เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พระเจ้าตากสินมาเยี่ยมหลวงพ่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 13 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พระเจ้าตากสิน
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน - เรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม ๑
    [​IMG]
    ใน พ.ศ. 2500 ปีนั้นป่วยมาก แล้วก็ไปนอนรักษาอยู่ที่กรมแพทย์ทหารเรือ ไปนอนอยู่ที่ตึก 1 เป็นตึกพิเศษ นอนไปได้ 2 คืน ปรากฏว่าคืนที่ 2 นั้น เวลาประมาณ 4 ทุ่ม มันกี่นาฬิกาล่ะ 22 นาฬิกากระมัง มันพูดภาษาเก่ากันดีกว่า เรียกว่า 4 ทุ่มเศษๆ ไฟฟ้าในห้องยังไม่ดับ แล้วประตูก็ใส่กลอนแล้วถึงเวลานอน นอนคนเดียว ยังไม่หลับเหมือนกัน ปรากฏว่าประตูลงกลอนแล้วมีคนผ่านเข้ามา คนๆ นั้นนุ่งกางเกงสีขาวแค่เข่า เป็นกางเกงขาสั้นใส่เสื้อสีขาว รูปร่างหน้าตามีส่วนมีทรงสวยมาก หมายความว่า เป็นลักษณะผู้ชายที่อยู่ในเกณฑ์สวย ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงมาก มายืนอยู่ที่ข้างมุ้ง ไฟฟ้ามันยังไม่ดับก็เห็นชัด จะหลับตาก็เห็นจะลืมตาก็เห็น ก็ถามว่าใคร ท่านผู้นั้นก็รายงานว่า ผมคือพระเจ้าตากสินความจริงพระเจ้าตากสินนี้ ผู้พูดเองขณะที่ป่วยใหม่ๆ ไปนอนอยู่ที่นั่น ทราบว่าเป็นเขตของท่านเพราะเป็นจังหวัดธนบุรี เวลาบูชาพระก็พูดถึงท่านว่าขอฝากตัวด้วย ในฐานะที่มาอยู่ในเขตของพระองค์ ขอให้พระองค์ให้ความคุ้มครอง หากว่าจะมีผีหรือเปรตตนใดมากลั่นแกล้งก็ขอให้ช่วยกำจัดให้พ้นไปด้วย เพราะว่าไม่สบายอยู่ จะตกอกตกใจ การรักษาโรค โรคที่เป็นอยู่จะกำเริบขึ้น อธิษฐานอย่างนี้มาสองคืน คืนนั้นก็ปรากฏว่าท่านมา ท่านบอกว่าท่านเป็นพระเจ้าตากสิน มองแล้วลักษณะไม่น่าจะเป็นกษัตริย์แต่เป็นคนดี ทรงดีมาก ท่าทางดีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง สมควรแก่การเป็นนักรบ แต่ไอ้การนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียวแล้วก็ใส่เสื้อแขนสั้น แต่ก็สุภาพ ก็เลยบอกกับท่านว่ากษัตริย์นี่เขาแต่งตัวกันแบบนี้หรือ คนที่แต่งตัวเป็นอสุรกุ๊ย แล้วบอกว่าเป็นกษัตริย์ ใครเขาจะเชื่อ ไม่เชื่อหรอก ถ้าเป็นกษัตริย์จริงๆ ลองแต่งเครื่องทรงกษัตริย์มาให้ดูซีท่านบอกว่า ถ้าสงสัยอย่างนั้นก็ได้ ประเดี๋ยวจะแต่งให้ดู แล้วก็ไม่เห็นไปเอาเสื้อกางเกงที่ไหนมาใส่ปรากฏว่าเครื่องทรงกษัตริย์มีครบถ้วนบริบูรณ์ เอาเข้าไปยังงั้น มองดูแล้วก็แปลกใจไม่เห็นไปแต่งที่ไหนนี่ มันเกิดขึ้นเอง ท่านก็ยิ้ม ถามว่าเชื่อหรือยัง ก็เลยบอกว่าเชื่อ ถ้าแต่งตัวแบบนี้เชื่อ แต่ว่าจะเป็นพระเจ้าตากสินจริงหรือไม่จริงก็ช่างเถอะ ในฐานะที่ท่านมาเยี่ยมอาตมาได้อาตมาก็ขอบใจ อาตมาขอความคุ้มครอง เกรงว่าผีที่เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหลายจะกลั่นแกล้งทำให้ตกใจ ถ้าโรคมันกำเริบหมอเขารักษาไม่เสียสตางค์อยู่แล้ว ไม่ต้องเสียค่ายา จะเปลืองยาเขามากเกินไป ท่านก็ยิ้ม บอกได้ขอรับ เพราะท่านบอกผมมา 2 คืนแล้ว คืนนี้ก็มาแสดงตัวให้ปรากฏเกรงว่าท่านจะไม่รู้ว่าผมรับรู้แล้ว ก็เลยขอบใจท่านท่านก็ให้สัญญาบอกว่าไม่เป็นไร นิมนต์นอนตามสบายขอรับ จะไม่มีใครมารบกวนท่านในด้านที่เป็นศัตรู แล้วท่านก็ลากลับ พอท่านจะลากลับก็บอกว่าเดี๋ยวก่อน อาตมามารักษาตัวที่นี่ไม่ได้เสียเงิน ค่าหมอก็ไม่เสีย ค่ายาก็ไม่เสีย ค่าอาหารก็ไม่เสีย ตึกพิเศษ ค่าห้องก็ไม่เสีย ตานี้บรรดาพวกนายทหารทั้งหลายเป็นคนจน ก็อยากจะขอหวยสัก 2 ตัว พระองค์จะประทานได้ไหม ท่านก็ยืนยิ้มๆ นั่งสักพักหนึ่ง ท่านก็บอกว่าหวยนี่ผมไม่เคยรู้เลยครับ สมัยผมมันไม่มีหวยนี่ครับ ไอ้ 3 ตัว 6 ตัวอะไรประเภทนี้ไม่มี แต่หากว่าท่านจะขอหวยละก็ผมให้ไม่ได้นะขอรับ มีแต่ว่าผมจะถวายสตางค์ท่าน ท่านก็ล้วงลงไปในกระเป๋า บอกเอ๊ะ สตางค์มันก็ไม่มีติดตัวมามาก มันมีมา 25 สตางค์เท่านั้น ผมก็ขอถวายหมดตัว ขอถวาย 25 สตางค์ ท่านก็หยิบเหรียญสลึง เขาเขียนว่า 25 สตางค์ โยนไปใต้เตียง แล้วท่านก็ยกมือไหว้ แล้วก็ลากลับไป อาตมาก็เลยคิดว่า ไอ้เงิน 25 สตางค์ นี่น่ากลัวมันจะเป็นหวย พอตอนเช้าบรรดาพยาบาลมา แล้วก็นายทหารประจำตึกมา เขาก็มาถามว่าเมื่อคืนมีอะไรบ้างครับเจ้าพวกนั้นน่ะแปลก เห็นหน้าพระไม่ได้ ถามเรื่องเลขกันอยู่เสมอ ก็เลยบอกว่าเมื่อคืนนี้มีพระเจ้าตากสินมาเยี่ยม ขอหวยท่าน ท่านบอกว่าท่านไม่มีหวย มีเงินมา 25 สตางค์ ท่านก็เลยถวายหมดตัวแล้วก็โยนไปไว้ใต้เตียง นั่นแหละมันจะเป็นหวยหรือไม่เป็นฉันก็ไม่รู้ พอบอกไปแล้วภายในวันเดียวปรากฏว่าข่าวกระจายไปทั่วกรมอู่ ทั้งกรมหรืออาจจะเลยกรมอู่ไปบ้างก็ได้ ทุกคนเล่นเลข 25 เป็นเลขท้าย 2 ตัวสุด และการเล่นของแกก็คงจะเป็นประเภทกินเอง ไม่ใช่ซื้อสลากของรัฐบาล หรือใครจะซื้อบ้างก็ไม่ทราบกินเองนั่นแหละมาก งวดนั้น ปรากฏว่าเจ้ามือจ่ายหนัก ถูกจริงๆ นี่ใครจะว่าผีไม่มีก็ช่างเถอะ ผู้พูดประสบมาเองตานี้ คืนที่ 2 ขณะนอนอยู่เหมือนกัน เสียงกุกกักๆ ข้างมุ้งเป็นเวลาเดียวกัน 4 ทุ่มเศษๆ น่ะ คืนต่อมานะ จัดว่าเป็นคืนที่ 3 ของเวลานอน ก็ลืมตาขึ้นมาดู เอ๊ะ มองเห็นฝรั่งคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางเหมือนฝรั่ง มีไม้ถืออันหนึ่ง ไม้ถือหนีบรักแร้ เอารักแร้หนีบไว้ มาก้มๆ เงยๆ เงยๆ ก้มๆ พอผู้พูดลืมตาขึ้นมาแกก็เปิดมุ้ง ถามว่ามาทำไม บอกว่ามาเยี่ยมท่านขอรับ ถามว่าเป็นใคร แกบอกว่าเป็นนายแพทย์ใหญ่ของกรมแพทย์ทหารเรือ เป็นนายแพทย์คนแรกชื่อ เล็ก สุมิตร เอ ชื่อก็ชื่อเป็นคนไทย แต่ท่าทางคล้ายฝรั่ง เลยถามว่าท่านเป็นคนไทยหรือฝรั่ง ท่านก็บอกว่าเป็นคนไทย แต่ก็มีเชื้อสายเป็นฝรั่ง ก็เลยขอบคุณท่าน เลยถามท่านว่าโรคที่เป็นนี่มันจะตายหรือมันจะหาย ท่านก็บอกว่าหายขอรับ ไม่เป็นไร แล้วก็ลากลับไปพอคืนต่อไปก็ปรากฏว่าหมอสงวนกับพวก 2 - 3 คน มานั่งเก้าอี้ เก้าอี้รับแขกประจำห้องเขามี นั่งเก้าอี้รับแขกเวลาๆ เดียวกัน พอผู้พูดลืมตาขึ้นมาหมอสงวนก็เดินเข้ามายกมือไหว้ ถามว่าใคร แกก็บอกว่าผมหมอสงวนครับ เป็นนายแพทย์ใหญ่กรมแพทย์ทหารเรือ ถามว่ามาทำไม บอกว่ามาเยี่ยม เลยบอกขอบคุณคุณหมอ ขอให้ช่วยรักษาโรคให้หายเร็วๆ ด้วยนะ แกก็บอกว่ารักษาเร็วไม่ได้ขอรับ โรคท่านเป็นโรคกรรม แต่ว่าอากรทุกขเวทนาจะไม่มีมาก ไม่เป็นไรขอรับ กระผมรับรอง แล้วก็หายไป หายไปหมดทั้งเพื่อนคืนต่อมามีมาใหม่ คราวนี้ไม่ใช่หมอแล้ว แต่งตัวเป็นพลจัตวา เป็นพลเรือจัตวา เดินมามีมุ้งมีหมอนมีเสื่อมาด้วย แต่งเครื่องแบบปกติ มาถึงก็ปัดพรืดๆ ๆ เข้าตรงกลาง ไอ้ห้องนั้นมีเตียง 2 เตียง เตียงสำหรับคนไข้กับเตียงสำหรับคนเฝ้าไข้ แต่สำหรับผู้พูดไม่มีคนเฝ้าไข้อยู่ เห็นแกปัดพรืดๆ ก็ถามว่านี่ท่านนายพล จะไปปัดตรงนั้นทำไม แกก็บอกว่าผมจะนอนเป็นเพื่อนท่านตรงนี้ขอรับ ก็เลยบอกว่าเตียงนอนคนเฝ้าไข้เขามีอีกเตียงหนึ่ง ทำไมไม่นอนเล่า เชิญไปนอนบนนั้นเถอะ เขาก็บอกว่าไอ้เตียงนั้นมันนอนไม่สบายครับ มันไม่เรียบ ผมจะนอนตรงนี้ ไม่เป็นไรขอรับ ผมจะนอนเป็นเพื่อนท่าน แกก็ไม่ฟัง พอปัดที่เสร็จแกก็ปูเสื่อ เอาหมอนวาง กางมุ้งแล้วก็นอน นอนไม่นอนเปล่า แถมกรนเสียด้วย แกกรนหนักเข้าก็เลยบอกว่านี่ท่านนายพล นอนกรนแบบนี้ฉันเป็นคนป่วยมันจะหลับยังไงล่ะ นอนไม่ต้องกรนก็ได้ ก็รู้แล้วว่ามานอนด้วยกัน แกก็เลยเงียบกรน แล้วก็เลยต่างคนต่างหลับ แกจะหลับหรือไม่หลับก็ไม่ทราบ แต่ว่าผู้พูดนี่หลับ พอตอนเช้าก็ไม่เห็นแกอยู่นี่ แกไปเสียเมื่อไรก็ไม่ทราบ เป็นอันว่านายพลคนนี้ ผู้พูดไม่รู้จัก ไม่เคยรู้จักมาก่อน พอตอนเช้าก็ถามพวกนายทหารและพยาบาล ว่านายพลเรือจัตวารูปร่างแบบนี้ๆ เป็นใคร เขาก็เลยบอกว่าพลเรือจัตวาคล้อยครับ บอกว่าแกตายในห้องนี้ก่อนหน้าที่ท่านจะมาประมาณครึ่งเดือน แกป่วยอยู่ห้องนี้ แล้วแกก็ตายห้องนี้ เป็นอันว่ารู้เรื่องกัน พลจัตวาคล้อยมานอนเป็นเพื่อนเอาละท่านผู้ฟัง สำหรับไอ้เรื่องผีนี้นะ ผู้พูดรับรองว่ามีจริง แต่หากว่าท่านทั้งหลายจะไปเกณฑ์ให้ท่านทั้งหลายไปจับผีมาให้ดูซี่ ทำไม่ได้ เพราะว่าพวกนี้เป็นอทิสมานกาย ไม่ใช่วัตถุ นี่ท่านทั้งหลายผู้ฟัง จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของท่าน สำหรับเรื่องที่ประสบการณ์มาด้วยตนเอง ก็มาเล่าให้ฟัง
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กรกฎาคม 2015
  2. อาศรมไผ่มร

    อาศรมไผ่มร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +38
    ของจริงโดยสมมุติกับของจริงโดยปรมัตถ์

    [​IMG]

    พระเจ้าตากสินในกาลครั้งหนึ่ง


    ก็ได้ยินมาว่าเมื่อท่านได้เป็นใหญ่เป็นโต ครองราชย์สมบัติแล้ว ภายหลังนี้ ท่านไม่ได้ครองราชย์สมบัติ เพราะว่าท่านปฏิบัติในทางธรรม ท่านปฏิบัติในทางธรรมจนมองเห็นตามความเป็นจริง
    แล้วท่านก็มีจิตใจน้อมไปในด้านที่จะสร้างพระบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลเบื้องหน้า คือ .เป็นพระโพธิสัตว์. ก่อนที่ท่านจะมีจิตใจน้อมไปในการที่ จะสร้างกองบุญบารมี ก็ท่านไปเห็นคนตาย
    เมื่อคราวที่กระทำสงคราม กระทำสงครามแล้วก็คนตายมาก คือสมัยนั้นการรบราฆ่าฟันกันเป็นมันก็มีมาก คนไทยก็ตายมาก พวกพม่าก็ตายมาก ทำสงครามกันหลายยก รบกันหลายหน ท่านก็เกิดความสังเวชใจ
    เกิดความเอ็นดูสงสารผู้ที่ตาย วิญญาณที่ตาย แล้วก็คนในแผ่นดินที่ไม่ตายก็ได้รับความทุกข์ทางกาย ทางใจแล้วต้องมาเวียนว่าย ตายเกิดกันอยู่อย่างนั้น เมื่อไรจะเห็นแสงสว่างกันเมื่อไรจะหลุดพ้นกัน
    .ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็เมื่อท่านเห็น คนตายโดยที่ท่านก็เป็นผู้นำทัพได้ไปยกทัพ สมัยเมื่อ กรุงศรีอยุธยา กรุงเทพยังไม่เป็นเมืองหลวง โดยยุคนี้พระเจ้าตากสินก็พอดี เกิดในสมัยนั้น แล้วพม่า ก็ได้มาเผามายึดเอาเมืองไทย
    ก็ตีกรุงศรีอยุธยา แตกย่อยยับเผาทำลาย พินาศวัดวาอารามโบสถ์วิหารถูกไหม้ถูกเผา แกะเอาทองทำไปจำนวนมาก เผาไหม้ฉิบหายวายวอดไปจนเกือบจะไม่มีอะไรเหลือหรอ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลายท่านก็เป็นนายทัพคราวนั้นเห็นว่า เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกท่านก็ได้หลบหนี หรือได้ไปรวบรวมผู้คนมาได้ ๕๐๐ หรือประมาณ ๕๐๐ เป็นกำลังที่จะเข้าไปกู้บ้าน กู้เมืองไทย ก็เมื่อรวบรวมคนได้ประมาณ ๕๐๐ คน เป็นทหารฝีมือดี
    ก็จัดการวางแผน..เข้าตีประจัญบานทหารพม่า รบกันไปรบกันมา ฆ่ากันไปฆ่ากันมา แต่เพราะว่าท่าน เป็นคนมีบุญก็ในที่สุดท่านก็ปราบกองทัพพม่าให้พ่ายแพ้ไปได้ ตอนนั้นแหละท่านก็เกิดธรรมสังเวช
    แล้วก็ตั้งความปรารถนาขอให้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และอีกประการหนึ่ง ท่านก็ที่จะปรารถนาที่จะปฏิบัติธรรม เพื่อให้ได้บรรลุซึ่งอริยสมบัติ หรือบรรลุซึ่ง มรรค ๔ ผล๔ ฌาน ๔ ฌาณ ๘ ก็ด้วยบุญบารมีพวกเทวดา ก็ได้คุ้มครองท่านตลอดมา.ให้ได้มีชัยชนะขึ้นเสวยราช ได้เป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี แล้วราษฏร ก็เห็นดี เห็นชอบ ยกท่านให้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อครองกรุงธนบุรีตั้งแต่นั้นมา กรุงเทพก็เจริญขึ้นมาทีหลัง ก็กลายมาเป็นมหานคร กลายเป็นกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ ทีนี้ก็จะได้กล่าวถึงตอนที่ท่านเกิดซักน้อยหนึ่งก่อน การเกิดของท่านนั้นคือ ท่านก็เกิดเป็นเชื้อสายคนจีน
    คือท่านไม่ได้เกิดเป็นคนตระกูลเจ้า ท่านเกิดจาก เชื้อสายจากคนจีน คือมีพ่อค้าคนจีนในตอนนั้นคือ ๒ คนผัวเมีย คนจีนสองคนผัวเมียล่องมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ก็มาเริ่มตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงเทพนั้นน่ะ
    ทีนี้ก็เมื่อตอนที่ท่านคลอดออกมาใหม่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมา ผ่าลงมาที่บ้านของคนจีน ๒ คนผัวเมียนั้น แต่ไม่มีอะไรเสียหาย ซึ่งเป็นนิมิตอันหนึ่งที่แสดงว่าท่านจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือได้กอบกู้แผ่นดินดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แม้เทพเทวดาฟ้าดินก็มา สำแดงปาฎิหารร่วมกับท่าน. หรือประวัติของท่านให้ปรากฏแก่โลก พอท่านเกิดได้สามวันก็มีพญางูมาล้อมรอบ คือมาล้อมอยู่ ๓ รอบ คือมาล้อมท่านที่อยู่ในกระโด้ง ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย
    ก็เหมือนกับหลวงปู่ทวดๆในกาลครั้งหนึ่งพอแม่ก็เอานอนไว้ในเปลเมื่อคราวไปทำนา ก็มีงูมันมานอนขดอยู่กับหลวงปู่ทวดเหมือนกัน แล้วก็ตอนที่งูนั้น หายไปก็ได้ทิ้งแก้วไว้ดวงหนึ่ง แล้วงูนั้นก็อันตรธานหายไป ก็เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านพระเจ้าตากสิน
    ก็มีงูมานอนกับท่านเหมือนกันคือมานอนปกปักษ์รักษานั่นเอง ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย แล้วก็ตอนพญาจักรี พ่อแม่ของพระยาจักรี แม่ท่านชื่อแม่เอื้อม เป็นตระกูลเจ้าก็ได้มาขอเอา พระเจ้าตากสินกับ ๒ คนผัวเมียคนจีน มาเป็นเพื่อนพระเจ้าจักรี พ่อแม่พระยาจักรีก็ขอบุตร ขอเอาลูกของท่านทั้งสอง เอามาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เหตุที่อยากได้ เพราะเห็นนิสัยดี ว่านอนสอนง่าย จะเป็นคนดี คนเก่ง หรือมีคุณลักษณะดี ถูกต้องอย่างนี้เป็นต้น ต่อเมื่อเขาเอาไปเลี้ยง เป็นลูกบุญธรรม
    ตอนที่เขาเอาไปเลี้ยง ทีนี้ก็ มีทรัพย์สิน เงินทองไหลมาเทมา มีสินทรัพย์เป็นเอนกอนันต์ เพราะฉะนั้นจึงให้ชื่อว่า สิน ก็คือสินทรัพย์นั้น เอนกอนันต์นั่นเอง
    ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็เมื่อท่านเจริญมา เจริญเติบโตมา เจ้านายก็เอาไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เจ้านายก็เอาไปฝากกับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เอาไปฝากกับพระเจ้าอยู่หัว ก็เพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือ เข้าบวชเรียนหนังสือ
    .พระเจ้าอยู่หัวก็เอาไปฝากกับอาจารย์ ทองดี ที่วัดหนึ่ง โกษารามนั่นเอง ก็ได้ไปเรียนธรรม เรียนหนังสือ เรียนบาลี เรียนขอม เรียนไทย นอกจากนั้นก็ยังได้เรียน พระไตรปิฏกอีกด้วย


    [​IMG]

    ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อมาท่านต่อมาอีกท่านก็ได้บวชๆ

    ก็เมื่อท่านได้บวช ประมาณอายุ ๑๐ กว่าปี หรือบวชเณรระหว่างที่ท่านได้บวช

    ท่านก็ได้เล่าเรียนเพิ่มเติมขึ้นอีก ทีนี้มีความรู้ในภาษาลัว๊ะ

    ภาษาจีน แล้วก็มีความรู้ภาษาแขก และก็มีความรู้ภาษาญวน

    มีความรู้ฉะฉานชัดเจน แตกฉานในภาษาต่างๆ แล้วก็ปฏิบัติธรรมด้วย

    ก็ในระหว่างที่ปฏิบัติธรรม เดินจงกรมอยู่กับเพื่อนอีกท่านหนึ่งคือทองด้วง

    ได้บวชเป็นพระ เป็นเณรเหมือนกัน หรือพระยาจักรี

    ก็กำลังเดินจงกรมกันอยู่ทำสมาธิ เดินจงกรม

    ระหว่างนั้นก็มีลุงคนชรา เป็นชินแสคนหนึ่ง ที่มีความรู้เรื่องดวงชะตา

    มาทำนายทายทักหรือทำนายโหงวเฮง ก็พอมองเห็น

    พระสินเณรสินและเณรด้วงเข้า ก็มีความรู้สึกสะท้อนเข้ามาในใจ

    แล้วรู้สึกหัวเราะขึ้นมา ยิ้มหัวเราะขึ้นมา ท่านจึงสงสัยๆว่า คนชราจีนคนนี้หัวเราะใครที่ไหน เรื่องอะไร ยืนหัวเราะทำไมคนจีน ก็บอกว่า เราน่ะเห็นท่านทั้งสอง แล้วก็มีความยินดี เพราะลักษณะของท่านทั้งสอง
    ต่อไปข้างหน้านี้ ท่านก็จะได้กอบกู้บ้านเมือง เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะได้เป็นใหญ่เป็นโต ทั้งสองท่าน
    ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็เมื่อคนชราจีน มาทำนาย ทายทักท่านอย่างนั้น แล้วก็เป็นความจริงออกมา หลังจากนั้นท่านก็ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งสองพระองค์ ดังที่ ท่านพระคุณเจ้าหลวงพ่อ ได้กล่าวมาแล้วตะกี้ ทีนี้ก็ว่ามาถึง ตอนที่ท่านรบทัพจับศึก
    ครั้งหนึ่งท่านถูกเกณฑ์ เป็นหัวหน้ากองทัพมาช่วยเมืองเชียงใหม่. กาลครั้งนั้นเมืองเชียงใหม่ ก็ถูกพม่าเข้ามารบ ถูกพม่าเข้ามายึด เข้าครองเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าตากสินก็คุมกองทัพ ขึ้นไปช่วยเมืองเชียงใหม่ให้พ้นจากพม่า
    ในระหว่างที่เดินทางมาก็เดินตามไหล่เขา ตามถิ่นทุรกันดาร จนถึงระหว่างทางป่าเขา หลายลูก ก็อดน้ำ อดท่า พวกขุนนาง ก็ทูลกล่าว บอกว่าต่อไปนี้ ข้างหน้าจะไม่มีน้ำแล้ว ถ้าท่านเดินทางไปสภาพนี้ ก็จะพากันอดตาย ไม่มีท่าน้ำ ไม่มีแม่น้ำที่จะเลี้ยงจะดื่ม จะทำอย่างไรกัน
    ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย พระเจ้าตากสิน หรือท่านแม่ทัพตากสินบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก เราจะให้ฝนตกในคืนนี้แหละ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ท่านจะให้ฝนตกอย่างไร ข้าราชบริวารก็ไม่อาจจะรู้ได้ ท่านก็บอกว่าจะมาทางนั้น ตั้งเวลาไว้ วันฝนจะตกลงมาให้ เตรียมภาชนะไว้ แล้วท่านก็ทำพิธีท่านก็ตั้งสัจจะอธิฐานอยู่ในใจของท่าน
    ฝนก็ตกลงมาในคืนนั้น ตามวันตามเวลา ให้ไพร่ฟ้าชาวประชา กองทัพ ของท่าน ได้ดื่มน้ำไม่ขาดแคลน อุดมสมบูรณ์ ก็ไม่ถึงกับตาย ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว. ถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะพากันอดตาย ไปหมดหลังจากที่ท่านได้ตั้งสัจจะอธิฐานเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ท่านก็.ตั้งกองบุญกองบารมีหลายอย่างจนเงินในท้องพระคลังหมด แล้วบ้านเมืองก็ล่มจม ย่ำแย่ เป็นหนี้เป็นสินกับบ้านอื่น เมืองอื่น เป็นต้นว่าเป็นหนี้ของประเทศจีน อย่างนี้เป็นต้น ประเทศจีนเขาก็เอาเงินมาให้ เอาอะไรมาให้ ก็กลายเป็นหนี้เป็นสินเขาขึ้นมา มากมายในเวลานั้น ท่านจะทำอย่างไร ก็หาทางรอดให้ได้ หาเงินมาใช้เขาก็ไม่ได้. พวกไพร่ฟ้าก็เหน็ดเหนื่อย พวกทหารก็ตายมาก เพราะต้องทำสงคราม
    ไหนท่านจะต้องสร้างบารมี ไหนจะต้องใช้หนี้กู้แผ่นดิน สร้างบ้านสร้างเมือง วัดวาอาราม ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย อีกประการหนึ่งที่สำคัญสุด ก็คือทาง พระพุทธศาสนา
    ส่วนของพระพุทธศาสนาในเวลานั้น ก็ย่ำแย่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครเป็นพระ ไม่รู้ว่าใครไม่เป็นพระ ก็เกิดความสับสนวุ่นวายกันขึ้นมา เกิดความสับสนขึ้นมา ในเรื่องของพระสงฆ์องค์เจ้า เพราะว่าผู้ที่ไปบวชนั้น ไม่ได้บวชด้วยพระธรรมวินัย หรือบวชด้วยการโกนหัวนุ่งห่มเหลืองเอาเองอะไรก็มี ทหารก็มากหนีไปบวช ก็เป็นอันว่า เรื่องศาสนาก็กลายเป็นเรื่องวุ่นวายไป บางที พระก็เป็นทหารฝ่ายตรงข้ามปลอมตัวมารบกันก็มี แล้วที่จริงมันก็ไม่ใช่พระแล้ว บวชขึ้นบังหน้าเท่านั้น ทีนี้ในศาสนาการนุ่งเหลือง ห่มเหลือง ก็ไม่รู้ใครเป็นพระ ก็แล้วทีนี้ จะทำอย่างไรล่ะ
    ท่านก็จะกอบกู้ศาสนาอยู่แล้ว ท่านจะช่วยศาสนาจะทำอย่างไร ก็ไหนเลยจะรู้ได้ว่าใครห่มเหลืองแล้ว จะรู้ได้ว่าใครเป็นพระ หรือใครไม่เป็นพระ ท่านก็เลยเอามาสอบสวนกันละ ทีนี้ใครรู้อะไรก็ชี้แจง ใครต่อต้าน ใครมีเหตุ ใครมีผล ใครไม่มีเหตุ ใครไม่มีผลก็เอาผ้าเหลืองออก ใครไม่มีเหตุ ไม่มีผลก็ขับเอาผ้าเหลืองออก ก็เป็นอันว่าคนที่ขับออกนั้นมันไม่ใช่พระ เป็นคนปลอมมาทั้งนั้น
    ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลายบางทีก็ถึงกับถูกเฆี่ยนถูกตี เพราะการกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ ปลอมตัวมาเพื่อ กระทำผิด หรือว่าบางพวกก็ถูกลงโทษหนักทีนี้.พวกราษฏร อยู่รอบนอก..ที่เป็นรอบนอกก็ไม่รู้เรื่องของภายใน ก็เข้าใจว่าพระเจ้าตากสินนั้นนะ เสียสติไปเสียแล้ว ขับให้พระสึกออกกันไปมาก อะไรต่อมิอะไร แล้วก็ตีพระ ก็มาเข้าใจว่าท่านเสียสติ ท่านเพี้ยนไปเสียแล้ว ก็แท้ที่จริงท่านต้องการช่วย กอบกู้พระพุทธศาสนา ให้ผ่องใสคืนมา ให้อยู่ในพระธรรมวินัย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในตอนนี้แหละ เขาก็หาว่าท่านนั้นเป็นบ้า เป็นก็เป็น เป็นทางที่ดี เป็นทางออกของท่านก็คือว่า เมื่อเขาหาว่าท่านเป็นบ้า ท่านก็ยอมรับว่าเออ!เขาว่าเราเป็นบ้าก็ดีแล้ว เอาเราไปฆ่าเสีย เอาไปประหารเสีย ทีนี้ก็ มีคนที่จะถาม ก็คือเนื้อความนี้ หรือจะเป็นเทวดา หรือผู้ที่อุปถัมภ์กันมาเล่าให้ฟัง ดังที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กล่าวไว้ว่า พระเจ้าตากสินนั้น ท่านไม่ได้โดนประหารโทษ ท่านไม่ได้ถูกประหาร ท่านไม่ได้ถูกฆ่า คือท่านบวชแล้วก็เดินธุดงค์ ไปในป่า ตามถ้ำตามดง จนเสียชีวิตในผ้าเหลือง แต่ตามประวัติศาสตร์นั้น ตามประวัติของคนไทยนั้นว่า พระเจ้าตากสินได้ถูกลงโทษ แล้วก็หายเงียบไป เราทั้งหลายที่อยู่ภายนอกนั้นก็ไม่รู้ ก็เป็นอันว่าเรื่องจริงของพระเจ้าตากสินนั้น ท่านเป็นผู้มีบุญ ท่านเป็นผู้กอบกู้แผ่นดินประไทย และกอบกู้ทั้งพระพุทธศาสนา ท่านสร้างกองบุญ กองบารมีมามาก แล้วดำริที่จะเป็นองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลเบื้องหน้า ก็เพราะฉะนั้นท่านจึงยอมให้ คนทั้งหลายประณามว่าท่านเป็นคนเพี้ยน ทีนี้ก็ย้อนกล่าวมาถึงเรื่องสมมุติ หรือเรื่องวิมุติ ก็เพราะท่านพระเจ้าตากสิน ท่านก็รู้เรื่อง วิมุติ หรือเรื่อง ปรมัตถ์ หรือเรื่องสมมุติ ดีแล้ว ท่านจึงทำไป ด้วยความบริสุทธิ์ใจ คือไม่เป็นบาป เพราะท่านสร้างกองบุญบารมี ทีนี้ท่านก็มารู้จักเรื่องสมมุติขึ้นมา เช่นว่าไอ้คน เอาผ้านุ่งเหลืองห่มเหลืองโกนหัว แท้จริงแล้วเป็นโจรไปก็มี ก็ว่าที่จับโจร เป็นอย่างนั้นมันจะเป็นบาปละหรือ เราก็จะโทษท่านว่าเป็นผู้ที่มีบาปนั้น ก็จะไม่ถูกต้อง เพราะคนเราทั้งหมด ยึดถือเรื่องภายนอก เรื่องสมมุติกันไปหมดคือเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยตาว่ามันเป็นของจริง เห็นด้วยตาว่าเป็นของจริง ก็ด้วยเหตุอันนี้เองคนทั้งหลาย ปุถุชนเรานี้ จึงถือเอาเรื่องภายนอกมายึดถือ ซากศพของคุณพ่อ คุณแม่ ครูบาอาจารย์ที่มีวิญญาณละทิ้งไปแล้ว ก็ยังห่วง ยังอาลัยรักใคร่ไม่ยอมถอดถอน บางทีก็เก็บไว้นานๆ ไม่ยอมเผา ไม่ยอมฝังอะไรเหล่าหละ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย เก็บไว้ทำไม บางแห่งก็เป็นสำนัก..ปฏิบัติธรรม มีชื่อเสียงโด่งดัง เสียด้วยซ้ำ ศพครูบาอาจารย์ ก็เก็บซากศพ ครูบาอาจารย์เอาไว้ แล้วก็ไม่ยอมเผา แล้วก็ไม่ยอมฝัง เก็บไว้ตลอด เก็บไว้ทำไม เพื่ออะไร มีประโยชน์อย่างไร นั่นละหรือ ที่จะรู้จักของจริง คือปรมัตถ์ หรือของสมมุติก็จะตอบยาก เก็บไว้ทำไม ก็ได้คำตอบออกมาว่า เก็บเอาไว้ขาย เอาเก็บไว้ขาย แต่ยังใดก็ตาม ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็มีคำตอบออกมาอย่างนี้ ก็ถ้าจะถามว่าเอาไปฝังเอาไปเผาไม่ได้เหรอ พระพุทธเจ้าของเรา ก็ยังเก็บไว้เพียง ๗ วัน ก็ยังเอาไปเผา แล้วทีนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าและไม่ใช่ พระราชา มหากษัตริย์เสียด้วยซ้ำ ก็ยังเก็บไว้ไม่มีกำหนดเผา เก็บไว้ทำไม ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นแหละ ก็คือว่าคนไม่รู้จักความไม่เที่ยงแห่งกองสังขารทั้งหลาย คือว่าคนไม่รู้จักความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เอง ยึดเอาของสมมุติว่าเป็นของจริง ว่าเป็นของแท้ ว่าเป็นของเที่ยง ว่าเป็นของดี แท้ที่จริงจะเก็บไว้ได้เพียง ร้อยปีมันก็เสื่อมแล้ว คนเพียงร้อยปีก็เสื่อมแล้ว ก็หมดความนับถือ แล้วคนรุ่นหลัง ก็ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าเอ่อ ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติดี ท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติชอบ เป็นผู้วิเศษในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์อะไรเหล่านี้ ร้อยปีเขาก็ไม่รู้ แล้วก็หมดความนับถือ ก็พากันลบหลู่ ว่าเอาไว้รกที่รกทาง รกแผ่นดิน รกที่ทำมาหากิน จะปลูกบ้านปลูกเรือน ทำไร่ไถนาไป เขาก็หาว่ารกเกะกะกีดขวาง ไม่มีประโยชน์ ทีนี้ก็จะมากล่าวในเรื่อง หากเก็บไว้ก็จะเป็นหนทางหา คนเข้าวัด หรือนำมาซึ่งทรัพย์สินเงินทองต่อไป เพราะไม่รู้ ความไม่เที่ยงมั่นอย่างนี้ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลายนี่ก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ ความเป็นจริง ก็ยึดถือเอาสิ่ง ภายนอกมาเป็นสิ่งสำคัญ ก็เป็นอันว่าท่านพระคุณเจ้าหลวงพ่อ ได้กล่าวมาหรือพรรณามาถึงเรื่อง สมมุติ ภายนอกกับ ปรมัตถ์คือของจริง ไม่ใช่สิ่งสมมุติ ที่ไม่ใช่เปลือกนอก ผู้ปฏิบัติธรรม พึงมีผู้รู้ เกิดตาปัญญาขึ้นมาภายใน ซึ่งก็เป็นตาใน ตาปัญญารู้ได้แจ้ง ตามความเป็นจริง ขอให้ตัดการยึดถือ สิ่งสมมุติออก ก็จะไม่หลงในสมมุติ หลงเปลือกนอกของเขา ของเรา ของสิ่งเหล่านี้ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แสดงมาย่อๆเรื่องของจริงสองประการ โดยเนื้อความก็ขอยุติ ด้วยประการละฉะนี้

    ท่านพระคุณเจ้าดาบส สุมโน


    อาศรมไผ่มรกต.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...