การฝึกหัดกรรมฐาน หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 1 เมษายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]
    การฝึกหัดกรรมฐาน
    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    ****************


    การฝึกหัดกรรมฐาน เราพากันมาฝึกหัดกรรมฐาน ณ ที่นี่ แต่บางคนก็ยังทำไม่ค่อยจะถูกต้อง ยังไม่ค่อยจะเป็น มาฝึกหัดกรรมฐานก็หัดไปอย่างนั้นแหละ ไม่ทราบว่าจะมีหลักจับเอาที่ตรงไหน ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ น่าเสียดายเวลาล่วงไปเปล่าควรที่จะจับหลักให้ได้ การฝึกหัดปฏิบัติจึงจะเป็นไป ถ้าจับหลักยังได้ก็อยู่อย่างนั้นแหละยิ่งนานไปเท่าไร ยิ่งเลอะเทอะเหลวไหล

    คนเราแก่เข้า ความแก่ความชรามันทำให้ค่อยทรุดโทรมไป จับอะไรมันไม่ถูกสักที คนเราแก่ไม่เหมือนลูกไม้ มะม่วงมันแก่มันสุก มันอร่อยหวานดี๊ดี แต่คนเรายิ่งแก่ยิ่งเปรี้ยวไม่น่ากิน คนเราทุกคนควรจะมองดูตัวของเราว่า มันเปรี้ยวอยู่ตรงไหน มันหวานอยู่ตรงไหน

    คนแก่ก็ปฏิบัติให้สมกับคนแก่ คนหนุ่มก็ช่างเถอะปล่อยไปตามเรื่องของเขาก่อน พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ถืออายุเป็นเกณฑ์ ไม่ใช่อายุมากๆ เรียกว่าเป็นคนแก่ ท่านถือเอาคุณธรรมนั้นได้ชื่อว่าแก่ถูกต้องแก่ดีงาม สุกหวานอร่อย คนแก่ที่ไม่มีคุณธรรมแก่เปรี้ยว มันก็เปรี้ยวนะซี เห็นอะไรวุ่นวายไปหมด ไม่ถูกหู ถูกตาด่ากราดไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เปรี้ยวนะซี คือ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจตน ไม่รู้หลักปฏิบัติใจของตนว่าจะเอาอะไรไปปฏิบัติ นั่นแหละมันเปรี้ยวตรงนั้น เปรี้ยวใครก็ไม่ชอบหวานใครก็ชอบทุกคน

    เข้าไปในบ้านถามชื่อคนสามตาบ้านเธอมีหรือเปล่า (คือ ผู้เห็นพระไตรลักษณ์)
    คนสามขาบ้านเธอมีหรือเปล่า (คือ ยึดในพระรัตนตรัย)
    เข้าไปดงถามถึงไม้ป่า (คือ ไม้หอมแก่นจันทน์แดง)

    พระพุทธเจ้าก็แสดง "โย จ วสฺสสตฺตํ ชีเว อปสฺสํ อุพุพยพ ๕ พยํ" คนมีอายุตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าไม่เห็นความเสื่อมความสิ้นไปของสังขารร่างกายของตน "เอกาหํ ชีวิตํเสยฺโย ปสฺสโต อุพฺพยพฺพยํ" สู้เด็กเกิดมาในวันเดียว แต่เขารู้ความเสื่อมความสิ้นไปของสังขารร่างกายไม่ได้ พระพุทธองค์ทรงแสดงอย่างนี้ เหตุนั้นจึงควรที่จะหาหลักธรรมไว้สำหรับจิตใจของตนดังจะอธิบายต่อไปนี้

    การภาวนาหาหลักจิต หลักใจ คนเรามีจิตมีใจทุกคน แต่ว่าไม่เห็นจิตใจของตนเรียกว่า ไม่มีหลัก เห็นจิตของตนแล้ว ตั้งสติพิจารณาอยู่ที่ใจของตนตลอดเวลา คิดดี คิดชั่วหยาบละเอียดก็ให้รู้ตัว มันก็ไม่สามารถที่จะทำชั่วได้ ถ้าเห็นจิตของตนอย่างนั้น เหตุนั้นจึงให้ตั้งสติ คือ ความระลึกให้เอามาตั้งไว้ที่คำบริกรรมแทนตัวจิต คือ จิตไม่มีตัว ไม่มีตน

    จึงให้เอาคำบริกรรมมาตั้งอยู่จะเป็นพุทโธก็ได้ สัมมาอรหังก็ได้ ยุบหนอพองหนอก็ได้ทั้งนั้น แต่ให้เอาอันเดียวไม่เอามากอย่าง เอาพุทธโธดีกว่า บริกรรมพุทโธให้มันอยู่ที่จิต จิตเป็นคนนึกคนคิดพุทโธ จับตัวนั้นไว้ให้ได้ เมื่อเอาพุทโธมาไว้แล้ว มันจะรวมความคิด ความอ่านทั้งหมดมารวมอยู่กับพุทโธในทีเดียวนึกเอาพุทโธตัวเดียว ให้เห็นตัวนั้นเสียก่อน ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถทั้งปวงหมดอยู่กับพุทโธอันเดียว จิตใจของคนเรามันอันเดียวไม่ใช่หลายอย่าง ที่ว่าหลายอย่างก็เพราะมันเร็วที่สุด เราจับไม่ทัน เมื่อเอาจิตมาไว้พุทธโธแล้ว เราจับพุทโธตัวเดียว เป็นอันว่าเราจับตัวจิตได้แล้ว มันคิดพุทโธ นึกพุทโธ นึกสิ่งใดก็จิตผู้เดียวนั่นแหละ เมื่อความคิดความนึกทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่คำบริกรรมจุดเดียวแล้ว เป็นอันว่าเราจับจิตได้แล้ว ไม่ต้องไปหาจิตที่อื่นอีกแล้ว

    สติ ความระลึกได้ว่า สัมปชัญญะ เป็นผู้รู้ตัวอยู่เสมอว่า เวลานี้เราตามรักษาจิตกันอยู่ ทั้ง ๓ อย่างรวมกันเป็นอันเดียวคือ สติ ๑ สัมปชัญญะ ๑ จิต ๑ มันก็จะวางอารมรณ์อื่นทั้งหมด จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็รู้ตัวและตามรักษาอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าคุ้มครองจิตอยู่ รักษาจิตอยู่ จิตเป็นของเราแล้ว ทำอย่างนี้แหละจึงจะเห็นจิต ถ้าไม่ทำอย่างนี้นะไม่เห็นจิตเลย ปฏิบัติไปเถอะ กี่ปีๆ ก็ตาม ก็จะไม่เห็นจิตเด็ดขาด การปฏิบัตินั้นได้ชื่อว่า ไร้ผล ถ้าปฏิบัติตามแนวนี้จะเห็นจิตทุกคน

    คนเรามีจิตอยู่ด้วยกันทุกคน จิตของตนมีอยู่แต่ไม่เห็นถ้าฝึกหัดปฏิบัติตามดังที่กล่าวแล้วข้างต้นจะเห็นจิตทุกคน ทำอย่างนั้นได้ชื่อว่า ฝึกหัดจิต ทำสมาธิภาวนาเป็น

    การฝึกหัดจิต คือ

    ๑. ให้รู้จักจิต จับจิตได้
    ๒. ฝึกสติ ตามรู้ รักษาจิตจนเห็นจิตของตนอยู่ทุกขณะ เมื่อเห็นจิตแล้ว
    ๓. ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจของเรา จิตคิดอะไร นึกอะไร ส่งส่ายไปไหน มันปรุงแต่งเพียงไร เราอย่าคิดอย่านึก อย่าปรุง อย่างแต่งเสีย จิตมันก็จะนิ่งเฉยอยู่นั่น และฝึกหัดให้เข้าถึงใจได้แล้ว ให้คิดให้นึกก็ได้ ไม่ให้คิด ไม่ให้นึกก็ได้ เรียกว่า เราคุมจิตหรือใจอยู่แล้ว

    วิธีฝึกหัดจิตต้องเป็นอย่างนี้ ใครจะฝึกหัดอย่างไหนก็ตาม อาจารย์องค์ไหนก็ตาม พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็ตาม ต้องฝึกหัดอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ฝึกหัดอย่างอื่นหรอก เมื่อฝึกหัดจิตอยู่อย่างนี้แล้ว มันจะมีเวลารวม เวลารวมเราไม่ต้องไปรวมมันรวมเองของมันต่างหาก จิตรวมนั้นท่านเรียกว่าภวังคจิต แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ

    ๑. ภวังคุบาท จิตรวมลงในขณะเดียวแล้วก็ถอนออกมาลักษณะคล้ายกันกับขณิกสมาธิ คือ ก่อนจิตจะรวมไม่ได้คิดว่าจิตจะรวมหรือไม่ เมื่อจิตรวมแล้วแลถอนออกมาแล้วจึงรู้ ถ้ารู้ว่าจิตรวมอยู่เรียกว่า ขณิกสมาธิ

    ๒. ภวังคจารณะ จิตจะรวมลงไปแล้วมีอาการส่งส่ายอยู่ภายใน ไม่ได้ส่งออกไปภายนอกเหมือนกับคนที่เฝ้าบ้านเฝ้าเรือนแล้วปิดประตูหมด มีแสงไฟสว่างเห็นสิ่งของทั้งปวง ภายในบ้านในเรือน ของภายนอกจะไม่เห็นได้เรียกว่า ภวังคจารณะ

    ๓. ภวังคุปัจเฉทะ จิตรวมเด็ดเดี่ยวลงไป นิ่งแน่วสู่อารมณ์อันเดียว ตัดขาดหมดจากอารมณ์ภายนอก บางทีไม่สามารถที่จะรู้ว่าตนมีหรือไม่ มีแต่ใจเป็นผู้รู้อยู่เท่านั้น

    ภวังคจิตนี้ เรียกตามที่ท่านบัญญัติสมมติตามอาการที่มันเป็นในบางทีผู้ที่ฝึกหัดอย่างที่ว่าเบื้องต้น ตั้งสติควบคุมรักษาจิตอยู่อันเดียวเท่านั้น ไม่ไปไหน บางทีสามารถจะรวมวูบลงไปถึงภวังคุปัจเฉททะเลยวางเฉยไม่ต้องรวมเป็นภวังค์ตามลำดับก็ได้ ที่ท่านอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนนั้น อธิบายให้ฟังเพื่อความเข้าใจต่างหาก แท้จริงไม่ได้บังคับ ถ้าไปมัวถือตามตำราจะไม่เป็นภวังค์เด็ดขาด เหตุนั้นอย่าไปถือ อธิบายให้ฟังเพื่อความเข้าใจเฉยๆ

    ในแถวภวังค์ เรียกว่า ภวังคุบาท ภวังคจารณะและภวังคุปุจเฉทะ คราวนี้แถวสมาธิก็มีขณิกสมาธิ คล้ายๆ ภวังคุปัจเฉทะ คราวนี้แถวสมาธิก็มีขณิกสมาธิ คล้ายๆ ภวังคุปัจเฉทะ ภวังค์เป็นเรื่องของฌาน สมาธิเป็นเรื่องของสมาธิมันแยกกันตรงนั้น

    ขณิกสมาธิ พิจารณาพุทโธ นึกพุทโธอันเดียว บางครั้งมันก็อยู่ บางครั้งมันก็ไม่อยู่ จิตยังไม่แน่วแน่วูบวาบไปมาเรียกว่า ขณิกสมาธิ

    อุปจารสมาธิ จิตแน่วลงอันเดียว แต่มันมีอาการไปๆ มาๆ รู้ตัวอยู่ภายใน แต่ไม่ได้ส่งออกนอก ที่เรียกว่า "ส่งนอก" คืออาการของจิตที่คิดนึกส่งส่าย ปรุงแต่งสารพัดทุกสิ่งทุกประการรอบด้านรอบทิศ โดยไม่รู้ตัวไม่มีสติ "ส่งใน" แต่อุปจารสมาธินี้ไม่เป็นอย่างนั้น มีสติรู้อยู่ แต่ว่ามันยังไม่อยู่นิ่ง ยังคิดพิจารณา เช่น กายคตาสติ อยู่ภายในเป็นการพิจารณาอยู่ภายใน

    อัปปนาสมาธิ จิตรวมเด็ดเดี่ยวแน่วนิ่งลงไป ไม่ได้คิดนึกส่งออก จิตละเอียดเต็มที่เลย จิตละเอียดแค่ไหนๆ ก็รู้สึกอยู่รู้จักเฉยๆ ไม่คิด ไม่พิจารณา เรียกว่า อัปปนาสมาธิ เรื่องภวังค์และสมาธิ เอาเพียงนี้เสียก่อน พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงว่าผู้ใดไม่มีสมาธิ ผู้นั้นไม่มีฌาน ผู้ใดไม่มีฌาน ผู้นั้นไม่มีสมาธิ เมื่อเป็นอันเดียวกันทำไมพระองค์จึงทรงแสดงไว้เป็นสอง ผู้เขียนจึงแยกให้รู้ว่าลักษณะอาการมันต่างกันอย่างไร

    เมื่อจิตรวมลงเป็นอัปปนาสมาธิเต็มที่แล้ว มันจะอยู่สักพักหนึ่งแล้วก็ถอนขึ้นมาอยู่ในอุปจารสมาธิ คิดนึกส่งส่ายแต่ว่าอยู่ภายในขอบเขตของสติ สติควบคุมอยู่ฝึกหัดอยู่อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ในพุทธศาสนานี้ เบื้องต้นของการฝึกหัดจิต คือ การฝึกสติให้รู้ตัว คุม รักษาจิต จิตเมื่อได้รับการฝึกหัดีแล้วจะรวมเข้าถึงอัปปนาสมาธิที่สุดของการฝึกหัดจิตมีเพียงแค่นั้น ไม่นอกเหนือไปจากนั้น ผู้ฝึกหัดจะต้องทำอยู่เสมอๆ เพราะอายตนะ ธาตุขันธ์ของเรามีอยู่ มันจำเป็นที่จะต้องกระทบกระเทือน จะต้องหวั่นไหว จะต้องฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา

    จิต เมื่อถอนออกจากอัปปนาสมาธิแล้วออกมาเป็นอุปจารสมาธิ อาจจะถอนออกไปถึงขณิกสมาธิหรือออกไปนอกขณิกสมาธิก็ได้ ผู้ฝึกหัดปฏิบัติที่ยังไม่ทันชำนิชำนาญสามารถที่จะหลงทางได้ อัปปนาสมาธิยังไม่ใช่ มรรคผล นิพพาน อันนั้นเป็นแต่เพียงฝึกหัดจิตให้ชำนิชำนาญเฉยๆ พอจะหยั่งถึงความวิสุทธิ์ พอจะหยั่งเข้าถึงกระแสแห่งความสงบเยือกเย็นที่เป็นอัปปนาสมาธิเท่านั้น ได้ชื่อว่าจิตใจหยั่งเข้าไปถึงพระพุทธศาสนาที่มั่นคงแล้ว หยั่งถึงกระแสความจริงแท้ทีเดียว หรือจะเรียกว่าอริยบุคคลก็ไม่ผิด

    เมื่อถอนออกจากอัปปนาสมาธิมาเป็นอุปจารสมาธิแล้วจะต้องพิจารณาอะไรให้เป็นเครื่องอยู่ของจิต พิจารณา ธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะสิบสอง ที่มีอยู่ในตัวของเรา ไม่ต้องหนีจากตัวของเรา พระพุทธศาสนานี้ทั้งหมดนอกจาก ธาตุสี่ ขันธ์ห้า และอายตนะแล้วไม่มีที่จะพิจารณา การพิจารณาส่วนปลีกย่อยเล็กๆ น้อย ๆ ออกไปมากมายนั้น เมื่อสรุปใจความรวมแล้วก็จะอยู่ใน ธาตุสี่ ขันธ์ห้า และอายตนะนี้ทั้งนั้น พิจารณาของเหล่านี้ให้มันเห็นจริงตามความเป็นจริงของมัน ธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะสิบสอง ตัวของเราก็มี ทุกๆ คนมีพร้อมหมดแล้วทุกอย่าง เครื่องไม้เครื่องมือของเราที่จะทำงานให้ได้มาซึ่ง ศีล สมาธิ ปัญญา ก็มีแล้วทกุอย่าง พิจารณาลงไปซี

    ธาตุสี่ พิจารณาให้เห็นเป็นธาตุสี่ละซี มันเห็นเป็นคนไป ไม่เห็นของจริงตามเป็นจริงของมัน คนที่ไหน เกิดมาจากธาตุสี่แท้ๆ เราเรียกเอาต่างหากนี่ว่า คน ๆ เราพิจารณาดูซี่อะไรเป็นคน แขน ขา หู ตา จมูก นั้นเป็นคน เขาไม่ได้ว่าคนสักหน่อยเป็นแต่อาการของธาตุสี่ทั้งนั้น

    ยิ่งพิจารณาลงไปก็จะเห็นสภาพว่าอันหนึ่งเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปๆ เท่านั้น ไม่มีมนุษย์ สัตว์บุคคลใครดับ เป็นแต่สภาพสิ่งอันหนึ่งเกิดมาแล้วก็ดับไปเท่านั้น

    ขันธ์ห้า ก็เช่นเดียวกัน ตัวของคนนี้เขาสมมติเรียกว่า คน แต่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติเรียกว่า ขันธ์ถ้าไม่บัญญัติก็เรียกไม่ถูก ขันธ์คือตัวของคนเรานี้ แบ่งออกเป็นอาการ ๕ อย่างตามอาการของมันเป็นอยู่ รูปเป็นรูป เวทนา ความรู้สึกสุขทุกข์ แลเฉยๆ สัญญา ความที่จิตจดจำนั่นนี่ ต่างๆ นานา สังขาร ความที่จิตไปปรุงแต่งนั่นนี่ต่างๆ นานา วิญญาณ ความรู้สึกครั้งแรกของอายตนะภายนอกภายในกระทบกัน ทั้ง ๕ นี้ทำหน้าที่อยู่ที่กายแห่งเดียวกัน รวมเรียกว่า กายกับจิต กายเป็นอาการส่วนหยาบแสดงอาการให้เห็นได้ง่าย จิตเป็นของละเอียดต้องให้บังคับกายให้แสดงออกจึงจะรู้ว่าจิตต้องการอะไร จึงจะรู้

    ในที่นี้ขอเรียกนามธรรมทั้งสี่ นั้นว่า จิต ให้เป็นกายกับจิต เพื่อให้มันสั้นเข้ากายกับจิตนี้พอปฏิสนธิเกิดมาก็ทำงานร่วมกันเรื่อยมา จะจำแนกแจกออกไปเป็นอะไรๆ ก็แยกออกไปจากกายกับจิตนี้ทั้งนั้น เรียกว่าสนิทสนมกันมากทีเดียว เวลาจะแตกดับต่างคนก็ไม่ได้อำลาจากกัน ไปเหมือนกับไม่เคยได้อยู่ด้วยกันมา ตั้งแต่ก่อนเลยนั่นแหละ มิตรชนิดนี้ไม่ควรคบค้าสมาคมเลย

    อายตนะสิบสอง คือ ภายในมีหกได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แยกออกมาจากขันธ์ห้านั่นแหละ ก็ไม่หนีจากกายกับใจเหมือนกัน

    เมื่อภายในมี ๖ แล้ว ก็ต้องมีภายนอก ๖ เป็นคู่กัน คือมีรูปไว้คู่กับตา มีเสียงไว้คู่กับหู มีกลิ่นไว้คู่กับจมูก มีรสไว้คู่กับลิ้น มีกายไว้คู่กับสัมผัส มีธรรมารมณ์ไว้คู่กับใจ มารวมลงที่กายกับใจนี้ แต่พูดออกไปอีกอย่าง คนเราพอตั้งลงที่กายกับใจสองอย่างนี้แล้ว จะใช้ให้เป็นไปอย่างไรก็ได้หมด เรียกว่า หมุนไปตามโลกจนกว่าจะแตกดับสลายจากกัน แต่ถ้าในทางธรรมแล้วจะหยุดนิ่งอยู่กับที่เลย แล้วแต่ใครจะนำไปใช้ในทางไหน จึงต้องหัดพิจารณาให้บ่อยๆ หัดพิจารณากายนี้ให้ชำนิชำนาญ ให้เห็นเป็นธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะ ไม่ใช่ตนไม่ใช่ตัว มันก็สบายเจ็บป่วยก็ธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะเจ็บต่างหาก ไม่สบายก็ธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะไม่สบาย แตกตายก็ธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะต่างหาก

    อธิบายถึงหลักการปฏิบัติ จับหลักให้ได้ จำไว้ให้แม่นเสียก่อนจึงค่อยปฏิบัติฝึกหัดไปตามอย่างที่ได้อธิบายมา จึงจะได้หลักถ้าไม่อย่างนั้น ไม่ได้หลักสักที ชีวิตของเรามันไม่แน่นอนแก่ถึงขนาดนี้แล้วทุกคน ไม่ทราบว่าใครจะไปก่อนไปหลังกันแน่ ใครจะแตกจะดับเมื่อไรก็ไม่ทราบ มันไม่บอกเวลา ให้รีบทำเสียเมื่อยังมีเวลาอยู่ เห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ ได้ยินได้ฟังกันอยู่ก็ให้รีบฟังเสีย รีบทำเสีย ให้มันทันต่อกาลเวลา


    คัดลอกจาก: โพธิญาณ ฉบับ ๔ อริยะ
    ฉบับที่ ๑ ปีที่ ๖ เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๐

    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=4861

    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  2. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำธรรม ดี ๆ มาให้อ่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ยอดเยี่ยมครับ ธรรมแท้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...