถึงนิพพานนั้น เลี่ยงไม่ได้ ครับ

    การเลี่ยงที่จะตกนรก / หนีนรก (ต้องทำตลอดชีวิต)
    1. คิดว่าเรานี้ต้องตาย ร่างกายนี้ไม่ใช่เราเป็นแต่เพียงธาตุ ให้อาศัยชั่วคราวเท่านั้น
    2. ถือศีลห้า กรรมบทสิบ เคร่งครัด
    3. ไม่มีความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอน (ถ้ายังสงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม สอนถูกหรือป่าว ผลจะดีจริงหรือ อันนี้ตัวใครตัวมันครับ)
    4. อันนี้แถม และสำคัญมากด้วย ให้ฝึกเจริญสติ ภาวนา ทุกวัน นั่ง นอน ยืน เดิน ให้มีสติรู้ตัวตลอด หรือ บ่อยๆ เราไม่สามารถห้ามจิตให้ฟุ้งซ้านได้ แต่เราสามารถฝึกจิตให้รู้ทันว่า กำลังฟุ้งซ้าน ได้ แล้วหันมามีสติแทนฟุ้งซ้าน ทำเรื่อยๆ จะให้ตัดฟุ้งซ้านทั้งหมดนั้น ต้องถามตัวเองก่อนครับว่าเป็นอรหันต์ หรือยัง ถ้ายัง ก็ไม่ต้องน้อยใจหรือท้อใจ เพราะฟุ้งซ้านคือเรื่องปกติ แต่เรื่องที่ไม่ปกติคือ เราไม่รู้ตัวว่าฟุ้งซ้าน แล้วหันมาภาวนาเรื่อยๆ จะเป็นประโยชน์มากตอนจิตสุดท้ายก่อนตาย ลองคิดดูว่าถ้าเรามีสติรู้ และภาวนาอยู่ แล้วสิบล้อมาโบกเราไปกิน เราก็สบายหายห่วง หรือจะแก่เฒ่า นอนพะงาบๆๆ ในโรงพยาบาล ก็ยังมีสติครบถ้วน เพราะเตรียมตัวเตรียมจิตไว้ดี ภาวนานี้ทำจนวินาทีสุดท้ายของลมหายใจเลยนะครับ

    ถ้าทำสามอย่างนี้ได้ตลอด(ไม่หันกลับไปทำชั่ว)รับรองไม่มีตกนรก เพราะศีลทำให้มีสุข (ไม่ใช่ให้ร่างกายมีสุข เพราะร่างกายไม่ใช่เรา แต่ทำให้จิตเป็นสุขเป็นสุขคติ) ศีลทำให้มีโภคทรัพย์ (อริยทรัพย์ ไม่ใช่ทรัพย์ทางโลก อันนั้นแล้วแต่ทานบารมีที่ทำมา) แต่ถ้ายังเกิดอยู่ อย่างต่ำก็ต้องเป็นมนุษย์ขึ้นไป แต่ยังต้องรับกรรมเก่า เช่น พิการ โรคร้าย ฯลฯ สุดแต่กรรมที่ทำไว้ ให้ทำดีๆขึ้นๆไปอีกโดยการตัดสังโยชน์สิบ ตัดได้ครบแล้ว กรรมเก่าๆ ตามไม่ทัน เป็นอโหสิกรรม เกิดอีกไม่ได้ครับ

    ปล. บาปทั้งหมดที่เคยทำมาไม่ต้องไปสนใจ เพราะมันเป็นเรื่องปกติ ถ้าคนจะละชั่วละกิเลส ไม่มีชั่วไม่มีกิเลส แล้วจะเอาที่ไหนมาล่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปใส่ใจบาปเก่าทั้งหมด และต้องเลิกสร้างบาปใหม่ด้วย ทำแต่ความดี เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ เข้าที่ดีแล้ว แม้แต่บุญก็ไม่ติด (ไม่ติดบุญ) เพราะจริงๆ บุญกับบาปมันก็อันเดียวกัน กิเลสทั้งนั้น (เหมือนขาวดำ มันก็เป็นสีทั้งคู่มันก็อันเดียวกันคือเป็นสี) แต่กิเลสก่อแล้วเป็นอกุศล และ กิเลสก่อแล้วเป็นกุศล ส่้งผลทุกข์สุข ต่างกัน กรรมไม่ขาวไม่ดำนั้นมีอยู่ ทำได้แล้วจะได้ไม่ต้องเกิดอีก แต่บุญก็ต้องยังทำอยู่นะทำมากๆ ด้วย ไม่ใช่ไม่ติดบุญแล้วไม่ทำ แต่ทำแล้วกำลังใจต่างกัน ลองถามตัวเองเล่นๆ ดูว่าถ้าทำบุญบริจาคเงินเป็นสาธารณะกุศลสักร้อยล้านเพื่อเลี้ยงคนยากจน (ไม่ใช่เนื้อนาบุญเหมือนพระอริยะสงฆ์) แล้วไม่ได้บุญที่ตอบกลับมาหมายถึงได้บุญก็ช่างไม่ได้ก็ช่าง ทำเพื่อสงเคราะห์ ทำเพื่อให้จริงๆ จะกล้าบริจาคทานให้เป็นสาธรณะกุศลกันไหม?

    โชคดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2010
  6. โลกนี้คือละคร

    โลกนี้คือละคร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +103
    อนุโมนาครับ
     
  7. Sarikanon

    Sarikanon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +22

    ชัดเจน แจ่มแจ้งครับ !

    จิตก่อนตาย นี่สำคัญ มากๆครับ ทุกท่าน
    ส่วนเรื่องต่อยอดหลังตายนั้น แล้วแต่พฤติกรรมของแต่ละคน

    แต่ที่แน่ๆ อยู่ในนรก ทำบุญได้ลำบาก กว่าอยู่บนสวรรค์
    แถมไม่พอ ทุกข์ยากอีก
    อยู่บนสวรรค์ สบายกว่า ถ้าไปช่วยเหลือคนหรือ อนุโมทนา
    บุญ กับคนที่ทำบุญก็ต่อยอดบุญได้
    แต่อยู่ในนรก ต้องรอคนมาทำบุญให้ เหอๆ คิดเอาทำเองกับคนอื่นทำให้อันใหนง่ายกว่ากัน

    แต่ที่แน่ๆ บุญกับบาปคนละส่วนกัน
    ต่อให้หนีไป สวรรค์เรื่อยๆ แต่ไม่ถึงนิพพาน สักที สักวันพลาดท่า
    ชดใช้บาปที เป็นแบบดินพอกหางหมู มากมายมหาศาล
    55
     

แชร์หน้านี้

Loading...