การได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 1 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    "....การได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นโอกาสเหมาะที่จะได้ฟังพระธรรม
    และเจริญกุศลทุกประการ
    ผู้ทำสุจริตทั้งหลายเปรียบเหมือนอวยพรให้กับตน...."

    .......ฉะนั้น
    ก็น่าเสียดาย ชาติที่เกิดมาด้วยปฏิสนธิจิต-ที่เป็นติ-เหตุกะ
    (คือ เกิดมาด้วยเหตุ ๓....มี ปัญญาเจตสิก-เกิดร่วมด้วย)
    แต่ ไม่ได้อบรมปัญญาให้เจริญขึ้น.

    และ ชาติต่อไปนั้น
    กรรมใด จะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด ก็ยังไม่แน่.!
    อาจจะเป็นอกุศลวิบากจิต ทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิ

    หรือ อ-เหตุก-กุศลวิบากจิต ทำกิจปฏิสนธิ
    เป็นบุคคล-ผู้พิการตั้งแต่กำเนิด

    หรือ ทวิ-เหตุก-กุศลวิบาก-ทำกิจปฏิสนธิเป็น ทวิ-เหตุกบุคคลใน"สุคติภูมิ"
    แต่ เป็นบุคคล-ซึ่งไม่สามารถอบรมเจริญปัญญา
    จนสามารถที่จะรู้แจ้ง อริยสัจธรรม ในชาตินั้นได้.

    ฉะนั้น จึงน่าเสียดายแต่ละภพ แต่ละชาติ
    ที่ไม่ได้อบรมเจริญปัญญาให้เจริญยิ่งขึ้น.

    ฯลฯ
    อย่าว่าแต่ในเทวโลกที่เทวดามัวแต่เพลิดเพลินติดข้องเลยครับ แม้แต่ในโลกมนุษย์เรา
    นี่เอง ในดินแดนที่ประทีปแห่งพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังแจ้มจรัสอยู่
    ก็ยังมีคนเป็นอันมากที่เพลิดเพลินหลงระเริงติดข้อง จมปลักอยู่กับความเพลิดเพลิน
    หรือตัวผมเองก็ยังเผลอหลงเพลิดเพลินติดข้องอยู่เสมอ.......
    เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ
    ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ ฯ
    สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันวิจิตรตระการดุจราชรถ
    ที่เหล่าคนเขลามัวพากันหลงจมอยู่ แต่ผู้รู้หาติดข้องอยู่ไม่ ฯ

    ก็เป็นธรรมดา....แล้วทำไมจึงเดือดร้อน.?

    ก็เป็นเรื่อง "ปกติ" ธรรมดา ที่ต้องเป็นไปอย่างนี้ ตามเหตุ ตามปัจจัย
    จนกว่า ทุกอย่างที่ปรากฏ จะเป็นธรรมดา
    ก็คือ เป็น " ธรรมะ" แต่ละประเภท ๆ

    แม้แต่ "ความเดือดร้อน" ก็เป็น สภาพธรรมประเภทหนึ่ง ใช่ไหมคะ.?
    แล้วจะเดือดร้อนอะไร.!

    เมื่อเป็น "ความเข้าใจที่มั่นคง" ว่า ทุกอย่าง เป็น "ธรรมะ"
    ก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเข้าใจจริง ๆ ว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริง
    เกิดแล้ว เพราะเหตุ-ปัจจัย....เกิดแล้ว ดับไปแล้วด้วย.!

    ถ้าเป็นความเข้าใจจริง ๆ ว่าเป็น "ธรรมะ"
    คือ เข้าใจ ว่า ธรรมะ นั้น แม้ไม่มี ชื่อ
    แต่ก็มี "ลักษณะเฉพาะ" ของธรรมแต่ละประเภท ๆ
    "ธรรมะทั้งหลาย"
    เมื่อเกิด-ปรากฏ ตามเหตุ ตามปัจจัย แล้วก็ต้องดับไป
    และไม่กลับมาอีกเลย.!

    เพื่อที่จะ คลาย-การยึดถือสภาพธรรมทั้งหลาย
    ก็คือ เข้าใจ ว่า สภาพธรรมทั้งหลาย เพียงเกิด-ปรากฏ-ดับไป
    เมื่อหมดไปแล้ว....จะยึดถือเพื่ออะไร.?

    ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงจริง ๆ คือ เข้าใจ ว่า สิ่งใดก็ตาม ที่ปรากฏ
    ปรากฏ เพียง "ชั่วคราว"
    เมื่อมีเหตุ มีปัจจัย สภาพธรรมก็เกิด ตามเหตุ ตามปัจจัย
    เมื่อเกิด-ปรากฏแล้ว...ก็ต้องดับไป
    ดับหมดไปแล้ว....ไม่กลับมาอีกเลย.!

    .
    ปกติ" เป็นเช่นนั้น....ก็ เป็นเช่นนั้น.!

    สภาพธรรมนั้น ๆ ก็ มีจริง ๆ
    แต่ กว่าจะเข้าถึง และ รู้จัก "ตัวธรรม" จริง ๆ
    ก็ต้องเข้าถึงด้วย สติ-สัมปชัญญะ หรือ สติ-ปัญญา
    ซึ่งหมายถึง การอบรม "ความเข้าใจที่ถูกต้อง" ให้เพิ่มขึ้น ๆ

    ไม่ได้หมายความว่า
    เมื่อได้ยินได้ฟังพระธรรม แล้วจะเข้าถึง และ รู้จัก "ตัวธรรมะ" ได้ทันที.!
    ฟังอีก ก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้นอีก...นี่คือ การอบรมเจริญปัญญา.!

    ขณะที่ยัง "เป็นเรา" ที่ขัดข้อง หรือ เดือดร้อน
    หมายความว่า ยังไม่เข้าใจ ว่า ความขัดข้อง หรือ เดือดร้อน ก็เป็น "ธรรมะ"
    "ธรรมะ" คือ สภาพธรรมที่เกิดตามเหตุ ตามปัจจัย และ เกิด-ดับ.

    ที่สำคัญที่สุด คือ เข้าใจ และรู้ว่า เป็นเพียง "ธรรมะ"

    แม้รู้สึกว่า ไม่ติดข้องมากมายอะไร อย่างที่กล่าวมา
    แต่ก็ยัง"เป็นเรา" ที่ไม่ติดข้อง.....?

    ถ้ายัง "เป็นเรา"
    โดยที่ไม่เป็นเพียง "ลักษณะของสภาพธรรม" แต่ละประเภท ๆ
    หมายความว่า ยังไม่เข้าถึง-ไม่รู้จัก "ตัวธรรมะ" จริง ๆ

    เมื่อฟังเรื่องของธรรมะแล้ว และทั้ง ๆ ที่สภาพธรรมกำลังมีจริง ๆ ขณะนี้.!
    แล้วจะรู้ "ลักษณะของธรรมะ" ได้....เมื่อไร.?

    ก็เมื่อ "ปัญญา" หรือ "ความเข้าใจ" ในสิ่งที่ได้ฟัง เพิ่มขึ้น ๆ
    "มากพอที่จะเป็นปัจจัย" ให้รู้ ลักษณะของสภาพธรรม ได้
    ไม่ใช่ เพียงแค่ฟัง แล้วจะรู้ลักษณะของธรรมะได้ ทันที.!

    ขณะใด มีปัจจัยที่จะทำให้ เริ่ม-รู้ลักษณะของสภาพธรรม ได้
    ขณะนั้น ปราศจาก "ความเป็นเรา"

    การฟังพระธรรมให้เข้าใจเพิ่มขึ้น บ่อย ๆ เนือง ๆ
    คือ ปัจจัยที่จะทำให้ เริ่ม-เข้าใจ-ลักษณะของสภาพธรรม หรือ สิ่งที่มีจริง ๆ

    การฟังพระธรรม คือ การศึกษาพระธรรม และ การอบรมเจริญปัญญา
    เพื่ออะไร......?

    ก็เพื่อ ละ-ความไม่รู้ หรือ อวิชชา
    และ เพื่อการละ-คลาย-การยึดถือในสภาพธรรม-เพราะความไม่รู้.!

    เมื่อ ความเข้าใจ ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ๆ
    ความไม่รู้ ก็ค่อย ๆ ละ-คลายลงไป ทีละเล็ก ทีละน้อย
    เพื่ออะไร.....?

    ก็เพื่อที่จะ "ไม่มีเรา" อีกเลย !

    ผู้ที่ไม่ศึกษาธรรม ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า การยากจนคุณธรรม มีศรัทธา เป็นต้น
    นั้นสำคัญอย่างยิ่งกว่าการยากจนทรัพย์ ลาภ ยศ สรรเสริญ
    เพราะ ลาภ ยศ สรรเสริญ นั้นคือเครื่องประดับ ของคนบ้า ครับ
    ทรัพย์สินเงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ นำไปไม่ได้ มีแต่อริยทรัพย์เท่านั้น
    ที่จะนำไปสู่ชาติต่อๆไปได้

    เอาบุญมาฝากได้ใส่บาตรแล้วท่องคาถาถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ตื่นแต่ดึกขึ้นมาฟังธรรม
    สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม กำหนดอิริยาบทย่อย เจริญอนุสติ 8 อย่าง ถวายข้าวพระพุทธรูป
    สักการะพระธาตุ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับผู้ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหนทางหลายสาย
    อนุโมทนากับเด็กนักเรียนประมาณ 1000 คนที่สวดมนต์ ตอนเช้า
    ได้ให้อภัยทาน อฐิษฐานจิต ได้สร้างบารมี ครบทั้ง 10 อย่าง และตั้งใจว่าจะศึกษาการรักษาโรค
    ศึกษาธรรม ฟังธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม กำหนดอิริยาบทย่อย เจริญอนุสติ หลายอย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
    ขอเชิญท่องเที่ยววัดศรัทธาธรรม
    โบสถ์ไม้สักฝังมุก
    อุโบสถสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ภายนอกอุโบสถ เสาระเบียงฝังมุกลายไทย ผนังภายนอกฝังเปลือกหอยมุกเป็นลายเทพพนม อันวิจิตรบรรจง ส่วนเครื่องบนประดับช่อฟ้า ใบระกา ที่กลางหน้าบันทั้งสองด้าน จำหลักลายหงส์ภายใต้เศวตฉัตร อยู่บนพื้นลายกระหนกเปลว
    ภายในอุโบสถ ประดิษฐ์ด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังฝังมุก แสดงเรื่องราวพุทธประวัติและภาพด้านล่างคือ ภาพวรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์ พระประธานคือพระพุทธชินราชหน้าตักกว้าง 61 นิ้ว ด้านหลังพระประธาน คือภาพพระประจำวันเกิด ภาพเพดานอุโบสถปิดทองลายไทย งบประมาณในการก่อสร้างเกือบหนึ่งร้อยล้านบาท
    เนื่องจากอุโบสถหลังนี้ฝังด้วยมุกเกือบทั้งหมด เมื่อพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า มุกที่ฝังไว้นอกผนังอุโบสถรูปลายเทพพนม จะสะท้อนแสงระยิบระยับส่งประกายสวยงามยิ่ง
    กาละแมรามัญ
    ในบริเวณวัด จะมีขนมของชาวมอญ "กาละแม" จัดจำหน่าย โดยกลุ่มแม่บ้านในละแวกวัดรวมตัวกันผลิตขึ้น เพื่อนำรายได้มาเป็นสวัสดิการแก่สมาชิก ซึ่งมีความอร่อยเพราะผลิตจากสูตรดั้งเดิม
    การเดินทาง
    รถยนต์
    จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) ถึงจังหวัดสมุทรสงครามตรงไป ทางจังหวัดเพชรบุรี (ไม่เข้าตัวเมือง) ตรงไปอีกประมาณ 2 กม. ก่อนข้ามสะพานสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เลี้ยวซ้ายตรงที่กลับรถ เลยไปประมาณ 200 เมตร มีถนนแยกเล็ก ๆ ให้เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปอีกประมาณ 1 กม วัดอยู่ทางขวามือ
    รถประจำทาง
    จากตัวเมืองสมุทรสงคราม นั่งรถโดยสารสายแม่กลอง-ปากมาบ คิวรถอยู่บริเวณโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า รถจะผ่านวัด
     
  2. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    มีเวลาจะแวะไปครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...