หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. D-Crew

    D-Crew เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2012
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +185
    นั่นซี ทำไมไม่ก้าวข้ามรอยแยกไปเลย หนอ
     
  2. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388

    เป็นที่ทราบกันดีในกลุ่มนักรบธรรม (นรธ.) แห่งภูดานไห ต่างได้ครอบครองพระพิมพ์สายวังชุดพิเศษและสำคัญๆเป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนแต่พบเจอประสบการณ์ในด้านที่ดีเป็นมงคลและกุศลยิ่ง จนต่างอัญเชิญออกมาให้ญาติธรรมร่วมทำบุญสร้างวัด ได้รับรู้สัมผัสในพลานุภาพที่มีอยู่จริง เพราะองค์อธิษฐานจิตก็ของจริง แถมยังเก่าจริงๆอีกด้วย

    วัตถุมงคลที่ได้รับการกล่าวขวัญในกลุ่ม นรธ. และเป็นที่ยอมรับของผู้ทรงญาณอย่างต่อเนื่อง จนลงใจให้แล้วแขวนเดี่ยวอย่างเดียวก็คือ "พระพุทธปฐวีธาตุ" แห่งองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช นามขององค์ท่าน ก็เกี่ยวข้องกับความหมายทางด้านฤทธิ์ ด้านเดช อยู่แล้ว ทว่าองค์ท่านกลับไม่ได้แสดงหรืออวดฤทธิ์ ซึ่งเป็นสมบัติของโลกให้คนลุ่มหลงมัวเมา หรือศรัทธาในทางนี้เลย องค์ท่านกลับแสดงปาฏิหาริย์ทางด้านธรรมเทศนา ให้เหล่าผู้มาศึกษาธรรมะด้วยความเคารพนบนอบต่อองค์ท่านอย่างจริงจัง ได้เข้าใจในการศึกษาปฏิบัติ ตามภูมิธรรม ตามจริตของแต่ละคน บ้างก็แตกต่าง บ้างก็เหมือน จนทำให้แต่ละคนพบว่าตัวเองมีจิตใจที่ค่อนข้างละเอียด รู้การควร การไม่ควร มีความเจริญงอกงามในทางธรรมและมีกำลังใจในการปฏิบัติ เห็นแสงสว่างในทางอริยมรรคธรรมอย่างต่อเนื่อง

    พระพุทธปฐวีธาตุเป็นมงคลธาตุสิ่งหนึ่งที่องค์ท่านเพียรหา เพียรสร้าง เพียรอธิษฐานจิตเพื่อมอบให้กับเหล่าศิษย์ผู้ที่เคารพรักและศรัทธาในองค์ท่าน ได้รับไว้เป็นอนุสสติ* ประกอบในการทำความเพียร วิปัสสนากรรมฐาน ผู้ที่ได้รับไปต่างก็พบเจอประสบการณ์แตกต่างกันไปตามภูมิจิต ภูมิธรรม ตามกรรมของแต่ละคนไป แยกเป็นสองส่วนดังนี้

    [​IMG] [​IMG]

    1. พลานุภาพในทางโลกธรรม: พระพุทธปฐวีธาตุทุกองค์ มีพลานุภาพหนักแน่นไร้ขีดจำกัดแบบครอบจักรวาล มีดีทุกด้าน เกินกว่าจะวัดหรือหยั่งได้ (พุทโธอัปปมาโน) เช่น พลานุภาพด้านเมตตามหานิยม ความอยู่เย็นเป็นสุข บรรเทาอุบัติเหตุเพทภัยพิบัติต่างๆ จากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นไม่มีหรือแคล้วคลาดปลอดภัย อีกทั้งกันคุณไสย คุณคน คุณผี เป็นต้น ฯลฯ

    เบี้ยแก้ : หากดูดซับพลังฝ่ายไม่ดีแทนเจ้าของไว้มากๆจนเต็ม สีจะเปลี่ยนเป็นสีดำๆ ก็จะกันคุณไสย คุณผี คุณคน ไม่ได้เต็มที่หรือไม่ได้เลย ทว่า พระพุทธปฐวีธาตุนั้นกลับมีพลังงานใช้ไม่มีหมดสิ้น สามารถดูดพลัง และผ่องถ่ายพลังที่ดีจากวัตถุมงคลอื่นๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ให้กับผู้ครอบครองที่สามารถสัมผัสพลังได้เป็นอย่างยิ่ง


    [​IMG] [​IMG]

    2. พลานุภาพในทางโลกุตรธรรม: โดยคำสั่งแห่งองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ได้บอกกล่าวสั้นๆแก่เหล่า นาค เทพ ฝ่ายสัมมาทิฏฐิ ผู้อาสารับใช้องค์ท่านเพื่อพิทักษ์รักษาพระพุทธปฐวีธาตุ สั่งสมบุญบารมีว่า "ไปเด๊อ...หมู่เจ้า ไปแสดงให้เขาเห็นว่า พระพุทธศาสนายังมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่"

    [​IMG] [​IMG]

    ดังนั้น ท่านผู้มีตาในของจริงจึงเห็นพระพุทธปฐวีธาตุส่องแสงสว่างสีขาวประกายเรืองรองไปทั่วทั้งจักรวาล เห็นมีพญานาคสีขาว หรือเทวดาสวมชุดขาว สถิตอยู่ภายใน ส่วนนักปฏิบัติธรรมทั่วไปที่มีจิตเชื่อมั่นและศรัทธา ก็สามารถสัมผัสพลานุภาพอันเป็นรูปธรรมได้ เช่น พระพุทธปฐวีธาตุย้ายตำแหน่งวางได้ ขยับองค์ได้ ขยายองค์ได้ เสียดสีกันไปมาได้ (กรณีมีสององค์ขึ้นไป) สามารถทรงอารมณ์แห่งความเย็นใจ สบายใจได้ แม้จักไม่ได้อัญเชิญนานเป็นวันๆ (ผู้ครอบครองต้องมีสมาธิและพลังจิตในการซึมซับพลังงานได้) จนสงสัยว่า องค์ท่านสามารถจับพลังความเย็นใจ สบายใจ (อารมณ์พระนิพพาน) มาใส่วัตถุธาตุนี้ แล้วส่งต่อมาให้ผู้ครอบครองสามารถสัมผัสได้ ได้อย่างไรหนอ?

    พระพุทธปฐวีธาตุสามารถผ่องถ่ายพลังกระแสเย็นได้:
    นอกจากนี้แล้วพระพุทธปฐวีธาตุ ยังเป็นเหมือนสิ่งที่มีชีวิตจิตใจจริงๆ คือเป็นธาตุรู้ที่สัมผัสได้ทางความรู้สึก เช่น หากผู้ครอบครองเกิดอาการหดหู่ เสียใจ ท้อแท้ หมดกำลังใจในการปฏิบัติธรรม สาเหตุอาจจะเกิดจากการสูญเสียวัตถุ สิ่งของ สัตว์เลี้ยง บุคคล อันเป็นที่รักไป พระพุทธปฐวีธาตุก็จักสำแดงพลังให้ผู้ที่ครอบครองและเกิดอาการอันไม่สบายใจข้างต้น ให้กลับมีความเย็นกว่าปกติ จนผู้อัญเชิญมีอารมณ์เป็นปกติ จึงจะหยุดในการส่งถ่ายพลังเย็น (ถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้มีกระแสจิตที่ละเอียดลึกซึ้ง)

    [​IMG]

    ดังนั้น พระพุทธปฐวีธาตุ ถือเป็นตัวแทนขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์ที่สามารถจับต้องสัมผัสได้จากแดนไกล พระพุทธปฐวีธาตุจักสำแดงพลังให้ท่านผู้ครอบครองอาราธนาอัญเชิญด้วยจิตที่เคารพนบนอบ อย่างบริสุทธิ์ใจ องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาบอกว่า "พระพุทธปฐวีธาตุ จักแสดงฤทธิ์ของเขาเอง ไม่ต้องไปป่าวประกาศ ไม่ต้องไปโฆษณา แต่ผู้ที่สัมผัสได้นั่นแหละ เขาจะป่าวประกาศให้เอง" สมกับคำที่องค์ท่านสั่งมาว่า
    "ไปเด๊อ...หมู่เจ้า ไปแสดงให้เขาเห็นว่า พระพุทธศาสนายังมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่"

    [​IMG] [​IMG]

    พระพุทธปฐวีธาตุ จึงเป็นวัตถุธาตุกายสิทธิ์อันมงคลเลิศในมุมมองของข้าพเจ้า ฉะนี้
    ธรรมรักษ์ผู้รักษ์ธรรม
    IT Man/20.06.55
    ................................................................................

    *อนุสสต แปลว่า “ตามระลึกถึง” กรรมฐานกองนี้ เป็นกรรมฐานที่ตามระลึกนึกถึง มีกำลังสมาธิไม่เสมอกัน บางหมวดก็มีสมาธิเพียงอุปจารฌาน บางหมวดก็มีสมาธิถึงปฐมฌาน บางหมวดก็มีสมาธิถึงฌาน 4 และฌาน 5 กำลังของกรรมฐานกองนี้มีกำลังไม่เสมอกันดังนี้ อนุสสติทั้ง 10 อย่างนี้ ก็เหมาะแก่อารมณ์ของนักปฎิบัติไม่ใช่อย่างเดียวกันบางหมวดก็เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในสัทธาจริต บางหมวดก็เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในวิตกและโมหะจริต บางหมวดก็เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในราคจริต กองใดหมวดใดเหมาะแก่ท่านที่หนักไปในจริต อนุสสตินี้มีชื่อและอาการรวม 10 อย่างด้วยกัน จะนำชื่อแห่งอนุสสติทั้งหมดมาเขียนไว้เพื่อทราบ ดังต่อไปนี้
    1. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
    2. ธัมมานุสสติ ระลึกถึงพระธรรมเป็นมารมณ์
    3. สังฆนุสสติ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์
    4. สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลเป็นอารมณ์
    5. จาคานุสสติ ระลึกถึงผลของทานการบริจาคเป็นอารมณ์
    6. เทวตานุสสติ ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์
      (อนุสสติทั้ง 6 กองนี้ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในสัทธาจริต)
    7. มรณานุสสติ ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์
    8. อุปสมานุสสติ ระลึกถึงความสุขในนิพพานเป็นอารมณ์
      (อนุสสติ 2 กองนี้ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในพุทธจริต)
    9. กายคตานุสสติ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในราคจริต
    10. อานาปานานุสสติ เหมาะแก่ท่านที่หนักไปในโมหะและจริต
    กำลังสมาธิในอนุสสติทั้ง 10
    กำลังสมาธิในอนุสสติทั้ง 10 มีกำลังสมาธิแตกต่างกันอย่างนี้
    พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ อนุสสติทั้ง 7 นี้ มีกำลังสูงสุดเพียงอุปจารสมาธิ
    ลีลานุสสติ มีกำลังสมาธิถึงอุปจารสมาธิ และอย่างสูงสุดเป็นพิเศษ ถึงปฐมฌานได้ ทั้งนี้ถ้าท่านนักปฎิบัติฉลาดในการควบคุมสมาธิจึงจะถึงปฐมฌานได้้ แต่ถ้าทำกันตามปกติธรรมดาแล้ว ก็ทรงได้เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น
    กายคตานุสสติกรรมฐานกองนี้ ถ้าพิจารณาตามปกติในกายคตาแล้ว จะทรงสมาธิได้เพียงปฐมฌานเท่านั้น แต่ถ้านักปฎิบัติฉลาดทำ หรือครูฉลาดสอน ยกเอา สีเขียว ขาว แดง ที่ปรากฎในอารมณ์แห่งกายคตานุสสตินั้นเอามาเป็นกสิณ ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคดังนี้ กรรมฐานกองนี้ก็สามารถทรงสมาธิได้ฌาน 4 ตามกำลังสมาธิในกสิณนั้น
    อานาปานุสสติ สำหรับอานาปานุสสตินี้ มีกำลังสมาธิถึงฌาน 4 สำหรับท่านที่มีวาสนาบารมีสาวกภูมิ สำหรับท่านที่มีบารมี คือปรารถนาพุทธภูมิแล้วก็สามารถทรงสมาธิได้ฌาน 5 ฌาน 4
    ................................................................................
    อ่านต่อ...
    08: พลานุภาพพระพุทธปฐวีธาตุ
    36: ทำไม "ปฐวีธาตุ" จึงมีความแตกต่างจากพระเครื่องมากมายนัก
    141: เทวตานุสติ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2012
  3. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    เทวตานุสติ
    โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย

    คำว่า เทวตานุสติ หมายความว่า ระลึกถึงธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดา คนเราทุกคนย่อมอยากเป็นคนดี หรืออยากเป็นเทวดา เป็นเอินทร์เป็นพรหม หรืออยากบริสุทธิ์ พ้นจากทุกข์จะต้องมีความปรารถนาด้วยกันทุกคน แต่เมื่อมาได้เพียงมนุษยสมบัติ ก็นับว่าดีอักโขแล้ว เพราะมันเป็นพื้นฐานที่จะตกแต่งให้มนุษย์ไปเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ต่อไป มนุษย์ที่มีสมบัติ คือมีอวัยวะครบครันบริบูรณ์ ไม่บ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ นับว่าดีอยู่แล้ว ขอให้ตั้งหลักฐานมนุษย์ที่ได้แล้วนี่ให้มั่งคงเถิด
    เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ใช่จะเป็นมนุษย์ทีเดียวมันเป็นมนุษย์แต่ชื่อ หรือไม่มนุษย์สมบัติมาเฉย ๆ ยังไม่สมบูรณ์ ถ้าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์จะต้องมี มนุษยธรรม ด้วย

    มนุษยธรรม คือคุณธรรมที่เป็นมนุษย์ ซึ่งมีมากที่เป็นเบื้องต้น ได้แก่ การเอ็นดู เมตตา ปรารถนาหวังดีต่อกันและกัน แล้วก็มีกตัญญูกตเวที อันเป็นพื้นฐานของมนุษย์
    คนเราถ้าหากไม่มีเมตตาหวังดีต่อกันแล้ว มันก็ไม่ผิดแผกจากสัตว์เดรัจฉานเลย เอาแต่ได้เอาแต่ดี เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่คิดถึงความทุกข์ ความเดือดร้อนของคนอื่น ก็เหมือนสัตว์ทั่ว ๆ ไป สัตว์มันไม่มีเมตตาปรานีแก่กัน เช่นอย่างวัวควาย เมื่อเกิดมาก็มีแม่ของมันเลี้ยง พ่อของมันไม่ทราบไปไหนต่อไหนแล้ว แม่เลี้ยงลูกโดยสัญชาตญาณของมัน รักและเอ็นดูซึ่งกันและกัน แต่เวลาเติบใหญ่แล้วก็ลืมหมด ไม่ทราบว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ ใครเป็นลูกเป็นเต้า ไม่มีการสงเคราะห์กันนั่นแหละที่เรียกว่ามันไม่มีมนุษยธรรม

    ส่วนคนเราไม่เป็นอย่างนั้น เรายังมีเมตตาปรานีโอบอ้อมอารีซึ่งกันและกัน หวังหาความสุข ความเจริญต่อกันรู้จักบุญคุณของกัน เหตุนั้นมนุษย์จึงมีพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ เป็นเครื่องแสดงความแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน

    นอกจากมนุษยธรรมแล้ว ยังมีข้ออื่นอีก คือ มีศีล 5 เป็นเครื่องอยู่ ศีล 5 เป็นเครื่องปกปักรักษามนุษย์ให้เจริญต่อไป เมื่อเว้นจากฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดมิจฉาจาร กล่าวมุสาวาท ดื่มสุราเมรัยแล้ว มนุษย์จะอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก

    ชุมชนใดถ้ามีศีล 5 เป็นเครื่องปกปักรักษาคุ้มครองอยู่ ชุมชนนั้นจะค่อยเจริญงอกงามขึ้น ถ้าไม่มีศีล 5 ก็นับวันจะเสื่อมลงไป จะมีแต่คิดอิจฉา มีแต่เบียดเบียนพยาบาทอาฆาตจองบ้างจองผลาญซึ่งกันและกัน ชุมชนใดไม่มีศีล 5 ก็เป็นสัตว์ไป

    ลองคิดดูเถิด กฎหมายบ้านเมืองซึ่งท่านตราออกมาเป็นพระราชบัญญัตินั้น ล้วนแล้วแต่อนุโลมตามศีล 5 กฎหมายมาตราต่าง ๆ ต้องมีศีล 5 อยู่ทั้งนั้น ศีล 5 นี้เป็นพื้นฐานของชาวโลก โลกมีศีล 5 แต่ไหนแต่ไรมาก่อนพระพุทธเจ้าประสูติก็มีอยู่อย่างนั้นเหตุนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้วจึงทรงสอนศีล 5 อนุโลม ตามของอันมีอยู่แต่ก่อน ศีล 5 ประการนี้เป็นเหตุให้อยู่เย็นเป็นสุขปราศจากอุปัทวันตราย
    ฉะนั้น เบื้องต้นที่จะเป็นเทวดา ก็ต้องเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยมนุษยธรรมเสียก่อน เหตุนั้นท่านจึงเรียกว่า มนุสฺโส เกิดขึ้นมาเป็น มนุสฺโส แล้วจึงค่อยเป็น มนุสฺสเทโว ต่อไปถ้าไม่เป็น มนุสฺโส ก็เป็น มนุสฺสเทโว ไม่ได้

    การที่จะเป็นมนุสฺสเทโวได้ ก็ต้องมีธรรมะเป็นครื่องอยู่ เปรียบเหมือนกับพวกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำการค้าขาย ก็เรียกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำไร่ทำนา ก็เรียกว่าชาวไร่ ชาวนา ถ้าทำราชการ ก็เรียกว่าข้าราชการ ฉะนั้น การที่เป็นเทวดาได้ ก็เพราะ มีธรรมอันทำให้เป็นเทวดาธรรม นั้น คือ “ หิริ ” ความละอายแก่ใจ และ “ โอตฺตปฺป ” ความเกรงกลัวต่อบาป
    ธรรมะ 2 ข้อนี้ มีความสำคัญผู้มีความละอายต่อบาปกลัวต่อบาป จะงดเว้นการทำชั่วทุกประการ เพราะระลึกได้อยู่เสมอ จึงละอายและกลัว การกระทำทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี แม้แต่เพียงคิดเฉย ๆ ว่าจะทำความชั่ว เป็นต้นว่าคิดจะขโมยของเขา ก็ให้คิดละอายขึ้นมาในใจแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำ ไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่เรารู้ตัวเองอยู่ จึงละอายต่อบาปไม่กล้าทำ เช่นนี้เรียกว่ามี หิริ โอตฺตปฺป

    หิริ โอตฺตปฺป นี้เป็นธรรมที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของศีล เป็นต้นตอของศีล ผู้จะมีศีลได้ ไม่ว่าจะเป็นศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 หรือศีล 227 ก็ตาม ต้องมีหิริ และ โอตฺตปฺป เนื่องจากได้เห็นจิตของตน เห็นความนึกความคิดความปรุงของจิตของตน แล้วก็กลัวบาป ละอายบาป จึงไม่อาจจะทำความชั่วได้ ฉะนั้น ศีลก็บริสุทธิ์

    ธรรม 2 ข้อนี้จึงได้ชื่อว่าธรรมที่ตกแต่งมนุษย์ให้เป็นเทวดา ฟังดูคล้ายๆ กับว่าธรรมทำบุคคลให้เป็นเทวดา อันที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น ท่านพูดอุปมาอุปไมยฟัง แต่เราสามารถทำให้เกิดมีขึ้นในตัวของเราได้ด้วยการตั้งสติ กำหนดดูให้รู้จักจิตของตนเสียก่อน เมื่อมันคิดนึกแส่ส่ายไปทางอกุศลก็รู้จักละอายและกลัวต่อบาปแล้วงดเว้นเสียนี่แหละเป็นธรรมซึ่งมีอยู่ในตัวของเรา
    ธรรมไม่มีตนไม่มีตัว เป็นนามธรรม เปรียบง่าย ๆ เหมือนกับคนค้าขาย คนกระทำการค้าขาย จึงได้ชื่อว่าเป็นพ่อค้าแม่ค้า ไม่ใช่การค้าขายทำให้เป็น เราเป็นคนทำต่างหากจึงค่อยเป็น อันนี้ก็เหมือนกัน เราระลึกขึ้นมาได้ เราเห็นใจของตนอยู่เสมอ จึงมี หิริ โอตฺตปฺป ช่วยให้มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 สมบูรณ์บริบูรณ์หมดทุกอย่าง ท่านจึงว่า

    หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา

    สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร
    เทวธรรม คือ หิริ โอตฺตปฺป เท่านั้น ทำมนุษย์ให้เป็นเทวดา

    คนเราเมื่อเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าอยากดีขึ้นไปเป็นเทวดาต้องมีคุณธรรม 2 อย่างนี้จึงจะเป็นเทวดาได้ ถ้าหากอยากดีอยากเป็นเทวดาแต่ไม่มีคุณธรรม มันก็เป็นไปไม่ได้ เหตุนั้นจึงควรที่จะสร้างคุณธรรมนั้นให้มีขึ้นในตนเมื่อมีขึ้นแล้วก็เพิ่มพูนให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น

    การมีหิริโอตฺตปฺป และรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ได้อาจสามารถเป็นพรหมได้ เรียกว่า พรหมจรรย์ การรักษาศีล 10 ศีล 227 เรียกว่า พรหมจรรย์โดยแท้ ก็อาศัย หิริ โอตฺตปฺป นั่นเอง หากเป็นโดยลำดับ
    เพราะฉะนั้น ควรที่จะรักษา ควรที่จะระลึกถึงธรรมอันที่ทำให้เป็นเทวดาอยู่เสมอ ๆ ก็จะเป็นอนุสติรักษาตนอยู่ด้วยความสงบได้ ไม่เป็นไปเพื่อความกำเริบวุ่นวายมีความสุขความสบายตลอดเวลา

    จากหนังสือ ธรรมลีลา ปีที4 ฉบับที่42
    พิมพ์ สุวิภา กลิ่นสุวรรณ์
     
  4. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    ความจริงผมได้แหวกรอยแยกลงไปดูถึงข้างล่างแล้ว น่าจะลึกประมาณสักเกือบ 10 เมตรเห็นจะได้ ในจิตบอกว่า เออมันเป็นเรื่องปรกติธรรมดาของโลก จึงไม่ได้สนใจ แล้วก็เดินหนีจากสิ่งนั้น แต่ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคใหม่เข้ามาคือ ผืนน้ำกั้นขวางทางดูเวิ้งว้าง แต่จิตก็ยังมีปัญญามองหาเรือ แต่เจ้ากรรมเรือนั้นกลับคว่ำหน้าอยู่แถมมีเจ้าของเสียแล้ว มิหนำซ้ำยังลอยคอลากเรือออกไปอีก ปัญญาที่สองตามมาก็คือ คว้าเอาท่อนไม้ยาวมาจากไหนก็ไม่รู้ ค้ำกระโดดข้ามน้ำไปได้ แต่ก็ยังมีน้ำอยู่รอบ จิตก็ไม่ได้สนใจน้ำอีก เพราะจิตมุ่งจะเข้าไปในเมืองซึ่งอยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำ เพื่อเข้าไปช่วยเตือน พอไปถึงก็ยังเห็นรถราผู้คนจอแจวุ่นวายอยู่ จิตบอกว่า น้ำจะท่วมแล้วยังทำอะไรกันอยู่ แต่ก็เห็นบางคนพยายามหาทางออกจากเมือง รวมทั้งตัวเองก็ยังนึกเสียดายว่า ยังลืมบางสิ่งไว้ที่ฝั่งโน้น จะข้ามไปก็คงไม่ทัน จึงพยายามจะบอกบางอย่างแก่ผู้คน แต่เห็นผู้คนไม่ได้สนใจ จิตก็บอกว่าชั่งมันไปดีกว่าเรา จึงเดินหาทางกลับ เดินผ่านตัวเมืองพบผู้คนหลายเชื้อชาติ จิตก็ยังบอกว่า เฮ้อ...ยังทำอะไรกันอยู่หนอ ทำไมชีวิตมนุษย์ยังวุ่นวายกันอยู่หนอ ยังเพลิดเพลินกันอยู่หนอ...จิตบอกว่า หนีไปให้ไกล ไปให้พ้นจากความวุ่นวายนี้เสีย ไปแต่ลำพัง เพราะแลไม่เห็นญาติพี่น้องหรือผู้ใด ยังไม่พบสถานีหรือต้นทางที่จะออกเดินทาง จิตก็ตื่นจากการหลับราวเกือบตีห้า จึงต้องออกมาเดินจงกรมจนสว่าง

    ปริศนาหรืออุบายธรรมนี้ มักจะเกิดขึ้นมาเป็นช่วงๆ บางครั้งก็กลายเป็นความจริง แต่สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาล้วนไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นของธรรมดา นิมิตนี้ก็เช่นกัน ผู้ที่มีปัญญาจะได้ประโยชน์จากนิมิต จากสิ่งที่ไม่เที่ยงนี้ วางความจริงและไม่จริงไว้ ให้เหลือแต่ธรรมล้วนๆ ธรรมที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาในสิ่งที่ไม่เที่ยงนั่นแหละ เมื่อถึงกาลจะเกิดสิ่งใด จะเป็นสิ่งใด มันก็ย่อมเป็นสิ่งนั้นวันยันค่ำ หรือเกิดมาเพื่อกาลสุดท้ายก็ย่อมสุดท้าย เกิดมาเพื่อเวียนว่ายก็ย่อมเวียนว่าย มันก็เป็นเช่นนั้นแล

    ทำเพื่อผู้อื่นมามากแล้วหลายภพหลายชาติ ช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากวัฏฏะสงสารเสียบ้าง ไปแต่ลำพัง ไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม รอยแยกรอยแตกก็ไม่เอา เรือก็ไม่เอา ไม้ค้ำก็ไม่เอา น้ำก็ไม่เอา ผู้คนข้าวของก็ไม่เอา ทิ้งไว้แต่เบื้องหลัง คืนให้กับโลกทั้งหมดทั้งสิ้นแม้กระทั่งบุญ-บาป หรือแม้กระทั่งธรรมก็ไม่เอาไป นี่จิตมันบอกอย่างนั้น...

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    20 มิถุนายน 2555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2012
  5. Phoobes

    Phoobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,181
    จากอุทกภัยที่เกิดในบ้านเรา ในหลายที่หลายถิ่น ทำให้ทุกวันนี้ต่างวิตกกันว่าจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ หากมองตามสภาพของโลกที่ขาดสมดุลหรือเรียกได้ว่าป่วย คงจะคาดคะเนกันได้ว่าทุกอย่างอาจเกิดขึ้นได้ ด้วยธรรมชาติที่จำต้องมีการปรับสมดุลให้กับตัวเองเช่นกัน
    อีกทั้งยังมีวิทยาการที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติให้เป็นไปด้วยน้ำมือมนุษย์ อย่างที่ปัจจุบันได้ทราบอย่างโครงการ haarp ที่ใช้พลังคลื่นแม่เหล็กความถี่สูงเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาในชั้นบรรยากาศ สามารถทำให้เกิดพายุ แผ่นดินไหว สึนามิ ยิ่งทำให้โลกเกิดความวิปริตจากความวิปริตของมนุษย์ ซึ่งในวันหนึ่งมนุษย์ผู้ไม่รู้จะได้รู้ว่าพระธรรมชาติเจ้านั้นยิ่งใหญ่เพียงใด


    หากคุยกันในเรื่องความฝัน นิมิต ในส่วนตัวผมมักมองไปในแง่มุมของการโน้มไปสู่ธรรม เสียมากกว่าการจะพิสูจน์ว่าเป็นจริงหรือไม่ เพราะนิมิตคือเครื่องหมาย ก็ยังหาใช่ความจริงไม่ ส่วนจะเป็นเรื่องบังเอิญเป็นจริง หรือเป็นลางบอกเหตุ ก็เป็นสิ่งที่ให้เราได้มีสติ มีความระมัดระวัง มีความรอบคอบต่อการตัดสินใจหรือการกระทำของเรา

    พูดถึงน้ำที่เวิ้งว้าง หรือห้วงน้ำ ในทางพุทธศาสนาท่านกล่าวถึงห้วงน้ำที่เวิ้งว้างหรือโอฆะนี้...
    [FONT=&quot]
    โอฆะธรรม...ธรรมอันเปรียบเสมือนห้วงน้ำที่ท่วมทับสัตว์ให้จมลง[/FONT]
    [FONT=&quot]โอฆะธรรม[/FONT][FONT=&quot]หมายถึง ธรรมอันเปรียบเสมือนห้วงน้ำ ได้แก่ โลภะ(ความโลภ)[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]ทิฏฐิ(ความเห็นผิด)[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]โมหะ(ความโง่).[/FONT]
    [FONT=&quot]อกุศล[/FONT][FONT=&quot]เจตสิกทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นธรรมที่เหมือนห้วงน้ำ[/FONT][FONT=&quot]เพราะธรรมดาห้วงน้ำทั้งหลาย เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดตกลงไปแล้ว[/FONT][FONT=&quot]ห้วงน้ำนั้นย่อมท่วมทับเบียดเบียนสิ่งเหล่านั้นให้จมลง[/FONT][FONT=&quot]ยากที่จะทำให้โผล่พ้นขึ้นมาจากห้วงน้ำนั้นได้[/FONT][FONT=&quot]ความโลภ[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]ความเห็นผิด[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]และความโง่ คือ โลภะ[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]ทิฏฐิ[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]และโมหะ ธรรมทั้ง ๓[/FONT][FONT=&quot]ประการนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ย่อมท่วมทับและเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย[/FONT][FONT=&quot]ทำให้จมลงในสังสารวัฏฏ์ จนถึงอบายภูมิ[/FONT][FONT=&quot]และยากที่จะโผล่พ้นจากสังสารวัฏฏ์นั้น และให้เข้าถึงพระนิพพานได้.[/FONT]
    [FONT=&quot]หมาย[/FONT][FONT=&quot]ความว่า เมื่อสัตว์ทั้งหลายถูกครอบงำด้วยความโลภ ความเห็นผิด[/FONT][FONT=&quot]และความโง่หลงงมงายอยู่ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ[/FONT][FONT=&quot]ย่อมถูกอำนาจอกุศลธรรมเหล่านั้น ชักนำให้กระทำทุจริตกรรม[/FONT][FONT=&quot]นำสู่อบายภูมิอันเป็นภูมิเบื้องต่ำ ที่เรียกว่า "เหฏฐิมสังสาร"[/FONT][FONT=&quot]หาโอกาสที่จะให้พ้นจากภูมินั้นได้ยากยิ่ง[/FONT][FONT=&quot]หรือมิฉะนั้นก็จะชักนำให้ติดอยู่ในความเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิที่มีความ[/FONT][FONT=&quot]สุข ความสบายอันเป็นสุคติภูมิเบื้องกลาง เรียกว่า "มัชฌิมสังสาร"[/FONT][FONT=&quot]หรือภูมิเบื้องสูงที่เรียกว่า "อุปริมสังสาร" ซึ่งในภูมิต่างๆดังกล่าวนั้น[/FONT][FONT=&quot]ก็ล้วนยังไม่พ้นจากวัฏฏทุกข์อยู่ดีนั่นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วยเหตุนี้ โลภะ[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]ทิฏฐิ[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]โมหะ ทั้ง ๓ นี้ จึงชื่อว่า[/FONT][FONT=&quot]โอฆะ คือ ห้วงน้ำ[/FONT]
    [FONT=&quot]ดังมีวจนัตถะแสดงว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]อวตฺถริตฺวา[/FONT][FONT=&quot]หนนฺตีติ[/FONT][FONT=&quot] = [/FONT][FONT=&quot]โอฆา[/FONT]
    [FONT=&quot]ธรรมชาติใดย่อมท่วมทับเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย[/FONT]
    [FONT=&quot]ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า[/FONT][FONT=&quot]โอฆะ[/FONT][FONT=&quot] ([/FONT][FONT=&quot]ได้แก่ ห้วงน้ำ)[/FONT]
    [FONT=&quot]------------------------------------------[/FONT]
    [FONT=&quot]อีกนัยหนึ่งแสดงว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]อวตฺหนนฺตีติ[/FONT][FONT=&quot]โอสีทาเปนฺตีติ[/FONT][FONT=&quot] = [/FONT][FONT=&quot]โอฆา[/FONT]
    [FONT=&quot]ธรรมชาติใดทำให้สัตว์ทั้งหลายจมลง ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า[/FONT][FONT=&quot]โอฆะ[/FONT]
    [FONT=&quot]------------------------------------------[/FONT]
    [FONT=&quot]หรืออีกนัยหนึ่งแสดงว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]โอฆาวิยาติ[/FONT][FONT=&quot] = [/FONT][FONT=&quot]โอฆา[/FONT]
    [FONT=&quot]ธรรมชาติเหล่าใดท่วมทับเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย[/FONT]
    [FONT=&quot]และทำให้สัตว์ทั้งหลายนั้นจมลงในสังสารวัฏฏ์จนถึงอบายภูมิเหมือนกับห้วงน้ำ[/FONT]
    [FONT=&quot]ฉะนั้น ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า[/FONT][FONT=&quot]โอฆะ[/FONT][FONT=&quot] ([/FONT][FONT=&quot]ได้แก่ โลภะ[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]ทิฏฐิ[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]โมหะ)[/FONT]
    [FONT=&quot]โอฆะเหล่านี้ เมื่อกล่าวโดยภูมิ และโดยธรรมแล้ว ก็เป็นเช่นเดียวกับ อาสวะ นั่นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot]โอฆะ[/FONT][FONT=&quot]มี ๔ ประการ คือ.....[/FONT]
    [FONT=&quot]๑. กาโมฆ[/FONT][FONT=&quot]ะ ธรรมชาติที่ทำให้สัตว์จมลงอยู่ในห้วงแห่งกามคุณอารมณ์[/FONT]
    [FONT=&quot]๒. ภโวฆ[/FONT][FONT=&quot]ะ ธรรมชาติที่ทำให้สัตว์จมอยู่ในห้วงแห่งความยินดีในอัตภาพของตน ในรูปภพ[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]อรูปภพ[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]หรือในรูปฌาน[/FONT][FONT=&quot], [/FONT][FONT=&quot]อรูปฌาน[/FONT]
    [FONT=&quot]๓. ทิฏโฐฆ[/FONT][FONT=&quot]ะ ธรรมชาติที่ทำให้สัตว์จมอยู่ในความเห็นผิด[/FONT]
    [FONT=&quot]๔. อวิชโชฆ[/FONT][FONT=&quot]ะ ธรรมชาติที่ทำให้สัตว์จมอยู่ในความหลง ความโง่ ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง[/FONT]
    [FONT=&quot] <hr align="center" size="2" width="100%"> [/FONT]
    [FONT=&quot]([/FONT][FONT=&quot]ที่มา...คู่มือการศึกษา พระอภิธัมมัตถสังคหะ รวบรวมโดย อาจารย์วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี)[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2012
  6. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    "ปรอทกรอ"อีกหนึ่งเครื่องรางของขลังชั้นยอด พบน้อย.....ของดีสายวังครับเพราะพบเห็นพร้อมๆกันในช่วงเวลาเดียวกัน ผมมีเพียงลูกเดียวเท่านั้นสภาพใหม่ไม่เคยพกพาใช้เลย.....หากญาติธรรมท่านใดต้องการบูชาผมก็ยินดีมอบให้ครับ โดยร่วมทำบุญ 5,999.-โอนเงินโดยตรงเข้าบ/ช ทางวัด(แม่ชม)แล้วแจ้งการโอนเงินพร้อมที่อยู่ จะดำเนินการจัดส่งให้โดยด่วนครับ.....ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในเว็ป มีหลากหลายข้อมูลน่าสนใจมาก

    สำหรับแหวนนาคราช เนื้อสำริดให้ชมเป็นการศึกษาครับ สวยงามและเข้มขลังมากๆ.....

    สมาชิกธรรม/นรธ.พิเชฐ
    0850977531
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2012
  7. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    อนุโมทนาใน "โอฆะธรรม" ที่ท่านภูเบศวร์นำมาถ่ายทอด ชั่งเหมาะเจาะกับห้วงเวลาทีเดียว ผู้ใดพิจารณาเพียงแค่โอฆะธรรมอย่างเดียวให้แจ่มแจ้ง อาจทำให้บรรลุธรรมได้กระมังครับ

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    21 มิถุนายน 2555
     
  8. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    ปรอทกรอสายวัง: มวลสารน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับพระสมเด็จ พันรอบด้วยเชือก?? ลงรัก ชาด
    ภายในกลวง มีเม็ดมวลสาร

    โมทนาสาธุครับ
    คุณสมบัติคล้ายเบี้ยแก้ เวลาเขย่าจะมีเสียง สมัยโบราณนักรบชอบอัญเชิญติดตัว เมื่อยามศัตรูหมู่มารเข้าใกล้หมายปองร้าย
    ปรอทกรอจะมีเสียง กรอๆๆๆๆๆๆๆ (จำมาเล่านะครับ เพราะยังไม่มีประสบการณ์เหมือนเบี้ยแก้)

    ผมก็มีเพียงชิ้นเดียว ยินดีมอบให้เป็นสมบัติของส่วนกลาง
    มอบให้แด่ญาติธรรมที่ทำบุญร่วมสร้างศาลาฯเป็นปัจจัย 5,000 บาทเช่นกันครับ

    โมทนาสาธุในบุญทุกประการ/IT Man

    (เพิ่มเติมข้อมูลจาก : http://bankayasit.tarad.com/product.detail_741777_th_3601558)
    ปรอทกรอ สุดยอดเครื่องรางเตือนภัย กันภัย แคล้วคลาด มหาอุด เมตตาครบ ทรงค่าหายาก
    จัดเป็นยอดเครื่องรางที่สุดยอดหายากหนึ่งวัดฝังไว้ลูกเดียว ปรอทกรอ จริงๆแล้วเป็นของดี
    ที่วัดหนึ่งวัดจะมีอยู่ลูกเดียวคือฝังไว้ที่ใต้ฐานพระอุโบสถเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายและสิ่งอัปมงคลทั้งปวง
    ที่เข้ามารวมทั้งโจรผู้ร้ายเมื่อเขามาปรอทก็จะส่งเสียงดัง ภายในลูกปรอทกรอนั้นว่ากันว่าเป็นของวิเศษกายสิทธิ์
    จำพวกเหล็กไหล หรือเรียกปรอท ที่พระอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมได้เอามาใส่ไว้ โดยนำเอามาหุงและหล่อเป็นลูกปรอทกายสิทธิ์
    ฉนั้นเวลาเขย่าจะคล้ายมีกริ่งอยู่ข้างในปรอทกรอเท่าที่พบก็จะอยู่ตามวัดเก่าที่เขาไปบูรณะหรือเป็นของตกทอดมาจากปู่ย่า

    ปรอทกรอทั้งสองลูกนี้พิเศษมากคือเสียงลูกปรอทด้านในวิ่งเร็วมากๆแสดงว่าสะท้อนเสนียดจัญไรได้ดีวิเศษสุดทีเดียว
    มีแบบแกะลายรูปราหูลงชาดแดงและแบบเนนื้อเดิมปิดทองคำ...ทั้งสององค์อายุร่วม ๑๐๐ ปีทีเดียวครับ

    [​IMG]
    ภาพจาก http://www.pralanna.com/
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  9. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ขอขอบคุณท่านภูเบศวร์เป็นอย่างยิ่งที่กรุณาเป็นธุระจัดซื้อกล้องขนาดพกพาให้กับผม
    ผมได้รับเมื่อวานตอนบ่ายๆ และนี้เป็นภาพเพียงไม่กี่ภาพที่ได้ถ่ายมาในตอนค่ำและกลางคืน
    โดยไม่ใช้ flash ช่วยเลย เยี่ยมจริงๆเลยครับ
    [​IMG]
    Canon PowerShot S100

    • ความละเอียด 12.1 Megapixels
    • ซูม 5 เท่า
    • มี Mode การถ่ายภาพ M, AV, TV,P
    • บันทึก RAW ได้
    • Sensor CMOS ขนาด 1/1.7” Processor Digic 5
    • Video Full HD
    • จำหน่ายเฉพาะ สีดำ
    • update : 01/06/55
    ภาพถ่ายสิ่งของใกล้ตัว (Mode Auto)

    [​IMG]
    ภายใต้แสงสลัวๆใน show room / ภาพ LED TV ความละเอียดสูง
    [​IMG]
    ภายใต้แสงภายนอกในยามค่ำ
    [​IMG]
    ภายใต้แสงภายนอกในยามค่ำ
    [​IMG]
    ภายใต้แสงไฟนิออน
    [​IMG]
    ภายใต้แสงไฟสลัวๆ : เที่ยงคืนกว่า
    [​IMG]
    ภายใต้โคมไฟอ่านหนังสือ
    [​IMG]
    ภายใต้โคมไฟอ่านหนังสือ
    [​IMG]
    ภายใต้โคมไฟอ่านหนังสือ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0002.JPG
      IMG_0002.JPG
      ขนาดไฟล์:
      83.8 KB
      เปิดดู:
      1,892
    • IMG_0005.JPG
      IMG_0005.JPG
      ขนาดไฟล์:
      137.3 KB
      เปิดดู:
      1,900
    • IMG_0016.JPG
      IMG_0016.JPG
      ขนาดไฟล์:
      110.5 KB
      เปิดดู:
      1,895
    • IMG_0026.JPG
      IMG_0026.JPG
      ขนาดไฟล์:
      135.7 KB
      เปิดดู:
      1,859
    • IMG_0031.JPG
      IMG_0031.JPG
      ขนาดไฟล์:
      119.3 KB
      เปิดดู:
      1,926
    • IMG_0035.JPG
      IMG_0035.JPG
      ขนาดไฟล์:
      136.3 KB
      เปิดดู:
      1,820
    • IMG_0036.JPG
      IMG_0036.JPG
      ขนาดไฟล์:
      127.3 KB
      เปิดดู:
      1,802
    • IMG_0007.JPG
      IMG_0007.JPG
      ขนาดไฟล์:
      125.6 KB
      เปิดดู:
      1,883
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  10. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    วันนี้...ร่วมรำลึกครบรอบ 140 ปีแห่งการล่วงลับ ของท่าน "สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี" กันนะครับ คำเทศนาของท่านยังใช้เตือนสติได้อยู่เสมอๆ.....ร่วมกันเชิดชูเกียรติคุณและสำนึกในพระคุณสมเด็จท่านที่ได้สร้างพระสมเด็จอันล้ำค่าและทรงคุณค่าไว้เป็นมรดกให้เราและลูกหลานได้สืบทอดพระพุทธศาสนาได้ยืนยาวนานตราบ 5000 ปี.....

    กราบ กราบ กราบ
    สมาชิกธรรม/นรธ.พิเชฐ
    22 มิถุนายน2555
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2012
  11. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    ขอนอบน้อมกราบ กราบ กราบ องค์หลวงปู่เจ้าประคุณสมเด็จฯโต ด้วยเศียรเกล้า

    นะมัตถุ พุทธานัง ความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    นะมัตถุ โพธิยา ความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่พระโพธิญาณ
    ธรรมรักษ์ผู้รักษ์ธรรม
    นรธ.สมบัติ เพ็งพล
    22.06.55

    <!-- /firstHeading --><!-- bodyContent --><!-- tagline -->จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    <!-- /tagline --><!-- subtitle -->
    <!-- /subtitle --><!-- jumpto -->ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- /jumpto --><!-- bodycontent --><TABLE style="WIDTH: 21em; FONT-SIZE: 90%" class=infobox cellSpacing=2><TBODY><TR><TH style="TEXT-ALIGN: center; FONT-SIZE: 140%" colSpan=2>สมเด็จพระพุฒาจารย์</TH></TR><TR><TH style="TEXT-ALIGN: center; FONT-SIZE: 120%" colSpan=2>(โต พฺรหฺมรํสี)
    สมเด็จโต, หลวงปู่โต, สมเด็จวัดระฆัง

    </TH></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center; FONT-SIZE: 90%" colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>เกิด</TD><TD>17 เมษายน พ.ศ. 2331


    </TD></TR><TR><TD>บรรพชา</TD><TD>พ.ศ. 2343


    </TD></TR><TR><TD>อุปสมบท</TD><TD>พ.ศ. 2351


    </TD></TR><TR><TD>มรณภาพ</TD><TD>22 มิถุนายน พ.ศ. 2415


    </TD></TR><TR><TD>พรรษา</TD><TD>64</TD></TR><TR><TD>อายุ</TD><TD>84</TD></TR><TR><TD>วัด</TD><TD>วัดระฆังโฆสิตาราม</TD></TR><TR><TD>จังหวัด</TD><TD>ธนบุรี</TD></TR><TR><TD>สังกัด</TD><TD>มหานิกาย</TD></TR><TR><TD>ตำแหน่งทางคณะสงฆ์</TD><TD>เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม</TD></TR></TBODY></TABLE>
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) (นามเดิม: โต; อังกฤษ: Somdej Toh) หรือนามที่นิยมเรียก "สมเด็จโต" "หลวงปู่โต" หรือ "สมเด็จวัดระฆัง" เป็นพระสงฆ์มหานิกาย เป็นพระมหาเถระรูปสำคัญที่ได้รับความนิยมนับถืออย่างมากในประเทศไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในสมัยรัชกาลที่ 4-5
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) นับเป็นพระเกจิเถราจารย์ผู้มีปฏิปทาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพนับถือทั่วไปมาตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน<SUP id=cite_ref-0 class=reference>[1]</SUP> และนอกจากจริยาวัตรด้านความสมถะอันโดดเด่นของท่านแล้ว ท่านยังทรงคุณทางด้านวิชชาคาถาอาคม เมตตามหานิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุมงคล "พระสมเด็จ" ที่ท่านได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา ได้ถูกจัดเข้าในพระเครื่องเบญจภาคี หรือสุดยอดของพระเครื่องวัตถุมงคล 1 ใน 5 ของประเทศไทย<SUP id=cite_ref-1 class=reference>[2]</SUP> และมีราคาซื้อขายในปัจจุบันต่อองค์เป็นราคานับล้านบาท<SUP id=cite_ref-2 class=reference>[3]</SUP> ด้วยปฏิปทาจริยาวัตรและคุณวิเศษอัศจรรย์ของท่าน ทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นอมตะเถราจารย์รูปหนึ่งของเมืองไทย และมีผู้นับถือจำนวนมากในปัจจุบัน

    <TABLE id=toc class=toc><TBODY><TR><TD>เนื้อหา [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[แก้] ประวัติ
    [แก้] ชาติภูมิ

    [​IMG][​IMG]
    รูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ประดิษฐานที่วัดไก่จ้น อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวกันว่าท่านเกิดในเรือของมารดาซึ่งจอดเทียบท่าอยู่หน้าวัดแห่งนี้ ​
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 (หลังสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ได้แล้ว 7 ปี<SUP id=cite_ref-3 class=reference>[4]</SUP>) ณ บ้านไก่จ้น (ท่าหลวง) อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จุลศักราช 1150 เวลาพระบิณฑบาต (ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331) <SUP id=cite_ref-4 class=reference>[5]</SUP> ที่บ้านท่าหลวง อำเภอท่าเรือ<SUP id=cite_ref-5 class=reference>[6]</SUP> จังหวัดพระนครศรีอยุธยา<SUP id=cite_ref-6 class=reference>[7]</SUP>
    มารดาบิดาของท่านเป็นใครไม่ทราบแน่ชัด มีผู้กล่าวประวัติของท่านในส่วนนี้แตกต่างกันไปหลายสำนวน เช่น ฉบับของพระยาทิพโกษา กล่าวว่า มารดาของท่านชื่อนางงุด บุตรของนายผลกับนางลา ชาวนาเมืองกำแพงเพชร<SUP id=fn_1_back>1</SUP> <SUP id=cite_ref-7 class=reference>[8]</SUP> หรือฉบับของพระครูกัลยาณานุกูล (เฮง อิฏฐาจาโร) กล่าวว่า มารดาของท่านชื่อเกตุ คนท่าอิฐ อำเภอบางโพ<SUP id=cite_ref-8 class=reference>[9]</SUP><SUP id=cite_ref-9 class=reference>[10]</SUP> อย่างไรก็ดีมารดาของท่านนั้นเป็นชาวเมืองเหนือ (คำเรียกในสมัยอยุธยา) <SUP id=fn_2_back>2</SUP> เพราะทุกแหล่งอ้างอิงกล่าวตรงกันว่ามารดาของท่านเป็นชาวเมืองเหนือแต่ได้ลงมาทำมาหากินแถบภาคกลางในช่วงหลัง<SUP id=fn_3_back>3</SUP>
    สำหรับบิดาของท่านนั้น สำนวนของพระยาทิพโกษา กล่าวว่าท่านเป็นโอรสนอกเศวตฉัตรของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครั้งทรงพระยศเป็น เจ้าพระยาจักรี ส่วนฉบับของพระครูกัลยาณานุกูล และฉบับของตรียัมปวายกล่าวว่าท่านเป็นพระโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และแม้ในสำนวนของตรียัมปวายจะมีข้อสันนิษฐานเพื่อยืนยันหลายข้อ แต่อย่างไรก็ตาม ประวัติทั้งสองสำนวนกล่าวตรงกันเพียงว่า ข้อสันนิษฐานว่าด้วยบิดาของท่านนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าซึ่งชาวบ้านในสมัยนั้นกล่าวและเชื่อกันโดยทั่วไป<SUP id=cite_ref-10 class=reference>[11]</SUP><SUP id=cite_ref-11 class=reference>[12]</SUP>
    [แก้] บรรพชาและอุปสมบท
    [​IMG][​IMG]
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ดำรงตำแหน่งทางคณะสงฆ์เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ในสมัยรัชกาลที่ 4 จวบจนท่านมรณภาพในช่วงต้นรัชกาลที่ 5

    เมื่อถึงวัยพอสมควรแล้ว ได้บรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา เมื่อ พ.ศ. 2343 ต่อมาปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงโปรดและเมตตาสามเณรโตเป็นอย่างยิ่ง ครั้นอายุครบอุปสมบทปี พ.ศ. 2350 จีงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปสมบทเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายานามในพุทธศาสนาว่า "พฺรหฺมรํสี"<SUP id=cite_ref-12 class=reference>[13]</SUP> ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระภิกษุโตรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์
    [แก้] จริยาวัตร

    ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงสถาปนาสมณศักดิ์เพื่อยกย่องในกิตติคุณและเกียรติคุณของพระภิกษุโต แต่พระภิกษุโตไม่ยอมรับ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าท่านมีอุปนิสัยไม่ปรารถนายศศักดิ์หรือลาภสักการะใดๆ ทั้งสิ้น อนึ่ง แม้พระภิกษุโตได้ศึกษาพระธรรมวินัยแตกฉาน แต่ด้วยอุปนิสัยดังกล่าวข้างต้น ท่านจึงไม่ยอมเข้าแปลหนังสือเพื่อเป็นพระภิกษุชั้นเปรียญเช่นกัน
    ต่อมากล่าวกันว่า พระภิกษุโตได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และได้สร้างปูชนียสถานในที่ต่างๆ กัน เช่น สร้างพระพุทธไสยาศน์ไว้ที่วัดสตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างพระพุทธรูปหลวงพ่อโต วัดไชโย จังหวัดอ่างทอง เป็นต้น ซึ่งปูชนียสถานทุกแห่งที่ท่านสร้างจะมีขนาดใหญ่โตสมกับชื่อของพระภิกษุโตอยู่เสมอ การจะสร้างปูชนียสถานขนาดใหญ่เช่นนี้ล้วนแต่ต้องใช้ทุนทรัพย์และแรงงานจำนวนมากในการก่อสร้างจึงจะทำได้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความศรัทธาและบารมีของพระภิกษุโต ซึ่งเป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนในย่านที่ท่านได้ธุดงค์ผ่านไปอย่างชัดเจน
    [แก้] สมณศักดิ์
    [​IMG]
    [​IMG]
    หลวงพ่อโต (พระศรีอริยเมตไตรย) วัดอินทรวิหาร กรุงเทพ ปูชนียสถานแห่งสุดท้ายที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ได้สร้างไว้​

    ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงโปรดปรานพระภิกษุโตเป็นอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 2395 พระองค์จึงได้พระราชทานสมณศักดิ์ถวายพระภิกษุโตเป็นครั้งแรก โดยมีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ราชทินนาม "พระธรรมกิติ" และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ขณะนั้นท่านอายุ 65 ปี โดยปกติแล้วพระภิกษุโตมักพยายามหลีกเลี่ยงการรับพระราชทานสมณศักดิ์ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ท่านต้องยอมรับพระราชทานสมณศักดิ์ในที่สุด อีก 2 ปีต่อมา (พ.ศ. 2397) ท่านจึงได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ ในราชทินนาม "พระเทพกวี" หลังจากนั้นอีก 10 ปี (พ.ศ. 2407) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ ในราชทินนาม "สมเด็จพระพุฒาจารย์" มีนามจารึกตามสุพรรณบัฏว่า
    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: rgb(204,204,204) 1px dotted; BORDER-LEFT: rgb(204,204,204) 1px dotted; WIDTH: auto; BORDER-COLLAPSE: collapse; BORDER-TOP: rgb(204,204,204) 1px dotted; BORDER-RIGHT: rgb(204,204,204) 1px dotted" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=top width=20>[​IMG]</TD><TD>
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ เอนกปรีชา วิสุทธศีลจรรยาสมบัติ นิพัทธุตคุณ สิริสุนทร พรตจาริก อรัญญิกคนฤศร สมณนิกรมหาปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลศีลขันธ์ ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร พระอารามหลวงฯ<SUP id=cite_ref-13 class=reference>[14]</SUP>
    </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=bottom width=20>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สมณศักดิ์ดังกล่าวนี้นับเป็นสมณศักดิ์ชั้นสูงสุดและเป็นชั้นสุดท้ายที่ท่านได้รับตราบจนกระทั่งถึงวันมรณภาพ คนทั่วไปนิยมเรียกท่านว่า "สมเด็จโต" หรือ "สมเด็จวัดระฆัง" ส่วนคนในยุคร่วมสมัยกับท่านเรียกท่านว่า "ขรัวโต"<SUP id=cite_ref-14 class=reference>[15]</SUP>
    [แก้] ปัจฉิมวัย

    ราวปี พ.ศ. 2410 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้มาเป็นประธานก่อสร้างปูชนียวัตถุครั้งสุดท้ายที่สำคัญของท่าน คือ พระพุทธรูปหลวงพ่อโต (พระศรีอริยเมตไตรย) ที่วัดอินทรวิหาร (ในสมัยนั้นเรียกว่า วัดบางขุนพรหมใน) ทว่าการก่อสร้างก็ยังไม่ทันสำเร็จ โดยขณะนั้นก่อองค์พระได้ถึงเพียงระดับพระนาภี (สะดือ) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ได้มรณภาพบนศาลาเก่าวัดบางขุนพรหมใน ณ วันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก ตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สิริรวมอายุได้ 84 ปี อยู่ในสมณเพศ 64 พรรษา เป็นเจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตารามได้ 20 ปี
    [แก้] คำสอน
    [​IMG]
    [​IMG]
    โต๊ะหมู่บูชาตั้งอัฐิธาตุบำเพ็ญกุศล สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม

    วิกิคำคม มีคำคมที่กล่าวโดย หรือเกี่ยวกับ:
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เป็นพระเกจิเถราจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือนอกจากด้านคาถาอาคมแล้ว ท่านยังได้ดำรงตนเป็นผู้สมถะ มักน้อยสันโดษ ไม่ปรารถนาลาภยศ การแสดงออกของท่านตามบันทึกหลักฐานในสมัยหลัง มักบันทึกถึงความเป็นพระเถระผู้มีเมตตา ดำรงศีลาจารวัตรเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของคนทั่วไป อย่างไรก็ตาม เอกสารที่บันทึกประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ไว้เป็นหมวดหมู่ชั้นเก่าสุด คือเอกสารฉบับของมหาอำมาตย์ตรีพระยาทิพยโกษา (สอน โลหนันท์) ซึ่งเป็นฉบับที่รวบรวมโดย ม.ล.พระมหาสว่าง เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ที่รวบรวมขึ้นในปี พ.ศ. 2473<SUP id=cite_ref-15 class=reference>[16]</SUP> ไม่ได้บันทึกคำสอนของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ไว้เป็นหมวดหมู่ เพียงแต่กล่าวถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงชีวิตของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ต่างกรรมต่างวาระกัน ตามที่ผู้รวบรวมได้บันทึกมาจากปากคำผู้มีชีวิตร่วมสมัยกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เท่านั้น
    อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันได้ปรากฏมีคำสอนต่าง ๆ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นคำสอนของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ที่เป็นที่นิยมนับถือกันทั่วไป โดยไม่มีการอ้างอิงที่มาที่แน่ชัด เช่น
    "บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า ..."<SUP class="noprint Template-Fact">[ต้องการอ้างอิง]</SUP>
    "ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว...เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว...แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า...หมั่นสร้างบารมีไว้...แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง...จงจำไว้นะ... เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้... ครั้นเมื่อถึงเวลา... ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่...จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า"<SUP class="noprint Template-Fact">[ต้องการอ้างอิง]</SUP>
    [แก้] รูปเหมือนของสมเด็จโต
    [​IMG]
    [​IMG]
    ความศรัทธาในตัวสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ของพุทธศาสนิกชนในประเทศไทย ทำให้เกิดความนิยมสร้างรูปหล่อเหมือนตัวจริงของท่านประดิษฐานตามวัดต่างๆ โดยทั่วไป (ในภาพนี้ รูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อยู่ทางด้านซ้ายของภาพ) ​

    เนื่องจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เป็นพระมหาเกจิเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพนับถือยิ่งนับแต่เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จนถึงปัจจุบันผู้ศรัทธาในสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ได้ทำการสร้างรูปเหมือน รูปเคารพจำลองของท่านไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ มากมาย โดยเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "รูปหล่อสมเด็จ" ตามหลักฐานฉบับของพระครูกัลยาณานุกูล (เฮง อิฏฐาจาโร) ระบุว่ารูปจำลองรูปแรกของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) คือรูปหล่อที่ประดิษฐานที่วัดเกศไชโยวรวิหาร ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปั้นหุ่นลงรักปิดทองโดยหลวงวิจิตรนฤมล (พึ่ง ปฏิมาประกร) หน้าตัก 40.2 เซนติเมตร หล่อขึ้นที่วัดระฆังโฆสิตาราม แต่ได้หล่อเมื่อปีใดไม่ปรากฏ แต่สันนิษฐานว่าสร้างก่อนปี พ.ศ. 2444<SUP id=cite_ref-16 class=reference>[17]</SUP> ดังความในสำเนาพระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือ พุทธศักราช 2444 ดังนี้
    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: rgb(204,204,204) 1px dotted; BORDER-LEFT: rgb(204,204,204) 1px dotted; WIDTH: auto; BORDER-COLLAPSE: collapse; BORDER-TOP: rgb(204,204,204) 1px dotted; BORDER-RIGHT: rgb(204,204,204) 1px dotted" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=top width=20>[​IMG]</TD><TD>
    เมืองสิงหบุรี
    วันที่ ๔ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๐
    ถึงกรมหลวงเทวะวงษวโรปการ

    "......เวลาเช้า ๒ โมงออกจากพลับพลาเมืองอ่างทอง มาจนเวลา ๕ โมงเช้าถึงวัดไชโย ได้แวะขึ้นที่วัด...ในมุขหลังพระอุโบสถรูปสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต มีเค้าจำได้ แต่หนุ่มไปกว่าเมื่อเวลาถึงมรณภาพสักหน่อยหนึ่ง..."<SUP id=cite_ref-17 class=reference>[18]</SUP>
    </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=bottom width=20>[​IMG]</TD></TR><TR><TD style="TEXT-ALIGN: right; PADDING-BOTTOM: 5px; PADDING-RIGHT: 2em; FONT-SIZE: 90%" vAlign=top colSpan=3>— พระราชหัตถเลขา
    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
    คราวเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือ พุทธศักราช ๒๔๔๔

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [​IMG]
    (ซ้าย) รูปเหมือนสมเด็จโตในพระวิหารวัดระฆังโฆสิตาราม (ขวา) รูปเหมือนสมเด็จโตในท่านับลูกประคำ เป็นรูปเหมือนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่เป็นที่จดจำของคนในปัจจุบัน โดยได้ถอดแบบมาจากรูปถ่ายจริงของท่านเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่​

    อย่างไรก็ดี รูปเคารพท่านที่เป็นที่แพร่หลายคือรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ที่สร้างขึ้นและประดิษฐานอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตาราม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นไม่นานหลังจากได้สร้างรูปเคารพรูปแรกขึ้นและนำไปประดิษฐานที่วัดไชโยวรวิหาร ก่อนปี พ.ศ. 2444 มีขนาดหน้าตัก 48 เซนติเมตร ลักษณะนั่งสมาธิ โดยเคยมีงานแห่สมโภชรูปหล่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในวัน แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี<SUP id=cite_ref-18 class=reference>[19]</SUP> แต่ปัจจุบันได้เลิกจัดไปแล้ว ปัจจุบันรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ของวัดระฆังโฆสิตาราม ยังคงประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหน้าพระอุโบสถของวัด มีผู้คนเคารพนับถือมากราบไหว้สักการะมากในปัจจุบัน
    ในช่วงหลัง มีผู้นำรูปถ่ายเมื่อครั้งมีชีวิตของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในท่านับลูกประคำ ไปจัดสร้างเป็นรูปหล่อและรูปเหมือนเพื่อสักการะบูชา จนเป็นที่แพร่หลาย และเป็นเอกลักษณ์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) จนถึงปัจจุบัน ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่โตมากมาย เพื่อให้สมชื่อโต ของสมเด็จท่าน โดยรูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ขนาดใหญ่ เช่นที่ วิหารสมเด็จโต มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา สมเด็จโตองค์ใหญ่ปางเทศนาธรรม วัดโบสถ์ จังหวัดปทุมธานี สมเด็จโตองค์ใหญ่ วัดตาลเจ็ดยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สมเด็จโตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก วัดสระลงเรือ จังหวัดกาญจนบุรี และที่วัดสามัคคีบรรพต จังหวัดชลบุรี เป็นต้น
    [แก้] เชิงอรรถ

    <CITE id=fn_1>หมายเหตุ 1:</CITE> ตำบลท่าอิฐในที่นี้ หมายถึงตำบลเมืองท่าค้าขายของเมืองเหนือในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาต่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งปัจจุบันคือแถบ 3 หมู่บ้านโบราณริมน้ำน่านคือ บ้านท่าอิฐ บ้านท่าเสา และบ้านคุ้งตะเภา ในเขตอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ (สมัยนั้นชื่ออำเภอบางโพ) จังหวัดอุตรดิตถ์ (สมัยนั้นชื่อแขวงพิไชย) ในปัจจุบัน<SUP id=cite_ref-19 class=reference>[20]</SUP>
    <CITE id=fn_2>หมายเหตุ 2:</CITE> เมืองเหนือในที่นี้หมายถึงคำเรียกของชาวเมืองเหนือในสมัยอยุธยาจนถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งหมายถึงเมืองสุโขทัย พิษณุโลก พิชัย (อุตรดิตถ์ในปัจจุบัน) พิจิตร กำแพงเพชร อันเป็นกลุ่มหัวเมืองเหนือในสมัยอยุธยา หรือบ้านเมืองที่เคยอยู่ในเขตแคว้นของสุโขทัยแต่เดิม <SUP id=cite_ref-20 class=reference>[21]</SUP>
    <CITE id=fn_3>หมายเหตุ 3:</CITE> หากถือตามหลักฐานของพระครูกัลยาณานุกูลที่กล่าวว่ามารดาของท่านเป็นคนท่าอิฐ นางเกตุ ที่ขึ้นล่องเรือลงมาทำมาหากินแถบภาคกลางในช่วงหลังตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ย่อมมีความสอดคล้องกับประวัติของเมืองอุตรดิตถ์<SUP id=cite_ref-21 class=reference>[22]</SUP> ที่กล่าวว่าช่วงกรุงศรีแตก แถบอุตรดิตถ์ไม่ได้รับผลกระทบเพราะอยู่นอกทางเดินทัพ ทำให้แถบนี้มีคนแถบเมืองเหนือมาอาศัยหลบภัยมาก จนมีการตั้งชุมนุมพระฝางเป็นเมืองใหญ่ ในช่วงหลังชุมนุมเจ้าพระฝางแตกในปี พ.ศ. 2313<SUP id=cite_ref-22 class=reference>[23]</SUP> เมืองท่าอิฐได้โรยราไปพักหนึ่งจนถึงช่วงต้นรัตนโกสินทร์ เมืองพระฝางซึ่งอยู่เหนือท่าอิฐที่เคยเป็นชุมนุมใหญ่ก็ได้ทรุดโทรมจนหมดความสำคัญลง<SUP id=cite_ref-23 class=reference>[24]</SUP> ทำให้ช่วงหลังครอบครัวมารดาของท่านจึงอพยพย้ายถิ่นมาทำมาหากินทางแถบเมืองใต้ (ภาคกลาง) แต่ช่วงหลัง ตำบลท่าอิฐก็เริ่มมีความเจริญสืบมาจนสมัยรัชกาลที่ 5
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  12. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    หลายวันมานี้มีปัญหาเรื่องการแสดงภาพครับ หากท่านไม่ได้ Login เข้าบอร์ดพลังจิตก็จักไม่สามารถแสดงภาพเต็มให้ได้
    ทั้งนี้มีผลไปยัง web blog อื่นๆของผมหรือท่านอื่นๆที่ดึงภาพจากพลังจิตด้วยครับ

    เช้านี้ขออนุญาตนำภาพถ่ายขึ้นให้ชมเป็นระยะ (เนื่องจากยังเห่อของใหม่อยู่) เชิญชมครับ หึหึ

    01: ภาพความใสซื่อของเด็กๆขณะมาโรงเรียนอนุบาล
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0043.JPG
      IMG_0043.JPG
      ขนาดไฟล์:
      113.8 KB
      เปิดดู:
      1,912
    • IMG_0044.JPG
      IMG_0044.JPG
      ขนาดไฟล์:
      121.5 KB
      เปิดดู:
      1,911
    • IMG_0046.JPG
      IMG_0046.JPG
      ขนาดไฟล์:
      119.2 KB
      เปิดดู:
      1,897
    • IMG_0048.JPG
      IMG_0048.JPG
      ขนาดไฟล์:
      129.8 KB
      เปิดดู:
      1,881
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  13. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    02: เขตปกครองพิเศษนครแม่สอด
    ถ่ายภาพเคลื่อนไหว (ขณะรถวิ่ง)
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระพิฆเนศ : หันพระพักตร์ไปโปรดทางบ้านข้อย (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) พอดี้พอดี
    [​IMG]
    วัดชุมพลคีรี : เจดีย์องค์จำลองในชเวดากอง พม่า
    [​IMG]
    จองหลังแรกแรกไว้ครับ
    [​IMG]
    ถนนอินทรคีรีสายหลักในแม่สอด (one way) และ
    [​IMG]
    ป้ายพอเพียงจริงๆ
    [​IMG]
    ถนนประสาทวิถีถนนสายหลักอีกเส้น (คู่กัน)
    [​IMG]
    ห้างฮงล้ง (ซ้าย) เจ้าเก่าคู่เมืองแม่สอด : ส่วนใหญ่ชาวพม่า(มีอันจะกิน)จะมา shopping ที่ห้างนี้
    ส่วนคนไทยไป Lotus กัน
    [​IMG]
    ถึงแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0049.JPG
      IMG_0049.JPG
      ขนาดไฟล์:
      145.2 KB
      เปิดดู:
      1,929
    • IMG_0050.JPG
      IMG_0050.JPG
      ขนาดไฟล์:
      157.7 KB
      เปิดดู:
      2,062
    • IMG_0051.JPG
      IMG_0051.JPG
      ขนาดไฟล์:
      106.3 KB
      เปิดดู:
      1,974
    • IMG_0053.JPG
      IMG_0053.JPG
      ขนาดไฟล์:
      138.2 KB
      เปิดดู:
      1,902
    • IMG_0056.JPG
      IMG_0056.JPG
      ขนาดไฟล์:
      128.3 KB
      เปิดดู:
      1,831
    • IMG_0059.JPG
      IMG_0059.JPG
      ขนาดไฟล์:
      144.3 KB
      เปิดดู:
      1,901
    • IMG_0061.JPG
      IMG_0061.JPG
      ขนาดไฟล์:
      156.1 KB
      เปิดดู:
      1,854
    • IMG_0070.JPG
      IMG_0070.JPG
      ขนาดไฟล์:
      107.9 KB
      เปิดดู:
      2,010
    • IMG_0063.JPG
      IMG_0063.JPG
      ขนาดไฟล์:
      135.4 KB
      เปิดดู:
      1,994
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  14. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    03: เด็กน้อยชาวไทยม้ง
    [​IMG]
    กินข้าวเอง
    [​IMG]
    จะสาธิตให้ดู...
    [​IMG]
    ข้าวเหนียวนึ่ง...ทุกชาติเผ่าพันธุ์ต้องกราบขอบพระคุณพระแม่โพสพเน๊อ...
    [​IMG]
    [​IMG]
    รอยยิ้มอันบริสุทธิ์ หาได้ไม่ยากครับ
    [​IMG]
    น่าชื่นชม
    [​IMG]
    ปลูกฝังได้แต่เยาว์วัยครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
    นางแบบน้อยมือสมัครเล่น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0074.JPG
      IMG_0074.JPG
      ขนาดไฟล์:
      268.1 KB
      เปิดดู:
      1,857
    • IMG_0078.JPG
      IMG_0078.JPG
      ขนาดไฟล์:
      239.7 KB
      เปิดดู:
      1,776
    • IMG_0080.JPG
      IMG_0080.JPG
      ขนาดไฟล์:
      235.6 KB
      เปิดดู:
      1,921
    • IMG_0076.JPG
      IMG_0076.JPG
      ขนาดไฟล์:
      129.6 KB
      เปิดดู:
      1,874
    • IMG_0081.JPG
      IMG_0081.JPG
      ขนาดไฟล์:
      115.5 KB
      เปิดดู:
      1,749
    • IMG_0087.JPG
      IMG_0087.JPG
      ขนาดไฟล์:
      150.1 KB
      เปิดดู:
      1,722
    • IMG_0089.JPG
      IMG_0089.JPG
      ขนาดไฟล์:
      128 KB
      เปิดดู:
      1,717
    • IMG_0092.JPG
      IMG_0092.JPG
      ขนาดไฟล์:
      139.7 KB
      เปิดดู:
      1,722
    • IMG_0095.JPG
      IMG_0095.JPG
      ขนาดไฟล์:
      145 KB
      เปิดดู:
      1,713
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  15. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    04: ภาพอื่นๆใกล้ๆ office
    [​IMG]
    ลูกเนียง พบมากในป่าอุดมสมบูรณ์ เอาไว้ดองทานกับน้ำพริก รสชาด/กลิ่นเหมือนสะตอ แต่รุนแรงกว่า
    [​IMG]
    ขิง
    [​IMG]
    ตลาดขายผักสดๆถูกๆ
    [​IMG]
    ใครๆก็ชอบพญานาค แกะจากเขี้ยวหมู (ไม่รู้ตันหรือไม่นะ)
    [​IMG]
    โดยพ่อค้าขายขนมครก+เป็นช่างแกะ ช่างถักรายนี้ : เห็นขายขนมครกและชอบพระเครื่อง
    ไม่ยักรู้ว่าจะเก่งด้านนี้ น่านับถือ
    [​IMG]
    เม็ดประคำที่เขาแกะจากเขี้ยวหมีครับ
    [​IMG]
    อันนี้เป็นเขี้ยวเสือ สงสัยต้องหาปฐวีธาตุหรือเครื่องรางอื่นๆมาช่วยอุดหนุนบ้าง
    [​IMG]
    หยกสายวังชิ้นนี้เป็นต้น : ไว้แก้ฮวงจุ๊ย ดีครับ
    [​IMG]
    ถ่ายจากห้องที่มืดสนิท (กล้องตัวเก่าไม่เก่งขนาดนี้ครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0083.JPG
      IMG_0083.JPG
      ขนาดไฟล์:
      149.6 KB
      เปิดดู:
      1,668
    • IMG_0084.JPG
      IMG_0084.JPG
      ขนาดไฟล์:
      129.2 KB
      เปิดดู:
      1,647
    • IMG_0091.JPG
      IMG_0091.JPG
      ขนาดไฟล์:
      169.5 KB
      เปิดดู:
      1,598
    • IMG_0098.JPG
      IMG_0098.JPG
      ขนาดไฟล์:
      101.6 KB
      เปิดดู:
      8,784
    • IMG_0103.JPG
      IMG_0103.JPG
      ขนาดไฟล์:
      134.5 KB
      เปิดดู:
      7,116
    • IMG_0104.JPG
      IMG_0104.JPG
      ขนาดไฟล์:
      113.6 KB
      เปิดดู:
      7,902
    • IMG_0108.JPG
      IMG_0108.JPG
      ขนาดไฟล์:
      118.3 KB
      เปิดดู:
      7,997
    • IMG_0114.JPG
      IMG_0114.JPG
      ขนาดไฟล์:
      66.6 KB
      เปิดดู:
      1,542
    • IMG_0029.JPG
      IMG_0029.JPG
      ขนาดไฟล์:
      158 KB
      เปิดดู:
      6,685
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  16. sarutha

    sarutha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +180
    สุดดยอดเลยท่านสมบัติ ใช้กล้องอะไรหรอครับ
     
  17. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    Canon S100 : ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก Link ล่างนี้ได้ครับ
    (วงแหวนเกลียวด้านหน้า ใช้ Zoom in/out ได้ครับ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  18. Phoobes

    Phoobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,181
    ขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญสร้างศาลาปฏิบัติธรรม ภูดานไห มีผู้มีจิตศรัทธาฝากปัจจัยไว้กับผมเพิ่มเติม

    คุณกิตติศักดิ์ ปัญญาธนโชติพงศ์ และครอบครัว 200บาท
    คุณกิตติ โค้วสมบูรณ์ 200บาท

    ขอบุญกุศลนั้นได้ส่งผลให้ท่านพบแต่ความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นปัจจัยเกื้อหนุนท่านตลอดไปครับ..

    ส่วนปัจจัยจะรวบรวมส่งยังภูดานไห ในโอกาสข้างหน้านี้นะครับ
     
  19. กรบางพลี

    กรบางพลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +184
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3471.JPG
      IMG_3471.JPG
      ขนาดไฟล์:
      112.7 KB
      เปิดดู:
      5,609
    • IMG_3472.JPG
      IMG_3472.JPG
      ขนาดไฟล์:
      135.5 KB
      เปิดดู:
      6,779
  20. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    [​IMG]

    ขอบคุณท่าน srithong999 มากที่นำภาพปรอทกรอสายวังมาแบ่งปันให้ชมครับผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...