หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๑๒ การปฏิบัติตนในศีลข้อที่ ๑

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 6 กรกฎาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หนีนรกกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ ๑๒ การปฏิบัติตนในศีลข้อที่ ๑
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย
    ในระหว่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    กำลังฟังเรื่องราวแห่งการหนีบาป ตอนที่ ๑๒
    การหนีบาปบรรดาท่านพุทธบริษัท
    พระพุทธเจ้าให้ทุกคนปฏิบัติตัดสังโยชน์ ๒ ประการ คือ

    ๑. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย
    เราก็ไม่ประมาทในการปฏิบัติในด้านของความดี
    คิดว่าถ้าจะตายชาตินี้ก็ไม่ขอไปอบายภูมิ คือมีนรกเป็นต้น
    หรือแม้ว่าชาติไหนเราก็ไม่ไปทั้งหมด
    องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงกำหนด
    ให้ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้า
    ความดีของพระธรรม ความดีของพระอริยสงฆ์
    อันนี้เป็นคำแนะนำในบรรดาท่านพุทธบริษัทให้ยอมรับนับถือ
    นี่ไม่ได้ทรงบังคับเป็นแต่เพียงบอกว่า
    ถ้าใครต้องการจะพ้นจากทุกข์ แดนทุกข์ทั้ง ๔ แดน
    ก็ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ใครจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม
    และต่อไปนี้ให้ปฏิบัติในศีลห้า หรือกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ
    ทุกคนจะมีการพ้นทุกข์
    ก็แค่นี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทนี่เป็นอันว่าทรงอารมณ์ไว้ตามนี้

    สำหรับเรื่องราวที่จะพูดต่อไปถ้ารอพูดจบ
    อธิบายให้จบมันนานมาก
    ก็ต้องเอาหัวข้อมาชี้แจงกันก่อน ว่าปฏิบัติจริงๆ

    ๒. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย และอาจจะตายวันนี้ได้เสมอ
    เร่งรัดทำความดีคือ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    มีศีลห้าหรือกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วนบริบูรณ์

    ถ้าเป็นอย่างนี้หลังจากชาตินี้ไปแล้ว
    ถ้ามีความจำเป็นจะต้องเกิดอีกกี่ชาติ
    ขอยืนยันว่าอบายภูมิทั้ง ๔ ไม่มีการเกิดแน่
    การเกิดเป็นสัตว์นรกก็ดี เป็นเปรตก็ดี
    เป็นอสูรกายก็ดี เป็นเดรัจฉานก็ดี
    ไม่มีกับท่านแน่นอนจนกว่าจะเข้านิพพาน

    ต่อไปนี้ก็มาขอต่อตอนที่ ๑๑ ตอนที่ ๑๑ บอกไว้แล้วว่า
    การที่จะปฏิบัติในศีลข้อที่ ๑ ศีลที่มีธรรมะแทรกอยู่ภายใน
    และคิดว่าบรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลายทราบ
    แต่หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบ
    ที่ทราบแล้วก็ขออภัยที่ต้องมาพูดให้รำคาญใจ
    แต่ว่าที่ยังไม่ทราบก็โปรดรับฟังๆ
    แล้วจะปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตาม
    มีความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เป็นสิทธิของท่าน
    ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "อักขาตาโร ตถาคตา" ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอกเท่านั้น
    เมื่อบอกแล้วท่านจะปฏิบัติตามหรือไม่เป็นเรื่องของท่าน

    อาตมาก็เช่นเดียวกันในฐานะที่เป็นสาวก
    ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารุ่นจิ๋ว
    ความจริงจิ๋วเฉยๆ ไม่ถูก จึงเรียกว่ากระจิ๋วหลิว
    คำว่า "กระจิ๋วหลิว" นี่เล็กที่สุดหรือว่ามีเลวที่สุดก็แล้วกัน
    แต่บอกว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารุ่นเลวที่สุด
    แต่ว่ายังเกาะชายจีวรหวิดๆๆๆ ไล่เกาะชายจีวรของท่าน
    หมายถึงว่า พระพุทธเจ้าไปไหนก็จะไปบ้าง
    แต่ก็วิ่งกวดไม่ค่อยทัน ทั้งนี้เพราะอะไร?
    เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านไปนิพพาน
    ท่านไปแล้วอาตมาก็ยังกระต้วมกระเตี้ยมๆ อยู่เมืองมนุษย์
    และเวลานี้เป็นมนุษย์หรือเป็นคนก็จำไม่ได้เหมือนกัน
    ถ้าเวลาไหนสร้างความยุ่งยากให้แก่บุคคลอื่น
    โดยเจตนาร้ายเวลานั้นเป็นคน
    เวลาไหนทำ จิตใจให้แก่คนทั้งหลายมีความแช่มชื่น
    สัตว์ทั้งหลายมีความแช่มชื่นเวลานั้นเป็นมนุษย์
    เรื่องนี้พูดทิ้งไปเดี๋ยวจะเลอะเทอะ

    มาพูดกันถึงศีลข้อที่ ๑ ที่ว่ามีธรรมะสิงอยู่ภายในก็คือ
    "๒ ใน ๔ ของพรหมวิหาร ๔"
    ได้แก่ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร
    ก็รวมความว่าถ้าเรามีความรัก คนที่รักกันนะฆ่ากันไม่ได้แน่
    หรือคนที่กำลังสงสารกันอยู่ก็ฆ่ากันไม่ได้แน่ อันนี้ไม่ต้องอธิบายมาก
    จะบอกว่าผมเคยฆ่าคนที่ผมกำลังรัก กำลังสงสารอันนี้ไม่จริง
    อย่างบอกว่า มีความจำเป็นมันอดมันอยากมากต้องฆ่าลูก
    ทั้งๆ ที่กำลังน่ารักอยู่ หรือต้องฆ่าลูกทั้งๆ ที่กำลังสงสารอยู่
    อันนี้ไม่มีเทวดาที่ไหนเขาเชื่อ
    ถ้ารักกันจริงสงสารกันจริงก็ต้องไม่ฆ่ากัน ไม่ทำร้ายร่างกายกัน
    วิธีอื่นที่ดีกว่านั้นถมไป เมื่อมันไม่มีจะกินจริงๆ อดก็ต้องยอมอด

    และบรรดาท่านพุทธบริษัทมีใครบ้างไหมญาติโยมที่นั่งอยู่ที่นี่
    ที่กำลังนึกในใจว่าจะร้องตะโกนขึ้นมาว่า
    "ท่านเป็นคนไม่เคยอด ไม่รู้ชีวิตจิตใจของคนที่อดอยาก"
    ถ้าญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายตะโกนมาอย่างนี้จริงๆ
    อาตมาก็จะตะโกนตอบไปว่า อาตมานี่เคยอดขนาดหนักมาแล้ว
    ขนาดไม่ใช่มีกินมื้ออดมื้อ ไม่ใช่อย่างนั้น
    ในขั้นถึงกับ ๑๐ วันเศษๆ ไม่เจอะเม็ดข้าวเลย
    ข้าวสุกหรือว่าข้าวเหนียวก็ตาม ไม่เคยเห็นแม้แต่เม็ดข้าว
    หรือถ้าถามว่ากับข้าว กับข้าวต่างๆ ที่บริโภคกัน
    อย่างน้ำพริกปลาร้านี่ เอาเป็นว่าอย่างต่ำที่สุดที่เขาว่าต่ำนะ
    สมัยนั้นอาตมามันไม่ค่อยจะมีกิน ถือว่าน้ำพริกปลาร้านี่สูงที่สุด
    ขนาด น้ำปลาจริงๆ ยังไม่มีสตางค์จะซื้อ ต้องทำน้ำปลากินเอง
    ไอ้การทำน้ำปลากินเองนี่ก็หมายความว่า
    เวลานั้นที่มันมีความอุดมสมบูรณ์เกิดขึ้นแล้ว
    ยามที่อดจริงๆ เครื่องปรุงน้ำปลากินเองก็ไม่สามารถจะทำได้
    ต้องเอาเกลือมาละลายแทนน้ำปลา
    บางคราวอดขนาดไม่มีเกลือจะละลายน้ำ มันตกถึงยามคับแค้นจริงๆ

    บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ถึงอย่างนั้นถ้าถามว่ากินอะไร ?
    ถึงแม้ว่าลำบากยากแค้นอย่างนั้น
    ก็ยังไม่เคยคิดฆ่าบุคคลที่ติดตาม คือ ไปด้วยกันหลายคน
    เรามีอำนาจสูงกว่า เรามีกำลังมากกว่า
    ถ้าจะฆ่ากินเนื้อเสียเมื่อไหร่ก็ได้
    หรือว่าจะฆ่าเพื่อบรรเทาทุกข์เรื่องอาหาร
    เพราะว่าอาหารที่พึงจะหามาได้
    แต่ราคามันแสนยาก ก็หามาได้น้อย ต้องแบ่งกันกิน
    เขาเรียกว่าต้องกินเมื่อได้มาแล้วนะ
    กินแค่ฝาลิ้น ฝาหม้อ ถ้านับกันจริงๆ ก็ได้ไม่กี่ช้อน
    เอามาต้มกินใช้น้ำให้มาก หาของที่มีความเค็มนิดๆ เอามากินผสมกัน
    แล้วก็ไปหาผักมา ไอ้ผักหญ้าทั้งหลายสมัยก่อนมันหาง่าย
    ประเทศไทยเมื่อสมัยอาตมายังไม่บวช ยังหนุ่มอยู่หาง่ายมาก
    ผักหญ้าที่ไหนก็มี เวลานี้มองแล้วมีเจ้าของไปหมด
    เพราะหยิบเฉยๆ ไม่ได้ เอามาถึงแล้วก็ทำยังไง
    เอาน้ำตั้งให้เดือดต้มรสอร่อยไม่ต้องถามกัน
    กินส่งเดชให้ยังชีวิตให้ทรงตัว อาตมาเคยอดมาแล้ว
    อดขนาดนี้แล้วอดหลายครั้งหลายคราวด้วย
    บางครั้งก็ระยะยาวๆ ก็ยังอาศัยที่ยังมี เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร
    แต่เวลานั้นยังไม่เคยคิดว่าจะฆ่าคนที่ติดตามไป
    เพื่อบรรเทาการเปลืองอาหารเลย
    ข้อนี้เป็นข้อยืนยันว่า
    คนที่อดจริงๆ แต่มีความรักเมตตาในลูกหลานก็ไม่มีใครเขาฆ่า

    ถ้าญาติโยมที่ยังฟังอยู่ ที่กำลังคิดจะเถียงก็โปรดทราบไว้ด้วยว่า
    อาตมาเคยอดมาแล้ว แต่อาศัยธรรมะทั้ง ๒ ประการนี้บังเอิญมีในใจ
    และถามว่าเวลานั้นบังเอิญสัตว์ตัวใดตัวหนึ่ง
    อย่างเป็นไก่ป่าก็ดี เก้งก็ดี ละมั่งก็ดี
    เนื้อสมันก็ดี และกวางก็ดี อะไรเป็นต้น
    ถ้าเดินมาจะยิงไหม ความจริงไม่ต้องถามแล้ว
    เห็นอยู่ทุกวัน แต่ไม่กล้ายิง ลูกน้องจะยิงก็บอกว่า อย่ายิงเลย
    สัตว์กับเราก็มีความรู้สึกเหมือนกัน เวลานี้เราอดเราก็มีความทุกข์
    ถ้าบังเอิญเสือเดินมาจะกินเรา เราจะเห็นชอบด้วยไหม ?
    เพราะเสือก็หิว เสือก็ไปเดินหาอาหารจะกิน (เสือหิวเหมือนกัน)
    เห็นเราเข้าเป็นอาหารที่โอชะกินเรา เราจะชอบไหม?
    ทุกคนตอบว่า "ไม่ชอบ"
    จึงได้แต่บอกว่าพวกเก้ง ละมั่ง พวกนี้ก็เช่นเดียวกัน
    เนื้อสมันที่เราเห็น แกก็กำลังไปหากิน
    แกก็กำลังหิวอยู่ ในเมื่อเราให้ความหิวเป็นเจ้าหัวใจ
    ยิงสัตว์พวกนี้ตาย สัตว์พวกนี้อาจจะมีผัว มีเมียอยู่
    ผัวเมียจะคอยอยู่ที่รังหรือมีลูกน้อยๆ ที่กำลังเลี้ยงดูอยู่
    อาศัยพ่อ อาศัยแม่นำอาหารไปให้
    เธอจะต้องพลอยลำบากจะต้องพลอยตายไปด้วย เราจะเห็นชอบไหม ?
    ถ้าเราเป็นอย่างนี้ทุกคนก็เห็นชอบว่า ไม่ควรทำ

    นี่รวมความว่า คนที่มีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร
    นี่ทำไม่ได้แน่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ในเมื่อเราทรงศีลข้อที่ ๑ ได้
    และพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า

    "สีเลนะ สุคติง ยันติ" คนที่รักษาศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง
    ชาตินี้ก็มีความสุข ชาติต่อไปก็มีความสุข
    สำหรับชาติต่อไปยังไม่พูดกัน พูดกันชาตินี้ก่อนดีกว่า
    บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    (เรื่องเสียงสำนวนที่ ขอประทานท่านพุทธบริษัท
    กำลังพูดอยู่นี่ยังป่วยอยู่มาก เป็นวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๘
    อาการป่วยอย่างหนัก แต่วาระมันถึงต้องพูด
    ถ้าไปคอยหายคงจะไม่ได้พูด อาจจะตายเสียก่อนก็ได้
    เมื่อหน้าที่มีก็ทำๆ เพื่อความเข้าใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท)

    สำหรับอานิสงส์ศีลข้อที่ ๑ ในชาติปัจจุบัน

    เราไม่ฆ่าสัตว์ คำว่า "สัตว์" นี่หมายถึงทั้งคนและสัตว์เดรัจฉาน
    ไม่ใช่หมายเอาเฉพาะสัตว์เดรัจฉานอย่างเดียว
    คนก็เรียกสัตว์ "สัตว์มนุษย์" นอกจากสัตว์มนุษย์ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน
    เราไม่ฆ่าเพราะความรัก เราไม่ฆ่าเพราะความสงสาร
    เราก็ไม่ทำร้ายร่างกายเพราะความสงสาร
    ในเมื่อเรามีความรักและมีความสงสาร
    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    สังเกตท่านเองก็แล้วกัน ขณะที่ท่านพบคนที่ท่านรัก
    หรือว่าพบคนที่ท่านสงสารหน้าตาของท่านจะเป็นอย่างไร ?
    จิตใจของท่านจะมีความรู้สึกอย่างไร ?
    มันจะแช่มชื่นดีหรือว่าหน้าบึ้งตึงขึงจอ หรือยิ้มแย้มแจ่มใส
    หรือหน้ากลายเป็นจวัก ลองวาดภาพดูซิ

    รวมความว่าคนเราถ้าพบคนที่เรารักหรือคนที่เราสงสาร
    จิตใจเราจะชุ่มชื่นพบคนที่รัก
    แต่ความจริงคนที่เรารักไม่ทันจะเห็นหน้า
    เพียงแต่คิดถึงชื่อเธอเท่านั้นแหละ
    หรือนึกถึงจริยาของเธอที่แสดงออก
    จิตใจก็สบายแล้ว เมื่อจิตใจสบายหน้าตาที่แสดงออก
    ก็เป็นหน้าตาที่สบาย หรือหน้าตาที่มีความยินดีรื่นเริงหรรษา
    ก็เป็นหน้าที่มีความอิ่มเอิบ เต็มไปด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส
    แสดงถึงอาการสดชื่น เมื่ออาการอย่างนี้ปรกฏขึ้น
    ทุกท่านลองวาดภาพของตัวเองว่า
    ท่านเองนะถ้าเผอิญไปเจอะใครเขาแสดงออกอาการอย่างนั้นเข้า
    ท่านจะปีติมีความอิ่มใจ ดีใจ ชื่นใจ
    จิตใจสดใสหรือว่าเสียใจ มีใจหดหู่
    ในเมื่อเขายิ้มให้เรา เราก็ชื่นใจ
    ดีไม่ดีบางคน คนที่เราเกลียดน้ำหน้า
    ไอ้คำเกลียดน้ำหน้า น้ำหน้ามันมีตรงไหน ที่มีน้ำตา
    ที่เราเกลียดเขาก็แล้วกัน
    พอเดินผ่านไปเขายิ้มให้เราก็ยังยิ้มรับ
    อย่างน้อยที่สุดเวลานั้นเราก็หายเกลียดไปนิดหนึ่ง
    เมื่อท่านยิ้มผ่านไปแล้ว เราอาจจะเกลียดใหม่ก็ยังได้
    ถ้าเจอะหน้าเมื่อไรเราก็ลืมเกลียดไปทุกๆ ครั้ง
    ถ้าเผอิญเขายิ้มให้บ่อยๆ ไอ้อาการที่หยุดเกลียดทุกๆ ครั้ง
    ที่เราเห็นเขายิ้มมันก็จะค่อยๆ หายไปในที่สุด
    ต่างคนต่างก็มีความสดชื่น
    นี่เพราะอาการยิ้ม เราไม่ดีใจ เราไม่ชื่นใจ
    ใจเฉยๆ เราก็ยิ้ม ต่อไปก็ฝึก เราไม่พอใจเราก็ยิ้ม

    ถามว่า "ยิ้มหรือหัวเราะมีประโยชน์อย่างไร ?"

    ก็ต้องตอบว่า "ทำให้สร้างความสดชื่นให้เกิดกับใจ"

    ถ้าจะถามว่า "คนนั้นเกลียดอยู่นี่ เห็นหน้าก็เกลียด
    เรายิ้มให้เราจะชื่นใจแบบไหน"

    ก็ต้องตอบว่า "ต้องพยายามฝืนยิ้มไว้ก่อน
    ตั้งใจฝืนยิ้มไว้ หักใจว่าเกลียดแสนเกลียด
    โกรธแสนโกรธ เพื่อเป็นการรักษากำลังใจหัดยิ้มไว้หน่อยๆ
    พอยิ้มมายิ้มไป ยิ้มไปยิ้มมาแบบนี้ไม่ช้า
    ตัวเมตตากรุณาก็เกิดขึ้น
    ตัวธรรมะก็เกิดขึ้นในใจโดยไม่รู้สึกตัว
    อย่างนี้มีความมั่นคงมาก
    หนักๆ เข้าก็จะกลายเป็นยิ้มจริงๆ
    จะต้องใช้เวลาเป็นแรมปีก็ช่างเถอะ
    ให้ยิ้มจริงมันโผล่เข้ามาได้อารมณ์ใจก็เป็นสุข"

    เป็นอันว่า ในเมื่อเรากลายเป็นคนใจดี
    มี เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร
    ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน
    เราก็กลายเป็นคนที่ไม่มีใครเกลียด
    แต่คนที่จะเกลียดเรานี่ ห้ามไม่ได้แน่นะ
    คำว่า "ไม่มีใครเกลียด" นี่อาตมาพูดไปตามตำรามากเกินไป
    ขอพูดความเป็นจริงว่าคนที่เกลียดเราจะน้อยลงไปดีกว่า

    ตามธรรมดาท่านบอกว่า "เราเมตตาท่าน ท่านก็เมตตาเรา"
    หรือพูดภาษาไทยว่า "เรารักท่าน ท่านก็รักเรา
    เราสงสารท่าน ท่านก็สงสารเรา"

    นี่ตำราว่าอย่างนั้นนะ ตำรานี่คงไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าแท้
    เป็นคำอธิบายของคนภายหลัง แต่ของพระพุทธเจ้าแท้ท่านก็บอกว่า

    "เวลาที่เราจะแผ่เมตตาความรักไปถึงบุคคลอื่นหรือสัตว์อื่น
    อันดับแรกต้องเว้นคนที่เป็นศัตรูก่อน
    เพราะถ้าไปนึกถึงคนที่เป็นศัตรูเข้า ไอ้ตัวเมตตามันจะหายไป
    เลยกลายเป็นการอาฆาตมาดร้าย จองล้างจองผลาญโกรธขึ้นมามันจะไม่ดี"
    นี่ตำราขององค์สมเด็จพระชินสีห์บอกว่า
    "ถ้ากำลังใจยังอ่อน อย่าเพิ่งนึกถึงคนที่เป็นศัตรูกับเรา
    ให้มีจิตเมตตากับคนและสัตว์ที่ไม่เป็นศัตรูกับเราก่อน
    ต่อไปถ้ามีกำลังใจแก่กล้าถึงขั้นพระโสดาบัน
    การเมตตากับศัตรูเริ่มมีขึ้นและก็สดชื่น
    ถ้าถึงสกิทาคามีความสดชื่นยิ่งมีมากขึ้น
    เห็นหน้าศัตรูมีความรู้สึกว่าเพื่อน คือไม่มีการหนักใจ
    ถ้าถึงอนาคามีแล้วไซร้ไม่มีความรู้สึกว่าใครเป็นศัตรูเลย"

    ความจริงก็รู้ว่าเขาเป็นศัตรูแต่จิตใจที่เป็นศัตรูกับใครน่ะ
    ไม่มีแต่นี่ตามขั้นของบุคคล นี่เรามาพูดกันถึงว่าคนที่ยังเป็นปุถุชน
    ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส ค่อยๆ ทำค่อยๆ ไป ต้องฝืนกำลังใจ

    อันดับแรก เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร
    มันเกิดขึ้นในใจก็จริงแหล่ แต่ทว่าเฉพาะคนที่ไม่เป็นศัตรูกับเรา
    คนที่เคยเป็นศัตรูกับเราพยายามฝืนยิ้มให้ เอาปากเมตตา เอาตาเมตตา
    ตามองในฐานะเป็นมิตร จิตอาจจะคิดเป็นศัตรูก็ได้
    แต่ปากยิ้มปากก็เป็นมิตรเวลาพูดก็พูดดี
    ยิ้มแย้มแจ่มใส ตาก็มองรู้สึกคล้ายๆ เป็นมิตร
    แต่จิตคิดเป็นศัตรูก็ช่างมัน มันยังอยู่ข้างใน ให้หน้าฉากดีไว้ก่อน
    ต่อไปถ้ายิ้มบ่อยๆ แสดงอาการความเป็นมิตรบ่อยๆ
    ใจก็จะพลอยสลายตัวไปด้วยในความโกรธ
    อาการที่เป็นศัตรูก็ค่อยๆ สลายไป
    กลายเป็นว่า เราเห็นคนทุกคนกลายเป็นมิตร
    คิดรักเขา คิดสงสารเขา เห็นคนและสัตว์มีสภาพเหมือนกัน
    ถ้าในเมื่อเราเป็นคนใจดีอย่างนี้
    บรรดาท่านพุทธบริษัทการมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคน
    ทั้งหลายก็หายาก อาการอย่างนั้นจะไม่มีเลย
    การจะโต้เถียงกันบ้างด้วยเหตุผลบางประการ
    นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ใช่ทะเลาะกัน ทะเลาะกัน
    ทะเลาะกันนี่มันโกรธ คนที่มีความโกรธเป็นคนไร้เหตุผล
    ในเมื่อเราเป็นคนมีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร
    เหตุผลก็มีมาก ในเมื่อเป็นคนมีเหตุมีผลมาก ความรักมีมาก
    การฆ่ากันไม่มี การทำร้ายกันไม่มี
    ไปไหนก็มีแต่การยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็มีมิตรมากกว่าศัตรู

    สำหรับศัตรูก็คือ คนเลว
    อย่างพระพุทธเจ้านี่ท่านดีแสนดี พระอรหันต์นี่ดีแสนดี
    ยอดของความดีแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเป็นจอมพระอรหันต์
    พระอรหันต์เป็นลูกแถวของพระพุทธเจ้า
    คือ เป็นกองทัพธรรม หมดความรู้สึกในการเป็นศัตรูกับใคร
    มีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน จิตไม่มีกิเลส
    แต่ทว่าองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็ดี
    สาวกของพระองค์ก็ดีที่เป็นพระอรหันต์
    ก็ยังมีศัตรูคอยประหัตประหารคอยหักล้าง
    อย่างพระพุทธเจ้านี่มี เทวทัต เป็นต้น
    ควบคู่กับ โกกาลิกะ กับเพื่อนพระอีก ๕-๖ องค์
    เป็นศัตรูถึงขั้นคิดฆ่าพระพุทธเจ้า จ้างคนฆ่าและกลิ้งหินจะให้ทับตาย
    อันนี้มีศัตรู ดีแสนดีแต่มีศัตรู
    อย่างพระโมคคัลลาน์ ถึงกับถูกเดียรถีย์จ้างคนมาฆ่า
    เป็นการตัดกำลังขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    อันนี้อย่างนี้ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลก
    แต่ว่าคนที่รักท่านมีมากในเมื่อเราก็เป็นคนดีคนรักมาก
    เราก็มีความสุขมาก อันนี้มาพูดกันถึงคนทั้งโลก

    ถ้าทุกคนเชื่อพระพุทธเจ้า ต่างคนต่างไม่มีใจโหดร้าย
    ไม่ฆ่ากัน ไม่ประทุษร้ายกัน โลกจะเต็มไปด้วยความสุข
    โลกเวลานี้ไม่มีความสุข เพราะแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
    ทำสงครามแย่งพื้นที่กัน แย่งทรัพย์สินกัน
    แต่สงครามที่ทำ คนที่คิดแย่งอำนาจวาสนา
    ปรารถนาความเป็นใหญ่ แกไม่ได้ออกไปรบเอง
    แกใช้ให้คนอื่นไปตายแทนแก บาดเจ็บแทนแก โลกจึงได้เป็นทุกข์

    มาชาวบ้านเรา ถ้าหากว่าเราไม่คิดหักล้าง ไม่คิดประหัตประหารกัน
    ต่างคนต่างรักกัน โลกจะเต็มไปด้วยความสุข
    เพราะว่าทุกคนเห็นหน้ากันก็จะมีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใส
    มีแต่ความเป็นเพื่อน จะหลับหรือตื่นก็เป็นสุข
    นั่งหรือนอนไม่ต้องระแวดระวังภัย
    นอกจากโลกจะเป็นสุขแล้ว โลกก็จะรวย

    มีหลายท่าน มีคนหนึ่งบอกว่าจะมาทำวิทยานิพนธ์
    เป็นด็อกเตอร์ เธอบอกว่า

    "เขาพูดกันและเธอเองก็มีความเห็นว่า
    พระพุทธศาสนาไม่ได้ช่วยโลกจริงจัง
    แค่เปาะๆ ความช่วยไว้นิดๆ ไม่ตรงไปตรงมา"

    เธอพูดอย่างนี้ เธอก็พูดตามความรู้สึกของเธอก็ไม่น่าตำหนิ
    พราะคนเกิดมาในโลกนี้มีบารมีไม่เสมอกันอยู่แล้ว
    "บารมี" หมายถึงกำลังใจ คือ
    การใช้ปัญญาที่เรียกว่า "ปัญญาบารมี" ไม่เท่ากัน
    อาตมาจะพูดให้ฟัง อย่างบางคนที่มีบารมีน้อยเหมือนกัน

    ถ้าคนเราไม่ทะเลาะกัน ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน
    ประเทศชาติจะตัดงบประมาณไปได้มาก คือ

    งบประมาณเจ้าหน้าที่ตำรวจ
    หรือว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองบ้านเมือง
    ที่คอยปราบปรามพวกประทุษร้ายซึ่งกันและกัน
    อันนี้ไม่ต้องเลย ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ก็ไม่ต้องมี
    อำเภอ จังหวัด ก็ไม่ต้องมี ตำรวจทหารก็ไม่ต้องมี
    ถ้าไม่มีท่านทั้งหลายเหล่านี้
    งบประมาณของเราก็ถูกตัดลงไปในการใช้จ่าย
    ความสิ้นเปลืองน้อยไป ต่อมาก็อัยการเอย
    ผู้พิพากษาเอย เจ้าหน้าที่ในโรงศาล
    เจ้าหน้าที่เรือนจำ แล้วก็อาคารเรือนจำที่ก่อสร้างใช้เงินมาก
    วัตถุดิบที่ใช้ก็ใช้เงินมาก นักโทษที่เข้าไปถูกขังทุกคนต้องกิน
    แต่ละหัวตั้งงบประมาณไว้เท่าไหร่ ?
    ถ้าหัวละ ๑๐ ต่อวัน ๑๐ คนก็ ๑,๐๐๐ บาท
    ๑,๐๐๐ คนก็หมื่นบาทต่อวันนะ
    แล้วเจ้าหน้าที่ในเรือนจำต้องใช้จ่ายเท่าไร ?

    ก็รวมความว่างบประมาณส่วนนี้ไม่ต้องใช้จ่ายเลย
    เพราะไม่มีใครเขาทะเลาะกัน ไม่มีใครเขาฆ่ากัน
    เป็นอันว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปราม
    ฝ่ายตัดสินหรือว่าฝ่ายคุมขัง ควบคุมไม่ต้องมีเลย
    ประเทศชาติจะรวยขึ้นมาตั้งเยอะ นี่ว่ากันถึงชาตินี้
    นอกจากประเทศชาติจะมีความสุข
    หรือว่าจะมีความเจริญรุ่งเรืองมาก
    เราก็ไม่ต้องเสียหายในทรัพย์สินในการซื้ออาวุธ
    คนที่คิดประทุษร้ายกันต่างคนต่างมีอาวุธ
    เงินที่ต้องจับจ่ายใช้สอยเรื่องอาวุธไม่ใช่เล็กน้อย
    คนหนึ่งแค่มีมีดพับ ๑ เล่ม สมมติว่ามีดพับเล่มละ ๑ บาท
    คนในประเทศไทย ๕๒ ล้านคน มีมีดพับ ๕๒ ล้านเล่ม
    ก็หมดเงินไป ๕๒ ล้านบาท แล้วฝ่ายเจ้าหน้าที่
    ฝ่ายปราบปรามก็ต้องมีอาวุธ ต้องมีพาหนะ
    ต้องมีเบี้ยเลี้ยง จิปาถะไปหมด ก็จ่ายกันดะไป

    รวมความว่า ถ้าคนทั้งชาติมีความเมตตาปรานีซึ่งกันและกัน
    มีความสงสารซึ่งกันและกัน รัฐบาลก็มีความสุขใจ
    การสิ้นเปลืองในการเงินการทองทั้งหลายก็ไม่มี
    และบรรดาท่านพุทธบริษัทเอง
    หรือญาติโยมพุทธบริษัทก็ตามที่เป็นฆราวาส
    หรือเป็นพระก็ตาม ถ้าไม่เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน
    ทุกคนก็มีความสุข เงินที่ต้องจับจ่ายใช้สอย
    เพื่อเป็นการประหัตประหารกันก็ไม่มี
    ทรัพย์สินส่วนนี้ก็จะเป็น ทรัพย์สินนอนตัว
    จะคงอยู่กับกระเป๋าของตนเอง
    เป็นอันว่าความร่ำรวยเกิดขึ้นมาจุดหนึ่ง
    จากการที่ ไม่คิดประทุษร้ายซึ่งกันและกัน

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    ไม่สบายเสียงก็สั่นๆ ไปหน่อยก็ขออภัยด้วย
    ไอ้จะพูดต่อไปก็เอาแค่นี้ก็แล้วกัน
    เห็นผลในชาติปัจจุบันเล็กน้อย
    สำหรับชาติในสัมปรายภพ คือชาติหน้า เอาไว้พูดกันงวดหลัง

    สำหรับวันนี้เวลาหมดแล้ว
    บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องขอลาก่อน
    ขอความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี...
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...