หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๑๗ ศีลข้อที่ ๕

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 13 กรกฎาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๑๗ ศีลข้อที่ ๕
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย
    สำหรับวันนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง
    เรื่องหนีนรก ตอนที่ ๑๗
    สำหรับตอนที่ ๑๗ นี้ ก็มีศีลห้าโดยเฉพาะ
    และอาจจะมีกรรมบถ ๑๐ ต่อท้ายอีก
    คือว่าที่พูดมาแล้วนั้นทั้งหมดเป็นศีลห้า ควบกรรมบถ ๑๐
    แต่ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่งที่กรรมบถ ๑๐
    ไม่มีบทสุราอยู่ด้วย คือไม่มีข้อว่าสุรา
    ฉะนั้นวันนี้ ในตอนต้นนี้จะขอพูดเรื่องข้อสุรา
    แต่ในการพูดต่อไปนี้ บรรดาท่าพุทธบริษัท
    เห็นจะไม่ต้องอธิบายมาก เพราะคำว่า สุราเมรัย
    นี่บรรดาท่าพุทธบริษัททั้งหลายรู้จักดีอยู่แล้ว
    และก็โทษของสุราและเมรัยเป็นยังไง
    ก็ทราบกันอยู่แล้วในปัจจุบัน
    แต่ก่อนจะพูดว่าถึงข้อสุราและเมรัย
    การดื่มน้ำเมา "สุรา" นี้แปลว่า ของกลั่น
    "เมรัย" นี้ยังไม่ได้กลั่น เช่น น้ำขาวอุ น้ำตาลเมาเป็นต้น
    ก่อนจะพูดถึงเรื่องนี้ก็ขอพูดเรื่อง การหนีนรกอย่างย่อไว้ก่อน
    คำว่า "ย่อ" ก็หมายความว่าย่อเฉพาะคำพูด แต่สูตรจริง ๆ เต็มอัตรา

    การหนีนรก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่า
    ให้ตัดสังโยชน์ ๓ ประการ ซึ่งเป็นกิเลสใหญ่เป็นเครื่องผูกพัน
    กำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทให้ลงอบายภูมิ
    สังโยชน์จริง ๆ มีความรู้สึกตามนี้ คิดว่าชีวิตนี้จะไม่ตาย
    และก็มีความสงสัย ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ไม่ยอมใช้ปัญญาพิจารณาความดีของท่าน
    ไม่ยอมรับนับถือเลย และก็ละเมิดศีลห้า
    คือ การรักษาศีลไม่จริงไม่จัง
    สักแต่ว่าสมาทานแล้วก็เลิกกันไป
    อย่างนี้ถือว่า คนตกอยู่ในขอบข่ายของกิเลส
    คือ สังโยชน์ ที่คอยร้อยรัดบรรดาท่านพุทธบริษัท
    ที่ไม่ปฏิบัติตนจริงให้ลงอบายภูมิ
    ถ้าเราจะหนีกันพระพุทธเจ้าแนะนำไว้ว่า
    ให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า
    ชีวิตนี้มันต้องตายและสมเด็จพระจอมไตรทรงแนะนำว่า
    จงอย่าประมาทในชีวิต
    จงอย่าคิดว่าความตายจะเข้ามาถึงเราในวันพรุ่งนี้
    ให้มีความรู้สึกว่า ความตายอาจจะถึงเราในวันนี้ไว้เสมอ
    จะได้สร้างความดี

    ความดีอันดับแรกที่สามารถจะดึงเราให้พ้นนรกชั่วคราว
    นั่นก็คือ ยอมรับนับถือในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    และก็มาการปฏิบัติตรงต่อศีลห้า
    รักษาศีลห้าให้ครบถ้วน อย่างนี้เป็นปกติ
    เท่านี้ละบรรดาท่านพุทธบริษัท ขึ้นชื่อว่าอบายภูมิทั้ง ๔
    คือ ๑ นรก ๒ เปรต ๓ อสุรกาย ๔ สัตว์เดรัจฉาน
    จะไม่มีแก่ท่านทุก ๆ ชาติไป
    ถ้าการเกิดของท่านยังมีกี่ชาติ
    แดนทั้ง ๔ นี้ท่านจะไม่ได้กลับมาอีก
    บาปกรรมเก่า ๆ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททำไว้แล้ว
    จะเป็นบาปหนักบาปเบาขนาดไหนก็ตาม
    ไม่สามารถจะดึงท่านลงอบายภูมิต่อไป

    ความจริงความรู้สึกการตัดอารมณ์ทั้ง ๓ ประการ นี้ก็รู้สึกว่าไม่ยาก
    เพราะคนที่มีปัญญา ถ้าไม่ไร้สติสัมปชัญญะ
    ไม่มีความประมาทเพราะการดื่มสุราและเมรัย
    ก็เข้าใจตามความเป็นจริงได้ว่า ชีวิตนี้ตายแน่
    และความตายก็ไม่ใช่ว่าต้องรอแก่ตาย
    ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า เด็กที่เกิดมาภายหลังเรา
    ตายไปแล้วไม่รู้ว่าเท่าไรเหลือแต่เราเท่านั้น
    ที่ความตายจะเข้ามาถึงเมื่อไรก็ไม่ทราบ ข้อนี้ก็เป็นของคิดถึงง่าย ๆ

    สำหรับพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี
    เราจะเชื่อก็เชื่อกันด้วยศีล พิจารณาดูว่าศีลห้า มีประโยชน์กับเราไหม
    การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เราอาจจะชอบทำเขาก็ได้
    แต่ว่าถ้าเขาทำเราบ้าง เราก็ไม่ชอบ ถ้าละเมิดข้อนี้ก็มีแต่ศัตรู
    ข้อที่ ๒ การลักการขโมยของชาวบ้าน
    นี่อันตรายใหญ่ก็มีกับเรา เราคิดถึงใจเราบ้าง
    ว่าทรัพย์สินที่เราหามาโดยยาก
    ถ้าใครเขาทำแบบนั้นเข้า เราจะมีความรู้สึกยังไง
    เราก็ไม่ชอบใจเหมือนกัน
    และก็ข้อต่อไป คือ กาเมสุมิจฉาจาร
    สามีภรรยาของเราที่เรารัก
    ถ้าใครมาละเมิดความรักเราจะพอใจไหม
    เราไม่พอใจ ถ้าไปทำกับเขา เขาก็ไม่พอใจ เราก็สร้างศัตรู
    วาจามุสาวาท คนที่มีจิตสะอาดจริง ๆ เขาไม่พูดโกหกมดเท็จ
    เพราะเป็นปัจจัยให้เพื่อนที่รักเขาจะเป็นศัตรูกับเรา
    เพราะเกลียดน้ำหน้าที่เราพูดไม่จริง
    ในการดื่มสุราเมรัยเป็นปัจจัยให้เกิดความประมาท
    ทำชั่วทุกอย่างได้ นี่ละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    ถ้าละเมิดศีล มันก็ชั่วแบบนี้ มีแต่ความเร่าร้อน

    รวมความว่า การจะรักษาศีลเป็นของไม่หนัก
    ต่อนี้ไปก็ขอพูดถึง ศีลข้อที่ห้าสำหรับศีลข้อที่ห้า
    ท่านกล่าวว่า สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมนี
    เราจะงดเว้นไม่ดื่มสุราและเมรัย
    อันเป็นฐานะที่ตั้งแห่งความประมาท
    เพราะการดื่มสุราและเมรัย บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ถ้าพูดกันตามภาษาชาวบ้านจริง ๆ เพื่อความเข้าใจ
    ถ้าพูดภาษาพระก็รู้สึกว่า จะนิ่มนวลเกินไปเข้าใจยาก
    เวลานี้กำลังคุยกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท
    ขอพูดภาษาชาวบ้านก็แล้วกัน

    คนกินเหล้า หรือคนกินสุราและเมรัยก็ถือว่า
    คนนั้นตั้งในเป็นคนบ้า โกรธไหม
    ท่านที่ดื่มสุราและเมรัยท่านโกรธหรือเปล่า
    เวลาท่านไม่เมา ลองมองดูเพื่อนของท่านที่เมาดูก็แล้วกัน
    ตามปกติเธออาจจะมีจริยานิ่มนวลมาก
    พูดจามีเหตุผลกำการงานดีพอกินเหล้าเมา
    พอเมาขั้นต้น เรียกว่าเมาพอเซนิด ๆ
    จิตก็หวั่นไหว สุราแปลว่า กล้าสามารถ กล้าทำความชั่วได้ทุกอย่าง
    เรียกว่าความชั่วทุกอย่างทำได้หมด
    กล้าแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    เห็นความกล้าครั้งแรกอ่อนที่จะซื้อเหล้า
    ครั้งแรกจะต่อแล้วต่ออีกหาว่า เหล้าหรือสุรามันแพงเกินไป
    ลดเท่านั้นได้ไหม ลดเท่านั้นได้ไหม
    ตอนนี้ยังไม่กล้า เพราะยังไม่ดื่ม
    แต่พอดื่มเข้าไปมืน ๆ ความกล้าปรากฏ
    ตอนนี้เอามาเลย เท่าไรเท่ากัน
    หมดเท่าไรหมดไป นี่ความกล้าเกิดขึ้นแล้ว
    แต่กล้านี้ไม่ใช่กล้าดี กล้าสร้างความฉิบหายขายตน
    ให้เกิดขึ้นแก่ตนเองและครอบครัว
    เงินมันสิ้นไปและก็สามารถกล้าทำความชั่วได้ทุกอย่าง
    คนที่เคยดื่มสุราและเลิกดื่มสุราแล้ว
    เขารายงานให้ทราบ ว่าเกลียดคนดื่มสุรามาก
    เคยถามว่า สมัยที่คุณดื่มสุราคุณมีความรู้สึกอย่างไร
    เขาตอบว่า จริยาแบบนั้นที่ทำไปมันภูมิใจ
    นี่จะเห็นได้ว่า คนมึนเมานี่สามารถสร้างความเลวได้ทุกอย่าง

    ตอนนี้โทษของการดื่มสุราและเมรัย
    อาตมาจะไม่พูดมาก เพราะคนรู้จักอยู่แล้ว
    ไอ้เงินที่ดื่มสุราและเมรัยนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ถ้าเราจะเก็บไว้ไม่ใช้มันเลยเก็บฝากธนาคารไว้
    เข้าใจว่าดอกเบี้ยจะงอกปีหนึ่งก็ได้หลายบาท
    ถ้าหากว่าเราเป็นคนฐานะไม่ค่อยดีนัก ก็ไม่เก็บไว้ละ
    จะใช้แต่ใช้ซื้อกับข้าว ซื้ออาหารบริโภค
    ให้ลูกไปโรงเรียนเอวเงินจำนวนนี้เสียค่าเล่าเรียน
    ถ้าลูกเรียนมัธยมหรือมหาวิทยาลัย
    เข้าใจว่าสามารถจะช่วยลูกได้ดี
    อาตมาเองก็ไม่เคยดื่มสุรามาตั้งแต่เกิด
    จนกระทั่งเวลานี้ยังไม่รู้รสสุราจริง ๆ เป็นยังไง
    และเขาดื่มสุรากันวันละเท่าไรก็ไม่ทราบ

    สมมุติว่าเวลานี้ค่าของเงินมันตก
    หากว่าท่านจะดื่มสุราและเมรัยสักวันละ ๑๐ บาท
    เข้าใจว่าไม่อยู่นะถ้าคอสุรา คนที่ดื่มสุราด้วยความจำเป็น
    อันนี้ไม่เป็นไร คนดื่มสุรา คอสุราจริง ๆ วันละ ๑๐ บาท
    ไม่อยู่แน่สมมุติวันละ ๑๐ บาท
    ถ้า ๑๐ วัน ท่านต้องเสียไป ๑๐๐ บาท
    ถ้า ๓๐ วัน ท่านเสียไป ๓๐๐ บาท
    ถ้าปีหนึ่งท่านเสียไป ๓ พันเศษ
    สามพันหกร้อยเท่าไรก็ตามเป็นวันของปี

    รวมความว่าปีหนึ่งท่านต้องสูญเสียเงินไปเฉย ๆ สามพันบาทเศษ
    ถ้าวันละ ๑๐ บาท เป็นอย่างน้อย
    นอกจากนั้นยังเสียเวลาทำมาหากินอีก
    หากว่าท่านจะใช้เวลาดื่มสุราและเมรัย
    มาอยู่สร้างความเป็นสุขกับลูกกับเมีย
    หรือกับผัวที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ
    หรือว่าเอาเวลานั้นมาประกอบกิจการงานเล็ก ๆ น้อย ๆ
    ชาวบ้านจักตอกบ้าง ปลูกผักบ้าง รดน้ำพรวนดินผักบ้าง
    ให้ความสะดวก ให้ความปลอดภัยกับผัก
    ต้นไม้ของท่านอย่างนี้จะมีประโยชน์กว่า
    หรือว่าท่านทั้งหลายจะเอาเงินค่าสุรา
    มาเช่าที่เล็ก ๆ แล้วก็ซื้อพันธุ์ผักน้อย ๆ ตามกำลังเงิน
    สามพันบาทเศษต่อหนึ่งปี
    เอามาปลูกขายหรือปลูกดอกไม้ขายนี่เงินมันจะงอก
    มันสามารถจะสร้างความร่ำรวยให้แก่ท่านได้
    แต่ว่าท่านทั้งหลายเป็นที่น่าเสียดาย
    ถ้าพระพูดแบบนี้นะมันก็เป็นการไม่ถูกใจคนดื่มสุรา
    อาตมาก็ขออภัยด้วยจะพูดให้เข้าใจสำหรับคนที่ท่านไม่ติดสุรา
    คนที่ชอบสุราจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร ตามใจท่าน
    เพราะว่าพระก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี มีหน้าที่แค่แนะนำเท่านั้น
    แต่การแนะนำวันนี้อาจจะแรงไปนิดหนึ่งต้องขออภัยด้วย

    ทีนี้มาว่ากันถึงโทษของการดื่มสุราและเมรัยอีกชั้นหนึ่ง
    เป็นเหตุให้ถูกชาวบ้านเขาเหยียดหยามว่าเป็นคนเลว
    จริง ๆ แล้วคนดื่มสุราเมรัยไม่มีศักดิ์ศรีอะไร
    ใครจะคบหาสมาคมด้วย ก็แค่ประโยชน์ของเราเท่านั้น
    ถ้าจะคบอย่างเป็นมิตรแท้
    นี่หายากบรรดาท่านพุทธบริษัทอาตมารู้จิตใจ
    คือ รู้จากชาวบ้านที่ไม่ดื่มสุราและเมรัย
    ถ้าเวลามีความจำเป็นเรื่องจะเป็นจะตายเกิดขึ้น
    เขาจะไปแนะนำหรือไปหาท่านไปขอร้องท่านในยามปกติ
    เขาก็รู้สึกเหยียดหยาม บางทีไม่มีความรู้สึก
    แต่ใจพูดออกมาทางปากได้ยินเสมอ ๆ
    ก็รวมความแล้วว่าการดื่มสุรานี่ไม่ดี
    สำหรับชาติปัจจุบัน ถ้าจะพูดสัมปรายภพ
    ไอ้ชาติข้างหน้านี่ เรามองไม่เห็น
    จะบอกอานิสงฆ์ชาติก่อนของท่านที่มารับผลในชาตินี้

    อานิสงฆ์ในการดื่มสุราก็คือ
    ดื่มอย่างแบบเบา ๆ ไม่เมามายมากนัก
    เกิดมาชาตินี้เป็นคนเป็นโรคปวดศีรษะบ่อย ๆ
    ถ้ามากไปหน่อยจะปวดศีรษะเป็นปกติ
    ถ้าดื่มสุราปานกลาง โทษสุราปานกลางจะเป็นโรคเส้นประสาท
    ถ้าดื่มสุราขนาดหนักที่เรียกว่า ด๊อกเตอร์สุราก็จะเป็นโรคบ้า
    บอกประโยชน์ให้อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท
    ฉะนั้นความเมาขอแนะนำไว้เพียงเท่านี้

    นอกจากเท่านี้แล้วการดื่มสุราและเมรัย
    ทำให้ทุกอย่างในความชั่ว
    ขอแนะนำว่าถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    ต้องการหนีนรก ให้ปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐
    และศีลตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด
    แต่ก็ยังไม่หมดนะบรรดาท่านพุทธบริษัท
    วันนี้ขอตีควบจะไม่พูดยาวนัก
    ต่อไปก็เป็นกรรมบถ ๑๐ ด้านจิตใจ
    ด้านจิตใจ คือ ความรู้สึกนี่มี ๓ อย่าง

    ๑. อภิชณา เพ่งเล็งอยากจะได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น
    มาเป็นของตน ตัดข้อนี้ทิ้งไป
    ถ้าเข้ากรรมบถ ๑๐ ตัดความรู้สึกอยากจะได้
    ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นมาเป็นของตน
    โดยไม่ชอบธรรมออกจากใจ
    คือ เป็นคนที่มีกำลังใจ
    ไม่อยากจะได้ทรัพย์สินของใครมาโดยไม่ชอบธรรม

    ๒. พยาบาท มีการจองล้างจองผลาญ
    ความโกรธน่ะมีแน่ แต่ตัดความโกรธอาจจะมี
    เพราะเรายังไม่ใช่พระอนาคามี
    ต้องมีแต่ว่าตัดความจองล้างจองผลาญออกไป
    โกรธหายแล้วก็แล้วกันถือว่า เป็นเรื่องธรรมดา

    ๓. สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกเห็นชอบ
    ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    อันนี้ก็ขอตีย่อกันเพราะแรงไม่ค่อยมี
    ตอนที่ ๑๗ อ๋อขอโทษตอนที่ ๑๖ ที่ผ่านมาพูดไป
    พูดมาเกือบหมดแรงเกือบหมดจริง ๆ
    เกือบจะไม่จบเรื่องจะไม่จบตอน
    แต่ตอนนี้พักผ่อนแล้วก็มีแรงบ้าง
    แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่า จะพูดหนักไปสักเท่าไร ใช้เวลาเท่าไร
    สำหรับกรรมบถ ๑๐ ที่บอกแล้วว่า มีทั้งศีลและธรรม
    ศีลก็คือว่า ศีลทุกขอที่ผ่านมาแล้ว
    ฝ่ายธรรมชัด ๆ ก็คือ มโนกรรม
    ที่ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครอย่างหนึ่ง
    ไม่พยาบาทจองล้างจองผลาญอย่างหนึ่ง
    มีความเห็นถูกตามพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างหนึ่ง
    ความจริงธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ ถ้าอย่างอ่อน ๆ ก็เป็นพระสกิทาคามี

    ถ้าปฏิบัติได้อย่างกลาง ๆ ก็เป็นอนาคตมี
    ถ้าปฏิบัติได้อันดับสูงสุด เป็นอรหันต์เลย
    ธรรมะ ๓ ประการนี้ไม่ใช่ของเล็กน้อย หนักหนา ใหญ่มาก
    มีคุณมีประโยชน์มากก็มาพูดกันตรงไปตรงมาตีไม้สั้น
    ว่าการอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น
    แต่มันยังไม่ได้หยิบเอามานี่ทำไมจะต้องมีบาปด้วยมือ
    อย่าลืมว่าบาปนี่ แปลว่าชั่ว
    ถ้าคิดอยากจะได้ทรัพย์สมบัติของเขาโดยไม่ชอบธรรม
    ลักบ้างขโมยบ้าง อยากจะแย่งบ้าง อยากจะโกงบ้าง เป็นต้น
    อย่างนี้ถือว่า คิดบาป จิตเป็นบาป คิดชั่ว
    ถ้าจิตมันคิดชั่วแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นกับใจหรือจิต
    กายก็ดีวาจาก็ดี ขึ้นกับจิตหรือใจ จิตก็ได้ ใจก็ได้
    เพราะชาวบ้านชอบพูดใจ บางคนก็ชอบพูดจิต
    เพราะจิตหรือใจมีอำนาจสั่งการ
    ถ้าจิตคิดเลวกายก็ทำเลวและจิตก็มีอำนาจสั่งวาจา
    ถ้าจิตคิดเลววาจาที่พูดก็พูดเลว
    ถ้าจิตคิดดีกายก็ทำดี วาจาก็พูดดี
    ฉะนั้นการที่ท่านเอาจิตเข้าไปคิดแล้วก็บอกว่า ยังไม่ได้ทำ
    จะมีโทษจะมีบาปไหม ต้องขอตอบว่าโทษน่ะมีแน่
    การลักการขโมย การยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น
    โทษที่จะพึงได้กับท่านในชาติปัจจุบัน
    คือ ชาวบ้านเขาเกลียดและก็มีอารมณ์ไม่เป็นสุข
    โทษในสัมปรายภพคือ ชาติหน้า
    ดูกันชาตินี้ก็ได้ว่า
    คนที่มีจิตคิดอยากจะได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น
    โดยไม่ชอบธรรม โกงบ้าง หลอกบ้าง
    อะไรก็ตามเรียกว่า ยื้อแย่งเขามาได้โดยไม่ชอบธรรมก็แล้วกัน
    เขาไม่เต็มใจให้ก็เอามาจนได้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ
    โทษทัณฑ์ที่จะพึงได้ในกาลต่อไปก็คือ

    ๑. ตั้งใจให้ไฟไหม้บานเผาผลาญทรัพย์สินต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้พินาศไป

    ๒. เป็นการตั้งใจให้ลมพัดบ้านให้ฟัง

    ๓. ตั้งใจให้ผู้ร้าย คือขโมย ฉกชิงวิ่งราวลักของ ปล้นและจี้เป็นต้น

    ๔. ตั้งใจให้ผู้ร้าย คือขโมย ฉกชิงวิ่งราวลักของ ปล้นและจี้เป็นต้น

    โทษของอทินนาทานเป็นอย่างนี้
    ถ้าจิตเราคิดได้อทินนาทาน
    ก็เป็นการคิดให้อาการอย่างนี้เกิดขึ้นกับเรา
    เพราะโทษของอทินนาทานที่ทำมา
    ญาติโยมทั้งหลายโดยถ้วนหน้าพึงทราบ
    ไฟที่ไหม้บ้านเพราะโทษอทินนาทาน
    โกงเข้าบ้าง หลอกเข้าบ้าง จี้ปล้นเขาบ้างอย่างนี้เป็นต้น
    และน้ำท่วมบ้านของเสียหาย
    ลมพัดให้บ้านพังของเสียหาย
    หรือว่าถูกโจรผู้ร้ายปล้น มาจากโทษอทินนาทานทั้งสิ้น

    และอทินนาทานคือลักขโมย แย่งจี้เขา ปล้นเขา มันจากอะไร
    ร่างกายของเราจริง ๆ มันไม่ต่างจากไม้ซีกและไม้ซุง
    คือถ้าจะมีสภาพให้ใกล้เคียงกันจริง ๆ ก็อยู่ในสภาพของหุ่น
    หุ่นถ้าคนไม่ชักไม่นำมันเต้น มันก็ไม่เต้น มันจะนอนเฉย ๆ
    ถ้าคนไปยกขึ้นมันก็ยืน ถ้าเอาวางตะแคงลงมันก็นอน
    เอาหัวลงเอาขาขึ้น มันก็เอาหัวลงเอาเท้าชี้ฟ้า
    หุ่นมันไม่มีความรู้สึก ที่มันเป็นไปได้อย่างนั้น
    เพราะคงบังคับ ข้อนี้อุปมาฉันใด
    จิตใจก็คล้ายร่างกายก็เหมือนหุ่น ในเมื่อจิตใจบังคับร่างกายมันก็ทำ

    ถ้าถามว่า จิตใจบังคับแบบนั้น ตายแล้วจะไปอบายภูมิได้ยังไง
    อย่าลืมว่า อยากได้ทรัพย์สินของเขา คือ อยากจะโกงบ้าง
    อยากจะจี้ อยากจะปล้นบ้าง อย่างนี้เป็นต้น
    จิตมันคิดแรงมากกว่าที่จะพูดต่อไป
    ตัวอย่างที่จะพึงเห็น อย่างท่านโกตุหลิกะ
    ขณะที่นั่งกินข้าวอยู่เธอเป็นคนจน เข้ามาในบ้านของท่านคหบดี
    ท่านคหบดีก็ให้ข้าวที่คนรับใช้กิน
    ข้าวที่คนรับใช้กินมันก็ดีสำหรับท่านผู้นี้อยู่แล้ว
    เพราะท่านผู้นี้เป็นคนจน
    เดินลัดป่ามาหลายวันอดข้าวมานานหลายวัน ๓ - ๔ วัน
    คนอดนาน ๆ มีความหิวจัด
    มีความอยากจัด ๆ ประเภทนี้แม้แต่ข้าวบูดก็พร้อมที่จะกินได้
    แต่บ้านคหบดีหรือเศรษฐี อาหารคนใช้เขาไม่เลว
    อย่างเลวที่สุดเขาอาจมีแกงปลา แกงหมู แกงไก่
    และอาหารประเภทนี้ไซร้ เป็นของเลวสำหรับมหาเศรษฐี
    แต่คนจนถือว่าเป็นของดีชั้นเลิศ
    ท่านให้อาหารที่คนรับใช้กินเขาก็กินแบบเอร็ดอร่อย
    แต่ว่าท่านคหบดีกลับกินข้าวมธุปายาส
    ข้าวแบบนี้มันแพงถนัดใจ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    คนปกติธรรมดาอาจจะกินได้
    อย่างฐานะอย่างอาตมาจะกินข้าวมธุปายาส
    ต้องเก็บเงินที่บรรดาท่านพุทธบริษัทถวายเป็นส่วนตัวหลายปี
    เพราะมันแพงจัด

    อาตมาก็มีความรู้สึกว่า ของที่เขาว่าดีนะ มันก็ไม่สำคัญ
    สำคัญแค่กินอิ่ม แต่ความรู้สึกของคนที่ไม่ได้กิน
    มันต้องเป็นอย่างนั้น และข้าวมธุปายาสอันนี้
    ท่านกินแล้วท่านก็แบ่งให้สุนัข
    ซึ่งเป็นสุนัขตัวเมีย มันหมอบอยู่ใกล้ ๆ
    แบ่งให้กินบ้าง ท่านก็กินบ้าง แบ่งให้สุนัขกินบ้าง
    โกตุหลิกะลองแล้วก็มีความรู้สึกว่า
    เจ้าสุนัขตัวนี้มันมีบุญ เราเป็นคนเสียอีกยังไม่ได้กินข้าวมธุปายาส
    แต่เจ้าหมาตัวนี้มันดีทายาด
    สามารถกินข้าวมธุปายาสได้เท่ามหาเศรษฐี
    ขณะนั้นยังมีจิตใจปลื้มปิติยินดีกับสุนัขอยู่
    เขาก็ขาดใจตายไปในขณะนั้นจิตออกจากร่างของเขา
    ไปสู่ครรภ์ของนางสุนัข เลยเป็นลูกหมาไป

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    ขณะใดที่มีจิตกังวลอยู่ในเรื่องอะไร
    เมื่อจิตใจของท่านก่อนจะออกจากร่างมันจะไปจุดนั้น

    และก็ตัวอย่างอีกท่านหนึ่งอย่างท่านติสสะซึ่งเป็นพระ
    พระองค์นี้อาตมาสงสัยว่าจะเป็นพระอริยเจ้า
    ท่านก็สนใจจีวรแพรของท่านเหมือนกัน
    ขณะที่พี่สาวเอาจีวรแพรมาให้ท่านชอบใจอยากจะห่ม
    แต่เวลานั้นมันก็ป่วยหนักไม่สามารถจะห่มได้
    จิตใจก็มีความข้องใจมีความปรารถนาอยู่
    แต่ทว่าสาวขององค์สมเด็จพระบรมครูพระองค์นี้
    เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก
    ความจริงผ้าแพรผืนนั้นมันก็ผ้าของท่านเอง
    เดิมทีเดียวมันเป็นผ้าเนื้อหยาบ ให้พี่สาวไปเย็บไปย้อม
    พี่สาวเห็นว่า หยาบเกินไป เลยทำเสียใหม่
    ดึงด้ายมากอรใหม่จัดการเสียใหม่ เสร็จก็นานหน่อย
    เป็นผ้าเนื้อบาง ๆ เขาเรียกว่า "ผ้าสาฎก"
    ผ้าสาฎกจริง ๆ อาตมาไม่รู้จัก ก็เลยล่อจีวรแพร จีวรไหม
    เข้าไปเลยก็หมดเรื่องหมดราวไป เป็นผ้าชั้นดีที่หนึ่งสมัยนั้น
    ท่านก็ชอบ ท่านคิดอยากจะห่มจีวรนั้น
    แต่มันก็ไม่หายเสียที นอนลุกไม่ขึ้น
    ก็พอดีขณะที่พี่สาวเอาผ้าจีวรเนื้อดีมาให้
    ท่านบอกว่านี่ไม่ใช่ผ้าของฉันพี่ ผ้าของฉันเนื้อหยาบ
    พี่หยิบผ้าผิด ผ้าเนื้อดีอย่างนี้ฉันรับไม่ได้
    พี่สาวก็บอกว่าไม่ใช่มันเป็นผ้าของคุณเอง
    แต่พี่ไปทำให้มันดีขึ้น ท่านจึงยอมรับ
    รับแล้วก็ไม่กล้าที่จะห่ม เพราะลุกไม่ขึ้น
    คิดว่าถ้าหายมีแรงเมื่อไรจะห่มผ้าเมื่อนั้น
    ในที่สุดท่านก็ตายไปเสียก่อน
    หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในตะเข็บของจีวร
    เล็นตัวเล็ก ๆ นิด ๆ มองเห็นยาก
    ๗ วันก็ตายจากเล็นไปเกิดบนชั้นดุสิต

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท
    เห็นว่าถ้าจิตเราคิดประเภทไหนมันได้อย่างนั้น
    เวลาตายไปตัวไม่ได้ไปจิตไป

    ในเมื่อท่านทั้งหลายอยากจะได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่น
    เข้ามาเป็นสมบัติของตนโดยไม่ชอบธรรม
    ก็ถือว่า เป็นการอยากให้ไฟไหม้บ้าน
    คิดอยากให้ลมพัดบ้านพังทรัพย์สินเสียหาย
    อยากให้น้ำท่วมให้ทรัพย์สินเสียหาย
    อยากให้โจรปล้นของท่าน ลักขโมยปล้นจี้เป็นต้น

    เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ก็เลยไม่ได้พูดถึงคุณกัน
    พูดแต่โทษเวลาก็หมดพอดี
    สำหรับคราวนี้ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี...
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...