โทษละเมิดพระวินัย" โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน โทษของการด่าพระ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 8 กันยายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    โทษละเมิดพระวินัย" โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน โทษของการด่าพระ
    [​IMG]
    มาตอนนี้มาอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเปรตเหมือนกัน ขอเล่าเรื่องไปเลย คือในเขตพาราณสี ท่านกล่าวว่า ยังมีคหบดีผู้มีทรัพย์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เลื่อมใสในพระบวรพระพุทธศาสนา ได้สร้างอารามถวายเป็นที่อยู่ของบรรดาภิกษุสงฆ์อารามหนึ่ง และก็นิมนต์พระภิกษุประจำตระกูลของตนไปเป็นเจ้าอาวาส คราวนั้นก็มีพระภิกษุหลายรูปเดินทางมาจากชนบทแดนไกลและได้เข้าไปขออาศัยพักอยู่ในอาวาสนั้น

    คนทั้งหลายต่างก็มีความยินดี มีความเลื่อมใสศรัทธา ก็พระองค์นี้ท่านมีจริยาดี ก็พากันบำรุงพระภิกษุต่างๆ ต่างถิ่นนะ บำรุงพระภิกษุแขกที่มาจากต่างถิ่น ด้วยจตุปัจจัยปราณีตเป็นอันมาก ทำให้อาคันตุกะ คือพระที่มาจากต่างถิ่นได้รับความสะดวกสบายไม่ขัดสน จึงคิดจะพักอยู่ในอาวาสนั้นนานๆ

    แต่ว่าท่านเจ้าอาวาสเกิดความไม่พอใจ ด้วยคิดไขว้เขวไปว่า ลาภสักการะทั้งหลายเหล่านี้เป็นของเรา เกิดขึ้นในวัดของเรา หากไม่ให้เราแล้วภิกษุเหล่านี้จะคงอยู่ที่นี่ไม่ได้ หมายความว่าถ้าอยู่ที่นี่ก็จะเกิดความไม่สบาย จะไม่ยอมให้อยู่อย่างสบายๆ ถ้าอยู่ที่นี่ ก็จะแย่งลาภไป เราก็จะไม่มีความสุข

    จึงคิดว่าถ้าอย่า อย่ากระไรเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ เราจะต้องให้ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ออกไปเสียจากที่นี่ เมื่อมีอารมณ์คิดริษยาอย่างนี้แล้ว ก็เริ่มดำเนินนโยบายที่จะขับไล่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ออกไปเสียจากอาวาส จึงเข้าไปหาท่านผู้สร้างวัด คือเจ้าของวัด คือคหบดีผู้มีทรัพย์มากแล้วก็กล่าวว่า กล่าวโทษพระอาคันตุกะต่างๆ นานา

    ความจริงพระอาคันตุกะองค์นี้เป็นพระอรหันต์ นี่กรรมหนัก พระอรหันต์หรือพระอริยะนี่ท่านอยู่ที่ไหนสร้างความเลื่อมใสแก่คนมาก เพราะท่านเป็นผู้ไม่สะสม ที่เรื่องก็มีความต่อมาว่า แล้วก็บอกความประสงค์ที่ตนไม่ปรารถนาจะให้พระภิกษุเหล่านั้นอยู่ ท่านคหบดีคนหูเบาเจ้าของวัด

    ครั้นได้ฟังภิกษุของตนมาว่าให้ ก็เชื่อ จึงได้รีบไปยังอาวาส แล้วก็ออกปากขับไล่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นให้ออกไปจากวัดของตน เมื่อเห็นพระสงฆ์ยังไม่ออกไปตามคำสั่ง ก็ยังชักช้าอยู่ก็ด่าบ้าง ว่าบ้าง ตามประสาคนมีโทสะจิต คือมีอารมณ์ร้อน โทสะจริต ด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรมเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

    นี่ด่าเพียงครั้งเดียวนะ ครั้นเขาดับขันธ์ไปถึงแก่ชีวิต คือตายไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นเปรตอยู่ในหลุมแห่งหนึ่ง นี่ด่าหนเดียวเกิดเป็นเปรต ไปอยู่ในหลุมอุจจาระ ต้องทนทุกขเวทนาเป็นเปรตอยู่เช่นนั้น เป็นเวลานาน

    ครั้งหนึ่งพระมหาโมคคัลลานะองค์พระอรหันต์ พระอัครสาวกผู้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเดินผ่านมาทางนั้น เปรตคหบดีผู้มีทรัพย์มากจึงโผล่ขึ้นมาจากหลุมอุจจาระ เพื่อให้พระเถระผู้มีทิพยจักษุเห็น

    ครั้นพระเถระเจ้าเห็นเปรตแล้ว จึงถามว่า นี่ท่านเป็นใคร โผล่ขึ้นมาจากหลุมคูถ ให้เราเห็นเช่นนี้ ท่านร้องครวญครางอื้ออึงทำไม ท่านเคยทำกรรมชั่วอะไรไว้ ตั้งแต่สมัยที่เป็นมนุษย์
    เปรตก็ตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรต เปรตที่ต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัส เพราะทำกรรมชั่วช้าลามกไว้มาก จึงต้องมาเกิดเป็นเปรตในโลกนี้

    นี่ท่านพระมหาโมคคัลานะก็ถามต่อไปว่า ดูก่อนเปรต ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้ หรือว่าด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ได้ทำด้วยกาย กล่าวด้วยวาจา นึกในใจหรือ ผลกรรมชั่วทั้งหลายเหล่านี้จึงได้ประสบแก่ท่านในขณะนี้
    เปรตก็ตอบว่า ท่านเจ้าข้า ในชาติก่อน ข้าพเจ้าเป็นคหบดีผู้มีทรัพย์มาก มีภิกษุรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในวัดที่ข้าพเจ้าสร้างไว้ ท่านมีความประพฤติ ริษยา ตระหนี่ในตระกูล มีใจกระด้าง ชอบด่า ชอบบริภาษ ด่าพระลูกวัด

    ผมถูกมั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้มายกโทษอาคันตุกะภิกษุทั้งหลาย ที่เรือนของข้าพเจ้า หาว่าพระทั้งหลายเหล่านั้นเลว ข้าพเจ้าฟังคำของภิกษุเจ้าอาวาสนั้นแล้ว ก็กลับไปด่าพระอาคันตุกะให้ถอยออกไปจากวัด ผลแห่งกรรมชั่วด่าพระครั้งเดียวเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าจึงต้องมา ตายจากความเป็นมนุษย์ มาเกิดเป็นเปรตในหลุมคูถอย่างนี้

    พระมหาโมคคัลลานะก็ถามต่อไปว่า ดูก่อนเปรต ก็ภิกษุเจ้าอาวาสที่เข้าไปสู่ตระกูล คือภิกษุเจ้าอาวาสองค์นั้น ซึ่งเป็นคนที่มีปัญญาทราม คือไม่มีปัญญาดี เป็นมิตรเทียม ไม่ใช่มิตรแท้ ท่านทำลายขันธ์ตายไปแล้ว ไปสู่ภูมิไหน

    เปรตตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้ายืนอยู่บนศีรษะของภิกษุผู้มีกรรมอันลามกนั้น เธอมาเกิดเป็นเปรตในหลุมคูถ คือหลุมอุจจาระ หลุมเดียวกัน อยู่ที่ใต้เท้าของกระผม เป็นเปรตบริวารของกระผม เป็นเจ้าอาวาสแล้วให้ทายกไปยืนบนหัว ในสมัยที่เป็นเปรต

    ข้าแต่พระคุณเจ้า มนุษย์ทั้งหลายพากันถ่ายมูตรถ่ายคูถลงมาในหลุมคูถนี้ คือถ่ายอุจจาระและปัสสาวะมา อุจจาระและปัสสาวะทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นอาหารของข้าพเจ้า และเมื่อข้าพเจ้ากินอุจจาระแล้วถ่ายอุจจาระออก สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไหลลงไป เปรตเจ้าอาวาสเก่าก็กินอุจจาระของข้าพเจ้าอีกทีหนึ่งเป็นภัตตาหาร

    เมื่อพระมหาโมคคัลานะเถระเจ้าได้สดับคำ ของเปรตทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ก็มีใจกรุณา แต่ทว่าไม่รู้จะทำประการใด พูดได้ยังไง เมื่อกรรมของเขาทำอย่างนั้น เป็นอันว่า ท่านก็กล่าวคำอำลาแล้วก็เดินทางต่อไป

    เอาล่ะ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย จงจำไว้ให้ดีนะ ว่าการบวชเข้ามาในพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ อย่าถือเอาผ้าเหลืองเป็นเครื่องกันตัว มันจะมีโทษหนัก ทั้งนี้เพราะอะไร ก็ดูตัวอย่างเปรตทั้งหลายเหล่านี้ที่เล่ามา เรื่องนี้ผมไม่ได้แต่งขึ้น มีมาในพระไตรปิฎก คือในพระวินัยปิฎก

    หากว่าท่านทั้งหลายมีความสงสัยใคร่อยากจะทราบว่ามีจริงหรือไม่จริง ก็ขอบรรดาท่านทั้งหลายไปพิสูจน์เองในพระวินัยปิฎกเล่มหนึ่ง มีอยู่แล้ว นี่เป็นกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายที่อุปสมบทบรรพชาเข้ามา เห็นท่าว่าจะทนไม่ไหวก็รีบสึกไปซะก่อน

    ข้อสำคัญในเรื่องระเบียบวินัย

    เรื่องระเบียบเรื่องวินัยมีความสำคัญ และการทะนงตัวจงอย่ามีแก่ท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้มีสติใช้ปัญญาพิจารณาเสมอ จงอย่าทำอะไรตามอารมณ์ที่เราคิดว่ามันดี ก่อนที่คิดประเภทนี้ก็ต้องดูซะก่อนตามระเบียบ สิ่งที่สำคัญก็คือ

    ๑. จรณะ ๑๕ ต้องปฏิบัติให้ครบถ้วน
    ๒. บารมี ๑๐ ต้องมีอารมณ์ให้ครบถ้วน
    ๓. อิทธิบาท ๔ ต้องมีครบถ้วน
    ๔. พรหมวิหาร ๔ ต้องครบถ้วน
    ๕. กำจัดนิวรณ์ให้ได้
    ๖. ทรงฌานให้เป็นปกติ
    ๗. เห็นธรรมดาของขันธ์ห้า

    สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาซะแล้ว ก็ต้องขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาเพื่อนสหธรรมิกทุกท่านที่รับฟัง

    สวัสดี
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...