เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน นายจันหนวดเขี้ยวเรื่องจริงนอกตำนาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 16 มิถุนายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน นายจันหนวดเขี้ยวเรื่องจริงนอกตำนาน
    [​IMG]
    จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

    วาระที่ ๑๑ นี้ ท่านพรหมพระเจ้ามังรายมหาราชก็มาเกิดเป็นขุนดาบของพระเจ้าตากสินมหาราช คือ พระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราช สมัยกรุงธนบุรี ก่อนศรีอยุธยาแตกท่านผู้นี้เป็นหัวหน้าพร้อมด้วยคณะนายทหารของชาติ เป็นกำนัน ชื่อว่า กำนันจัน หนวดเขี้ยว มีรูปร่างหน้าตาสวยมีเสน่ห์ กินหมากสูบบุหรี่ ร่างท้วมนิด ๆ เนื้อเต็ม หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นที่รักของบรรดาประชาชนทั้งหลายที่ปกครอง ชาวบ้านรักท่านกำนันมาก ถึงกับตั้งให้เป็น “ขุนบาลไท”

    ซึ่งเป็นตำแหน่งของชาวบ้านตั้งให้ ไม่ใช่ตำแหน่งข้าราชการ แต่ทุกคนเรียกว่า “พ่อ” มีอำนาจมาก อำนาจของท่านก็คือ ความดี วันทั้งวันใคร ๆ ก็จะเห็นกำนันจันหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ถ้าเราจะพูดกันแบบคนเลว ๆ ก็จะหาว่า ท่านกำนันจันเป็นคนอ่อนแอ แต่เนื้อจริง ๆ ลูกรักท่านกำนันจันเป็นคนเข้มแข็ง เป็นคนที่ชนะใจคนทั้งตำบล และก็ชนะใจคนหลายๆ ตำบลทุกคนที่พบกำนันจันก็จะหมอบราบคาบแก้ว ซึ่งความจริงท่านก็เป็นทหารนั่นเอง ไม่งั้นจะสู้พม่าได้ยังไงที่ค่ายบางระจัน
    ต่อมาเมื่อสงครามเกิด เพราะพม่าจะเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ท่านกำนันหนวดเขี้ยวกับบรรดาเพื่อนที่รักรวบรวมกำลังของคนไทยในชาติเท่าที่จะพอหาได้ตั้งค่ายสู้รบกับข้าศึกทั้ง ๆ ที่รัฐบาลไม่มีโอกาสจะสนับสนุนกำนันจันได้เลย เขาเรียกว่า ค่ายบางระจัน คำว่า บางระจันนี่คงไม่ได้หมายความว่า เอาชื่อกำนันจันมาตั้งชื่อค่าย หรืออาจจะมีความหมายอย่างนั้นพ่อก็ไม่รู้ แต่ตำบลนั้นเขาอาจจะชื่อตำบลบางระจันมาก่อนก็ได้

    ความจริงเวลานั้น ถ้ารัฐบาลฉลาด พ่อคิดว่า ข้าศึกไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาได้ ทั้งนี้เพราะกำลังประชาชนส่วนใหญ่ต่อสู้กับข้าศึก มันเป็นโอกาสดีที่เราจะสร้างกองโจรได้ดี ทางฝ่ายรัฐบาลเวลานั้นหาคนดียาก กษัตริย์เวลานั้นจะเป็นใครก็ตาม พ่อขอประณามว่าเป็นกษัตริย์ที่มีอารมณ์โง่ที่สุด เป็นสมัยของข้าราชการที่โง่ที่สุด ถ้าหากว่าประชาชนเขาสู้เราเป็นรัฐบาลก็เอาทหารไปในนามของประชาชน มันก็ไม่ยากไปช่วยกัน หรือมิฉะนั้นก็ยาตราทัพเข้าไปโจมตีเบื้องหลังของข้าศึก หรือทำเป็นหน่วยกองโจรก็ได้ สนับสนุนคนในค่ายบางระจัน แต่นี่เพียงคนในค่ายบางระจันจะขอปืน ทางราชการก็เกรงว่า ข้าศึกจะแย่งปืนในระหว่างทาง จนกระทั่งพระยาอะไรท่านหนึ่ง ท่านอุตส่าห์ไปช่วยหล่อปืนให้ ท่านยังเดินทางไปได้ แล้วทำไมทหารจึงไปไม่ได้ นี่ความโง่ของรัฐบาลสมัยนั้น มันก็เท่ากับความโง่ของรัฐบาลสมัยหนึ่ง หรืออาจจะเป็น ๔ สมัย ที่ทำให้ชาติล่มจมเกือบทรงตัวอยู่ไม่ได้ จะเป็นสมัยใดบ้าง พ่อไม่พูด หวังว่าลูกๆ คงเข้าใจดี และคงจะจำหน้าและเชื่อคนในสมัยที่พ่อพูดนี้ได้ดีกว่าพวกนี้ ถ้าเข้ามาบริหารประเทศเมื่อใด เมื่อนั้นแหละประเทศเราก็ยำแย่ แต่ทว่าพวกเราแย่ เขารวย บางรายจะเป็นผู้แทนสักที ลงทุนกันเป็นล้าน เงินเดือนผู้แทนเท่าไร เป็นอันว่ารัฐบาลสมัยนั้นซวยที่สุด มันเป็นชะตาของประเทศ

    ในที่สุดค่ายบางระจันก็แตก ตามประวัติศาสตร์เขาเรียกว่า คนในค่ายบางระจันตายทั้งหมด แต่พ่อว่า คนในสมัยนั้นเขาไม่โง่เท่าคนเขียนประวัติศาสตร์ คนลงตั้งค่ายได้เกณฑ์คนมาร่วมรบได้โดยไม่มีเงินดาวน์ เงินเดือน เบี้ยหวัด ก็ไม่มี สามารถตั้งเป็นกองทัพต่อสู้ข้าศึกได้เป็นเดือน ๆ แล้ว จะมีคนที่ไหนเขายอมตายทั้งหมด

    พ่อเคยพบนักเลงคนหนึ่งเขาคุยเรื่องตีรันฟังแทงแก่ง ถามเขาว่า คุณเคยหนีบ้างไหม แกยิ้ม บอกว่า ผมพูดมาตั้งหลายชั่วโมงไม่มีใครถาม มีท่านองค์เดียวถาม และบอกว่า ถ้านักเลงจริง ๆ ต้องมีหนี ถ้าไม่หนีก็ไม่ใช่นักเลง เพราะว่าถ้าเราสู้เขาไม่ได้ เราก็ต้องถอยก่อน ถอยเพื่อไปตั้งหลักต่อสู้กับเขาใหม่ นี่จึงจะเป็นนักเลงได้ แต่ว่าถ้าถือตัวว่าเป็นนักเลง แต่ตัวเองไม่สามารถจะถอยในเมื่อกำลังสู้เข้าไม่ได้ ยังงั้นก็ไม่ใช่นักเลงแท้ เขาถือว่าเป็นคนโง่

    ค่ายบางระจันมีกำนันจันพร้อมด้วยเพื่อน ๆ เมื่อพม่าตีค่ายแตกก็เป็นของธรรมดาที่จะต้องเสียกำลังไปประมาณ ๑ ใน ๔ ของกำลังทั้งหมด แต่ว่าเมื่อสถานที่ตั้งมั่นแตกยับเยินอยู่ไม่ได้ก็ต้องสลายตัว การสลายตัวคราวนั้นก็ไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนามมาอีก เก็บเงียบปิดเป็นความลับ ฉะนั้น นักบันทึกประวัติศาสตร์จึงเขียนว่าค่ายบางระจันแตกพร้อมด้วยทุกคนตาย ถ้าปล่อยให้ตายแบบนั้นก็ไม่ใช่กำนันจันขุนดาบฝีมือดี

    กำนันจันคุมกำลังส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ถอยออกจากค่ายไป ในเมื่อข้าศึกมีกำลังมากกว่า จะสู้แบบประจันหน้ากันไม่ได้จึงได้แยกย้ายออก ตั้งเป็นกองโจรทำลายข้าศึกที่ออกหาเสบียง เห็นข้าศึกมากกว่าก็ใช้ธนูหน้าไม้ยิงตัดกำลัง ถ้าข้าศึกมาน้อยก็เข่นฆ่าเสียพินาศ เป็นอันว่าสมัยนั้นแม้ว่ากรุงจะแตก แต่ว่ากำลังของประชาชนที่อยู่นอกกรุงยังรวมกำลังกันอยู่เป็นจุด ๆ แบบเสรีไทย ตั้งกลุ่มกันอยู่เรียงรายตั้งแต่จังหวัดสิงห์บุรี ถึงสุพรรณบุรีมีกำลัง ๑๐ จุด ต่อมาขยายกำลังไปถึงราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ตั้งเป็นกำลังใหญ่เข้าไว้

    ต่อมาเมื่อประเทศไทยหวังในการกู้ชาติ โดยการนำของพระเจ้าตากสิน ก็ได้กำลังคนพวกนี้นี่แหละเข้ามาเป็นกำลังใหญ่ช่วยในการกู้ชาติ เขาไม่ได้เป็นทหารของรัฐโดยตรง แต่ว่าเขาเป็นทหารของประเทศ เป็นกันทั้งผู้หญิงผู้ชาย เมื่อเลิกศึกสงครามแล้วก็ฝึกปรือกันสอนกัน พวกนี้ก็แก่ไป คนใหม่เกิดขึ้น สั่งสอนยุทธวิธีกันตั้งแต่เด็ก จึงมีความชิน ความชำนาญยุทธวิธีในการรบ รบบนหลังช้าง รบบนหลังม้า รบบนหลังควาย รบในทางเดินราบ เขาทำกันละก็สร้างความสามัคคี ตั้งหมวด ตั้งหมู่ ตั้งกองไว้ ที่เรียกกันว่า กำนัน ใครเป็นกำนันก็ชื่อว่า เป็นผู้บังคับกอง ใครเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ชื่อว่าผู้บังคับหมวด ใครเป็นสารวัตรคนนั้นเป็นผู้บังคับหมู่ ใครเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ก็เป็นผู้บังคับหมู่ จัดกำลังกองทัพประชาชนกันไว้แบบเงียบ ๆ ฝึกยุทธวิธีสั่งสมเสบียงอาหาร

    เมื่อเราหวังในการกู้ชาติ กำลังท่านพวกนี้ก็พยายามตัดกำลังข้าศึกนับตั้งแต่เดินทัพเข้ามา หน่วยไหนที่แหลมออกไปเพื่อหาอาหาร หรือออกลาดตระเวน ชาวบ้านธรรมดานี่แหละจะทำท่าไปหากินตามปกติ แต่อาวุธอยู่ไม่ไกลนัก อาวุธสำคัญคือ ธนู กับหน้าไม้ ใช้เป็นอาวุธยาว ติดยางน่อง ซึ่งถูกแล้วเลือดออกนิดเดียวก็ตายได้ ยางน่องที่ติดปลายธนูนี่เข้าทำลายข้าศึกด้วยการตัดอาหารการบริโภค เพราะข้าศึกมันมีเสบียงมาไม่พอยังออกตระเวนกวาดเสบียงจากชาวบ้านด้วย เราก็ค่อยๆ ริดรอนไป ถ้ากำลังมากก็ริดรอนทีละคน ๒ คน ถึง ๑๐ คน แอบตามสุมทุมพุ่มไม้แบบกองโจร ถ้าข้าศึกมากลุ่มน้อย นั่นหมายถึงต้องตายทั้งหมด แล้วทุกคนหลบเข้าป่า ทำท่าเป็นชาวไร่ชาวนาปกติ

    เมื่อพระเจ้าตากสินกู้ชาติสำเร็จแล้ว กรุงศรีอยุธยายับเยินจนไม่สามารถบูรณะเป็นเมืองหลวงต่อไปได้ พระองค์จึงตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง แต่สงครามก็ยังไม่เสร็จสิ้น

    ตอนนี้พรหมพระเจ้ามังรายมหาราชหายสาบสูญจากกำนันมาเป็นขุนดาบคู่พระทัยของพระเจ้าตากสินมหาราช ชื่อว่า พระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง

    ในเวลานั้นแบ่งเป็น ๓ ทัพ คือ ทัพของวังหน้า หนึ่ง ทัพขององค์สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สอง และทัพหลวง สำหรับทัพหลวงนี่เป็นทัพซ่อม เมื่อข้าศึกมา ทัพของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และเจ้าพระยาสุรสีห์ก็ต้องนำทัพออกไปก่อนตามกำลังทหารที่มีอยู่ พระเจ้าตากสินอยู่ข้างหลัง พระองค์ก็ใช้ให้นายทหารคู่พระทัย ๑๐ คน นำกำลังออกไปตามสมควร หรือไม่พระองค์ก็เสด็จเอง นายทหารคู่พระทัย ๑๐ ท่านนี้มีฝีมือดีมาก การรบคำว่า “แพ้ไม่มี” เข้าที่ไหนพังที่นั่น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงรับสั่งให้ชะตาของประเทศไทยอยู่ในตำแหน่ง “กูผู้ชนะ”

    นักรบทั้ง ๑๐ ท่านนี้ พ่อถามท่านบอกว่ามี
    ๑. พระยาศรีสิทธิสงคราม
    ๒. พระยาปราบอริราชศัตรู (เสริม)
    ๓. พระยาศัตรูพินาศ (ประชา)
    ๔. พระยาองอาจราชสงคราม (ไม่เกิด)
    ๕. พระยาสามเมืองระย่อ (ไม่เกิด)
    ๖. พระยาพนอราชบาท (ไม่เกิด)
    ๗. พระยาไพรีพินาศ (ไม่เกิด)
    ๘. พระยาปราบราชปัจจามิตร (ไม่เกิด)
    ๙. พระยาราชมิตรราชา (ไม่เกิด)
    ๑๐. พระยามหาพิชัยสงคราม (ไม่เกิด)

    พูดถึงการสิ้นอำนาจของพระเจ้าตากสินมหาราชนี่ ตามประวัติศาสตร์เห็นจะเขียนผิดความจริงคนเขียนประวัติศาสตร์เขียนไม่ผิด แต่เขียนถูกตามรับสั่งของพระเจ้าตากสินมหาราชกับสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เพราะถ้าหากเขียนถูกตามเรื่องราว ประเทศไทยเราอาจจะต้องย่อยยับเพราะเวลานั้นเป็นการแสดงละครอย่างดีมาก

    สมัยนั้นบ้านเมืองเรายับเยินมาก คนไทยแตกกระจัดกระจายไทยไม่เป็นไท ท่านจำต้องมารวบรวมไทย การเกิดเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม นายทหารเอกก็ต้องทำหน้าที่นี้
    อยุธยาแตกครั้งหลังเพราะอะไร เพราะคนไทยเราแตกความสามัคคี ไม่รักความเป็นไท คล้าย ๆ กับคนไทยใกล้ ๆ สมัยปัจจุบันที่ชาวบ้านเขาไม่รู้จักว่า รัฐธรรมนูญเป็นยังไง ก็ร้องเรียกรัฐธรรมนูญ ชาวบ้านเขารังเกียจสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะมาเคี่ยวเข็ญเขาเข้าไปแล้วก็ไม่ได้เป็นผู้แทนจริง ๆ ไปกอบโกยอำนาจ กอบโกยทรัพย์สิน ทำให้เขาเสียหายมาก คนที่อยากจะเป็นผู้แทนราษฎรก็ให้คำมั่นสัญญากับบรรดาประชาชนไว้ยังไง แต่เวลาเข้าไปในสภาแล้วก็อยากเป็นรัฐบาล แทนที่จะเข้าไปควบคุมรัฐบาลกลับอยากไปเป็นรัฐบาลซะอง ความมุ่งหมายปลายทางที่ประกาศให้สัญญากับประชาชนไว้ก็ไม่เป็นไปตามความมุ่งหมาย การเมืองของประเทศใดก็ตาม ที่ยังมีพรรคการเมืองอยู่ เราก็ยังไม่เรียกประชาธิปไตย ถ้าเป็นพรรคเป็นกลุ่มเขาเรียกคณาธิปไตย แต่อย่างไหนจะดีไม่ดีไม่ขอวิจารณ์นี่พูดตามศัพท์
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...