สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน ทำไมจึงต้องกำหนดเอาการดื่มสุราเข้าไว้ในศีล 5 ด้วย..?"

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 26 สิงหาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    สู่แสงธรรม กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอน ทำไมจึงต้องกำหนดเอาการดื่มสุราเข้าไว้ในศีล 5 ด้วย..?"
    [​IMG]
    "...โดยพื้นฐานของจิตใจที่แท้จริงแล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ชอบช่วยเหลือคนมาตั้งแต่เด็ก อาทิเช่น ช่วยติวหนังสือให้เพื่อนๆ ที่เรียนไม่ค่อยเก่ง ช่วยเหลือครูในการปรามเพื่อนๆ ที่เกเร อีกทั้งช่วยเหลือกิจกรรมส่วนรวมของทางโรงเรียนตลอดมา ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา หรือแม้แต่ในโรงเรียนนายร้อย จปร.

    และแม้เมื่อออกมารับราชการก็ให้การช่วยเหลือต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อนข้าราชการและญาติ สนิทมิตรสหาย ในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเรื่องการเงินการทองการให้อภัยแก่ผู้คน หรือแม้แต่การอบรมสั่งสอนชี้แนะให้เดินทางที่ถูกที่ควร ดังนั้นว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ข้าพเจ้ามีความเมตตากรุณา ต่อคนและสัตว์มาแต่ไหนแต่ไรแล้วพอสมควรทีเดียว

    ด้วยเหตุนี้เมื่อข้าพเจ้านำคำสอนของหลวงพ่อมาพิจารณาดู จึงไม่มีความหนักใจในการสร้างทานบารมีเลย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุทาน สังฆทาน อภัยทาน หรือแม้ธรรมทาน และเมื่อลองตรวจ ศีล 5 ดูในข้อแรก "ปาณา" ห้ามฆ่าสัตว์นั้นสบายมาก เพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่รักสัตว์ สงสารสัตว์อยู่แล้วฆ่าไม่ได้แน่ๆ

    ในข้อที่สอง "อทินนา" ห้ามลักขโมยทรัพย์สิน ของผู้อื่นก็ยิ่งง่ายใหญ่เพราะข้าพเจ้าเกลียดนักเกลียดหนาในเรื่องนี้ และเคยประณามผู้ที่ลักขโมยเสมอมาว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวแก่ได้ เบียดเบียนผู้อื่นที่เขาเอาแรงกายแรงใจเข้าแลกกว่าจะหาเงินหาทองมาได้ แล้วจู่ๆ ไอ้พวกนักลักมาฉวยโอกาสขโมยของเขาไปง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง

    ในข้อที่สาม "กาเม" ผิดลูกผิดเมียคนอื่น ก็ผ่านไปได้เลยเพราะเรื่องเช่นนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดของข้าพเจ้า ด้วยเห็นเป็นเรื่องที่น่าละอายมาก

    และในข้อที่สี่ "มุสา" ห้ามพูดโกหกในข้นอี้ตอนแรกๆ ข้าพเจ้าก็ยังหวั่นๆ ใจอยู่บ้างไม่ค่อยจะแน่ใจนักว่าจะรักษาข้อนี้ได้หรือไม่เพราะในการอบรมผู้ใต้บังคับบัญชาบางครั้งก็ต้องล่อหลอกกันบ้าง เพื่อให้เขากลัวในการยักยอกของหลวง หรือขู่กันบ้าง เพื่อมิให้เขาประพฤติตนออกนอกลู่นอกทาง

    แต่เมื่อข้าพเจ้าทุ่มความสนใจไปในการศึกษาค้นคว้าหาหนังสือธรรมะอ่านมากมาย ก็เข้าใจว่าการพูดไม่ตรงต่อความจริง ด้วยเจตนาให้ผู้ฟังเกิดกำลังใจที่จะประพฤติดีประพฤติชอบก็ดี เปลี่ยนการกระทำจากร้ายเป็นดีก็ดี มิได้เข้าข่ายผิดศีลข้อมุสา เพราะเป็นการพูดที่มิได้หลอกลวงให้เขาเสียซึ่งทรัพย์สินเงินทอง เสียเกียรติยศชื่อเสียงหรือเสียผู้เสียคน ดังนั้นศีลข้อมุสาจึงสอบผ่านไปได้ ไม่น่าหนักใจสำหรับข้าพเจ้าอีกต่อไป

    แต่ศีลข้อที่ห้าคือ "สุรา" นี่ซิมันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของข้าพเจ้าจริงๆ โดยเฉพาะสำหรับชีวิตในต่างจังหวัด ซึ่งขาดแคลนทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นบาร์ คลับ โรงหนัง โรงละครทุกเย็นบรรดาเพื่อนๆ ก็ชักชวนกันมาตั้งวงกินเหล้าอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าเป็นที่สนุกสนาน อย่าว่าแต่จะคิดเลิกเลย แม้เพียงข้าพเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยเพียงแค่วันสองวันบรรดา คอเหล้าก็โวยวายกันแล้ว หนำซ้ำเพื่อนคอเหล้าที่เป็นหมอ แทนที่จะสั่งยาให้ข้าพเจ้ากิน กลับเขียนใบสั่งยาว่า

    “แม่โขงหนึ่งแบน ผสมยาจีนร้อนๆ 1 กา วันละ 3 มื้อก่อนอาหาร” อีกด้วย

    ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงหนักใจนัก อีกทั้งคิดเข้าข้างตัวเองว่าการที่ข้าพเจ้าดื่มสุรา ความจริงก็หาได้ทำให้ใครเดือดร้อนไม่ เงินที่ซื้อหามาก็เป็นเงินของข้าพเจ้าเองมิได้เบียดเบียนใคร จะดื่มจะกินก็ดื่มกินในบ้านของข้าพเจ้า มิได้เกะกะระรานทำให้ใครต้องเดือนร้อน

    ผิดกันกับศีลอีก 4 ข้อ "ปาณา" "อทินนา" "กาเม" และ "มุสา" ซึ่งประพฤติปฏิบัติแล้วผู้อื่นเข้าเดือดร้อน ทำไมและอะไรกันนักหนา จึงต้องเอาสุราเข้าไปอยู่ในศีล 5 กับเขาด้วย เรื่องเลวรายอย่างอื่นอีกตั้งมากมาย ทำไมจึงไม่คัดเอามาบรรจุไว้แทนสุราเล่า?

    เมื่ออัดดั้นตันใจและสงสัยเรื่องนี้อยู่ ข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเขียนไว้แล้วนี้ให้หลวงพ่อฟัง แล้วเน้นถามว่า

    “หลวงพ่อครับ ผมก็ไม่เห็นว่าสุราจะเลวร้ายอะไรนักหนา ทำไมจึงต้องเอามากำหนดเข้าไว้ในศีล 5 ด้วยเล่าครับ?”

    “ไอ้สุรานี่แหละ..ตัวร้ายที่สุดละคุณ..! เพราะมันเป็นตัวทำลายสตินะ หากดื่มเข้าไปแล้วจะทำให้ขาดสติ และทำลายศีลทั้ง 4 ข้อแรกได้ทั้งหมดเลยนะ เป็นยังไง...ดูคุณอาลัยอาวรณ์มากจริงนะ” หลวงพ่อตอบและเย้าข้าพเจ้า

    “ก็เป็นบ้างครับ แต่ผมสงสัยว่าสุราจะไปทำลายศีลทั้ง 4 ข้อแรกได้อย่างไรครับหลวงพ่อ?” ข้าพเจ้ารับอ่อยๆ

    “อ้าว..ก็ดื่มแก้วแรก แก้วสอง แก้วสาม ก็ยังคุยกันได้เป็นเรื่องเป็นราวสนุกสนานครื้นเครงดี พอแก้วที่สี่ที่ห้าชักหน้าตึง หูตึง ลิ้นไก่สั้น เสียงเริ่มดัง ใครเก่งทางใดก็เริ่มอวดลวดลาย คุยอวดความเก่งกล้าสามารถของตัว บางรายก็ชักแสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการเคี้ยวแก้วเล่นก็มี บางรายก็ถอดถุงเท้าของตัวเองลงในแก้ว แล้วนั่งดื่ม

    บางรายก็ร้องไห้ หากมีการพูดผิดหูกันขึ้นอาจถึงขั้นมาการท้าดวล ยิ่งโต๊ะข้างเคียงไม่ถูกกันมาก่อนพูดจาแขวะกันไปแขวะกันมาก็ขาดสติ ยั้งคิด ถึงขั้นฆ่ากันตาย ก็ผิดศีลปาณาขึ้นมาด้วย ขาดสติใช่ไหม?

    และถ้าคุณเมามายขาดสติ แล้วเกิดไปหยิบฉวยข้าวของมีค่าเช่นปากกาปลอกทอง หรือนาฬิกาของเพื่อนฝูงที่เมาด้วยกันติดไม่ติดมือกลับบ้าน หรือทำเงินที่เขาฝากมาหายไป แล้วพอได้สติก็หาใช้เขาไม่ได้ ก็เป็นการผิดศีลอทินนาเข้าอีก หรือถ้าคุณเกิดเมามายขาดสติกลับเข้าบ้าน เกิดไปสะดุดสายมุ้งมุดเข้าไปหลับนอนกับใครที่มิใช่เมียของคุณก็ผิดศีลกาเมเข้าไปอีก

    หรือถ้าในขณะที่คุณเมามายขาดสติ เกิดไปรับปากสัญญาอะไรกับใครเขาไว้แต่พอวันรุ่งขึ้นเมื่อสร่างเมาคุณก็ลืมเสียสิ้นปล่อยให้เขาต้องเสียเวลาไปรอคอยก็ดี หรือผิดหวังที่คุณผิดสัญญาในเรื่องที่คุณรับปากไว้ก็ดี ก็ผิดศีลมุสา อีกใช่ไหม? นี่แหละฉันจึงว่าสุรานั้นเป็นตัวทำให้ขาดสติและทำลายศีลทั้ง 4 ข้อแรกได้หรือคุณว่าไม่ใช่?” หลวงพ่ออธิบายแล้วย้อนถาม

    “ผมก็เห็นด้วยตามที่หลวงพ่อพูดทุกอย่างแหละครับ จึงหาหนทางป้องกันไว้ทุกแง่ทุกมุม เช่นจะดื่มก็ให้มาดื่มกันที่บ้านผม เป็นการหลีกเลี่ยงการมีเรื่องราวกับคนภายนอก มิหนำซ้ำผมจะเลือกชวนเฉพาะเพื่อนสนิทที่ชอบสนุกสนานจริงๆ เท่านั้น คือพอเมาก็ร้องเพลงกันไปตามเรื่องตามราว พวกที่เมาแล้วชอบหาเรื่อง ผมไม่ชวนมาร่วมลงหรอกครับ จึงตัดเรื่อง "ปาณา" ไปได้

    ในเรื่อง "อทินนา" ก็เช่นกัน จะหยิบอะไรติดไม้ติดมือกันไปบ้างก็แค่ไม้ขีด ไฟแช็ค หรือปากกาที่หาค่าไม่ได้

    ยิ่ง "กาเม" แล้วที่บ้านผมมีผู้หญิงคนเดียวคือเมีย ส่วนมุ้งที่อยู่ข้างล่างเป็นมุ้งของพลทหารรับใช้

    จะมีที่เข้าข่ายเห็นจะเป็น "มุสา" นั่นแหละครับ เพราะตอนเมานัดกันจังเลย แต่พอหายเมาแล้วลืมหมด แต่ต่างฝ่ายต่างลืมนะครับ” ข้าพเจ้าตอบและพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง

    “เอ๊ะ..ไม่เลวนี่ แต่ป้องกันไม่ตลอดหรอกนะ อย่างน้อยดื่มเหล้ามีกับแกล้ม และกับแกล้มนั้นแม้คุณไม่ได้ทำเอง มิได้ฆ่าเองแต่ถ้าหากสั่งให้ผู้อื่นทำแล้วมีการฆ่าเกิดขึ้น คุณก็หนี "ปาณา" ไม่พ้นอยู่ดีนะ

    หรือแม้การหยิบฉวยไม้ขีด ไฟแช็คก็ดี ปากกาที่ไม่มีราคาค่างวดตามที่คุณว่าก็ดี ย่อมทำให้เจ้าของเขาเสียผลประโยชน์เหมือนกัน เพราะเขาเคยได้ใช้ แล้วไม่ได้ใช้เพราะสูญหายไปอยู่ที่คุณ ก็ผิดศีล "อทินนา" ด้วยนะ ฉันคิดว่าคำพูดของฉันคุณเข้าใจแล้วทั้งหมด แต่แสร้งดันทุรันไปอย่างนั้นเอง

    ส่วนที่ว่าคุณดื่มอยู่ที่บ้านของคุณ แล้วไม่ได้ทำให้ใครเขาเดือดร้อนนั้นก็หาจริงไม่ เพราะการร้องรำทำเพลงของบรรดาขี้เมากลุ่มคุณหาได้ดังอยู่เฉพาะในตัวบ้านของคุณไม่ หากมันดังไป 3 บ้าน 8 บ้าน ยิ่งดึกดื่นเที่ยงคืนผู้คนอื่นเขาจะได้นอนหลับพักผ่อนอย่างผาสุก ก็กลับต้องมาทนฟังเสียงเพลงจากนักร้องขี้เมา ที่หาความไพเราะเสนาะหูไม่ได้เลย

    แม้เขาจะไม่มายืนด่าอยู่หน้าบ้านคุณ แต่เขาก็สาปแช่งอยู่ในใจนะ ไม่เป็นสิริมงคลเลยนะ นอกจากนั้นเมียของคุณเล่าก็จะต้องอดหลับอดนอน คอบเก็บกวาดล้างถ้วยล้างชามหลังจากที่วงเหล้าเลิกราแล้ว ส่วนคุณซึ่งเป็นคนหางานให้เมียทำ กลับมุดเข้ามุ้งนอนหลับสลบไสลเพราะความเมา มันควรแก่การน่าละอายบ้างไหม คุณลองไปนั่งคิดพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกันนะ”

    หลวงพ่อพูดและเมื่อเห็นข้าพเจ้านั่งคอตกตั้งใจฟังอยู่ ก็พูดต่อว่า
    ”ความจริงแล้ว การดื่มสุรานั้นมันไม่เฉพาะแต่ทำให้ชาวบ้านและลูกเมียของคุณเดือดร้อนเท่านั้นนะ หากแต่ตัวของคุณเองนั่นแหละจะเดือดร้อนหนัก ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ก็อาจเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคกระเพาะ โรคไต โรคตับแข็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง แอลกอฮอลิสซึ่มหรืออัมพาตได้นะ

    และเมื่อตายไปหากเกิดเป็นมนุษย์ในชาติหน้าก็จะต้องรับกรรมอีก กล่าวคือ ถ้าดื่มน้อย เกิดมาก็จะเป็นคนที่มีอาการปวดศรีษะ วิงเวียน มึนงง อยู่ตลอดกาลรักษาไม่หายขาด ถ้าดื่มขนาดกลางเกิดมาก็จะเป็นโรคประสาท และถ้าดื่มขนาดนั้น เกิดมาก็จะเป็นวิกลจริตหรือคนบ้าทีเดียวนะจำไว้

    เอ้อ..ทางที่ดีเอาอย่างนี่ซิ ใน 2-3 วันนี้ฉันขอให้คุณร่วมวงสุรากับเพื่อนๆ เช่นเดิม แต่คุณอย่าดื่มนะหากเพื่อหากคุณก็บอกไปว่าไม่สบาย หมอห้าม หรือไม่ก็บอกว่ารับปากฉันไว้ ผิดสัจจะไม่ได้ คุณจะทำได้ไหม?”

    “ผมรับปากครับหลวงพ่อแล้วหลังจากนั้นเล่าครับ?” ข้าพเจ้ารับปากแล้วถาม

    “คุณก็มาเล่าให้ฉันฟัง ถึงเหตุการณ์ในวงสุราของคุณซิ ว่าคุณมีความรู้สึกอย่างไร? ส่วนหลังจากนั้นคุณจะไปดื่มกินกับเพื่อนของคุณอีกก็เป็นเรื่องของคุณ” หลวงพ่อพูด

    ข้าพเจ้าเมื่อรับปากกับหลวงพ่อแล้ว ก็ปฏิบัติตามโดยขอตัวเพื่อน ๆ ไม่ยอมดื่มจริงๆ แต่อยู่พูดคุยร่วมวงด้วยเหมือนเดิม และคอยอำนวยความสะดวกให้ แม้จะถูกคะยั้นคะยอจากเพื่อนๆ สักเพียงไร ข้าพเจ้าก็ยืนกรานไม่ยอมดื่ม แก้วแล้วแก้วเล่าผ่านไปบรรดาเพื่อนชักเริ่มเมา บางคนก็เริ่มคุยอวดศักดาความเก่งกล้าของตน อีกคนก็คุยบ้างยกตัวเองเข้าข่มว่า ตนนั้นยิ่งแน่กว่า

    ข้าพเจ้าซึ่งมิได้เมาด้วยชักเกิดความรำคาญ และมองเพื่อนๆ เหล่านั้นเหมือนคนแปลกหน้า ในใจคิดสมเพชเวทนาว่า คนเหล่านี้เก่งเฉพาะตอนเมาแท้ๆ เวลาไม่เมาก็แหยๆ และไม่กล้าเผชิญหน้าต่ออะไรเลยทั้งสิ้น มีแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่คอยรับหน้าคุ้มครองให้ พอเหล้าเข้าปากกลับกลายเป็นคนเก่งทั้งนั้น

    เวลาผ่านๆไปเพื่อนๆ ก็เมามายมากขึ้น ส่งเสียงร้องเพลงกันลั่นไปหมด ข้าพเจ้าชักหนักใจยิ่งนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อขึ้นมา ด้วยก็ยิ่งเกิดเกรงใจชาวบ้านข้างเคียง เพราะบ้านที่อยู่เป็นเรือนแถวเสียด้วย อีกทั้งเวลาขณะนั้นก็ 5 ทุ่มกว่าแล้ว ข้าพเจ้าจึงเลี่ยงลงจากบ้านแล้วเดินผ่านห้องข้างเคียงไปจนสุดเรือนแถว และแม้ออกไปจนถึงถนนใหญ่ เสียงนักร้องขี้เมาจากบ้านข้าพเจ้าก็ยังดังลั่นเกินกว่า 3 บ้าน 8 บ้านเสียอีก

    เมื่อข้าพเจ้ากลับขึ้นบ้าน เพื่อนขี้เมาบางคนก็หันมาพูด พร้อมกับเรอเอิ้กอ้ากกลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้ง จนข้าพเจ้าแทบจะทนไม่ได้ ยิ่งมองดูกับแกล้มกลางวงมันมีสภาพเหมือนมิใช่คนกินจริงๆ ตามขอบจานตามพื้นมีชิ้นส่วนอาหาร และน้ำแกงหกเรี่ยราดคิดในใจว่า นี่เราร่วมกินเหล้ากับเขาเหล่านี้มาได้อย่างไรกันหนอ..!

    ในคืนนั้นกว่าเพื่อนขี้เมาของข้าพเจ้า จะเลิกราได้ก็ประมาณเกือบตี 1 โดยบางรายก็เดินโซเซร้องเพลงกลับ บางรายก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับแต่กว่าจะตั้งตัวได้ก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายตลบทีเดียว เมื่อส่งเพื่อนๆเสร็จ ข้าพเจ้าก็ขึ้นบ้าน เข้าช่วยภรรยาและทหารรับใช้เก็บถ้วยชามไปล้างทำความสะอาดพื้น โดยเฉพาะระเบียงหน้าบ้านสกปรกมาก เพราะมีบางคนมาอาเจียนทิ้งไว้

    จิตใจของข้าพเจ้าในตอนนั้นเกิดความรักและสงสารภรรยาเป็นที่สุดที่ทนลำบาก อดหลับอดนอนทำทุกอย่างเพื่อข้าพเจ้าตลอดมา โดยมิได้ปริปากบ่นสักคำ พอกันทีเพียงครั้งเดียวที่ข้าพเจ้ามิได้ดื่มเหล้า และทนนั่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนร่วมแก๊งขี้เมาก็สุดแสนที่จะทนได้เสียแล้ว

    และในคืนนั้นเองข้าพเจ้าก็ตั้งปณิธานไว้โดยแน่ชัดว่า นับแต่บัดนี้ไปข้าพเจ้าจะเลิกดื่มสุราโดยเด็ดขาด และข้าพเจ้าก็ปฏิบัติได้มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งยังความปลื้มปิติยินดีแก่ภรรยาและบุตรของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง

    สำหรับเหตุการณ์ในวงสุรานั้น ข้าพเจ้าก็ได้เล่าให้หลวงพ่อฟังโดยละเอียดรวมทั้งบอกความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นและความตั้งใจโดยเด็ดเดี่ยวที่จะเลิกดื่มด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็ยินดีและให้กำลังใจว่า

    “มันถึงเวลาของคุณแล้วนั่นเอง จึงทำให้คุณเกิดความรังเกียจที่จะดื่มสุราต่อไป และบัดนี้ทางเดินเข้า..สู่แสงธรรม..ของคุณสว่างแล้วนะ จงตั้งใจเดินไปเถิด”

    ท่านผู้อ่านที่รัก..เคยสงสัยในปัญหาข้อนี้เช่นข้าพเจ้าบ้างไหมครับ? ถ้าเคยสงสัยมา ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำตอบของหลวงพ่อกระจ่างชัดแล้วนะครับ...
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     
  2. Takanit

    Takanit สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวให้ฟังครับ
    สาธุครับ

    เรื่องนี้ในช่วงแรกก่อนที่จะเลิกกินผมก็เป็น มีสารพัดข้ออ้าง
    แต่เมื่อกลับมาคิดพิจารณาดู ก็รู้สึกว่าตอนดื่มเรามีสภาพแบบนี้บ้าง
    ไม่เห็นประโยชน์ในสุรา มีแต่โทษ แม้จะเลิกมาได้เพียงประมาน 6 เดือน
    แต่ก็ตั้งมั่นว่าจะเลิกแล้วละครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...