เรื่องเด่น การสะเดาะเคราะห์

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 เมษายน 2025 at 08:04.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,270
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,703
    ค่าพลัง:
    +26,561
    IMG_8321.jpeg

    การสะเดาะเคราะห์
    (คัดลอกบางส่วนจากเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๕)

    ญาติโยมทั้งหลายต้องเข้าใจว่า คำว่า เคราะห์ คือกรรมเก่าที่เราได้สร้างไว้ในอดีต โดยเฉพาะเศษกรรมจากการละเมิดศีล ๕ กรรมในการละเมิดศีล ๕ นั้น ส่วนใหญ่เราชดใช้ในอบายภูมิมาแล้ว พอมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เหลือในส่วนของเศษกรรม นับไปแล้วก็เหมือนกับเขาตามเก็บดอกเบี้ย ที่จะตามมาทวงพวกเราก็คือเศษกรรมเหล่านี้

    คราวนี้การทำสะเดาะเคราะห์นั้น เราต้องเข้าใจว่า คำว่า สะเดาะ คือทำให้หลุดไป ซึ่งไม่มีวิธีไหนที่ทำให้กรรมดีหรือกรรมชั่วหลุดไปจากเราได้ แต่ว่าในส่วนที่เราทำนั้นก็คือ ในเมื่อมีกรรมชั่วอยู่ เราก็สร้างกรรมดีขึ้นมาบ่อย ๆ

    ถ้าเปรียบกรรมชั่วเหมือนกับน้ำเกลือ เราเอากรรมดีที่เหมือนกับน้ำจืดเติมลงไปเรื่อย ๆ น้ำเกลือไม่ได้ไปไหน แต่ถ้าเติมน้ำจืดได้มากพอ น้ำเกลือก็ไม่สามารถจะแสดงรสเค็มออกมาได้ ดังนั้น...ในเรื่องของการทำความดีหนีความชั่วจึงเป็นเรื่องของเหตุและผลตามปกติ เพียงแต่คนที่เข้าใจเหตุผลอย่างชัดเจน แล้วสามารถชี้แจงต่อคนอื่นก็มีน้อย

    การที่เราจะสะเดาะเคราะห์นั้น หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ ท่านแนะนำไว้หลายประการด้วยกัน

    วิธีแรกเลยก็คือปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยตนเอง ก็แปลว่าถ้าหากว่าเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมอย่างจริง ๆ จัง ๆ ท่านบอกว่าอาศัยบุญใหญ่ที่เราปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น เคราะห์กรรมต่าง ๆ จะตามมาได้ไม่เกิน ๒๕ เปอร์เซ็นต์

    วิธีการต่อไปก็คือให้ถวายสังฆทาน หมายถึงถวายสิ่งหนึ่งประการใด จะมีคุณค่ามากหรือคุณค่าน้อยตามกำลังที่เราหาได้ ที่เรามีได้ ให้แก่สงฆ์ ๔ รูปขึ้นไป นับว่าเป็นสังฆทาน ไม่ว่าจะเป็นขนมชิ้นหนึ่ง น้ำแก้วหนึ่ง ถ้าเห็นพระท่านฉันอยู่ ๔ รูป ถวายเข้าไปตรงกลางก็ถือเป็นสังฆทานไปเลย..

    คำว่า สังฆะ คือหมู่สงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ผู้ใดมาอยู่ในที่นั้นถือว่ามีส่วนในทานนั้นทั้งหมด ในเมื่อพระหนุ่มเณรน้อยทั่วไปมีกินมีใช้ สามารถดำรงรักษาขันธ์นี้เอาไว้ได้ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมจนเกิดมรรคเกิดผล นำไปสั่งสอนให้ญาติโยมทั้งหลายให้ปฏิบัติได้ถูกต้องต่อไป ก็จะยังพระพุทธศาสนาของเราให้เจริญรุ่งเรือง

    สังฆทานจึงเป็นทานค้ำจุนพระพุทธศาสนา มีผลานิสงส์ยิ่งใหญ่กว่าทานปกติเป็นแสนเท่า เมื่อเราสร้างความดีใหญ่ขนาดนี้ ก็ย่อมทำให้หนีกรรมชั่ว ห่างออกไปได้อย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง

    วิธีการต่อไปก็คือ ท่านให้ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า ตรงจุดนี้ถ้าหากว่าท่านมีอุปฆาตกรรมที่เป็นเศษกรรมปาณาติบาตเข้ามาตัดรอนชีวิต ถ้าเราปล่อยให้เขารอดชีวิต เท่ากับเราต่ออายุของตัวเอง แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่มีอุปฆาตกรรมตรงนี้มา การปล่อยให้เขารอดชีวิต ให้เขามีความสุข มีความสะดวกสบาย ถ้าผลบุญนี้มาสนองเมื่อไร ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็จะสะดวกคล่องตัวไปหมด

    วิธีการต่อไป ท่านให้ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น ซึ่งความจริงก็คือการระลึกถึงมรณานุสติ คือรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย

    ดังนั้น...เราจึงไม่ควรประมาท ต้องเร่งทำความดีให้มากเข้าไว้ เพื่อหนทางแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารของเรา จะได้สั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ หรือถ้าสามารถเดินจนสุดทาง หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้เลยก็ยิ่งดี

    วิธีการสุดท้าย ท่านบอกว่าให้จัดงานศพตัวเอง ก็คือทำเหมือนกับว่าเราได้ตายไปแล้ว จัดงานศพให้แก่ตัวเอง นิมนต์พระมาสวดพระอภิธรรม มารับสังฆทาน ทำบุญอุทิศส่วนกุศล บางทีผีก็โง่กว่าที่เราคิด เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเขาตรงไปตรงมา ในเมื่อบอกว่าบุคคลนี้ตายไปแล้ว เขาก็เลิกติดตาม เลิกมาทวง

    แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพเล่าให้พวกเราส่วนใหญ่ฟังไปว่า ที่เขาจะมาเอาเด็กคนหนึ่งอายุ ๑๘ ปี กระผม/อาตมภาพก็เลยเขียนเลข ๑๐ กับ เลข ๘ ต่อกันให้เขาดู (๑๐๘) บอก "นี่..อายุ ๑๘ ต้องเท่านี้" แล้วผีเขาก็ดันเชื่อ ปล่อยให้เด็กคนนั้นรอดไปได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องอยู่จนแก่หงำเหงือกหรือเปล่า !!?

    วิธีการทั้งหลายเหล่านี้ วันนี้เราจะเอามาประยุกต์เข้าด้วยกัน ก็คือจะมีการเขียนชื่อ วันเดือนปีเกิด ใส่ไว้ในโลง สวดพระอภิธรรม มีการบังสุกุลตาย แล้วก็บังสุกุลเป็น เท่ากับว่าญาติโยมทั้งหลายได้ทำการสะเดาะเคราะห์ใหญ่ ด้วยการตั้งจิตตั้งใจฟังในพระอภิธรรม ๗ บท ซึ่งเป็นหลักธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์แล้ว มีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด คือพรหมเทวดาที่ฟังพระอภิธรรม ๗ บท บรรลุมรรคผลไป ๘๐ โกฏิ..!

    สมัยก่อนพระอภิธรรม ๗ บทนั้น ใช้ในงานมงคลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญบ้าน ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน โกนจุก บวชนาค แต่มาในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการนำมาสวดถวายในงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งสวรรคตด้วยเหตุเรือพระประเทียบล่ม ก็เลยทำให้เกิดภาพจำของคนส่วนใหญ่ว่าพระอภิธรรมใช้งานศพ แล้วก็ยึดถือกันสืบ ๆ มา

    สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนแก่พวกเรานั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่วิเศษทั้งหมด ถ้าเราเคารพเลื่อมใสจริง ๆ เข้าถึงเหตุถึงผลจริง ๆ จะรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีผลานุภาพยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่กรรมชั่วใด ๆ จะตามติดได้ เปรียบเสมือนกับแสงสว่าง ซึ่งเป็นข้าศึกของความมืด คือกรรมชั่วทั้งหลายโดยตรง เมื่อแสงสว่างปรากฏขึ้น ความมืดก็ย่อมสลายไป

    เพียงแต่ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงสอนให้บรรดาสาวกทั้งหลายยอมรับกฎของกรรม เพราะว่าถ้าท่านไม่ยอมรับกฎของกรรม ก็ไม่สามารถเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ ตรงนี้ก็เลยทำให้พวกเราไม่ได้ใช้พลานุภาพของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อานุภาพของศีล สมาธิ ปัญญา และอานุภาพต่าง ๆ ที่มีอ้างไว้ในมงคลจักรวาลน้อยหรือว่ามงคลจักรวาลใหญ่ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเรายอมรับกฎของกรรม

    แต่ว่าวันนี้ สิ่งที่เราทั้งหลายทำก็คือ การที่จะมาเจริญพระกรรมฐาน อันดับแรกเลย เห็นพระประธาน คือเจริญในพุทธานุสติ

    อันดับที่สอง เห็นพระสงฆ์ คือเจริญในสังฆานุสติ

    เราทั้งหลายได้รับศีล ๘ ไปแล้วและตั้งหน้าตั้งตารักษา แปลว่าเราเจริญในสีลานุสติ

    แล้วเราจะได้ฟังพระอภิธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือธัมมานุสติ

    ระลึกว่าเราจะถึงแก่ความตายเป็นมั่นคง แปลว่าเราปฏิบัติในมรณานุสติ ตั้งใจว่าถ้าตายลงไป เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว เป็นอุปสมานุสติ

    เราจะสร้างบุญใหญ่มโหฬารหลายต่อหลายประการด้วยกัน ในพิธีการสวดบังสุกุลอัฐิและสะเดาะเคราะห์ในวันนี้ ดังนั้น...สิ่งที่เราทำจึงมีบุญมหาศาล ประกอบกับท่านทั้งหลายก็ยังมีการทำบุญเป็นทานบารมีอีกต่างหาก

    เมื่อรวมกันขึ้นมาแล้ว ก็ย่อมมีกำลังที่สูงพอ พาให้เราหนีห่างจากเคราะห์กรรมที่พยายามจะตามทวงอยู่ ก็แปลว่าสามารถรอดพ้นไปได้ชั่วขณะหนึ่ง จะกี่เดือนกี่ปี ก็แล้วแต่เวรกรรมที่เราสร้างไว้มากน้อยเท่าไร

    ถ้าเรายังเป็นผู้ไม่ประมาท กระทำความดีเหล่านี้ให้ต่อเนื่องไปได้ เราก็สามารถหนีห่างจากเคราะห์กรรมไปเรื่อย จนกระทั่งเราสร้างความดีท่วมท้นล้นกรรมชั่ว เหมือนกับเติมน้ำจืดลงไปจนน้ำเค็มไม่มีรสแล้ว

    ท้ายสุดถ้าเราสามารถทรงกำลังใจของเรา ในลักษณะรู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ไม่เกาะร่างกายตนเอง ไม่เกาะร่างกายคนอื่น ไม่เกาะวัตถุธาตุสิ่งของใด ๆ และไม่เกาะในโลกนี้อีก เราก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้
    ....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...