หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน ฝึกอตีตังสญาณ ในป่าศรีประจันต์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 24 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อธุดงค์ กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน ฝึกอตีตังสญาณ ในป่าศรีประจันต์
    [​IMG]
    วันนี้ วันที่ 9 พฤษภาคม 2533 วันนี้ก็จะคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัทเรื่อง ซ้อมอตีตังสญาณ ที่ป่าศรีประจันต์ ตามเดิม ขณะอยู่ที่ป่าศรีประจันต์ รู้สึกว่ามีความสุขมากเพราะว่าในสถานที่นี้ ลุงวิก็มาสร้างภูเขาให้ สร้างถ้ำให้ มีสนามเดิน มีสนามหญ้า มีสวนดอกไม้ มีต้นไม้ใหญ่พุ่มไสว มีเตียงนอน นุ่มนิ่ม เตียงเป็นหิน แต่ว่านุ่มนิ่ม ภายในถ้ำก็มีธารน้ำไหล อากาศก็สบาย มีความสุข ที่นี่มีความสุขกว่าที่ป่าศรีประจันต์ด้านตะวันออกมาก ฝั่งทิศตะวันออก อยู่กับโคนต้นไม้ แต่ก็มีความสุข

    แต่ว่าป่าเวลานั้น บรรดาท่านทั้งหลาย หากว่าท่านทั้งหลายมีอายุประมาณสัก 60 ปีเศษ ๆ ขึ้นไป ก็จะเข้าใจถึงป่าในเวลานั้น ถ้ามีอายุน้อยกว่านั้นจะมีความเข้าใจยาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าเวลานั้นมีป่ามาก ประเทศไทยมีที่ว่างน้อย คนไทยยังน้อยคนไทยมีประมาณ 10 ล้านเศษ ๆ เครื่องจักรเครื่องกลทำลายป่ายังไม่มี ต้นไม้ต้องใช้เลื่อย เลื่อยบ้าง ใช้ขวานฟันบ้าง กว่าจะตัดออกสักต้นก็แสนยาก ดินแดนที่ทำมาหากินก็หาง่าย

    ถ้าใครต้องการป่าที่ไหนจะทำไร่ไถนา ก็ไปตัดต้นไม้ตรงโน้นไว้ต้นหนึ่ง มุมนี้ไว้ต้นหนึ่งมุมนี้ไว้ต้นหนึ่ง มุมนี้ไว้ต้นหนึ่งแสดงว่าที่ตรงนี้เป็นที่ของฉัน หลังจากนั้นก็ไปขอใบเหยียบย่ำจากเจ้าหน้าที่ แล้วก็มาค่อย ๆ ถางป่า ป่ามีมาก ความเย็นก็สูง อากาศตอนเย็น ๆ ประมาณสัก 3 โมงเย็น ก็เริ่มเย็นมากแล้ว 4 โมงเย็นน้ำค้างตก 5 โมงเย็น ถ้านั่งข้างนอก จีวรเปียก ป่ามันหนาว และก็มีความเย็นสูงมาก แค่ป่าใกล้ ๆ เป็นป่าสำหรับฝึกธุดงค์ชั้นอุกฤษฏ์ที่หลวงพ่อปานท่านให้ปฏิบัติก็ยังมีความอุดม

    สมบูรณ์ด้วยเสือสางนางไม้ เก้ง ละมั่ง กระต่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนัขจิ้งจอกและหมาป่าก็ยังมี ที่หายากเข้ามานิด ก็คือ ช้าง ช้างมีเหมือนกัน แต่นาน ๆ จะพบสักทีหนึ่ง

    เป็นอันว่า การอยู่ฝั่งทิศตะวันออกของ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ก็อยู่แบบชนิดที่เรียกว่า คนอยู่ป่าใหม่ ๆ เวลาตื่นขึ้นเช้า กลดที่บังน้ำค้างก็เปียกโชกน้ำไหลโกร๊ก ดีไม่ดี ก็ขึ้นลงข้างล่าง ทีนี้พอลุงวิท่านพามา มาอยู่ที่ถ้ำชั่วคราว ขอเรียกตามท่าน อยู่ที่ถ้ำ และเขาชั่วคราว (มันจะเป็นชั่วคราวหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) ที่นี่มีความสุข

    สถานที่เดินก็มีเงื้อมเขาชะโงกมาเป็นหลังคา น้ำค้างตกลงมาก็ไม่ถูก มีลานสำหรับเดินเล่น มีลานหญ้ามีต้นไม้สวย ๆ มีดอกไม้สวย ๆ และก็ไม่ต้องบำรุง ไม่ต้องรดน้ำ ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด สวยจริง ๆ กลางคืนเสียงจักจั่นเรไรร้อง เสียงไพเราะ นาน ๆ จะได้ยินเสียงเสือร้องสักครั้งหนึ่ง เสือร้องกลางคืนเสียงครืด ๆ ๆ ไม่ใช่ปี๊บ ๆ ๆ ก็มีความสุขอยู่กันอย่างสบาย

    แต่การอยู่ธุดงค์ต้องระมัดระวัง นั่นก็คือว่าการที่จะต้องอดข้าวกินจะต้องระวังทางด้านจิตใจ ไม่ให้นิวรณ์กวนใจ ขึ้นชื่อว่า นิวรณ์ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันต้องกวนตลอดเวลา คำว่า นิวรณ์ เดี๋ยวท่านจะไม่ทราบว่าอะไร บางท่านไม่ทราบ คำว่า นิวรณ์ เป็นภาษาบาลีตามพระไตรปิฏกท่านแปลว่า เป็นกิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง นั่นก็หมายความว่าคนใดถ้านิวรณ์รบกวนใจ ประจำใจอยู่ เวลานั้นเป็นคนไร้ปัญญา นิวรณ์ 5 ประการก็คือ

    1. ความรักในระหว่างเพศ ขอเจาะเอาสั้น ๆ คือ รักรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ก็ขอบอกสั้น ๆ ว่า ความรักระหว่างเพศ รักแก้ว ถ้วยโถโอชามสร้อยถนิมพิมพา ก็รักแค่นั้นแหละ ความรุ่มร้อนมันมีน้อย ถ้าเกิดรักคนสวยขึ้นมานี่ ความเร่าร้อนมันมีมาก เลยถือใช้คำนี้เป็นคำสำคัญ และก็

    2. อารมณ์ไม่พอใจ จะต้องมีอารมณ์แช่มชื่นอยู่เสมอ

    3. ความง่วงในขณะที่ปฏิบัติความดี

    4. อารมณ์ฟุ้งซ่านนอกรีตนอกรอย สร้างวิมานในอากาศ

    5. สงสัยในความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกฏของกรรม

    รวมความว่า ทั้ง 5 อย่างนี้ จะต้องไม่ให้เป็นเจ้าหัวใจ มันมีได้ แต่ทว่า มันก็ต้องมีไม่ใช่ไม่มี แต่มันมีขึ้นเดี๋ยวเดียว ต้องรีบตกลงไป

    ถ้า กามฉันทะ เกิดขึ้น ก็ใช้ ภายคตานุสสติ กับอสุภกรรมฐาน เข้าหักล้าง

    ถ้า ความโกรธ ความพยาบาท เกิดขึ้น ใช้ พรหมวิหาร 4 เข้าหักล้าง

    ถ้า ความง่วง เกิดขึ้น เอาน้ำล้างหน้า หักล้าง

    ถ้า ความฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นจับ อานาปานสติ หักล้าง

    ถ้า ความสงสัยเกิดขึ้น ใช้ ปัญญา ใคร่ครวญความเป็นจริง ถึงความ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ความแก่ ความเก่า ในท่ามกลาง การเปลี่ยนแปลงในท่ามกลางการแตกสลายในที่สุด

    ค่อย ๆ ทำมันไปตามนี้เบา ๆ ไม่ต้องเรียนมาก เวลาที่เข้าป่าเพิ่งได้นักธรรมตรี กำลังจะเรียนนักธรรมโท และเวลาว่างก็อ่านแบบนักธรรมโทไปด้วย หนังสืออธิบายด้วย ถ้าหากว่าไม่เข้าใจตอนไหนก็ขีด ๆ เส้นใต้ ไว้ถามพระท่านต่อไป พระท่านอธิบายเข้าใจง่าย ๆ ไม่ยากเหมือนครูสอน

    ต่อมาวันหนึ่งก็มานั่งหารือกันว่า บรรดาพวกเราทั้งหลายก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ขณะที่เราฝึกอยู่ที่ป่าช้าวัดบางนมโค ตอนนั้นหลวงพ่อปานสั่งอะไรไว้เป็นสำคัญ สิ่งที่สั่งไว้เป็นสำคัญก็คือ อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาแล้ว

    อย่างที่ป่าช้าวัดบางนมโค มีอะไรบ้างต้องเขียนแต่ละสมัย ไปรายงานให้หลวงพ่อปานทราบ เวลาที่เราไปเที่ยว วัดบางปลาหมอก็กลับมาเขียนรายงานให้ทราบว่า ในอดีตมีอะไรบ้าง ไปเที่ยววัดหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอกก็ต้องรายงานให้ทราบ ไปเที่ยววัดสามกอ ก็ต้องรายงานให้ทราบ อย่างนี้เป็นต้น

    ทีนี้ก่อนจะมา หลวงพ่อปานสั่งว่า เธอจะไปที่ไหนก็ตาม ไปพักที่ไหนก็ตาม ต้องรู้อดีตของที่นั่น แต่ทว่าความสำคัญที่พวกเรารู้ บางทีหลวงพ่อปานก็ขีด ๆ ว่า ถูก บางทีก็บอกว่าถูก แต่ไม่ครบถ้วน บางทีก็บอกว่า ถูก แต่ว่าผิดสมัย สมัยที่น่าจะรู้มากกว่านี้ ทำไมจึงไม่รู้ ก็รวมความว่า เรารู้ไม่จริง

    ความรู้จริงต้องอาศัยตามที่ อาจารย์ทองบอก อาจารย์ทองบอกว่า การรู้ด้วยกำลังของฌาน 4 ยังมีอุปาทานกินมาก ถ้าจะรู้จริง ๆ ไม่พลาด ต้องอาศัยถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง คือ ถามพระพุทธเจ้าเอง

    ที่นี้ สมัยที่อยู่ฝั่งทิศตะวันออกของแม่น้ำศรีประจันต์ ใกล้อำเภอผักไห่ เราไม่มีเวลาจะทำกลางวันก็แย่ กลางคืนก็เครียดจากความหนาว เวลานี้เรามีความสุขสบายแล้วในเรื่องการรู้เรื่องราวสถานที่ต่าง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งตรงนั้นทั้งทั่วประเทศ หรือทั่วโลก เราอยากจะรู้อะไรที่ไหน เราก็สามารถรู้ได้ แต่ว่าพวกเราจะรู้กันอย่างไร เอามาสอบกันดีไหมต่างคนต่างใช้อตีตังสญาณ แล้วมาสอบกัน เพื่อนทั้ง 2 ก็ค้าน

    ท่านลิงขาวบอกว่า ทำอย่างนั้นได้ แต่ว่าอุปาทานมันจะกินมาก ยิ่งเรามีความสนใจมาก อุปาทานก็กินมาก และอีกประการที่ 2 เราไม่มีเครื่องสอบสวน เอากันอย่างนี้ดีกว่าทางที่ดี ถามตรงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นการรบกวนท่านเกินไปไหม ความจริงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ไม่น่าจะกวนพระพุทธเจ้า

    ท่านอีกองค์หนึ่ง ท่านลิงเล็กก็บอกว่า เป็นความจริง เรื่องอย่างนี้ไม่น่าจะกวนก็คิดว่าอย่างน้อยที่สุด ท่านเจ้าของที่ คือ ภุมเทวดาท่านต้องรู้ ภุมเทวดาไม่ใช่ว่าจะมีขอบเขต และมีร่างกายเป็นทิพย์ มีใจเป็นทิพย์ มีอารมณ์เป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์ มีหูเป็นทิพย์ ทิพย์ทั้งหมด ถ้าหากว่าภุมเทวดาท่านบอกว่า ความรู้ท่านแคบไป เราเอาแค่ท่านรู้ หลังจากนั้นก็ถามรุกขเทวดา รุกขนางฟ้า ถ้ารุกขเทวดา รุกขานางฟ้า ท่านบอกเราแคบเกินไป เราก็ถามอากาสเทวดา ต่อไปดีไหม ทุกองค์ก็เห็นพร้อมใจกันบอก ดี

    ทีนี้เราจะรู้อะไรก่อน เพื่อนก็บอกว่า เวลานี้เรามาอยู่ใกล้ดอนเจดีย์ ดอนเจดีย์เป็นสถานที่ไม่ทราบว่าประวัติศาสตร์เขาเขียนกันว่าอย่างไร จริง ๆ แล้วมีความเข้าใจว่า ฝังศพพระมหาอุปราช เขาว่าอย่างนั้น ทีนี้เราก็ไม่แน่ใจว่า คนเขียนเขาจะเขียนถูก หรือเขียนผิดหรือเราจะรู้ถูกรู้ผิด เราก็ไม่ทราบ เราจะถามใคร ทั้ง 2 องค์ก็นิ่ง

    เมื่อนิ่งแล้วก็เสียงดังคล้าย ๆ หินโยนตึ๊กข้างหลัง เหลียวไปดู เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวสวย เขาใช้ชุดทรงสีขาวนุ่งผ้าพื้น ใส่รองเท้าเชิงงอน ใส่เสื้อเรียบ ๆ มีเครื่องผูกหัวน่ะ ผูกผมนิดหน่อย เป็นผู้ชาย เดินมาแล้วก็ยกมือไหว้ถามว่า ท่านคุยกันเรื่องอะไรครับ ก็ถามว่าคุณมาจากไหน ท่านก็ตอบตรงไปตรงมาว่าผมเป็นภุมเทวดาที่นี่ครับ

    ท่านวิ (ลุงวิ) สั่งผมไว้ว่าท่านมีธุระอะไร ถ้าไม่เกินวิสัยของผม ให้ผมบอก ถ้าเกินวิสัยของผม ให้ถามรุกขเทวดาต่อ ถ้ารุกขเทวดาตอบไม่ได้ ถามอากาสเทวดาชั้นจาตุมหาราช ถ้าเกินวิสัยจากท่านนั้นก็ให้ถามตรงท่านวิเลย สำหรับท่านวิอะไร ๆ ก็รู้หมด

    เลยถามว่า ท่านเป็นภุมเทวดาอยู่ที่นี่นานไหม ท่านงบอกว่า ถ้าจะนับอายุมนุษย์ก็ประมาณ 300 ปีเศษแล้ว ก็ถามว่า ถ้านับอายุเทวดาจะเท่าไร ท่านบอกว่าใช้ 50 หารสิครับ 50 ปีของมนุษย์เป็น 1 วันของผม 300 ปีนี่มันกี่วัน 6 วันเท่านั้นเอง ก็ถาม ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเวลาหลับเวลานอน ท่านบอก เทวดาไม่มีความจำเป็นต้องนอน เทวดาไม่มีความจำเป็นต้องหลับ คำว่า เหนื่อยของเทวดา ไม่มี เพราะเทวดาไม่มีขันธ์ 5

    เลยถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้นที่ดอนเจดีย์นี่อยากจะทราบว่า เขาฝังศพพระมหาอุปราชใช่ไหม ท่านบอกว่า ไม่มีใครเขาเอาข้าศึกมาบูชาหรอกครับ (แหม..ท่านตอบน่ารัก) พระมหาอุปราชกษัตริย์ของพม่าเวลานั้นเป็นศัตรูกับคนไทย ยกทัพมาย่ำยี่ ไทยอาศัย พระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมาก จึงเข้าชนช้างกัน ในที่สุด ก็ฟันพระมหาอุปราชตาย และพระเอกาทศรถก็ฆ่านายทหารของเขาตายพร้อมกัน ทีนี้

    ศพคนเลว ๆ แบบนี้ ไม่มีใครบูชา ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้นเขาฝังอะไรไว้ล่ะ ท่านบอก เขาฝังเครื่องสาตราวุธที่มีอยู่บนหลังช้างทั้งหมด ก็ถามว่า ช้างไม่วิ่งหนีหรือ ท่านตอบ ช้างมันวิ่งหนีไม่ได้เพราะควาญช้างก็ถูกฆ่าตายเช่นเดียวกัน จับช้างได้จึงเอากูบช้างลงมา อาวุธทั้งหมดในนั้นมีครบ ถอดเครื่องกษัตริย์วางไว้ แล้วก็นำมาขุดหลุมฝังที่ตรงนี้ แล้วทำเจดีย์ครอบ ก่อนที่จะฝัง เขาทำพิธีกรรมเหยียบย่ำกันอย่างหนัก

    เรียกว่า สาปให้พม่าฉิบหายขายตนไปเลย เมื่อถามท่านต่อมาว่า การเหยียบย่ำใครเหยียบ ก็บอกว่า พราหมณ์หรือเจ้าพิธีกรรมเป็นคนเหยียบ ไม่ใช่พระนเรศวรเป็นคนเหยียบ และตอนทำพิธีกรรมเหยียบย่ำแล้ว เขาทำอ่างเก็บไว้ เวลานี้ของทั้งหลายเหล่านั้นยังอยู่ดี เขาทำเป็นอ่างเก็บดีเรียบร้อย ไม่มีสนิม และก็ปิดสนิท

    หลังจากนั้นก็ทำเจดีย์ เมื่อทำเจดีย์เสร็จ ก็นิมนต์พระมาสวด พระมาทำพิธีกรรมพระแก่ที่เป็นหัวหน้าที่สุดเป็น อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เวลานั้นมีพระอรหันต์มาร่วมจริง ๆ 6 องค์ นอกจากนั้นก็เป็นพระอันดับต่ำลงมา พระทรงฌานโลกีย์ แล้วก็ถามท่านต่อไปแล้วอย่างไรต่อไป ท่านก็บอกว่า ถามเท่านี้ ตอบเท่านี้ แล้วจะเอาอย่างไรอีกล่ะ

    ก็ถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นคำสาปของพระอรหันต์จะมีผลขนาดไหน ท่านตอบว่าคำสาปของพระอรหันต์ ท่านลุงวิบอกแล้ว บอกว่า ประเทศไทย ก็เป็นประเทศไทย ไม่เป็นประเทศราช ไม่เป็นขี้ข้าของพม่าต่อไป แต่พม่ายังจะมีการรุกรานประเทศไทยต่อไปอีก ตามกฎของกรรมของคนไทย และก็เป็นกรรมของทหารพม่า

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าทหารพม่า เจ้านายยกทัพมา มันก็ต้องตายกัน พลัดลูกพลัดเมีย พลัดพ่อพลัดแม่ ผู้หญิงเป็นหม้ายไปตาม ๆ กัน ก็รวมความว่า สงครามไม่มีอะไรดี สงครามมีแต่ความโหดร้าย แล้วต่อไปประเทศไทยก็ต้องย้ายไปที่ บางกอก คือฝั่งธนบุรี หลังจากนั้นจะต้องอยู่ฝั่ง กรุงเทพ คือ ฝั่งบางกอกใหญ่

    แล้วก็ถามท่านบอกว่า เวลานี้ก็อยู่ที่กรุงเทพแล้ว ก็อยากจะทราบจริง ๆ เอากันจริง ๆ นะว่า พระนเรศวรมหาราชทรงสวรรคตขณะที่จะยกทัพไปตีพม่า กำลังใจของท่านเวลานั้นมีกำลังใจอย่างเดียว คือ ฆ่า หรือจับ ยึดประเทศชาติให้ได้ ทำลายพม่าให้ได้ กำลังใจเต็มอารมณ์ของความบาป อยากจะทราบว่า พระนเรศวรตกนรกหรือเปล่า ท่านภุมเทวดาท่านก็บอกว่าไม่ตกนรกครับ เลยถามท่านบอกว่า ขนาดที่บาปยกทัพจะไปรบกันน่ะ มีแต่อาวุธ ทั้งกำลังใจตั้งใจจะห้ำหั่นกัน ท่านภุมเทวดาท่านก็บอกว่า ความจริงการยกทัพไปรบก็มีอารมณ์ 2 อย่าง

    1. อยากจะห้ำหั่นข้าศึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องการมากอย่างยิ่ง คือ ยึดพื้นที่

    และประการที่ 2 มีความต้องการ ให้บุคคลภายหลังในประเทศของเรา อยู่ร่มเย็นเป็นสุขด้วยความเมตตาปรานี จะได้ไม่ถูกบรรดาพม่าทั้งหลายรบกวนต่อไป กำลังใจเป็นทั้งบุญ และบาป

    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักรบทุกคนที่ไปรบนั้นหรือเวลาอื่นก็ตาม ทุกคนตื่นขึ้นเช้าเป็นนักบุญหมด พอเทวดาบอกอย่างนั้น ก็ตกใจว่า นักรบเป็นนักบุญหมด ถาม นักรบเป็นนักบุญอย่างไร ท่านก็ตอบว่า นักรบทุกคน ตื่นขึ้นมาแล้ว นึกถึงพระอันดับแรก พระที่ห้อยอยู่ที่คอ ความจริงนะ พระจริง ๆ ไปรบมากกว่าคนไปรบ คน 30 คน มีพระเกิน 100 องค์ที่ร่วมรบ

    เป็นอันว่า นักรบทุกคนเวลาตื่นขึ้นเช้าไม่อยากตาย ปลุกพระ อาราธนาบารมีพระให้ช่วย คำว่า พระที่ห้อยคอ นี่หมายถึง พระพุทธเจ้า และก็หมายถึง พระสงฆ์ผู้ทำพระ เขานึกถึงพระที่ห้อยคอแล้ว เขาก็ปลุกด้วยคาถาตามที่เขาเรียนมา เป็นการอาราธนาบารมีของความปลอดภัยของตัว เขาเป็นนักบุญทุกวัน

    ในเมื่อเขาเป็นนักบุญอย่างนี้ ถ้าถูกฆ่าตายในขณะที่จิตใจนึกถึงพระ แทนที่เขาจะไปนรก เขาไปสวรรค์ทันที เพราะใจนึกถึงพระ (เอาเข้านั่น) และพระนเรศวรมหาราชก็เช่นเดียวกัน พระองค์ไม่ได้นึกถึงพระเฉพาะป้องกันพระองค์เอง นึกถึงพระให้ป้องกันทหารในกองทัพทั้งหมด นึกว่าขอให้ชนะข้าศึก เพื่อให้คนไทยทั้งหมดมีความสุข เมตตาสูงมาก ฉะนั้น พระนเรศวรมหาราชท่านจึงไม่ลงนรก

    เมื่อฟังไปแล้วก็คิดว่า เอ๊ะ…นี่เราได้ความรู้จากเทวดา เราคิดกันมานานแล้วว่า ถ้านักรบต้องตกนรก นี่ไม่ใช่เสียแล้ว เทวดาพูด เราต้องเชื่อ ถ้าใครจะไม่เชื่อ ก็เชิญไปซักเทวดาที่ศรีประจันต์ก็แล้วกัน ข้าง ๆ กับดอนเจดีย์ เลยถามไปนิดว่า ขอต่ออีกหน่อยได้ไหม ท่านถามว่า ต่ออะไร อยากจะถามว่า พระนเรศวรมหาราชทรงสวรรคตแล้ว ไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน

    ท่านตอบทันทีเลยว่า นักรบไปอยู่ชั้นจาตุมหาราชเป็นนายของพวกผม ถามว่า เวลานี้พระนเรศวรมหาราชอยู่ทิศไหน ท่านบอกว่า เวลานี้พระนเรศวรมหาราชอยู่ทิศตะวันออกของประเทศไทย คำว่า ตะวันออก นี่หมายถึง ประเทศไหน หรือแหล่งไหน ท่านบอก ไม่ใช่

    เวลานี้พระนเรศวรมหาราชเกิดเป็นคนแล้ว และอยู่ในประเทศด้านทิศตะวันออกของประเทศไทย จึงถามว่าท่านบอกว่า พระนเรศวรมหาราชเป็นคนไทย หรือเป็นคนแขก หรือเป็นคนลาว หรือเป็นฝรั่ง ท่านบอกว่า เป็นคนไทยที่เกิดในเมืองฝรั่ง และในกาลต่อไปข้างหน้าวาระเข้ามาถึง พระนเรศวรมหาราชจะเข้ามาครองประเทศไทยในฐานะเป็น พระมหากษัตริย์

    บรรดาท่านพุทธบริษัทอ่านเรื่องนี้แล้ว ทิ้งไว้ก่อนนะอย่าเชื่อนะอย่างไปเชื่อ ถ้าจะเชื่อก็ถามท่านผู้รู้จริง ๆ อันนี้เป็นการฟังจากภุมเทวดา ถามว่า เป็นกษัตริย์จะเป็นกษัตริย์นักรบไหม ท่านบอกว่า ขึ้นชื่อว่า พระนเรศวร เกิดชาติไหน รบชาตินั้น แต่การรบตอนหลัง พระนเรศวรจะไม่มีเวลาพักผ่อน

    ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นกษัตริย์ก็จะรบเรื่อยไป จนกระทั่งยันวันตายเลย บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คนไทยทั้งชาติไม่ต้องทำมาหากินกันละ ก็รบกันอย่างเดียว ภุมเทวดาท่านบอกว่า ไม่ใช่ คนไทยทั้งชาติ ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน แต่พระนเรศวรมหาราชจะตั้งหน้าตั้งตารบ ถามว่า รบองค์เดียวหรือ ท่านบอกว่า มีคู่หูรบ ถามว่า รบกับอะไร รบกับใคร รบอย่างไร ท่านบอกว่า รบกับความยากจนของคนทั้งชาตินั่นคือ พระนเรศวรมหาราชมีพระเมตตากรุณากับคนไทยมามาก

    ในกาลก่อนที่ต้องการรบ ก็เพราะว่า ต้องการให้บรรดาประชาชนมีความสุข ถ้าพม่ารบกวนอย่างนั้น คนไทยจะมีความสุขไม่ได้ จะตั้งตัวไม่ได้ ก็มีความจำเป็นต้องรบ เสี่ยงชีวิตแม้ต้องปีนค่าย เอาปากคาบดาบ เอามือยึดค่าย เท้าปีนค่ายก็เอาขึ้นไปฟันกับข้าศึก ถ้าพลาดพลั้งมันก็ต้องตาย เสียสละชีวิตของพระองค์ เพื่อคนไทยทั้งชาติขนาดนี้

    และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นนิสัย ขึ้นชื่อว่า นิสัย นี่ละไม่ได้ ดู พระสารีบุตร เคยเป็นลิงเหมือนกัน นิสัยลิงต้องโดด เมื่อถึงลำคลอง ลำรางพอจะข้ามได้ก็ไม่ข้าม กระโดด จนกระทั่งพระบวชใหม่สงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงบอกว่า กิเลส ละได้ แต่นิสัย ละไม่ได้ ขนาดเป็น อัครสาวก

    ทีนี้สำหรับ พระนเรศวรมหาราชเป็นนักรบ เป็นนิสัย เกิดชาติไหน ก็ต้องรบชาตินั้น ในเมื่อเกิดชาติตอนหลังขึ้นมา โอกาสที่จะรบอย่างนั้นมันไม่มี เพราะว่า มีแม่ทัพ มีนายกอง มีรัฐบาลควบคุมงานการบริหาร รัฐบาลควบคุม พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องวางแผนรบกับความยากจนของบรรดาประชาชนชาวไทย ถามท่านว่า อีกกี่ปี จะถึงวาระที่พระนเรศวรมหาราชมาครองประเทศไทย ท่านบอกว่า หากว่าท่านอยู่ไปไม่ตาย ไม่นานนักท่านก็มาครองประเทศไทยแน่ เวลาที่ถาม เป็นสมัยของรัชกาลที่ 8
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...