สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด! สร้าง" พุทธวจน " ปลอม

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 7 กรกฎาคม 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    บรรดาสาวกอ้าง พุทธวจนสถาบันนำรายได้จากการขายของในร้านพุทธกาลไปเผยแผ่ศาสนาโดยพิมพระไตรปิฏก พิมหนังสือและCD แจก วัดนาป่าพงไม่เคยเก็บเงิน เจตนาเผยแผ่คำสอน ไอ้พวกที่มาคัดค้านนี่แหละตัวทำลายศาสนา ไปดูลัทธิจานบินโน่นเขามีเงินหลายหมื่นล้าน ไปโค่นมันเลย ทำได้มั้ย

    ลองฟังก่อนดีไหม อาจถูกใส่ความข้างเดียว
    ใช้หลักกาลามสูตร
    ลองมองสังคมรอบๆตัว ว่า ดีหรือไม่ดี ยังไง
    บางคนก็ โอเว่อร์ เกินไป ไม่เป็นทางสายกลาง
    ทำความเพียร ที่ไร้ผล การ รักษาธรรม ที่จริงแท้คืออะไร พระพุทธเจ้าสอนให้รักษาพระธรรม และ เผยแผ่ธรรมะอย่างไร

    อย่างทางสายกลาง ไม่โอเว่อร์ จน ทำลายสิ่งที่ดี


    ---------------------------------------------------------------------
    ตนควรรู้ควรเช็คเพราะว่าตนต้องรู้ว่าเหล่าบริษัทนั้นควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไรในการไปจัดงานอีเวนท์อะไร?ที่ไหนอย่างไร? งานต้องบริสุทธิ์ แต่นี่ก็อ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทางฝ่ายบริหารระดมทุนจัดการหาเงินเอง ออ ถ้าอย่างนั้นก็คือไปแสดงธรรมเพื่อแสวงหาลาภโดยที่ตนเองก็ไม่รู้ว่าเขาจัดงานกันอย่างไรบ้าง นี่คือข้อแก้ตัว และแสดงถึงสติปัญญาในการเอาตัวรอดแล้ว โบ้ยความผิดไปให้เหล่าสาวกบริษัทของตนเอง ว่าจัดการกันเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง น่าฟังขึ้นนะ ทั้งๆที่หลักฐานมันเยอะมากที่แสดงว่ามีส่วนรู้เห็น และยินดีในการกระทำนั้นด้วยอย่างมาก จนออกมาแก้ต่างแก้ตัวว่ามีเจตนาเผยแผ่ศาสนาจากการขายของจิปาถะฯลฯ
    ไม่เอาเจตนา เอาความถูกต้อง แม่ขโมยนมไปเพื่อให้ลูกกินยังถูกจับขังคุก พระสกปรกมีทิฏฐิชั่วปล่อยไปได้ที่ไหน? ไหนล่ะความยุติธรรม
    มันควรจะแก้ที่ตนเอง ไม่ใช่ไปหาเรื่องสำนักอื่น ของตนมีผลเสียมากกว่า สำนักอื่น เพราะสร้างสัทธรรมปฎิรูป ยังมาแถเป็นปลาไหล

    ถึงเวลา ผู้มี ปฎิสัมภิทา ๔ และ ปาฎิหาริย์ ๓ ปรากฎตัว อย่าว่าแต่สำนักไหนเลย แม้แต่นิกายที่แยกแตกไป จักรวมกันเป็นหนึ่งได้ คนเรียนรู้แต่งูๆ ปลาๆ จะรู้ดีรู้ชั่วอะไร ว่าทำอะไรคือผลเสียแก่พระพุทธศาสนา ถ้าคิดว่าถูก จะมาดิ้นทำไม ปล่อยไปสิ เดี๋ยวก็รู้เอง ที่นี่ไม่มีความเห็นใจใดๆให้กับผู้กระทำผิด แม้นผิดเองก็ไม่เคยยั้ง นั่นหรือวิธีเผยแผ่ ที่ทรงตรัสสอนศาสนา ขายของ หาทุน นั่นเหรอ พุทธวจน อัปปรีย์ อัปมงคลแท้ แล้วบอกไม่ต้องสร้างพระ แต่ขายของแจก สร้างหนังสือ ก็หนังสือ ห่วยๆ ทำกันเอง ไม่ถามความเห็นชอบสงฆ์ในสังฆมณฑล ชื่อเจ้าชายสิทธัตถะก็ตัดออก มั่วไปหมดสารพัด บอกเผยแผ่ศาสนา ไหนๆแล้ว บอกมันลงทุนกับโรงงานไปเลย ผ้า อนามัย พุทธวจน ให้สาวกที่เป็นผู้หญิงมันใช้ กางเกงใน ยกทรง ร้องเท้า อะไรๆก็จัดไป สากกะเบือยันเรือรบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2015
  2. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    842
    ค่าพลัง:
    +301
    เห็นว่าหลายท่านรู้สึกไม่ค่อยสบายใจก็เลย อยากแทรกระหว่างกลาง (ถือว่าพักยก) ที่จริงผมนี้ก็อ่านมาบ้างเหมือนกันขอสรุปให้ฟังดังนี้นะครับ ไอ้ที่เรียกเปลือก กะพี้ ก็อย่างไปใส่ใจนักเลยครับ ไม่มีฉบับไหนสมบูรณ์ 100 %หรอกนะครับเพราะพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เขียน สาวกทั้งนั้นมาเขียนกัน ยิ่งพระสุตตันฯ โอ้ยพระเจ้าใครเคยอ่านบ้างก็คงพอทราบดีผมไม่อยากจะติเตียน แต่เชื่อว่ามีหลายคน ต้องประหลาดใจเมื่อได้อ่านบางพระสูตร เอาเป็นที่แน่ๆแท้ๆก็คืออริยสัจย์สี่ อันนี่ของแท้ทั้วโลกยอมรับ จับประเด็นตรงนี้แหละ อย่างเร็วเจ็ดวัน อย่างกลางเจ็ดเดือน อย่างช้าเจ็ดปี เห็นผลแน่นอน ชัวร์ไม่ได้โม้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2015
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    สร้างของ และ แอบอ้างลิขสิทธิ์ ขายของเขา เอาแค่ทางโลกพอ อันนี้เรียกอะไร?

    แล้วคนซื้อ ถูกหลอกให้ซื้อของปลอม หลงเชื่อ จ่ายเงินซื้อ เรียกว่าอะไร ?

    แอบอ้างว่าเป็นของพระพุทธเจ้า แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ สวมรอยย้อมแมวออก
    มาขาย นี่เรียกว่า อะไร?


    ของที่เอาไปใช้โดยการกล่าวตู่ว่าเป็น สิ่งของตามพุทธวจนะที่ทรงประทานอนุญาต แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เป็นของมงคล หรือ อัปมงคล?


    ในทางสงฆ์คงไม่ต้องวิสัชนามากนะครับ

    คึกฤทธิ์ มันปาราชิกไปนานแล้ว


    ถ้าไปบอกชาวบ้านว่า นี่น่ะ เราจะแอบอ้างว่าเป็นของพระพุทธเจ้ามานะ เราจะทำสิ่งแอบอ้างว่าเป็นของพระองค์มาขาย พวกเราจะซื้อกันเองนะ ถือว่ารู้กันสมยอมกัน ใช้ของที่แอบกระทำการลับหลัง แอบอ้างว่าเป็นคำสอนของพระองค์มาซื้อขายกัน ถึงทำอย่างนี้ก็ตาม ก็ยังผิดอยู่ดี และผิดต่อพระพุทธเจ้าท่านด้วย ถ้าไม่เข้าใจ ผมถือว่า ผมอธิบายได้เพียงเท่านี้ เอาไว้ รอคุณเป็นเจ้าของกิจการมีสินค้า มีชื่อเสียง อย่างใด อย่างหนึ่ง แล้วมีคนแอบอ้างชื่อคุณไปทำธุรกิจแบบนี้ แบบUFUN หรือแชร์ลูกโซ่ ฯลฯ คุณจะรู้เองครับ ว่ามันผิดหรือมันถึงจะเข้าใจ จะให้อธิบายถึงขนาดนี้ ก็ยังว่าไม่ผิดอะไร? ผม BYE ล่ะกันครับท่านอัยการสูงสุด

    แต่ว่า อยากให้อยู่รอ ธาตุทัณฑ์ มากกว่า จะได้เป็นตัวอย่าง จงอยู่รอดให้ถึงวันนั้นเถอะ!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2016
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ปาราชิก สิกขาบทที่ ๒ ว่าด้วยการลักทรัพย์ที่เขาไม่ได้ให้
    พระบัญญัติ อนึ่ง ภิกษุใดถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้….(มีเนื้อหาเหมือนอนุบัญญัติ)
    อนุบัญญัติ อนึ่ง ภิกษุใดถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว (ให้) ประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย ดังนี้ ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้


    ๑) ที่มาของพระบัญญัติ สิกขาบทนี้มีพระธนิยะเป็นต้นบัญญัติ (อาทิกัมมิกะ) โดยเรื่องมีอยู่ว่า ท่านพระธนิยะได้ทำกุฎิหญ้าอาศัยอยู่ในป่า เวลาท่านไม่อยู่ถูกพวกชาวบ้านมาขโมยรื้อถอนเอาหญ้าของท่านไปหลายต่อหลายครั้ง ต่อมาท่านจึงได้นำดินมาขยำเป็นโคลนทำกุฏี จากนั้นจึงได้นำหญ้าไม้และโคมัย (มูลโค) มาเผากุฏีนั้น กุฏีเมื่อเผาสุกแล้วก็มีสีสวยงามมาก (สีเหมือนหม้อดินเผา) พระพุทธองค์ได้ตำหนิการกระทำของพระธนิยะนั้นว่า ไม่เหมาะสมไม่ควรทำ ไม่ใช่กิจของสมณะ เพราะการกระทำนั้นได้เบียดเบียนทำลายสรรพสัตว์เล็กๆ ไปเป็นอันมาก และเพื่อมิให้ภิกษุทั้งหลายทำตามอย่างนั้น พระองค์จึงสั่งให้ภิกษุไปทุบทำลายกุฏีนั้นของพระธนิยะเสีย

    ส่วนพระธนิยะเมื่อถูกพระพุทธเจ้าห้ามทำกุฏีด้วยดินแล้ว จึงคิดจะสร้างกุฏีด้วยไม้แทน (เพราะถ้าจะทำกุฏีหญ้าอีก ก็เกรงว่าชาวบ้านจะมารื้อเอาหญ้าไปอีก) ดังนั้นท่านจึงได้เข้าไปขอไม้หลวงจากเจ้าพนักงานรักษาไม้ในวัง แต่เจ้าพนักงานตอบว่าไม้ไม่มีจะถวายให้ มีแต่ที่เก็บไว้ซ่อมแซมพระนครในคราวจำเป็นเท่านั้น ถ้าพระคุณเจ้าต้องการ ต้องไปบิณฑบาตจากพระราชา (พระเจ้าพิมพิสาร) เอาเองเถิด ฝ่ายพระธนิยะเมื่อเจ้าพนักงานพูดเช่นนั้น จึงตอบไปว่า พระราชาได้พระราชทานให้แล้ว ดังนี้ ฝ่ายเจ้าพนักงานได้คิดว่า พระคุณเจ้าเป็นผู้มีศีล เป็นผู้สงบคงจะไม่กล้าพูดเล่น พระราชาคงจะพระราชทานให้จริง ดังนี้แล้ว ได้ให้ไม้เหล่านั้น ท่านพระธนิยะได้สร้างกุฏีหลังใหม่ด้วยไม้หลวงเหล่านั้น ต่อจากนั้นมาได้มีคณะผู้ตรวจราชการหลวงมาตรวจราชการไม่เห็นไม้หลวง เรื่องจึงแดงขึ้น เจ้าพนักงานรักษาไม้นั้นถูกจับไปสอบสวน ส่วนพระธนิยะเมื่อทราบเรื่องจึงได้เข้าไปในวังเพื่อแก้ข้อกล่าวหาด้วย ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารเมื่อทราบเรื่องจึงได้ตรัสกับพระธนิยะว่า “พระคุณเจ้าบอกว่าโยมได้ถวายไม้นั้นให้แล้ว เนื่องจากโยม (พระราชา) มีธุระมากมีภาระกิจมากจนจำไม่ได้ ระลึกไม่ได้ว่าได้ถวายไม้ให้พระคุณเจ้าตั้งแต่ครั้งใด ? พระธนิยะได้ตอบว่า “พระองค์ระลึกได้ไหม ! ตั้งแต่ครั้งพระองค์ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติใหม่ๆ พระองค์ได้เปล่งพระวาจาเช่นนี้ว่า หญ้า ไม้ และน้ำ ข้าพเจ้าถวายแล้วแก่สมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย ขอสมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย โปรดใช้สอยเถิด ดังนี้” ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสารครั้นได้สดับคำของพระธนิยะเช่นนั้น จึงตรัสว่า “โยมระลึกได้แล้ว (แต่) คำของโยมนั้นหมายถึง หญ้า ไม้และน้ำ ที่มีอยู่ในป่า ไม่มีใครหวงแหน ซึ่งพระสงฆ์และพราหมณ์ผู้มีศีลเป็นที่รักใคร่ต่อการศึกษาย่อมรู้จักและพึงใช้สอยไม้เหล่านั้น แต่พระคุณเจ้าได้ใช้เล่ห์เพื่อนำไม้ที่เขาไม่ได้ให้ไปใช้ โยมจะพึงฆ่าหรือจองจำหรือเนรเทศ ซึ่งสมณะได้อย่างไร นิมนต์ท่านกลับเถิด ท่านรอดตัวไปได้เพราะเพศบรรพชิตแล้ว แต่อย่าได้ทำอย่างนี้อีก” ดังนี้ แล้วได้ส่งพระธนิยะกลับไป


    ความเรื่องนี้ทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประชุมพระสาวกแล้วได้บัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุนำเอาของที่เขาไม่ได้ให้มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป ผู้ใดเอาไปต้องปาราชิก หลังจากทรงบัญญัติสิกขาบทนั้นแล้ว พระฉัพพัคคีย์ได้ไปลักเอาห่อผ้าของช่างย้อมผ้ามาจากป่า แล้วถูกพวกภิกษุติเตียน พวกภิกษุฉัพพัคคีย์จึงตอบว่า สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัตินั้น คือห้ามเฉพาะของในบ้าน ไม่รวมถึงป่าด้วย ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติเพิ่มเติม (อนุบัญญัติ) อีก ให้รวมไปถึงในป่าด้วย ดังนั้น ความตอนหนึ่งว่า “…อนึ่ง ภิกษุใดถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้….จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี …ต้องปาราชิก หาสังวาสมิได้”

    ๒) สารัตถะในทุติยปาราชิก เป้าหมายของอทินนาทานสิกขาบทนี้ มีรายละเอียดลึกซึ้งและซับซ้อนมาก โดยเฉพาะในคัมภีร์บาลีอรรถกถาฎีกา ยิ่งมีรายละเอียดซับซ้อนมากขึ้น สารัตถะสำคัญของสิกขาบทนี้ ทรงมุ่งหมายให้พระภิกษุเป็นคนซื่อตรง ให้เป็นเนื้อนาบุญเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนอย่างแท้จริง ดังนั้น พระภิกษุสงฆ์ควรจะต้องมีความบริสุทธิ์แห่งศีล เป็นคนปฏิบัติซื่อตรง (อุชุปฏิปนฺโน) ไม่มีมายาสาไถยหรือเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ภิกษุใด ตนเองเป็นอย่างหนึ่ง แต่แสดงอาการให้คนอื่นรู้อีกอย่างหนึ่ง (อาการแห่งมายา - เจ้าเล่ห์) การบริโภคปัจจัยสี่ ของเธอ เป็นการขโมยบริโภค เป็นเช่นเดียวกันกับนายพราน ผู้ล่อลวงดักสัตว์กิน มีภิกษุจำนวนมาก ผู้มีกาสาวพัสตร์พันคอ แต่เป็นผู้มีธรรมทาน ไม่สำรวม ย่อมเกิดในนรก เพราะ บาปกรรมนั้น ผู้ทุศีล ไม่สำรวมบริโภคเหล็กที่ร้อนเป็นเปลว ยังดีกว่าบริโภคก้อนข้าวของชาวเมือง"

    ดังนั้น พระภิกษุสงฆ์จะต้องมีความบริสุทธิ์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เพราะผู้ที่บวชเป็นภิกษุแล้ว ย่อมไม่ถือเอาของ ๆ ผู้อื่น ที่เขาไม่ได้ให้ ด้วยจิตคิดจะขโมย (อทินนาทาน) โดยที่สุดแม้แต่เส้นหญ้า (อนฺตมโส ติณเสลากํ อุปาทาย) หากภิกษุใด ถือเอาของที่เขาไม่ได้ให้ ราคาบาทหนึ่ง หรือ เกินกว่าหนึ่งบาท ภิกษุนั้นไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อพระศากยบุตร (อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย) ท่านเปรียบเหมือนใบไม้เหลือง หล่นจากขั้ว แล้วไม่อาจกลับเป็นเขียวสดได้อีก พระพุทธองค์ทรงประสงค์ให้พระภิกษุเป็นผู้บริสุทธิ์ ในเรื่องนี้จริง ๆ ให้น่าเคารพนับถือ เชื่อถือได้ สมกับที่ชาวบ้านเคารพกราบไหว้ เชิดชูเลี้ยงดูปัจจัยสี่ มิให้เดือดร้อน ดังนั้นจึงทรงมีนโยบาย มิให้ภิกษุสะสมทรัพย์สินเงินทอง แม้จะได้มาโดยชอบธรรม ยิ่งเป็นของที่เขาไม่ได้ให้ด้วยแล้ว แม้แต่เส้นหญ้า ก็ไม่ควรถือเอา (อนฺตมโส ติณสลากํ อุปาทาย)

    ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้พระสงฆ์มีความประพฤติซื่อตรงทั้งต่อหน้าและลับหลัง เพื่อเป็นเนื้อนาบุญดังกล่าว จึงทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อฝึกหัดขัดเกลาอย่างลึกซึ้ง ถึงกับมีพระวินัยบัญญัติละเอียดให้พระสงฆ์จะบริโภคสิ่งของใดๆ จะต้องได้รับประเคน คือ ได้รับมอบถวายให้ถึงมือจริงๆ จึงจะสามารถฉันสิ่งของต่างๆ ซึ่งพระวินัยข้อนี้ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ ได้เคยกล่าวไว้ว่า “ประเพณีวินัยข้อนี้ ได้สร้างศักดิ์ศรีให้กับภิกษุสงฆ์ ในพุทธศาสนาเป็นอันมาก แต่ฆราวาสบางคน ก็รู้สึกรำคาญ เมื่อไปเลี้ยงพระที่มีอาหารมาก ๆ พระเอง บางรูปก็เคร่งในเรื่องนี้ จนน่ารำคาญเหมือนกัน เช่น เมื่อเขาประเคนอย่างหนึ่งแล้ว เอื้อมมือไปหยิบอย่างอื่นประเคน มือไปกระทบกับสิ่งที่ประเคนแล้ว โดยไม่เจตนา ก็บอกให้เขาประเคนใหม่ ความเกินพอดี ในพระบางรูป บางพวกก่อความเดือดร้อนแก่ตน และ ผู้อื่นอยู่เนือง ๆ อันที่จริงเรื่องนี้ควรคำนึกถึงความพอดี เพราะความพอดีนั้นดีเสมอ" (มตฺตญฺญุตา สทา สาธุ)” "


    แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้มุ่งหวังพระนิพพานแต่มุ่งหวังลาภสักการะ ย่อมมีปฏิปทาที่แตกต่างกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ปฏิปทา ของผู้หวังลาภเป็นอย่างหนึ่ง ปฏิปทา ของผู้มุ่งนิพพานเป็นอีกอย่างหนึ่ง (เป็นคนละอย่าง) ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า รู้อย่างนี้แล้ว ไม่พึงยินดี ไม่พึงเพลิดเพลิน ในเรื่องสักการะ พึงพอกพูนให้มากซึ่งความวิเวก" แต่หากเป็นคนเจ้าเล่ห์ไม่ซื่อตรงแล้ว ทำมายาให้น่าเชื่อถือ ดังมีเรื่องเล่าไว้ในกุหชาดก ว่า ดาบสผู้หนึ่ง เป็นที่เคารพเลื่อมใสของกฎุมพี (ผู้มีทรัพย์, ผู้มีอันจะกิน) ครอบครัวหนึ่งมารับอาหารที่บ้านกฎุมพีทุกวัน เป็นเวลาหลายปี กฎุมพีได้ทองมาลิ่มมาแท่งหนึ่ง นำไปฝากดาบสไว้ โดยขุดหลุมฝังไว้ใกล้อาศรม คิดว่าปลอดภัยกว่าอยู่ที่บ้าน ต่อมาดาบสเกิดความโลภ อยากได้ทองคำแท่ง จึงไปบอกลากฎุมพีว่า จะไปอยู่ที่อื่น เพราะ อยู่ที่นั่นนานมาแล้ว ธรรมดานักพรตไม่ควรอยู่ที่เดียวนาน กฎุมพีอ้อนวอนให้อยู่ด้วยความเลื่อมใส แต่ก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งไว้ได้ ดาบสเดินออกจากเรือน ด้วยอาการสำรวม เป็นพิเศษ กฎุมพีออกมาส่ง เพิ่มพูนความเลื่อมใสยิ่งขึ้น ขอร้องให้กลับมาอีก ในโอกาสอันควรแล้วกลับเข้าบ้านไป

    สักครู่หนึ่ง ดาบสเดินกลับมา กฎุมพีดีใจ ถามว่า ท่านมีอะไรจะสั่งอีกหรือ? ดาบสบอกว่า เมื่อเดินออกไป เส้นหญ้าจากชายคาหล่นมาติดอยู่ที่ชฎา จึงเอามาคืน ธรรมดานักพรต ไม่ควรถือเอาของผู้อื่น แม้เพียงเส้นหญ้าแล้วจากไป กิริยาอาการ ของดาบสได้เพิ่มพูนความเลื่อมใส ปิติปราโมทย์ แก่กฎุมพีเป็นอย่างมาก พร้อมอุทานว่า "พระคุณเจ้าของเรา ช่างสำรวมระวัง และ ขัดเกลาดีจริงหนอ" ขณะนั้น มีบุรุษผู้เป็นบัณฑิต ท่านหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นพฤติกรรมดาบสแล้ว ถามกฎุมพีว่า ได้ฝากอะไรไว้กับดาบสบ้างหรือไม่? กฎุมพีตอบว่า ได้ฝากทองไว้แท่งหนึ่ง "ท่านรีบตามดาบสไปเถอะ ช้าหน่อยทองจะหาย" "ท่านคิดอย่างนั้นกับพระคุณเจ้าได้อย่างไร?" กฎุมพีถามกึ่งไม่พอใจ กึ่งสงสัยกึ่งกังวล "เคร่งเกินเหตุ คงจะซ่อนความชั่วไว้ภายใน เอาความเคร่งออกบังหน้า" บัณฑิตตอบ"แต่ท่านรีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทันกาลกฎุมพีรีบไป เจอดาบสขุดทองได้เรียบร้อยแล้ว กำลังเตรียมหนี จับได้คาจอบคาเสียม กฎุมพีจึงได้ตาสว่างขึ้น ได้เห็นแจ้งในคำของบัณฑิต ที่เตือนให้เขารีบตามดาบสมา

    ดังนั้นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จะต้องมีความซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย จึงทรงบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงรจนาไว้โดยย่อในวินัยมุข เล่ม ๑ เกี่ยวกับเรื่องการถือกรรมสิทธิ์ ทรงรจนาไว้ตอนหนึ่งว่า "การถือเอาทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์ กำหนดว่า ถึงที่สุด ด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ ตัวอย่างเช่น ภิกษุกล่าวตู่ เพื่อจะเอาที่ดินของผู้ใดผู้หนึ่ง เจ้าของเป็นผู้มีวาสนาน้อย เถียงไม่ขึ้น ทอดกรรมสิทธิ์ของตนเสีย ภิกษุต้องอาบัติถึงที่สุดในขณะนั้น ถ้าเจ้าของยังไม่ปล่อยกรรมสิทธิ์ ฟ้องภิกษุในศาลเพื่อเรียกที่ดินคืน ต่างเป็นความแก้คดีกัน ถ้าเจ้าของแพ้ ภิกษุต้องอาบัติถึงที่สุด ภิกษุเป็นโจทก์ฟ้องความเอง เพื่อจะตู่เขา ที่ดินก็เหมือนกัน แต่คำว่า เจ้าของแพ้ความนั้น พึงเข้าใจว่า แพ้ในศาลสูงสุด เป็นจบลงเท่านั้น เพื่อจำง่ายควรเรียกว่า ตู่”


    ทรัพย์ตามความหมายในสิกขาบทนี้มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น วิญญาณกทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่มีวิญญาณครอง เช่น มนุษย์ และสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น หรือ อวิญญาณกทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณครอง ได้แก่ แก้ว แหวน เงิน ทอง เป็นต้น และไม่ว่าทรัพย์นั้นจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม เช่น อยู่ในบ้าน อยู่ในน้ำ ฝังดินไว้ หรือแม้แต่แขวนไว้ตามต้นไม้ เป็นต้น ก็ตาม ถือว่าเป็นทรัพย์ต้องห้าม ถ้าภิกษุถือเอาด้วยอาการแห่งขโมย ทรัพย์ทุกอย่างอาจทำให้ภิกษุต้องอาบัติได้ทั้งนั้น การถือเอาด้วยอาการแห่งขโมยนั้น เรียกว่า อวหาร ซึ่งมาจากศัพท์ว่า อว + หาร + (อว = ลง ในทางที่ไม่ดี + หาร = การนำไป ) เมื่อรวมกันแล้ว ก็แปลว่า การลัก การขโมย เป็นต้น ท่านจำแนกไว้ ๑๓ ลักษณะ คือ ลัก ชิงหรือวิ่งราว ลักต้อน แย่ง ลักสับ ตู่ ฉ้อหรือฉ้อโกง ยักยอก ตระบัด ปล้น หลอกลวง กดขี่หรือกรรโชก ลักซ่อน อวหารทั้ง ๑๓ ประการนี้ ถ้าภิกษุลงมือทำด้วยตนเอง เรียกว่า สาณัตติกะ คือ การทำความผิดด้วยตนเอง แต่ถ้าสั่ง คือให้ผู้อื่นทำแทนตน เรียกว่า อาณัตติกะ ต้องอาบัติเพราะสั่งให้เขาทำ และต้องอาบัติในเวลาที่ผู้รับคำสั่งนั้นไปลักทรัพย์หรือทำอวหารได้ของมา ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สิกขาบทนี้เป็นทั้งสาณัตติกะ และ อาณัตติกะ คือ ทำเองก็ต้อง สั่งผู้อื่นทำก็ต้องเหมือนกัน

    เรื่องที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวินิจฉัยไว้ในวินีตวัตถุ มีทั้งหมด ๑๕๓ เรื่อง เช่น เรื่องช่างย้อม ภิกษุพระฉัพพัคคีย์ รูปหนึ่งลักห่อผ้าของช่างย้อม เกิดความรังเกียจว่าตนต้องอาบัติปาราชิกแล้ว จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสว่าพวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว และเรื่องนำแก้วมณีล่วงด่านภาษี มีบุรุษคนหนึ่งนำแก้วมณีราคาแพงเดินทางไกลไปกับภิกษุรูปหนึ่ง ครั้นเห็นด่านภาษีแกล้งทำว่าเป็นไข้ ฝากห่อของของตนไว้กับภิกษุโดยที่ภิกษุไม่รู้ว่ามีของหนีภาษีซ่อนอยู่ด้านใน เมื่อเดินทางพ้นด่านภาษีไปแล้ว ขอห่อของคืนพร้อมกับบอกพระภิกษุว่าตนไม่ได้เป็นไข้ แต่ต้องการหนีภาษี ภิกษุนั้นเกิดความรังเกียจว่า ตนต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสตอบว่าภิกษุผู้ไม่รู้ ไม่ต้องอาบัติ จากตัวอย่างในวินีตวัตถุ แสดงให้เห็นว่า ในสิกขาบทนี้ เป็นสจิตตกะ คือ จะต้องมีเจตนาจึงจะเป็นอาบัติ ซึ่งเกณฑ์ในการปรับอาบัติในสิกขาบทนี้ คือ ในการตัดสินว่าภิกษุถือเอาทรัพย์เช่นไรต้องอาบัติ เช่นไรไม่ต้องอาบัติ หรือทรัพย์เช่นไรเป็นข้อห้าม สำหรับภิกษุนั้นท่านให้ถือเอาหลักวินิจฉัยเกี่ยวกับทรัพย์นั้นด้วยอาการ ๕ อย่าง เหล่านี้ คือ
    ๑) ทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน
    ๒) มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน
    ๓) ทรัพย์มีค่าได้ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสกนั้นขึ้นไป
    ๔) มีไถยจิตปรากฎขึ้น (จิตคิดจะลัก)
    ๕) ภิกษุทำทรัพย์ (นั้น) ให้เคลื่อนจากฐาน
    ถ้าพร้อมด้วยอวหาร ๕ อย่างนี้ ในขณะที่ภิกษุลูบคลำทรัพย์นั้นต้องทุกกฏ ขณะทำให้เคลื่อนไหวต้องถุลลัจจัย เมื่อทำทรัพย์นั้นให้พ้นจากที่ตั้ง หรือเคลื่อนจากฐาน ต้องปาราชิก ส่วนในข้อ ๓ นั้น ถ้าทรัพย์มีค่า ๑ มาสก (หรือน้อยกว่า) ต้องทุกกฏ มีค่า ๒ - ๓ - ๔ มาสก ไม่เกินนี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้ามีค่า ๕ มาสกขึ้นไป ต้องปาราชิก

    วิเคราะห์ของที่ทำให้ ภิกษุผู้ลัก เป็นปาราชิก ที่ว่า ๑ บาท (เป็นเงินตรา) ราคาเท่า ๑ บาท หรือ เกิน ๑ บาท (ปาทารหํ วา อติเรกปาทํ วา) เล็งว่าเป็น สิ่งของซึ่งจะต้องตีราคา คำว่า ๑ บาท ในสมัยพุทธกาลนั้น ๕ มาสก เป็น ๑ บาท ๕ บาท เป็น ๑ กหาปณะ คิดเป็นมาตราทองคำ คือ ทองคำหนัก ๔ เมล็ดข้าวเปลือก เท่ากับ ๑ มาสก ๕ มาสก เท่ากับ ๑ บาท เพราะฉะนั้น ๑ บาท จึงเท่ากับ ทองคำหนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก ยี่สีบคูณสี่ เท่ากับ แปดสิบ ทองคำหนัก ๘๐ เมล็ดข้าวเปลือก ๑ กหาปณะ เป็นราคาเงินไทย เวลานี้เท่าใด ๑ บาทขึ้นไป อันเป็นวัตถุแห่งปาราชิกนั้น คิดเป็นราคาเงินไทยเท่าใด ถ้าขโมยเงิน หรือ ขโมยของต่ำกว่า ๑ บาท ลงมา อาบัติก็ต่ำลงมา คือ ๒-๔ มาสก เป็นอาบัติถุลลัจจัย (หยาบ) ตั้งแต่ ๑ มาสก ลงมาเป็นทุกกฏ (ไม่ดี ไม่งาม ไม่เหมาะ ไม่ควร ทำชั่ว)

    ในสิกขาบทนี้ ลักษณะที่ภิกษุไม่ต้องอาบัติมี ๘ ประการ คือ ๑) ภิกษุถือเอาด้วยเข้าใจว่าเป็นของตน ๒) ภิกษุถือเอาด้วยความคุ้นเคยกันหรือถือเอาด้วยวิสาสะ• ๓) ภิกษุถือเอาด้วยเข้าใจว่าเป็นของยืม ๔) ภิกษุถือเอาของผู้ตายหวงแหน เว้นแต่จะมีผู้รับมรดกต่อ ๕) ภิกษุถือเอาของที่สัตว์หวงแหน เช่น เสือกัดเนื้อตาย ถือเอาบางส่วนมาทำเป็นอาหาร ๖) ภิกษุถือเอาด้วยบังสุกุลสัญญา คือเข้าใจว่าเป็นของที่เขาทิ้งแล้ว ๗) ภิกษุเป็นบ้า ๘) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2016
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    https://www.facebook.com/100008055215611/videos/1615629925382166/?hc_location=ufi

    " อันนี้เราทำของตามพระสูตร ตามพุทธวจน ให้คนได้เอาไปเป็นที่ระลึก เอาไปบูชา" แต่เอาตังค์มาแล้วเอาของไป

    แต่พระเครื่องพระพุทธรูปรูปปั้น ไม่ต้องสร้างเพิ่ม เพราะไม่สามารถนำไประลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนได้อย่างสินค้าที่มีราคา ลงขายตามสื่อพุทธวจน

    คิดแบบถูกต้องเลยนะครับ สมมุติไปเลยว่าตอนนี้ พระองค์ก็ทรงประทับอยู่ และคึกฤทธิ์ได้กระทำการลับหลังพระองค์ คิดออกไหม?ครับ นั่นล่ะครับ เต็มๆ


    ผมไม่แปลกใจหรอกทำไมสำนักนี้จึงอื้อฉาวมาก และคึกฤทธิ์ทำไมจึงวิสัชนาธรรมได้มั่วซั่ว เพราะมันต้องอาบัติปาราชิกนานแล้ว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการครองเพศพรหมจรรย์ และการเจริญในพระสัทธรรม ที่มีอยู่ในสำนักนั้นคือตาลยอดด้วนและร่างกายที่มีซากสังขารที่รอวันเน่า หลอกเหล่าสัตว์ไปลงนรก
    https://th.wikisource.org/wiki/พระว...-_วิเคราะห์ปาราชิก_เป็นต้น_-_วิเคราะห์ปาราชิก

    คงคิดออกนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2016
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เคสคึกฤทธิ์ปิดบัญชี

    หิ่งห้อยน้อยแสง อย่างผมนี้ ได้แค่แสดงอาบัติที่เป็นอาบัติปาราชิกเขาไปแล้วครับ ถึงไล่ได้ ก็หนีออกนอกประเทศไปอยู่สาขาอื่นเหมือนเดิม รอ กรรมครับ เรื่องปาราชิกน่ะ แน่นอนไปแล้ว ลองคึกฤทธิ์เป็นพระแบบ บ้านๆที่เราเคยเห็นที่เขาจับสึกกันบ่อยๆ น่ะไปนานแล้วครับ แต่นี้ ฐานกำลังมันมีมาก ลูกศิษย์ลูกหา ลูกหมาตาบอดมันเยอะ! แต่ก็นั่นล่ะครับ มันไม่สามารถขยายฐานได้อีก มีแต่จะลดน้อยลง ก็เพราะท่านทั้งหลายที่ชี้แจงผิดถูกตามความเป็นจริง สาธุธรรมขออนุโมทนาบุญฯด้วยครับ อยากให้มันมีชีวิตอยู่จนกว่าจะเกิดผู้มีปาฎิหาริย์ ๓ ผู้เฝ้าสวนมะม่วงกึ่งพุทธกาลครับ เจอดีแน่

    แม้ยังไม่นับว่าเป็นนิกายโดยตรงโดยสมบูรณ์แต่ก็ได้ถูกยอมรับจาก เบ๊ในสำนักที่นั่น ลัทธินิกายนี้ แม้จะเข้าไปแทรกแซง ทั้งภาครัฐและเอกชนอยู่ก็ตาม แต่ก็ถูกเพ่งเล็งอยู่ครับ เขารอจังหวะฟันเอาอยู่ กระแสสังคมนิยม เมื่อรู้ความจริง เขาก็ตีตัวออกห่างครับ แค่เรื่องข้าวของเครื่องใช้ที่ทำมานี่ แอบอ้างว่าได้รับตามอนุญาตมา ก็พ้นจากความเป็น พระแล้วครับ เป็นเคสหลอกลวงเพื่อให้ได้มา ตามเคสตัวอย่าง พระหลอกกษัตริย์ เช่นพระธนิยะอ้างพระราชาอนุญาตเรื่องลักไม้ หลอก อ้าง ได้ของ ขาดทันที รอครับ มี บุคคลแบบพิเศษๆ อยู่สำหรับศาสนาพุทธ ถึงเวลาก็ปรากฎมาเองครับ


    แต่นี่มันหลอกชาวบ้านชาวเมืองโดยอ้างถึง พระธรรมราชา ว่าพระธรรมราชาทรงอนุญาต

    สุดๆของความจัญไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2016
  7. ZUTE

    ZUTE สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    ผมเลือก พุทธวจน ไม่ต้องให้ใครมาคิดแทน ฟังดูหาข้อมูล และปฎิบัติดู ชีวิต ความคิด มีแต่ดีขึ้น ปล่อยวางไปได้เยอะ
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เชิญตามสบาย พระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนานี้ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าความหมายสำหรับผู้รักและสนใจใส่ใจ และมีบุญพลานิสงส์ เป็นความเจริญงอกงาม ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและบั้นปลายต่อผู้ฉลาดในธรรมเพียงเท่านั้น

    คงจะไปบังคับใครคนไหน ใครที่มีจริตธรรมหรือสติปัญญา ที่ไม่ครอบคลุมกว้างขวาง รู้ต้น รู้กลาง รู้บั้นปลายไม่ได้ ไม่ใช่ฐานะ ที่บุคคลนั้น จักสำเร็จประโยชน์ได้ในปัจจุบัน และ อนาคต เรื่องความเจริญสุขสบายฯลฯ ในชาติทั้งหลาย ในเหล่าบุคคลที่เป็นอามิสทายาท มีเป็นตัวอย่างมากมายและเยอะแยะ ที่มันทำตัวหลอกลวงผู้คน แล้วยังมีความสุขความเจริญ ด้วยกระแสของมาร นั่นไม่นับเป็นผลดี เพราะผู้เจริญในธรรมจักพิจารณาตรงจุดนั้นว่า ไม่ได้เป็นผลลัพท์ที่แท้จริงในชาติ เพราะย่อมไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ก็สมควรแล้วล่ะที่ใครหน้าไหนจะปฎิบัติธรรมเอาอย่างตามสบายในอย่างที่ตนเองชื่นชอบ ก็สมควรแล้ว ในกาลที่จะต้องได้รับผลอย่างนั้น


    ผู้อ้างตนว่ารู้จักอรรถรู้จักธรรม แต่ ไม่รู้จักอรรถไม่รู้จักธรรมใน ปฎิสัมภิทามรรค ก็จะเป็น บุคคลที่อ้าง พุทธวจน ที่ไม่ถูกต้องและสมบูรณ์ ย่อมเป็นผู้ทำลายคุณความหมายและถอดถอนทำลายพระสัทธรรม ผู้ใดที่เหยียบย่ำองค์คุณในปฎิสัมภิทาญาน ของพระพุทธศาสนา ก็ย่อมมีจุดจบที่ไม่แตกต่างกันในจนถึงที่สุด


    ใครอยากจะเป็นเช่นนั้น ก็แล้วแต่กรรมแล้ว บุคคลเช่นนี้ ต่อให้พบพระพุทธเจ้าตรงหน้าก็ไม่มีทางได้อะไร? เพราะเข้าใจและเห็นว่า ในสิ่งที่ เป็นธรรม กล่าวว่านั่น ไม่เป็นธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2015
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เอาจริตในการละนันทิอันเป็นส่วนบุคคล เป็น กรรมมัฎฐาน ไปยัดเยียดและสอนคนมั่วๆ แค่เรื่องนี้ก็พอรู้ถึงสติปัญญาแล้วล่ะ ว่า จะพาคนที่สมควรมีควรได้ในชาติไปไหนและพลาดในอะไร?

    ผู้กล่าวหาและติเตียนพระอัครสาวก อย่างนี้หรือ คือ ผู้เผยแผ่ พุทธวจน บัวมีสามเหล่า ก็สงเคราะห์มั่ว มีสิทธิ์อะไรไม่ยุ่งเกี่ยวกับการพิจารณาดอกบัวของพระพุทธเจ้า ที่ท่านทรงพิจารณาการเปิดประตูสู่มรรคผลนิพพาน ธรรมเหล่าอื่นก็วิสัชนาและพยากรณ์อย่างผิดๆเพี้ยนๆ ตามจริตของตนเอง กล่าวตำหนิติเตียน บูรพาจาร์ย ทำลายพระสัทธรรม สร้างสัทธรรมปฎิรูป ทำลายเจดีย์ที่เคารพสักการะของชาวพุทธ แต่อวดอ้างสร้างสิ่งของที่ไม่สมฐานะ ออกมาหลอกลวงเร่ขาย ชาวบ้านชาวเมืองที่ยังไม่รู้ผิดรู้ถูกรู้คุณรู้โทษในธรรมได้ดีเพียงพอ นี่เหรอ พุทธวจน


    แก้ไขที่ตนเองให้ถูกกาละเทศะยังไม่ได้ไม่เป็น ยังริอาจไปแก้ไขพระธรรมคำสั่งสอน มาร ๕ จุติดีๆนี่เอง

    เสียดาย ที่ปัจจุบันนี้ สมณะมาร ย่อมมีอำนาจ แต่ก็จะเป็นผลให้ จุติธรรม ของผู้มีบุญพลานิสงส์ในกระแสธรรม อุบัติขึ้นมา อีกไม่นาน จงรอวาระนั้นและไปสำนึกผิดในการทำเกินภาระหน้าที่ของตนเองนั้นเถิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2016
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ถ้าเก่งจริงน่ะนะ ขอท้า ให้ไปถามดู ทั้งสำนักเลย ว่าปฎิสัมภิทาญานคืออะไร? และจงนำมาโพสตอบคำถามนี้ด้วย ถ้าแม้นสำนักตน ยังไม่รู้จัก ก็อนุเคราะห์ส่งเสริมให้ ไปถามท่านผู้รู้ใครก็ได้ในโลกใบนี้ หรือ สหโลกธาตุอื่นก็ได้ ในยุคนี้

    ถ้าไม่รู้ อย่าสำคัญตนว่ารู้อรรถรู้ธรรม และมาจำแนกสั่งสอนคนไปในทางที่ผิดๆ เกินภาระหน้าที่ในคุณความสามารถที่มีในตน


    https://youtu.be/UV-9tJQ0Srw
    นี่คือ คำเตือน !!


    ในผู้ที่ยังไม่สาย ส่วนผู้ที่สายไปแล้ว จงรอรับผลกรรม อีกไม่นาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2016
  11. nite

    nite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +611
    รอติดตาม เพราะ ผมก็ มีอะไรสงสัยหลาๆยอย่างๆ หมายถึงเกี่ยวกับหลักการสอนที่แตกต่างกัน กับ พระเกจิดังๆที่เราๆนับถือ แต่ไม่ได้ว่าใครผิดใครถูกนะครับเพราะคิดว่า ต่างฝ่ายต่างหาวิธีเพื่อหลุดพ้นเช่นกัน....
     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201


    ท่านผู้ใดใครก็ตาม ที่ไม่เผาตำราฆ่าอาจาร์ยสอน พยายามถ่ายทอดวิถีธรรมในรูปแบบตามจริตธรรมที่มีในตน จนอย่างถึงที่สุดความสามารถ ผู้นั้นสมควรแก่การสรรเสริญแล้วในสหโลกธาตุ
     
  13. nite

    nite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +611
    ผมเคย สนทนา กับคนที่ เขาศึกษามาจากวัดป่าแห่งนี้ พอผมถามอะไรไปหมายถึงถามจริงๆไม่ได้ลองภูมิใดๆก็เพราะผมก็ไม่รู้ เขาก็จะบอกว่าขอดูตำรา ก่อนไม่อยาก คิดเอง เพราะจะผิดหลักคำสอน เขาก็จะก๊อบข้อความทั้งหมดมาตอบผม พอผมบอกว่าขอภาษาที่เราๆคุยกันแล้วเข้าใจได้มัยเขาก็บอกว่าไม่ได้เด่วจะเป็นการบิดเบือน ผทก็เลยอยากรู้ว่าเขาสอนอะไรยังไงกัน เคยถามเขาว่า สวดมนต์มัย นั่งสมาธิมัย เขาก็บอกว่าสวด นั่งแต่ส่วนมากจะศึกษาแต่ พุทธวจน พอผมบอกว่าผมสวด บทนี้ๆๆ เขาก็บอกว่าผมไปจำไปสวดเอาแต่ บทสวดที่ไม่ใช่ของพุทธองค์ พอผมบอกว่า บทสวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตรผมก็ สวดนะแบบนี้ๆ เขาก็บอกว่า เป็นบทสวดที่โดนแก้ไขแล้วอะไรคือที่ไม่แก้ไข เขาก็บอกผมไปศึกษา พุทธวจน ที่วัด ทำให้มีช่วงหนึ่งที่ผม เริ่ม สับสน ว่าสรุป ที่เราทำปฏิบัติมาผิดหมดหรอ??
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ไปดู "สายวัดป่า ที่อัฐิเป็นพระธาตุ" จะดีกว่า อย่างต่ำที่สุด "พูดอย่างภาษาชาวบ้าน" ก็ได้ว่า "ไม่ธรรมดา" แน่นอน

    +++ แต่ทุกสาย "มักจะมีตัวแหกคอก" อยู่เป็นประจำ สันติอโศก (ยอมรับว่า ไม่ใช่พระ ตั้งเป็นนิกายส่วนบุคคล เลิกเบียดเบียนศาสนาพุทธ) ธรรมกลาย (กำลังดุเดือด) เกษม (ไปแล้ว) คึกฤทธิ์ (น่าจะเป็นเคสต่อจาก ธรรมกลาย คงได้เห็นกันเร็ว ๆ นี้) ลองเลียบ ๆ เคียง ๆ คสช ดู อาจเห็นวี่แววปรากฏเค้าอยู่บ้างหรอก

    +++ สิ่งที่เรียกว่า "สติวินะโย" (ถือสติเป็นวินัย) มันทำไม่ได้ แต่ดันถือ "ความฟุ้งซ่านเป็นวินัย" แถม "เบียดเบียนสหธรรมิก" ด้วยการ "เหยียบหัวผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อหวังความเด่นดัง" หากเกิดการทำ "สังฆเภท" คือ เป็นเหตุให้แยกกัน "ลงอุโบสถ" ด้วยการแยก "โอวาทปาฏิโมกข์" เพียงครั้งเดียว นับที่ "สงฆ์ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป" หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาแล้วละก็

    +++ "อนันตริยะกรรม" ถือว่า ได้เกิดขึ้นแล้ว ตรงนี้เป็นสิ่งที่ "พระพุทธเจ้า" ระบุไว้เองว่า "ส่งตรงสู่ อเวจีมหานรก"

    +++ ดังนั้น "ให้พิจารณาเอาเอง" ว่าระดับของ "อัตราเสี่ยง" นั้น "คู่ควรต่อ การติดตาม ด้วยความอยากรู้อยากเห็น" ต่อไปอีกหรือไม่

    +++ ผมไม่ได้ห้ามอะไร "แต่" ขอให้ "พึงสังวร ต่อ อัตราเสี่ยง" ตรงนี้เอาไว้ให้ดี ๆ ว่า "มันจะคุ้มหรือเปล่า" เท่านั้น นะครับ
     
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    หนักว่าเคสอื่นๆในประเทศอีก โดยรวม สุดโต่งแล้วแบบนั้น ! และสิ่งที่พูดมาทำมาเพี้ยนๆนี่แปลว่า ?



    ข้ออ้างเป็นเพียงผู้เดินตามมรรค มีผิดบ้างถูกบ้างเป็นธรรมดา มันเป็นใคร? มีคุณสมบัติอะไร? ฐานะอะไร? ลอกเลียนแบบดัดแปลงตัดต่อวิจัยทดลอง พุทธวจนบ้าอะไร?



    Thank you For time
     
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    สำนักอะไร? อ้างเป็นพุทธ ประกาศธรรมพุทธ แต่ทำศาสนาพุทธให้กลายเป็น มายาคติ โดยไม่รู้ตัว

    พุทธบริษัทเหล่านั้น ก็ชั่งหลงคารมคมคายดายหญ้าง่ายเสียจริงๆ กรรมแต่งแท้ๆ

    การทดลองที่ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลของนักวิเคราะห์วิจัยเพี้ยนๆ ซึ่งทำกับหนูที่เกิดในกรงจากการเพาะเลี้ยงที่ผิดๆ จึงเกิดขึ้นมากับมายาคติที่ผิดๆ ไม่มีทางจะไปเป็นอะไรได้นอกจาก สัตว์ทดลองสนุกๆฆ่าเวลาเพียงเท่านั้น



    ถึงเวลามีผู้เมตตาจะปล่อย ก็ดันไม่พอใจ เพราะคุ้นเคยกับการให้อาหารแต่ไม่สามารถ หาอาหารได้เอง

    อตฺตา หิ อตฺโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา

    อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ.

    ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน บุคคลอื่นคือใครเล่า จะเป็นที่พึ่งได้

    เพราะบุคคลที่ฝึกตนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งอันได้โดยยาก




    พุทธสุภาษิตนี้ คงไม่มีแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. nite

    nite เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    442
    ค่าพลัง:
    +611
    ยังมีอีกเรื่องที่ เขาพูดละ ผม สงสัยเรื่องการ ทำบุญทำทานนี้ละครับ ผมเป็นคนชอบทำบญ เขาเลยถามผมว่า เห็นไปวัดบ่อยไม่ได้สนทนาธรรมกับพระท่านหรอ ผมก็บอกวาสนทนาแต่ก็สนทนาแบบที่ผมเข้าใจ ไม่ใช่แบบที่ผมคุยกับคุณ แล้วเรื่องการทำบุญ ผมเคยคิดจะสร้างพระ เขาก็บอกว่า สร้างทำไม พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกให้สร้างพระแล้วได้บุญ (อันนี้ก็เหมือนเคยได้ยินอยู่) แล้วเรื่องการทำบุญ เขาก็ลองแนะนำให้ผมไป ทำบุญที่วัด... แห่งนี้ เพราะ เขาบอกว่าทำบุญกับพระอริยสงฆ์(อันนี้ก็เคยได้ยิน คิดในใจว่าทำไมอริยสงฆ์ที่ปฏิบัติดีมีแต่วัด...หรอ??) จะได้บุญกุศลมากกว่า กับพระทั่วๆไป ผมเลยพูดไปว่าแต่ผมทำด้วย จิตที่บริสุทธิ์นะครับจะไม่ได้บุญเชียวหรือ เขาก็บอกว่าผมดื้อสงสัยคุยกับผมไม่รู้เรื่องเหมือนจิตผมไปทางนั้นมากกว่าที่จะเดินตาม พุทธวจน ของพุทธองค์ แล้วเขาก็ไม่ค่อยตอบไรผมเวลาถาม แบบนี้เพราะเขาจะบอกว่าให้ไปศึกษา พุทธวจนมาก่อน ศึกษาแบบท่องแท้ แล้วจะเข้าใจทำนองนี้....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2015
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ยิ่งทำตัวเด่นดังระดับโลก หึหึ!
    อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง การกระทำที่ยังไม่หยุด เจตนาที่เสียแล้ว ก็เป็นเพียงการดันทุรังพาสัตว์ไปลงนรกเพียงเท่านั้น


    ฝากไว้ให้คิดก่อนถึงเวลา ท่านผู้ทรงญาน ท่านย่อมกำหนดรู้ ฐานะสภาพเหตุการณ์ชัดเจนระทึกขวัญมันส์กว่าหนัง 3D ว่าใครหรือผู้ใดนั้นต้องอาบัติใด และติดค้างอาบัติหนักหรือเบา ถ้าท่านเผยความจริงออกมา ก็ย่อมเรียกได้ว่า ต้องยอมรับชะตากรรมนี่เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่มีพระภิกษุทั้งหลายฯ ยอมบอกลาคืนสิกขาออกจากเพศพรหมจรรย์ไปเป็นจำนวนมาก โดยไม่สามารถขัดขืนหรือประวิงเวลาได้ ท่านย่อมแสดงเหตุ และแสดงผล อย่างชัดเจนจะแจ้ง จนไม่อาจปฎิเสธได้ ด้วยการหยั่งรู้ในวาระจิตอันเป็นเลิศ นึกถึงท่านผู้ทำหน้าที่เช่นนั้นแล้ว ยอดจริงๆ ถือเป็นอำนาจควบคุมปกป้องรักษาความเป็นอยู่และเป็นไปของสงฆ์ที่ดีงามจริงๆ



    อย่าหาว่าเป็นเผด็จการสงฆ์ การบวชไม่ใช่ของเล่น ขอเตือนเอาไว้ ที่ยังอยู่อาศัยคราบอยู่ ยังไม่ตายก็รีบๆทำอะไรเข้าซะ หึหึ!



    เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ! แบบนี้คือการเตือนครั้งแรกหรือครั้งที่ ๒ ๓ ๔..ฯหรือเปล่าน๊า!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2015
  19. tummayut

    tummayut สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2006
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +24
    ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณจ่ายักษ์นะครับ แต่ก่อนผมก็เป็นครับเป็นมากด้วยตั้งแต่ยันตระ สันติอโศก ธรรมกลาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง ท่านพุทธอิสระ ตอนผมบวชผมบวชสายวัดป่าครับมีพระอาจารย์องค์หนึ่งให้แนวคิดในกรณีนี้ว่า ตอนที่พระพุทธเจ้าท่านบวชให้เทวทัตท่านจะรู้มั๊ยครับว่าพระเทวทัตจะทำสังฆเภท จะคิดทำร้ายพระองค์ คำตอบคือพระองค์ท่านรู้ครับ แล้วทำไมถึงยังบวชให้ล่ะครับอันนี้ผมเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าสุดท้ายพระเทวทัตก็จะมาตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตกาล ผมก็เลยต้องถือคติที่ว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ หรือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แต่ลึกๆแล้วผมก็อยู่ข้างคุณ จ่ายักษ์นะครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ
     
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    หน้าที่มันทำให้คนแปลก การปรากฎของ อภยปริตร เป็นสิ่งที่เราต้องปกป้องรักษา แต่สำนักนี้กลับทำลายพระปริตร จึงอยู่ในการคาดการณ์ของพระสัทธรรม(พระธรรมราชา) มาตั้งแต่ต้น ทำไมไม่เป็นคนอื่นต้องเป็นเราด้วย เฮ้อ บุพกรรมแท้ๆ

    หากไม่มีไม่ได้ในฌาน จะเข้าสู่ฐานการตรัสรู้และนิพพานในชาตินั้นๆไม่ได้
    http://pantip.com/topic/33690208

    {O}นอกจากพระนิพพาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสสอนแล้ว อย่าถือเอาตามนิพพานของใครที่สอนมาอย่างผิดๆ{O}
    http://pantip.com/topic/33694386

    น้ำใจของกัลยาณมิตรทั้งหลายฯ รับไว้ที่จิตใจอันระลึก แสดงตนก็ดี ไม่แสดงตนก็ดี มีผลทั้งนั้นฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2016

แชร์หน้านี้

Loading...