หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พบพระมหากัสสปะบรมครูฝ่ายธุดงควัตร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 24 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พบพระมหากัสสปะบรมครูฝ่ายธุดงควัตร
    [​IMG]
    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็ยังเป็น วันที่ 9 พฤษภาคม 2533 ก็เป็นอันว่าเมื่อท่านภุมเทวดาท่านเล่าให้ฟัง ต่างคนต่างก็บันทึก ก็บอกท่านก่อน บอกว่าอย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่ด้วยกันก่อน

    ท่านบอก ไม่ไปหรอกครับ ผมมีหน้าที่เฝ้าพวกท่านอยู่ตามหน้าที่ เวลานี้หน้าที่อย่างอื่น องค์อื่นทำแทน และภุมเทวดามีด้วยกันหลายองค์ ที่นี่ผมมีหน้าที่คอยดูแลรักษาท่านโดยเฉพาะ ท่านมีอะไรก็เรียกใช้ได้เลยขอรับ รู้สึกว่าเทวดาท่านใจดี ก็พากันบันทึก

    เมื่อบันทึกเสร็จก็ถามท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วาจาของท่านซึ่งเป็นเทวดาย่อมเป็นวาจาจริง ก็มีโลกเดียวโลกมนุษย์ ที่พูดจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ทีนี้ก็อยากจะทราบว่าของที่ท่านพูดทั้งหมด จะมีอะไรตามความเป็นจริงบ้างขนาดไหน จะพิสูจน์กันได้อย่างไร มีอะไรเป็นสัญลักษณ์

    ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ท่านไปที่นั่น เวลาท่านจะไป ท่านก็บอกผม ผมจะพาไป จะไห้ชี้จุดหลักเขต กำหนดเขตที่เขาจะทำเจดีย์กัน มันยังมีหมุดอยู่ หมุดเขตนี่เป็นหิน ปักอยู่ 4 ทิศ แต่ทว่าเวลานี้ดินกลบไปหมดแล้ว

    ผมจะชี้ให้ท่านดู และจะช่วยท่านขุดคุ้ยขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ว่า ที่นี่เป็นสถานที่ฝังอาวุธยุทโธปกรณ์และกูบช้าง ตลอดจนเครื่องกษัตริย์จริง ๆ และก็ที่หินตรงนั้นจะมีภาษาเขียนเป็นภาษาพิเศษ เป็นศัพท์ย่อ แช่งไว้ด้วย ก็ถามว่า คำแช่ง เป็นคำแช่งของใคร ท่านบอก เป็นคำแช่งของคณาจารย์ ไม่ใช่พระอรหันต์ พระอรหันต์มีหน้าที่เพียงพยากรณ์อย่างเดียว ไม่แช่งใคร

    หลังจากนั้นก็ไปดูกัน ต้นไม้มันก็รก หญ้ามันก็รก เทวดาท่านก็แหวก ความจริงไม่ใช่ใช้มือแหวก อย่าไปนั่งนึกว่า เทวดาใช้มืออย่างคนนะ นี่แค่ภุมเทวดา ท่านก็ดีกว่าเราเยอะ ท่านบอก ตรงนี้ครับ

    หญ้าแหวกหายไป ดินแหวกหายไป เห็นหลักชัยชนะตระหง่าน ใหญ่โตมากกว้างประมาณ 4 ฟุต ยางก็ประมาณ 4 ฟุต เขียนเป็นอักษรขอมจารึกไว้ แล้วก็มีเหมือนกันทั้ง 4 ด้าน ดูครบ 4 ด้าน เมื่อเดินกลับมาใหม่ ต้นหญ้ากับดินมันก็มีเหมือนเดิม

    แต่ความจริงที่เห็นไม่ใช่แหวกต้นหญ้าไม่ใช่รื้อดิน แต่อำนาจของเทวดาทำให้เราเห็น เวลานี้เสาหินที่ว่าเป็นเขตนี่ยังอยู่ข้างนอกเขตบริเวณรั้ว หากว่าใครจะพิสูจน์ก็ลองเอาแทรกเตอร์ไปไถดูก็แล้วกันมันก็จะลึกประมาณสัก 1 เมตร แต่ว่าถ้าไม่พบ ก็อย่ามาด่ากันก็แล้วกันนะ ต้องบอกเทวดากันเสียก่อน

    หลังจากนั้นก็มาคุยกันต่อไปว่า นี่ฉันมานานแล้ว ไม่ได้ทำรายงานส่งหลวงพ่อปาน กลับไปคงถูกดุ ท่านภุมเทวดาก็บอกว่า หลวงพ่อปานท่านไม่ดุหรอก ท่านรู้เพราะว่าพวกท่านมีความหนักใจและมีความทุกข์ในสถานที่อยู่ จะบันทึกกลางวันเวลาบันทึกก็น้อย กลางคืนก็นอนน้อย อากาศก็เย็นจัด ฉะนั้น ท่านท้าวโกสีย์สักกเทวราช จึงมีบัญชาให้ท่านวิษณุกรรมเทพบุตร มาสร้างภูเขาชั่วคราว แล้วก็สร้างถ้ำชั่วคราว สร้างสถานที่ชั่วคราวให้อยู่

    ท่านภุมเทวดาท่านก็ถามว่า ท่านจะอยู่ที่นี่นานไหม ก็เรียนให้ท่านทราบว่า จะกลับก่อนเข้าพรรษาสักหนึ่งวันพระ อย่างช้าก็เป็นวันพระขึ้น 8 ค่ำเดือน 8 จะกลับ จะอยู่ที่นี่ให้นาน ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ก็เลยถามท่านบอกว่า สถานที่ตรงนี้ ที่ภูเขาตั้งนี้ เดิมทีมีอะไรเป็นสำคัญบ้าง เคยมีบ้านมีเมืองไหม

    ท่านก็บอกว่า สมัยก่อนบ้านเมืองมันมีเยอะ ตรงนี้ก็เป็นวังของพระมหากษัตริย์ เวลานั้นมันเป็นเมืองเล็ก ๆ เป็นหย่อม ๆ คือ เป็นหัวหน้าคนนั่นเอง เป็น พ่อบ้าน เมืองก็ไม่ใหญ่นัก ขนาดใหญ่โตจริง ๆ ก็เท่าเขตอำเภอ และมีกำลังในกองทัพก็ประมาณ 4-500 คน ต้องมีกองทัพกันคนอื่นเข้ามารุกราน และก็สถานที่นี้มีความเจริญรุ่งเรือง

    ท่านก็ชี้ไปภูเขาลูกหนึ่งว่า ภูเขาลูกนั้น เป็นคลังเก็บทรัพย์สมบัติของกษัตริย์ในสมัยนั้น ก็ถามว่าเวลานี้มีถ้ำเป็นที่เข้าไปไหม ท่านบอกว่า ถ้าจะเข้าตามทางที่มนุษย์เข้าจริง มันเข้ายาก แต่ว่าถ้าจะเข้าไปอย่างผมเข้า มันก็เข้าไม่ยาก ท่านจะไปไหมล่ะ ก็บอกว่า ไป ท่านบอกว่า ไปละก็ต้องทิ้งกายไว้ตรงนี้นะ กายนอก ไอ้กระสอบข้างนอก ทิ้งไว้ตรงนี้ เอากายในที่เหมือนกายผมนี่ไปด้วยกัน ไปที่ไหนก็ไปได้ ก็เลยตกลงใจบอก เอ้า..ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกัน

    เมื่อตัดสินใจว่าไป ก็ออกจากกายนอก เหลือแต่กายในไปด้วยกัน กายในของเราก็สวยไม่แพ้ภุมเทวดา เดินไปด้วยกัน เดินไปแป๊บเดียวก็ถึง พอไปถึงก็ต้องตกใจ หน้าถ้ำมีหินปิด ปิดหลายชั้น และก็สูงมาก ยาวมาก เข้าไปข้างใน กลายเป็นถ้ำใหญ่ มีความยาวเหยียดหลายเส้น และมีความกว้างพอสมควร ข้างในก็ไปเจอะ เทวดาชั้นจาตุมหาราช 4 องค์

    พอเข้าไปข้างใน ท่านก็ยกมือไหว้ บอก อ้าว..เพื่อนเก่ามาแล้วหรือ ก็เลยตกใจถามว่าฉันเป็นเพื่อนกับท่านหรือ ท่านบอก แหม.. ท่านนี่มันลืมง่าย เป็นคนเกิดง่าย ตายง่าย เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวตาย เดี๋ยวเกิด เกิดไม่รู้กี่ครั้ง ตายไม่รู้กี่ครั้ง

    สมัยที่ท่านอยู่กับผมนี่ ก็อยู่แถวนี้แต่บริเวณเขตนี้ ก็เป็นที่อารักขาของพวกเรา ท่านก็เป็นเจ้าของอารักขา แต่เวลานี้ไปแล้วก็ลืม ทำลืม เรื่องก็บอกว่าไม่ทำลืมหรอก มันลืมจริง ๆ ก็ถามว่า ที่นี่มีอะไรบ้าง ท่านก็มองปราดไป ไอ้ตาข้างในนี่ มันดีกว่าตาข้างนอกเยอะ

    ถ้าจะว่ากันจริง ๆ ก็คือ กายทิพย์ ตามันก็ทิพย์เห็นหมด ทองเหลืองอร่าม ทองแท่งใหญ่ ทองแท่งเล็ก มันจะยาวจริง ๆ ประมาณสัก 500 เมตร ตั้งเป็นทิวแถว ต่อมาก็เป็นทองรูปพรรณ เป็นเพชรนิลจินดา เป็นเงินเบี้ยที่เขาใช้กันบ้าง เป็นแท่งทองแท่งเงินบ้าง ที่เขาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน

    ก็ถามว่าท่านเทวดาชั้นจาตุมหาราชว่า ไอ้ของทั้งหลายเหล่านี้ มันมาอยู่ได้อย่างไร ท่านก็บอกว่า กษัตริย์สมัยนั้น เขาเก็บที่นี่เป็นการเก็บหลบข้าศึก แต่มีทางช่องเข้าต่างหาก ท่านก็ทำให้ดูช่อง ไอ้ช่องนั้นก็เป็นช่องลดเลี้ยวเคี้ยวคด เดินยาวมากกว่าจะออกปากทางได้ เป็นสถานที่ลี้ลับป้องกันไม่ให้ข้าศึกรู้และก็เวลาจะใช้ ก็นำมาใช้มีคนรู้เฉพาะ ไม่รู้มาก คือเป็นเจ้าหน้าที่เป็นชั้น ๆ ไม่ใช่รู้ทั้งหมดก็ไม่ต้องอธิบาย

    เป็นอันว่า ชมดีแล้ว ก็นึกเชื่อภุมเทวดานี่ท่านเก่งจริง ก็เลยถามเทวดาชั้นจาตุมหาราชท่านหนึ่ง ท่านนี้แต่งตัวสวย คาดเข็มขัดเป็นเพชร แพรวพราวเป็นระยับ ที่คอมีเพชร ที่เสื้อมีเพชร ถามว่า ท่านเป็นเทวดาชั้นไหน ท่านบอกว่า ผมเป็นเทวดาชั้น มหาอำมาตย์ ถามว่าท่านประจำอยู่ที่นี่หรือ

    ท่านบอกเปล่า ก็รู้ว่าท่านจะมา ผมก็เลยมาดักที่นี่ ที่นี่เป็นอาณาเขตอารักขาของพวกผม มีภุมเทวดาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ถามว่า กษัตริย์องค์นั้น ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินเวลานี้ไปเกิดที่ไหน ท่านก็หันหน้ามายิ้ม ๆ ท่านบอก กษัตริย์องค์นั้น เวลานี้เป็นพระ

    ก็ถามว่า ถ้าพระองค์นั้นจะเอาทรัพย์สินนี่จะได้ไหม ท่านบอกพระองค์นั้น ถึงแม้จะเป็นกษัตริย์มาก่อน เป็นเจ้าของมาก่อน ก็ไม่มีสิทธิ เพราะทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิราช เมื่อตายไปแล้ว ก็หมดอำนาจที่จะพึงครอบครอง

    ถามว่า เวลานี้พระองค์นั้นอยู่ที่ไหน ท่านบอก นี่ กำลังคุยอยู่นี่ พระที่กำลังคุยอยู่นี่ นี่เจ้าของนะ เขาจึงพาให้มาดู ไม่ได้เคยเป็นเจ้าของมาก่อน เขาไม่ให้เห็นหรอก และก็ถามว่าถ้าอย่างนั้น ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าฉันจะเอาไปสักชิ้นหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ให้หลวงพ่อปานดูจะได้ไหม

    ท่านบอกว่า ท่านต้องการจริงๆ ผมให้มากกว่า 1 ชิ้น แต่ว่าหากว่าท่านจะพร้อม ยอมที่จะถูกหลวงพ่อปานด่า ถามว่า ทำไม ท่านก็เลยบอกว่า ที่หลวงพ่อปานสั่งมา ผมได้ยินทั้งหมด หลวงพ่อปานบวงสรวงผมไปด้วยนะ ก่อนที่ท่านจะมา ห้ามติดลาภ ห้ามติดยศ ห้ามติดสรรเสริญ ห้ามติดความสุข นี่พวกท่านก็ชักจะเผลอมา 2-3วัน ติดความสุขในถ้ำนี่ มันไม่ดีนะ ถ้านำทรัพย์สมบัติไปชิ้นเดียวเท่านั้น หลวงพ่อปานจะสั่งระงับการธุดงค์ทันที

    แหม.. อยากจะกราบเทวดาองค์นั้นที่ท่านเตือน พอนึกในใจว่า อยากจะกราบความดีของท่าน ท่านบอกไม่ต้องกราบผมหรอก เพียงแค่ไม่ฝืนกันก็ดีแล้ว ท่านทำดีแล้ว ผมจะช่วยอารักขาทุกอย่าง

    ภุมเทวดาที่มาด้วยนี่ เขามีหน้าที่แค่ผู้ใหญ่บ้าน ผมมีหน้าที่เสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอะไรก็บอกภุมเทวดามา ถ้าเกินวิสัยของเขา เขาก็บอกนายอำเภอ บอกกำนัน แล้วก็มาบอกผม ถ้าเกินวิสัยของผม ผมก็บอกท้าวมหาราช เกินวิสัยท้าวมหาราช ท้าวมหาราชก็ทูลพระอินทร์ทราบ ก็หมดเรื่องกัน ก็เลยขอบใจท่าน

    และก็ถามว่าภูเขาลูกนี่ ถ้าจะพูดไปได้ไหม ท่านบอกว่า ควรเอาเครื่องบัดกรี บัดกรีปากเสีย ทิ้งเลย แต่ความจริงเวลานั้น ท่านสั่งมา ก็รับคำก็ไม่ได้พูดกับใครเลย เวลานี้ก็ไม่ได้พูดกับใคร พูดคนเดียว นั่งพูดคนเดียว แล้วเขาก็ไปเขียนเป็นหนังสือ จะหาว่าผิดสัจจะก็ไม่ได้และใครอยากรวย ก็ไป คอหักตายไม่รู้ด้วย เป็นอันว่าถ้าอย่างนั้นก็ลาท่านเทวดากลับ พอจะกลับทั้ง 4 องค์ก็มาส่งทั้งหมด

    พอมาถึงสถานที่พัก เทวดาใหญ่ท่านมหาอำมาตย์ก็บอกว่า ท่านอย่าประมาทในชีวิตสิครับ สถานที่ใดมีความสุข สถานที่นั้นก็มีความทุกข์ ก็ถามว่า เอ๊ะ ลุงเทวดา มาเทศน์ให้ฟังอีกแล้ว ไหนลองเทศน์ให้ละเอียดหน่อยสิ มันเป็นอย่างไร ท่านบอก สถานที่นี้มีความสุข แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในสถานที่นี้มันมีความทุกข์ คือตัวพวกท่านทั้ง 3 องค์นั่นแหละ ท่านมีความทุกข์จาก

    1. ความเหนื่อยจากการเดินจงกรม

    2. นั่งมากเกินไปก็เหนื่อย

    3. นอนมากเกินไปก็เหนื่อย ยืน เดินมากเกินไปก็เหนื่อย

    4. ท่านต้องมีความทุกข์เรื่องอาหาร ถ้าปฏิบัติไม่ดีหน่อยเดียว ไม่ได้กินอาหาร

    ก็เป็นอันว่า ที่ท่านมีอาหารฉันอยู่ทุกวันนี้ เพราะท่านมีความดี แต่ท่านก็อย่าลืมความดี ร่างกายมีความสุขจิตใจมีความสุข แต่อย่าลืมทุกข์ที่มันคืบคลานเข้ามาหาจงตั้งหน้าตั้งตาเจริญ วิปัสสนาญาณ กับสมถภาวนา ให้ทรงตัว

    แล้วท่านก็บอกว่า ท่านท้าวมหาราช คือ ท่านท้าวเวสสุวัณสั่งมา ท่านบอกว่า สิ่งที่ต้องการจะรู้ทั้งหมด ถ้ามีอะไรไม่เกินวิสัย ที่ท่านท้าวเวสสุวัณจะบอกได้ ท่านจะบอกให้ จะได้ทำรายงานให้หลวงพ่อปานทราบ

    เวลานี้ท่านก็จดเสียสิว่า เขาลูกนั้น ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของเขาชั่วคราวลูกนี้ ประมาณ 7 กิโลเมตร บ้านแถวนั้นเขาเรียกกันว่า บ้านเดื่อ แต่สมัยต่อไปข้างหน้า เขาก็เลิกเรียกแล้ว ไม่รู้เรียกอะไร มันเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีต้นมะเดื่ออยู่ต้นหนึ่ง เขาเลยเรียกว่า บ้านเดื่อ

    เขาลูกนี้ เขาก็เรียกว่า เขาบ้านเดื่อ และก็มีทองมาก มีทรัพย์สมบัติมาก มีเพชรนิลจินดามาก มีน้ำหนักของทองจริง ๆ ไม่น้อยกว่า 50 ตัน ทองรูปพรรณต่างหาก มีเทวดาชั้นจาตุมหาราชรักษาอยู่ 4 องค์ องค์ที่เป็นหัวหน้า เป็นชั้นมหาอำมาตย์ประดับเพชร และก็มีภุมเทวดาเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีสัมภเวสีทั้งหลายนับพันเป็นบริวาร สำหรับทำร้ายและมุ่งร้าย ขัดขวางบุคคลที่จะมาทำลายทรัพย์สิน พอบันทึกเสร็จ ท่านก็บอกว่า จบแล้ว

    พอจบแล้วท่านก็จะลาไป ก็บอกเดี๋ยวก่อน ๆ เพื่อนเก่าไหน ๆ ก็บอกว่าเป็นเพื่อนเก่าเราก็คุยกันก่อน วันพรุ่งนี้พบกันใหม่ได้ไหม ท่านบอก พร้อมเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านต้องการพบผมเมื่อไร นึกถึงผม เรียกผมว่า นายจัน
    ถามว่า จันน่ะ เป็นชื่อของเทวดา หรือเป็นชื่อสมัยเป็นคน ท่านบอก สมัยเป็นคน สมัยเป็นคน ผมชื่อ นายจัน สมัยที่พระนเรศวรมหาราชมารบที่นี่ ผมมารบด้วย ก็ถามบอก เออ..แล้วแกทำไมไม่ตายล่ะ เวลานั้นแกตายหรือเปล่าผมไม่เคยตาย ผมออกทัพจับศึกทุกครั้ง ไม่เคยตายและก็ไม่เคยบาดเจ็บ

    ถามว่า หนังเหนียวหรือ บอก หนังผมก็ไม่เหนียว หรืออาจจะเหนียวก็ได้ ผมก็รู้ไม่ได้ แต่ผมไม่เคยถูกอาวุธ จึงได้ถามว่า ในเมื่อรบกันทำไมจึงไม่ถูกอาวุธ ท่านบอกว่า ผมเป็นกองเสบียง หุงข้าวเลี้ยงทหาร ไอ้ข้าว ไอ้กับ ไอ้หมูเนื้อต่าง ๆ ผมกินพุงปลิ้น ทหารได้กินไม่เท่าผมหรอก ผมมันทหารกองเสบียง เขาเรียก พลาธิการ

    ก็เป็นอันว่า เวลานั้นก็รู้เรื่องราวความเป็นมาต่าง ๆ จึงถามบอกว่า ตามที่ท่านรุกขเทวดาบอกน่ะ ตรงไหม ท่านบอกว่า ตรง จึงถามว่า เวลาที่พระเอกาทศรถ กับพระนเรศวรมหาราช รบที่ตรงนี้ หรือรบที่ตรงอื่น

    ท่านบอก เท่าที่รบกันจริง ๆ ที่ลาดหญ้า ไม่ใช่ที่ตรงนี้ ทุ่งลาดหญ้า จังหวัดกาญจนบุรี ทัพเข้าไปปะทะกันที่นั่น และก็ทำการรบกันที่นั่น ในเมื่อพระมหาอุปราชเสียท่ากองทัพก็ถอย กองทัพไทยก็ตีหนัก เข้าก็ใช้ยิงปืนมาถึงพระเอกาทศรถกับพระนเรศวรมหาราช แต่บังเอิญท่านมีพระแคล้วคลาด มีพระหนังเหนียว ไม่เป็นไร

    และในที่สุด เมื่อฆ่าพระมหาอุปราชตาย ก็คิดว่าจะทำเจดีย์ที่ตรงนั้น ก็มีนายทหารผู้ใหญ่ค้านว่า ที่ตรงนี้เป็นที่รบกันเป็นที่ย่ำเหยียบ ถ้าทำเจดีย์ไม่ช้าเจดีย์ก็พัง สัญญลักษณ์ก็จะสลายตัว มาทำที่ป่าศรีประจันต์ดีกว่า จึงหาแหล่งที่จะทำแล้วมาทำที่ป่าศรีประจันต์นี่

    ก็เป็นอันว่า ท่านพุทธบริษัท ท่านอ่านประวัติศาสตร์ก็ดี ฟังมาก็ดี ถ้อยคำของเทวดาค้านกับประวัติศาสตร์ก็ไม่ขอบอกว่า ประวัติศาสตร์ผิด และเสียงที่อาตมาฟังนี่ อาจจะฟังผิดก็ได้ ฉะนั้น อย่าไปโทษ ใครผิดใครถูกเลย อ่านเป็นเรื่องนิทานไปก็แล้วกัน

    เป็นอันว่า พอพูดจบ ท่านเทวดาก็ลากลับ เพราะมันค่ำมากแล้ว พวกเราก็เข้าเจริญสมาธิตามธรรมดา ญาติโยมทั้งหลายอ่านมาถึงตอนนี้ ก็จงอย่าเพิ่งชมว่าดีนะ โดยมากจะเข้าใจพระผิด พระไม่ทันจะดี ก็บอกว่าดีเสียแล้ว ถ้าพระหลงดี ก็จะเหลิงจากความดีที่ยังมีความดีไม่ถึง ดีไม่ดีพระองค์นั้นก็จะลงนรกไป

    ที่ทำได้อย่างนี้ พบกับเทวดาก็ได้ ถอดกายภายในไปเที่ยวก็ได้ ไปทั้งกายภายใน และกายภายนอกก็ได้ อย่างนี้ยังไม่ชื่อว่าดีเพราะอะไร เพราะว่ายังเป็นฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์นี่ยังไม่พ้นปากของอบายภูมิ คือ ยังไม่พ้นนรก ถ้าพลาดเมื่อไร ก็ลงนรกเมื่อนั้น ก็ต้องดูกำลังใจว่า กำลังใจตัดนิวรณ์ 5 ประการครบหรือเปล่า

    1. ความรักในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ยังอยู่เต็มแหง ๆ นี่มันเป็นความเลว แต่ว่าที่มันยังอยู่ก็เพราะอยู่คนเดียวไม่พบสาวที่ไหน ถ้าพบสาวเข้าเมื่อไรอาจจะหลงใหลใฝ่ฝันในสาวก็ได้ นี่ยังไม่เจอะกันของที่ยังไม่สัมผัสกัน จะถือว่าตัดได้นั่นไม่ได้ อารมณ์ยังมี แต่ว่าคอยกดอารมณ์ไว้ด้วย กายคตานุสสติ กับอสุภกรรมฐาน คอยยับยั้งไว้

    และประการที่ 2 อารมณ์ไม่พอใจ มีไหม ยังมีไม่พอใจใคร โดยมากไม่พอใจตัวเองที่การคล่องตัวยังไม่มี ไอ้สิ่งที่เราต้องการนี่มันก็เป็นอารมณ์เลวที่ยังไม่ควร ถ้าความไม่พอใจในตัวเองมี ความไม่พอใจในบุคคลอื่นก็ต้องมี ต้องยับยั้งไว้ด้วย พรหมวิหาร 4

    เข้าสมาธิคิดว่า เราจะไม่ไปไหน จับ อานาปานสติ กับพุทธานุสสติ พอจิตทรงตัวนิดหน่อย ก็คลายอารมณ์นิดหนึ่ง ใช้กำลังวิปัสสนาญาณ เห็นว่า ร่างกายเป็นทุกข์ ทุกขังในอริยสัจ จะต้องกิน จะต้องใช้ จะต้องเดิน จะต้องขี้ จะต้องเยี่ยว จะต้องหนาว จะต้องร้อน จะต้องป่วยไข้ไม่สบาย จะต้องแก่ จะต้องตาย ร่างกายนี่เป็นฐานที่มาของความทุกข์ เราไม่ควรจะเมาร่างกายต่อไป แต่เวลานั้น ปรารถนาพระโพธิญาณ คิดว่า เราต้องการอย่างเดียว คือ พระโพธิญาณ ถ้าถึงพระโพธิญาณเมื่อไร เวลานั้นเราก็ไปนิพพาน

    ตอนนั้นขอยอมรับว่า ไม่เข้าใจเรื่องนิพพานจริง ๆ แต่ 2 องค์นั่น เขาไม่มีอะไร ปั๊บเขาจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ มันต่างกันตั้งเยอะ ทั้ง 2 องค์ท่านเก่งกว่าตั้งเยอะ ลิงขาวกับลิงเล็ก (แต่ลิงขาวตัวจริงนะ ไม่ใช่ลิงขาวปลอม ๆ ลิงขาวที่เป็นช่อดอกไม้นั่นไม่ใช่มันคนละตัว)

    ถ้าลิงขาวจริง ๆ ท่านเก่ง ท่านเป็นพระอริยเจ้า คือ อย่างที่ลุงวิบอกท่าน ท่านตัดสังโยชน์ 3 ได้แล้ว (ลิงขาว กับลิงเล็ก) นั่นหมายถึงเป็น พระโสดาบัน หรือสกิทาคามี ท่านบอกว่า ได้โสดาบันอย่างหยาบ ก็หมายถึง อย่างต้น ก็ยังดีกว่าเราเยอะ อาตมายังไม่ได้อะไรเลย อย่าลืมนะ อย่างนี้ยังอยู่ในขั้นเลวนะ ญาติโยมนะ ยังเลวอยู่ ยังมีนิวรณ์ 5 อยู่ แต่ว่าที่อยู่ได้เพราะอดกลั้น

    หลังจากนั้นเวลาที่ทำไป เมื่อคลายจากอารมณ์จากสมถะ ก็เข้ามาจับวิปัสสนาญาณทีนี้ต่อไปก็จับวิปัสสนาญาณ บวกสมถะนั่นหมายความว่าใช้วิปัสสนาญาณนำหน้า ใช้สมถะตามหลัง คือ ใช้กำลังวิปัสสนาญาณพิจารณา และใช้อานาปานสติควบ ทำทั้ง 2 อย่างประเดี๋ยวเดียวจิตตก

    คำว่า จิตตก ก็หมายความว่า จิตตกจากภวังค์ นั่นก็หมายความว่า จิตตกจากอารมณ์เดิม จิตมีความละเอียด มีอารมณ์ดิ่ง ลมเกือบจะไม่กระทบร่างกายภายในอย่างนี้เขาเรียก สมาบัติขั้นสูงของฌานโลกีย์ จิตตกในสมาบัติมีอารมณ์ดิ่ง มีความสุข มีเอกัคคตารมณ์ มีความแน่นสนิท มีจิตสว่างโพลง สักครู่หนึ่ง
    เมื่อกำลังมันเต็มที่ มันก็หลุด กายภายในหลุดจากกายภายนอก มันไปของมันเองไป บื้ด.ก็ขึ้นไปพระจุฬามณีเจดียสถานเวลาขึ้นไป ต่างคนต่างขึ้น ต่างคนต่างไม่นัดหมายกัน มันก็ไปพร้อมกัน ตามกันขึ้นไป แป๊บเดียวก็ถึง พระจุฬามณีเจดียสถาน
    ก่อนที่จะเข้าพระจุฬามณี เห็นหลวงพ่อปานยืนอยู่ กราบหลวงพ่อปานท่าน ท่านบอกทำดีแล้วลูก ทำอย่างนี้ถูก และการที่บันทึกไว้นั่นก็ถูกต้อง เป็นที่พอใจของพ่อ เห็นไหมท่านอยู่วัด เราอยู่ป่า เราทำอะไรท่านก็รู้
    จึงเข้าไปนมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับพระอรหันต์ ก็ตามท่านเข้าไป ท่านก็พาไปกราบพระพุทธเจ้า ใครจะว่าพระพุทธเจ้าเป็นพุทธนิมิต อะไรก็ตามเถอะ ไม่ว่าใครละ ขอถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน เป็นรูปพระพุทธเจ้าใช้ได้ อันนี้ไม่เถียงกัน แล้วกราบพระอรหันต์ทั้งหมด
    ก็มีพระองค์หนึ่ง ท่านมาลูบศีรษะคือ พระมหากัสสป ท่านบอกว่า นักธุดงค์นี่ต้องเป็นนักธุดงค์จริง ๆ นะ อย่าธุดงค์หวังเงินหวังทอง เห็นเงินเห็นทองเป็นของดี นี่ไม่ใช่นักธุดงค์ โอ..โดนด่าเข้าแล้ว
    ก็ถามว่า เท่าที่ผมล้อเทวดา เป็นความผิดหรือครับ ท่านบอกว่า มันไม่เป็นความผิด แต่ว่ามันก็เป็นปรามาส ปรามาสในความดี ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่า อย่าหลงในรูปเสียง กลิ่น รส และสัมผัส อย่าทำใจให้เศร้าหมอง อย่าทำใจให้มัวหมอง
    เรื่องของอดีต เป็นเรื่องของอดีต เรื่องของปัจจุบัน เป็นเรื่องของปัจจุบัน เวลานี้เราต้องการพระโพธิญาณ ปักใจไว้เพื่อพระโพธิญาณอย่างเดียว ก็พอดีได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสว่า กัสสปพูดถูกแล้ว กัสสปพูดถูกแล้ว
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...