จะเลือกนับถือพระแบบใดทั้งเรื่องการวางตัวและพระจับเงินจับทอง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย softkid9, 4 กรกฎาคม 2014.

  1. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    [FONT=&quot]หลวงพ่อตอบเรื่องการปฏิบัติตัวของพระสงฆ์ว่าจะเลือกเคารพพระแบบใด

    [/FONT]
    [FONT=&quot]จากหนังสือสู่แสงธรรม [/FONT][FONT=&quot]โดยพล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป หน้า[/FONT][FONT=&quot] 84-90


    [​IMG]


    [/FONT]
    [FONT=&quot]ในเรื่องของพระสงฆ์นั้น ข้าพเจ้า (พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป) เคยได้ยินผู้คนเขาพูดวิพากษ์วิจารย์กันมากมายเหลือเกิน อาทิเช่น[/FONT]

    [FONT=&quot]บางคนพูดว่า[/FONT][FONT=&quot]พระที่ฉันเคารพกราบไหว้นั้นจะต้องเป็นพระที่เคร่งในวินัย ต้องรู้จักสำรวมในการพูด มิใช่พูดไปหัวเราะไป หรือพูดกระเซ้าเย้าแหย่ลูกศิษย์ลูกหา[/FONT]
    [FONT=&quot][FONT=&quot]
    บางคนก็พูดว่า[/FONT][FONT=&quot]พระที่ฉันเคารพนั้นจะต้องเป็นพระที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์เป็นอาหาร[/FONT]


    บางคนก็พูดว่า[/FONT][FONT=&quot]พระที่ฉันเคารพกราบไหว้ทุกวันนี้ ท่านนอนกระดานแผ่นเดียวเชียวนะ มิหนำซ้ำฉันเพียงมื้อเดียวด้วย[/FONT]


    [FONT=&quot]บางคนพูดว่า[/FONT][FONT=&quot]พระของฉันน่ะฉันอาหารรวมในบาตรเดียว และมื้อเดียวด้วย และไม่ยอมจับเงินเสียด้วย[/FONT]

    [FONT=&quot]บางคนพูดว่า[/FONT][FONT=&quot]ฉันเคารพพระธรรมยุต ไม่เคารพพระมหานิกายหรอก เพราะไม่ค่อยเคร่ง[/FONT]

    [FONT=&quot]บางรายพูดว่า[/FONT][FONT=&quot]พระองค์ที่ฉันเคารพกราบไหว้อยู่ทุกวันนี้ ท่านให้หวยแม่นที่สุดเลย รถเก๋งจอดกันแน่นที่วัดทุกวันทีเดียวนะ[/FONT][FONT=&quot]เป็นต้น[/FONT]

    [FONT=&quot]ด้วยเหตุนี้ ในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้ถือโอกาสถามหลวงพ่อว่า[/FONT][FONT=&quot]หลวงพ่อครับโดยทั่วๆไปแล้วเราควรจะเคารพกราบไว้พระที่เคร่งในวินัยและสำรวมในการพูดมากกว่าพระที่ไม่สำรวมใช่ไหมครับ[/FONT]

    [FONT=&quot]เออ[/FONT]![FONT=&quot]ถามดี ตอนนี้คุณกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนผู้บังคับฝูงใช่ไหม[/FONT][FONT=&quot] หลวงพ่อย้อนถาม[/FONT]

    [FONT=&quot]ครับ[/FONT][FONT=&quot] ข้าพเจ้าตอบ ชักลังเล[/FONT]

    [FONT=&quot]นักเรียนในโรงเรียนผู้บังคับฝูงรุ่นของคุณนั้นมีกี่คน[/FONT][FONT=&quot] หลวงพ่อถามต่อ[/FONT]

    [FONT=&quot]มีประมาณ 160 คนครับ[/FONT][FONT=&quot]ข้าพเจ้าตอบไป ชักงงหนัก[/FONT]

    [FONT=&quot]ทั้ง 160 คนจบจากโรงเรียนนายทหารหลักอย่างคุณทั้งหมดไหม[/FONT][FONT=&quot]หลวงพ่อถามต่อ[/FONT]

    [FONT=&quot]ไม่หรอกครับ ปะปนกัน[/FONT] [FONT=&quot]มีทั้งจบจากโรงเรียนนายร้อย จปร. นายเรือ นายเรืออากาศก็มี จบจากมหาวิทยาลัยในเมืองไทยก็มี เมืองนอกก็มี และเลื่อนยศขึ้นจากนายทหารชั้นประทวนก็มีครับ รวมความว่ามีทั้งไม่ได้ปริญญาก็มี ได้อนุปริญญาก็มี ปริญญาตรีก็มี ปริญญาโทก็มีและปริญญาเอกก็มีครับ(พ.ศ.2510)[/FONT][FONT=&quot] ข้าพเจ้าตอบอย่างละเอียด ไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะมาในรูปใดอีก[/FONT]

    [FONT=&quot]อ้อ[/FONT]![FONT=&quot]แล้วนักเรียนจำพวกไหนที่ขยันที่สุด คร่ำเคร่งในการดูตำรับตำรามากที่สุดล่ะ[/FONT][FONT=&quot] หลวงพ่อถามเรื่อยๆ ทำให้ข้าพเจ้าต้องนั่งใคร่ครวญอยู่นานพอสมควร จึงตอบไปตามที่รู้ที่เห็นว่า[/FONT]

    [FONT=&quot]พวกที่คร่ำเคร่งดูตำรับตำราและตั้งอกตั้งใจฟังครูสอนมากที่สุดก็คือพวกที่เขาเลื่อนขึ้นมาจากนายทหารชั้นประทวนครับ เพราะเขาไม่ค่อยเข้าใจและฟังครูไม่ค่อยทัน[/FONT]

    [FONT=&quot]แล้วพวกคุณที่จบจากโรงเรียนนายทหารหลักล่ะ[/FONT][FONT=&quot]หลวงพ่อถามต่อ[/FONT]

    [FONT=&quot]ผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แล้วแต่ว่าวิชาใดจะน่าสนใจหรือไม่ แต่ความจริงแล้วครูก็ว่าไปตามตำราไม่ต้องฟัง อ่านเอาเที่ยวเดียวก็จำได้ครับ[/FONT][FONT=&quot] ข้าพเจ้าตอบไปตามความเป็นจริง[/FONT]

    [FONT=&quot]เออ[/FONT]![FONT=&quot]แล้วนั่นแหละ พระที่ท่านเคร่งนั้นเป็นเพราะท่านเพิ่งจะเริ่มฝึกปฏิบัติ ยังไม่มีปัญญาพอ เกรงไปว่าหากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปสัมผัสอะไรเข้าแล้วมาบอกจิตที่ยังขาดปัญญา ก็จะเกิดความโลภ โกรธ หลงคือกิเลส หรือความทะยานอยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็น คือ ตัณหาหรือเกิดอุปาทาน[/FONT] [FONT=&quot]ความหลงเอาว่าไอ้นั่นเป็นของเรา ไอ้นี่เป็นของเราเข้าได้ ท่านจึงต้องปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของท่านเสีย จึงดูเหมือนเป็นพระเคร่งในสายตาของผู้คนไป เท่านั้นเอง เหมือนนายทหารชั้นประทวนที่เลื่อนชั้นยศขึ้นมาตามที่เล่านั่นแหละ ส่วนพระที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าบรรลุมรรคผลมีปัญญาแล้ว ท่านมีสติของท่านอยู่ตลอดเวลา ท่านก็ทำตัวสบายๆ ไม่จำเป็นต้องระวังอะไรมากนัก ดังเช่นพระสารีบุตร ท่านก็เล่นกับเด็กนะเหมือนพวกคุณ ก็ไม่เห็นต้องเรียนต้องฟังอะไรจากครูมากมายนี่แหละ ดังนั้นจึงจะไปรีบด่วนสรุปเอาว่าพระเคร่งพระสำรวม เหนือกว่าพระที่ไม่สำรวมยังไม่ได้นะ[/FONT][FONT=&quot] หลวงพ่ออย่างเมตตา[/FONT]

    [FONT=&quot]แล้วพระที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ฉันอาหารมื้อเดียว หรือฉันอาหารสำรวมบาตรเดียวล่ะครับ จะถือว่าเหนือกว่าพระที่ฉันอาหาร 2 มื้อไหมครับ [/FONT]”[FONT=&quot]ข้าพเจ้าถามต่อด้วยความอยากรู้[/FONT]

    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้าท่านห้ามมิให้พระสงฆ์สาวกของท่านฉันเนื้อเพียงเฉพาะบางประเภท เช่นเนื้อมนุษย์ เนื้อสุนัข เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อเสือมิได้พาดพิงไปถึงเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อเป็ด เนื้อปลา ซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวโลกนะ อีกทั้งทรงย้ำว่า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์นั้น จะต้องกระทำตนให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย อย่าให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อน ส่วนการที่จะกินมื้อเดียวก็ดี หรือฉันอาหารรวมในบาตรเดียวก็ดี หรือฉันอาหารสองมื้อก็ดี พระพุทธเจ้าก็มิได้ทรงเป็นผู้กำหนดไว้ เป็นเรื่องของเกจิอาจารย์แต่ละท่านไปวางกำหนดกฎเกณฑ์เอาเองทั้งสิ้น จะเอาเรื่องการฉันเนื้อไม่ฉันเนื้อก็ดี การฉันมื้อเดียวหรือสองมื้อก็ดี หรือการฉันสำรวมในบาตรเดียวกัน ทั้งของหวานของคาวมาคลุกเคล้ากันก็ดี มาเป็นเครื่องวัดว่าพระภิกษุรูปใดเหนือกว่าพระภิกษุรูปใดยังไม่ได้นะ มันอยู่ที่ว่าท่านเหล่านั้นในขณะที่เสพอาหาร มีสติพิจารณา[/FONT][FONT=&quot]อาหาเรปฏิกูลสัญญา[/FONT][FONT=&quot] หรือไม่ต่างหาก[/FONT][FONT=&quot]หลวงพ่ออธิบาย [/FONT]

    [FONT=&quot]อาหาเรปฏิกูลสัญญานั้นพิจารณาอะไรครับหลวงพ่อ[/FONT][FONT=&quot] ข้าเพเจ้าถามอย่างสนใจ[/FONT]

    [FONT=&quot]พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา ก็คือพิจารณาอาหารที่ขบฉันให้เป็นของน่าเกลียด อาหารใดก็ตามแม้นลิ้นสัมผัสแล้วจะเลิศรสเพียงไร หากขบเคี้ยวแล้วคายออกมาดูจะเห็นว่าน่ารังเกียจ ยิ่งเมื่อกลืนเข้าไปในท้องแล้วสำรองออกมาดูจะเห็นว่าน่าเกลียดมาก และยิ่งหากปล่อยทิ้งไว้ถ่ายออกมาดูก็ยิ่งน่าเกลียดที่สุดใช่ไหม ดังนั้นพระภิกษุสงฆ์รูปใดฉันมังสวิรัติ(ไม่ฉันเนื้อสัตว์)ก็ดี หรือฉันอาหารคาวหวานคลุกเคล้ารวมในบาตรเดียวกันก็ดี หรือฉันอาหารมื้อเดียวก็ดี หากมิได้พิจารณาอาหารเรปฏิกูลสัญญาแล้วเกิดไปติดในรสชาติของอาหารมังสวิรัติก็ดี อาหารคาวหวานที่คลุกรวมในบาตรก็ดี หรืออาหารเพียงมื้อเดียวที่ขบฉันก็ดี ย่อมสู้พระภิกษุที่ฉันอาหาร 2 มื้อ แต่พิจารณาอาหารเรปฏิกูลสัญญา ทั้ง 2 มื้อไม่ได้นะ[/FONT] [FONT=&quot]หลวงพ่ออธิบายเรื่อยๆ แล้วพูดต่อว่า[/FONT]

    [FONT=&quot]อาหาเรปฏิกูลสัญญานั้น นอกจากนั้นจะให้พิจารณาว่าอาหารที่ขบฉันเป็นของน่าเกลียดแล้ว จะต้องพิจารณาต่อไปอีกด้วยว่า บรรดาอาหารเหล่านี้จะมีรสเลิศหรือไม่ก็ดี จะถูกหรือแพงก็ดี จะเป็นมังสวิรัติก็ดี จะเป็นเนื้อสัตว์ก็ดี จะเป็นอาหารคาวหวานรวมในบาตรเดียวกันก็ดี เรากินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้คงอัตภาพ อยู่ได้เพียงชั่วคราว เพื่อจะได้บำเพ็ญความเพียรไปสู่มรรคผลนิพพานได้เท่านั้นเองนะ สรุปได้ว่าภิกษุท่านใดอยากฉันมังสวิรัติ ภิกษุท่านใดอยากฉันอาหารความหวานคลุกเคล้าในบาตรเดียวกัน ภิกษุท่านใดอยากฉันมื้อเดียว หรือภิกษุท่านใดอยากฉัน 2 มื้อ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละท่าน แต่อย่าได้นำเอาวิธีการขบฉันของตนไปข่มหรือปรามาสภิกษุสงฆ์ท่านอื่นเป็นอันขาด นรกเล่นงานแน่ เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็มิได้กำหนดกฏเกณฑ์เอาไว้นะ[/FONT] [FONT=&quot]หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด[/FONT]

    [FONT=&quot]แล้วพระที่ท่านนอนกระดานแผ่นเดียวล่ะครับหลวงพ่อ[/FONT][FONT=&quot] ข้าพเจ้าถามเพราะเคยได้ยินมา[/FONT]

    [FONT=&quot]ก็ถ้าท่านคิดว่าท่านนอนบนกระดานแผ่นเดียว จะสามารถปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคคผลนิพพานได้ ก็เป็นเรื่องของท่านนะ[/FONT][FONT=&quot] หลวงพ่อตอบขำๆและพูดต่อว่า[/FONT][FONT=&quot]แต่ถ้านอนกระดานแผ่นเดียวด้วยเจตนาหวังให้สาธานุศิษย์ยกย่องสรรเสริญ อีกทั้งยกตนข่มพระภิกษุรูปอื่นว่าสู้ตนไม่ได้นั้นได้ละก้อ ลงนรกนะ เข้าใจหรือยังล่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot]เข้าใจครับ คราวนี้ที่เขาว่ากันว่า พระธรรมยุตเคร่งกว่าพระมหานิกายมาก โดยเฉพาะท่านไม่ยอมแม้แต่จับเงินด้วยซ้ำไปล่ะครับ[/FONT][FONT=&quot] ข้าพเจ้ารีบฉวยโอกาสถามต่อ[/FONT]

    [FONT=&quot]ทั้งพระธรรมยุต และพระมหานิกายนั้น ก็ล้วนถูกจัดเข้าเป็นพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ และเพียรพยายามปฏิบัติเพื่อไปสู่มรรคนิพพานนะ เรื่องความเคร่งหรือไม่เคร่งนั้น ฉันได้อธิบายไปแล้วว่าอย่าเอามาเป็นเครื่องวัดพระเป็นอันขาด จะเกิดการผิดพลาดได้ ส่วนเรื่องที่จับเงินเองหรือไม่จับเงินเอง แต่ให้คนอื่นจับแทนนั้นก็จะเอามาเป็นเครื่องวัดไม่ได้ว่าใครเหนือกว่าใครนะ ทั้งนี้มันขึ้นอยู่ว่าถ้าพระที่ไม่ได้จับเงินเอง แต่ให้ผู้อื่นจับแทนและไปสั่งให้เขานำเงินไปใช้ผิดความประสงค์ของผู้บริจาคแล้ว นรกเล่นงานแน่ สู้พระที่ท่านจับเงินเอง หากมิได้มีจิตโลภในทรัพย์สินเงินทอง และนำเงินที่ได้รับบริจาคไปสร้าง ไปทำตามความประสงค์ของผู้บริจาค ไม่ได้นะ[/FONT][FONT=&quot] หลวงพ่ออธิบาย [/FONT]

    [FONT=&quot]และเมื่อยังเห็นข้าพเจ้าสนใจอยู่ก็พูดต่อว่า [/FONT][FONT=&quot]พระธรรมยุตนั้นท่านจะปฏิบัติตนของท่านเช่นไร ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ถ้าเมื่อใดท่านหลงผิดว่าท่านเหนือกว่าพระมหานิกายเมื่อใดแล้ว ท่านจะไม่มีวันบรรลุมรรคผลนิพพาน หลุดพ้นจากวัฏฏะเลยนะ เพราะท่านยังติดในสังโยชน์ 10 คือมานะ ซึ่งหมายความว่ามีอารมณ์ถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี นั้นแหละ ดังนั้นฉันจึงขอย้ำตามที่เคยได้ตอบไปแล้วว่า พระที่ควรแก่การเคารพกราบไหว้นั้น ต้องเป็นพระที่มีความประพฤติประกอบความเพียรเพื่อหวังบรรลุมรรคผลนิพพาน ด้วยการละสังโยชน์ 10 ไปทีละข้อ จนเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุดนั่นเอง เข้าใจหรือยัง[/FONT][FONT=&quot] หลวงพ่อย้ำ[/FONT]

    [FONT=&quot]เข้าใจแล้วครับ[/FONT][FONT=&quot] ข้าพเจ้าตอบ คิดๆ จะถามเรื่องพระให้หวยอยู่เหมือนกัน แต่คำตอบของหลวงพ่อเกี่ยวกับเรื่องพระสงฆ์ที่แท้จริงนั้นได้ระบุไว้อย่างชัดเจนแล้ว จนสามารถตอบเอาเองได้ว่า [/FONT][FONT=&quot]พระที่ให้หวยนั้นยังฝักใฝ่อยู่ในโลกียะ มิใช่โลกุตระ และยังมิได้ประพฤติตนตรงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไปสู่มรรคผลนิพพานอย่างจริงจัง จึงมิควรแก่การสนใจ[/FONT]

    [FONT=&quot]ข้าพเจ้าหวังว่าท่านผู้อ่านคงมีความเข้าใจในพระสงฆ์ได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น ไม่มากก็น้อยนะครับ[/FONT]


    [​IMG]
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if !mso]><object classid="clsid:38481807-CA0E-42D2-BF39-B33AF135CC4D" id=ieooui></object> <style> st1\:*{behavior:url(#ieooui) } </style> <![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2014
  2. s3515941

    s3515941 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +1,196
    ขอบคุณ จขกท ที่ช่วยไขความกระจ่างครับ
     
  3. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    กราบอนุโมทนา สาธุ หลวงพ่อสอนการปฏิบัติตัวของพระสงฆ์ได้กระจ่างแจ้งจริง ๆ
     
  4. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    ปี ๒๕๑๗ - ๒๕๑๘ - ๒๕๑๙ วัดท่าซุงเริ่มก่อสร้างโบสถ์ หลวงปู่บุดดาพร้อมด้วยหลวงปู่หลวงพ่ออีกประมาณ ๑๐ องค์ก็ไปช่วยงาน หลวงพ่อท่านนิมนต์ไปพักอยู่ที่วัดท่าซุงเลย คราวนี้พวกเราเคยชินกับคำว่าทำบุญ มักจะเอาแก้วสารพัดนึกก็คือเงินไว้ก่อน

    หลวงปู่บุดดาท่านจะทำอย่างไร ? ลูกศิษย์ท่านก็เอาถุงวางไว้ตรงหน้า พวกเราก็ใส่เงิน ใส่เงิน พอถึงเวลาโยมทำบุญเสร็จเรียบร้อย ลูกศิษย์ก็ผูกปากถุงส่งให้ หลวงปู่บุดดาแหวกย่ามเสียกว้างเชียวนะ กลัวจะกระทบเงิน ลูกศิษย์ก็หย่อนใส่ย่าม

    หลวงพ่อหันมาพอดี "อ๋อ..ไม่อยากได้ใช่ไหม ?" ท่านคว้าหมับเลย หลวงปู่บุดดาสองมือตะครุบหมับ "จับแล้วครับ.." บอกหน้าตาเฉยเลย "จับแล้วครับ.."

    หลวงพ่อบอก "เออ..ต้องอย่างนั้นซิ กะอีแค่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ปล่อยให้เกาะใจได้ก็อย่าเอาเลย ผมเอาเองก็ได้.."


    ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่บุดดาจับเงินมาตลอด แล้วก็ไม่มีพระธรรมยุติรูปไหนกล้าว่าหลวงปู่ นั่นแหละ..หลวงพ่อท่านทำให้รู้ว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จริง ๆ แล้วสำคัญตรงใจ แต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามเอาไว้ เราต้องเคารพและปฏิบัติตาม

    เพียงแต่ว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพาน ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า “อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ หลังจากตถาคตนิพพานไปแล้ว สิกขาบทเล็กน้อยที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย ให้สงฆ์พร้อมใจกันสวดเพิกถอนสิกขาบทนั้นได้” คือว่าศีลข้อไหนถ้าไม่เหมาะกับยุคสมัย ให้พระพร้อมใจกันยกเลิกได้ แต่คราวนี้ว่า พระทั้งหมดท่านเคารพพระพุทธเจ้า ก็เลยไม่มีใครกล้าแตะต้องมาตลอด
     

แชร์หน้านี้

Loading...