การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของนักปฏิบัติบางท่าน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Sonny, 25 สิงหาคม 2006.

  1. Sonny

    Sonny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +156
    เนื้อความ : การปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนานั้น มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตอย่างอัศจรรย์ที่สุด แต่เป็นเรื่องที่ผู้อื่นรับทราบได้ยาก เช่นเรื่องการบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะเป็นความรับรู้เฉพาะตัว คนอื่นรู้ด้วยไม่ได้ แต่ถ้าจะพิสูจน์แค่ว่า ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาแล้วพ้นทุกข์ได้ ถ้าแค่นี้ก็ท้าให้ผู้สงสัยลองปฏิบัติดูได้เสมอครับ หรืออย่างเรื่องนรก สวรรค์ ชาติก่อน ชาติหน้า ผี เทวดา ก็เป็นเรื่องที่เถียงกันไม่จบ ใครเคยมีประสบการณ์ที่ทำให้เชื่อก็เชื่อ ใครเคยมีประสบการณ์ที่จะไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ และเวลานี้พวกเราก็ตั้งกระทู้ทำนองนี้มากมาย แล้วก็เถียงกัน ไม่มีข้อยุติ บางคนประกาศว่ามี บางคนพูดอ้อมๆ แบ่งรับแบ่งสู้ บางคนประกาศว่าไม่มี

    ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าเรื่องทุกข์และการดับทุกข์หรอกครับ แต่ผมเป็นห่วงว่า บางท่านสรุปเร็วไป ถึงขนาดระบุว่า กฎแห่งกรรม หรือเรื่องชาตินี้ชาติหน้า เป็นเครื่องมือให้คนเชื่อแล้วสังคมจะได้เรียบร้อย หรือปฏิเสธพระไตรปิฎกบางส่วนว่าเป็นนิยายหลอกเด็กไปเลย ซึ่งถ้าปฏิเสธเรื่องผีและเทวดา ชาติก่อน และชาติหน้า พระวินัยบางข้อก็ต้องยกเลิก เช่นในข้อที่ห้ามฆ่าโอปปาติกะ พระสูตรจำนวนมากต้องยกเลิกไป ส่วนพระอภิธรรมก็เป็นเรื่องแสดงให้เทวดาฟัง ยิ่งไปกันใหญ่ ผมเสียดายพระไตรปิฎกเหล่านี้ครับ

    เมื่อเรื่องลึกลับทางจิตใจนั้น พิสูจน์ให้เห็นได้ยาก ผมจึงขอเสี่ยงเล่าถึงสิ่งที่เป็นของแปลกแต่เป็นรูปธรรมสักเรื่องหนึ่ง เพื่อให้พวกเราบางคนใช้ความไตร่ตรองมากขึ้น ก่อนที่จะกล่าวว่าพระไตรปิฎกเป็นนิยาย นิทาน อะไรนั่น เพราะในพระพุทธศาสนานั้น ยังมีสิ่งที่เราไม่เข้าใจอยู่อีกมาก

    นั่นคือเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของนักปฏิบัติธรรมบางท่าน ที่กระดูกของท่านตกผลึกเป็นแก้ว เรื่องนี้คนทั่วไปรู้เห็นได้ด้วยนะครับ ทั้งมีพยานวัตถุและบุคคลเป็นจำนวนมากในยุคนี้ แต่ผมก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร แต่ยืนยันว่ามีแน่ และเกิดเฉพาะท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่านั้น

    ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงของกระดูกเป็นผลึกแก้วมีดังนี้ครับ 1. กระดูกส่วนที่มีรูพรุนๆจะเป็นเร็วกว่ากระดูกแข็ง 2. มีการเปลี่ยนแปลง 2 ด้านคือ 2.1 การเปลี่ยนแปลงจากภายในกระดูก จะมีคล้ายๆ น้ำใสๆ (แต่ไม่ใช่น้ำ และไม่ใช่ของเหลวด้วย) ค่อยๆผุดขึ้นจากรูพรุน พร้อมกับไล่ฟองอากาศภายในกระดูกออกมาด้วย 2.2 การเปลี่ยนแปลงจากพื้นผิวภายนอกจะเกิดคล้ายๆ สารเคลือบขาวๆ คล้ายกระเบื้องเคลือบ เคลือบตามผิวภายนอก จากนั้นจึงค่อยๆใสขึ้นจนเป็นผลึก 2.3 กระดูกที่พรุนๆและมีเหลี่ยมมีมุม จะค่อยๆ ยุบตัวลงจนมนและกลม

    เส้นผมก็รวมตัวได้ครับ คือจะรวมตัวเป็นกระจุกก่อน แล้วค่อยอัดตัวเป็นเม็ดทีหลัง

    การแปรสภาพนี้ เร็วบ้าง ช้าบ้าง ไม่เท่ากันในแต่ละท่าน ผู้ที่มาพบภายหลังการแปรสภาพแล้ว มักจะไม่เชื่อว่านั่นคือกระดูกจริงๆ ผมเคยเห็นอัฐิของหลวงปู่มั่นชิ้นหนึ่งที่วัดป่าสุทธาวาส เมื่อ 15 ปีก่อนยังเป็นแก้วครึ่งท่อน เป็นกระดูกครึ่งท่อน ขณะนี้เปลี่ยนเป็นแก้วทั้งท่อนแล้ว ใครเห็นก็อาจไม่เชื่อว่าเป็นกระดูกจริงๆ

    ผมจึงยอมเสี่ยงเล่าเรื่องนี้ เพื่อบอกพวกเราว่าอย่าเพิ่งรับหรือปฏิเสธอะไรง่ายๆ เลย ในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะเรื่องของจิตนั้น มีสิ่งลึกซึ้งอยู่มาก แค่กระทั่งเรื่องกระดูกตกผลึกในท่านผู้ปฏิบัติดี เรายังไม่รู้กันเท่าไหร่เลย ทั้งที่มีอยู่มากมายในหมู่พระป่า

    ที่เล่ามานี้ก็ตามประสบการณ์ ท่านจะว่าโง่งมงายก็สุดแล้วแต่ท่านครับ และความจริงเรื่องของภพภูมิต่างๆก็พอจะพิสูจน์ได้ แต่ลำบากตรงที่ว่า ไม่ใช่คนทำสมาธิทุกคนจะรู้เห็นได้ จากคุณ : สันตินันท์ - [8 มิ.ย. 2541 14:46:02]

    ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ขอบพระคุณทุกท่านครับที่มองผมด้วยความเมตตา เจตนาจริงๆ ต้องการบอกน้องๆ รุ่นใหม่ๆ เท่านั้นว่า การปฏิเสธสิ่งที่ประสบการณ์ของเรายังเข้าไม่ถึงนั้น น่าจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่น่าจะแขวนเรื่องนั้นไว้ก่อน เรื่องพระธาตุจริงๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพาน(อย่างที่คุณ jojo กล่าวไว้) แต่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เราเห็นว่า พลังงานบางอย่างมีอยู่ แล้วผมก็ไม่ได้มุ่งหวังจะใช้เรื่องนี้พิสูจน์เรื่องชาตินี้ชาติหน้า สิ่งสำคัญที่สุดคือการปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่อยากให้ดูถูกภูมิปัญญาของท่านที่สืบทอดพระไตรปิฎกจนมาถึงมือรุ่นของเรา

    ถ้าเราใช้วิธีอ้ำอึ้ง หลีกเลี่ยงการตอบเสียทุกคน นานไปคนก็จะยิ่งคลางแคลงมากขึ้นทุกที ราวกับว่าภูมิรู้เหล่านั้น ไม่มีจริงเอาเสียเลย

    ความจริงอย่าว่าแต่เรื่องพระธาตุเลย แม้แต่เรื่องอภิญญาก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี ที่ดาษดื่นมากก็เช่นเรื่องเจโตปริยญาณและอนาคตังสญาณ ที่ถึงขั้นลอยตัวได้ก็มี องค์หนึ่งที่ผมรู้จักเวลาท่านเข้าสุญญตสมาบัตินั้น บางครั้งร่างกายหายไปเลย ที่เล่านี้ไม่ต้องการให้เชื่อเพราะถ้าเชื่อโดยไม่ได้พิสูจน์ก็คือไม่ฉลาด และไม่ใช่ทางของมรรคผลนิพพานด้วย แค่จะบอกว่าสิ่งที่ประสบการณ์เราเข้าไม่ถึงน่ะ แขวนไว้ก่อนดีกว่า อย่าด่วนตำหนิว่าพระไตรปิฎกเป็นนิทานหรอกเด็กอย่างแน่นอน

    ส่วนท่านใดทิ้งเปลือกและกระพี้เข้าถึงแก่นได้เลยอย่างที่คุณ jojo ว่าไว้ อันนั้นประเสริฐสูงสุดแล้วครับ โดยคุณ : สันตินันท์ - [9 มิ.ย. 2541 09:26:23]

    ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ย้อนอ่านข้อเขียนของคุณสาธิตแล้วยอมรับนับถือท่านหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องที่ว่าพระไตรปิฎกไม่ใช่พุทธวัจจนะทั้งหมด อันนั้นใช่เลยครับที่พบเห็นมากก็คือพระสูตรบางพระสูตร และพระอภิธรรมบางคัมภีร์เป็นของพระสาวก ทั้งที่เป็นสาวกสมัยพุทธกาล และภายหลังต่อมา ท่านจึงสอนไม่ให้เชื่อคัมภีร์ แม้กระทั่งอาจารย์ แต่ท่านก็สอนให้พิสูจน์เสียก่อนจึงจะยอมรับหรือปฏิเสธด้วยครับ (แต่เราไม่ควรเที่ยวพิสูจน์เรื่องรอง จนลืมพิสูจน์อริยสัจจ์นะครับ)

    สำหรับเรื่องพระที่ท่านพูดถึง คือเจ้าคุณโชติ วัดวชิราลงกรณ์

    เรื่องกายทิพย์จริงๆ ไม่มีหรอกครับ เพียงแต่จิตเมื่อต้องการสื่อสารกับผู้อื่น หรือแสดงตัวเองออกมา มันสามารถสร้างรูปขึ้นมาได้ ไม่ใช่ว่าพอตาย กายทิพย์ออกจากร่างไปเกิดใหม่นะครับ ส่วนเรื่องระลึกชาตินั้น จริงๆแล้วจิตมีคุณสมบัติที่จะเก็บความจำ(สัญญา)บางส่วนไว้ได้ เมื่อจิตสงบในระดับหนึ่งที่ไม่ลึกเกินไปจนถึงระดับฌาน แล้วถ้าจิตนั้นมีความสนใจใคร่รู้ มันจะขุดคุ้ยเข้าไปที่ฐานข้อมูล ผมไม่ทราบว่าตรงนั้นภาษาปริยัติจริงๆ เรียกว่าอะไร แต่พวกนักปฏิบัติมักเรียกว่าภวังค์

    พระอริยบุคคลบางรูปจะระลึกได้มาก แต่คนทั่วไป บางคนพอจะระลึกได้บ้าง แต่จะจำได้เฉพาะเรื่องที่รุนแรงมากๆ เช่นเรื่องที่เคยเป็นใหญ่เป็นโตหรือเคยตกต่ำถูกไล่ฆ่า เป็นต้น

    ผมขอยุติเรื่องเหล่านี้ เพราะมันเป็นดาบสองคมจริงๆ ครับ โดยคุณ : สันตินันท์ - [9 มิ.ย. 2541 09:43:50]

    ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ผมว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่เมื่อท่านถามก็จำต้องเล่าให้ทราบครับ ผมก็สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิธรรมดาแหละครับ ไม่มีพิเศษอะไรเลย ที่จริงแล้วพลังงานที่เปลี่ยนกระดูกนั้นเป็นของท่านเจ้าของครับ ผมเคยสังเกตว่า กระดูกของพระที่มีศีลธรรมมักจะดูหมดจด แม้จะไม่ถึงขั้นเป็นพระธาตุก็ตาม ซึ่งอาจจะเป็นได้ 2 ทางคือ ทางแรกพลังงานของจิตที่บริสุทธิ์ได้ฟอกธาตุให้ขาวขึ้น เพราะเวลาจิตสงบ หรือถ้าจิตรู้ตัวจริงๆ จะมีแสงสว่างออกมามาก มันอาจฟอกร่างกายได้

    อีกทางหนึ่งอาจเป็นเรื่องทางวัตถุ คือคนที่จิตเบิกบานปล่อยวางนั้น ร่างกายมีความสงบสบาย กระดูกเลยสะอาด ส่วนคนอารมณ์ร้าย กิเลสหนา ร่างกายอาจปล่อยสารพิษออกมาก็ได้ กระดูกจึงไม่สะอาด (เช่นคนร้องไห้เพราะทุกข์โศก มักจะตาบวมแดง เพราะมีสารพิษ แต่คนที่น้ำตาไหลเพราะผงเข้าตา ถ้าไม่ขยี้ก็ไม่บวม เคยอ่านหนังสือของหมอเขาว่าพออารมณ์ร้าย ก็มีสารพิษขึ้นในกาย)

    ผมว่าพวกเรามีบุญทุกคนแหละครับที่ได้เจอพุทธศาสนา แล้วสนใจศึกษากัน จะเป็นปริยัติหรือปฏิบัติ ก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเราและต่อศาสนาทั้งนั้น แล้วก็บุญที่ได้มาเจอญาติพี่น้องที่สนใจธรรมในกลุ่มห้องสมุดนี้ด้วย

    โดยคุณ : สันตินันท์ - [9 มิ.ย. 2541 15:29:07]

    ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ผมดีใจที่น้องๆ จะสนใจพิสูจน์พุทธศาสนาให้กระจ่างไปเลย เพราะผมทราบว่า ธรรมชาติของปัญญาชนรุ่นใหม่นั้น ต้องการความชัดเจนอย่างถึงที่สุด การที่สงสัยว่าพระไตรปิฎกเป็นนิทานหลอกเด็ก หรือสงสัยว่ากฏแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด เป็นแค่เครื่องมือทางจริยธรรม หรือสงสัยว่าอภิญญาต่างๆ เป็นแค่การเพิ่มสีสันในพระไตรปิฎก แล้วอาจพาลไปสงสัยพระปัญญาตรัสรู้เข้าในที่สุด มันก็น่าสงสัยจริงๆ ครับ เมื่อก่อนผมก็สงสัยเหมือนน้องๆ นั่นแหละ แล้วก็ลงมือปฏิบัติธรรมเอาเป็นเอาตายเพื่อพิสูจน์ความจริง จนกล้าสรุปว่าพระธรรมคำสอนของท่านถูกต้องแท้จริง อริยสัจจ์นั้นเป็นธรรมที่ไม่มีสิ่งต่อต้าน แม้แต่สิ่งลึกลับ จริงๆ ไม่ได้ลึกลับเลย แค่คนทั่งไปยังเข้าใจไม่ถึงเท่านั้น เหมือนที่เจ้าคุณประยุทธ์กล่าวไว้เปี๊ยบเลย

    มีวิธีปฏิบัติอย่างหนึ่งที่ทำได้ไม่ยากนัก เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานด้วย มีของแถมให้เข้าใจเรื่องภพภูมิ กฎแห่งกรรมและอภิญญาด้วย ที่สำคัญไม่ต้องเข้าสมาธิลึกถึงขั้นฌานด้วย นั่นคือ "จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน" หากแต่ละคนพากเพียร "ดูจิต" ตนเองเรื่อยไป จนอ่านจิตตนเองออกแล้วก็จะอ่านจิตคนอื่นออกด้วย เช่นรู้ว่าจิตของตนมีราคะ โทสะ โมหะ หรือไม่มี รู้ว่าจิตสงบ หรือฟุ้งซ่าน และรู้อารมณ์ทั้งปวงที่กำลังปรากฏ ต่อมาเราแผ่ความรู้สึกให้กว้างขึ้น เราก็จะรู้อารมณ์จิตของคนอื่นได้ด้วย ไม่ยากเลยครับ และเมื่อรู้จิตคนอื่นที่เป็นๆได้แล้ว การจะระลึกรู้จิตคนที่ตายไปแล้วก็ไม่ยาก เพราะคนเป็นกับคนตายมีขันธ์ 5 เหมือนกัน แม้รูปจะไม่มีธาตุ 4 ให้เราเห็นได้ด้วยตา และเราไม่มีทิพยจักษุที่จะดูรูปละเอียด แต่ในส่วนของนามธรรมนั้นเป็นอันเดียวกันเลย เราสามารถรู้ได้ไม่ยาก ถ้าตายแล้วสูญ เขาย่อมไม่มีนามธรรมนั้นเหลืออยู่

    แต่เมื่อดูจิตตนเองเป็นแล้ว อย่าเอาแต่รู้ภายนอกนะครับ งานใหญ่คืองานปลดเปลี้องจิตตนเองออกจากทุกข์

    ผมไปหาทางปฏิบัติที่เอื้อต่อมรรคผลด้วย ที่แก้ความสงสัยด้วย ไม่ต้องทำฌานตรงๆ ด้วย ก็เพราะประโยคของคุณสาธิต "ที่ว่าต้องการเครื่องมือพิสูจน์ ไม่ใช่เพื่อหัวเราะเยาะแต่เพื่อหาความจริง" อันนี้นำมาเปิดเผย เพื่อท้าพิสูจน์พุทธศาสนาครับ

    โดยคุณ : สันตินันท์ - [10 มิ.ย. 2541 09:12:22]

    ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ยินดีด้วยครับคุณ jojo ที่มีปัญญาพาตนพ้นจากทางผิดมาได้

    ผมเห็นว่าสิ่งที่ผมเขียนไว้ยังไม่สมบูรณ์อีกส่วนหนึ่ง คือเมื่อเฝ้าเจริญสติรู้จิตตนเองเรื่อยๆ ไปนั้น อันนั้นดีที่สุดเพราะตรงทางพุทธศาสนา แต่ถ้าจิตเกิดส่งออกรู้ภายนอก บางครั้งอาจเห็นสิ่งที่น่ากลัว ต้องมีหลักให้ดีครับ คือถ้าไม่อยากเห็นมันก็ย้อนกลับมาดูจิตตนเอง หากมันเป็นภาพหลอนที่จิตสร้างขึ้น พอย้อนออกไปดูใหม่มันจะหายไปแล้ว หากไม่หายไป ถ้ากลัวก็กลับเข้ารู้ตัวไว้ ไม่มีอันตราย หรือถ้าจะใจดีแผ่เมตตาก็ได้

    สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่การเจริญสติสัมปชัญญะเฝ้ารู้จิตตนเองเรื่อยๆ ไปครับ เพียงแต่มีผลพลอยได้ในการพิสูจน์ถึงสิ่งอื่นด้วย(เฉพาะคนช่างสงสัย)

    คงจบกระทู้นี้ได้แล้วล่ะครับ เพราะสิ่งที่อยากบอกก็บอกน้องๆ ไปหมดแล้ว นับตั้งแต่ (1) อย่าเชื่อหรือปฏิเสธสิ่งที่ยังพิสูจน์ด้วยตนเองไม่ได้ (2) การเจริญสติปัฏฐานเพื่อความพ้นทุกข์ ในส่วนที่ง่ายต่อการพลิกแพลงมาพิสูจน์ สิ่งที่เราลังเลสงสัยอยู่

    ขอบคุณครับ โดยคุณ : สันตินันท์ - [11 มิ.ย. 2541 08:17:49]

    *กระทู้จากเวบลานธรรมเสวนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...