หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 40 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 38 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>IT Man, ckj_tong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สบายดีครับ
    ฉลอง feature ดูสมาชิกกันหน่อยครับ (ประเดี๋ยวหายอีก หุหุ)
     
  2. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    [​IMG]
    เห็นว่าเป็นภาพที่สวย องค์ใดหนอ? (จากเวปบอร์ดของพลังใจ) จึงขออนุญาตนำมาแปะหน่อยเด๊อ...
     
  3. Jokky

    Jokky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +154
    อนุโมทนากับบุญของทุกๆท่านที่ร่วมสร้างพุทธสถานภูดานไหทุกประการด้วยครับ
     
  4. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    โมทนาบุญกับผมด้วยนะครับ
    ผมได้โอนเงินเป็นจำนวน 29970บาท(น่าจะหักค่าโอนแล้ว) เพื่อร่วมบุญกับพ่อแม่ครูอาจารย์ครับ
     
  5. rung847

    rung847 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    826
    ค่าพลัง:
    +3,430

    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  6. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    โมทนาบุญกุศลด้วยทุกประการครับ.....
     
  7. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ขอโมทนาสาธุในกุศลที่ท่านศรุตได้ร่วมสร้างบุญกุศลกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์
    และพุทธสถานแห่งภูดานไห เป็นปัจจัย 29,970 บาท ด้วยทุกประการครับ

    ด้วยบุญกุศลใหญ่นี้ ขอให้ท่านจงประสบแต่เจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกทางธรรมเด๊อ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2012
  8. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    ขอบคุณครับท่านอ๊อด.....เป็นเรื่องธรรมดาครับ ปล่อยให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์.....
     
  9. ckj_tong

    ckj_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +869
    ขอร่วมอนุโมทนาบุญของท่านในทุกประการด้วยครับ


    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    พุทธโอวาท

    <!-- Main -->[​IMG]

    ความทุกข์ทั้งมวลมีมูลรากมาจากตัณหาอุปาทานความทะยานอยากดิ้นรน และความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา รวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ต่าง ๆ
    สิ่งที่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดถือไว้โดยความเป็นตนเป็นของตนที่จะไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้นั้นไม่มี หาไม่ได้ในโลกนี้
    เมื่อใดบุคคลเห็นสักแต่ว่าได้เห็น ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง รู้สึกสักแต่ว่าได้รู้สึก เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ เพียงสักแต่ว่า
    ไม่หลงใหล พัวพัน มัวเมา เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากความยึดถือต่าง ๆ ปลอดโปร่งแจ่มใสเบิกบานอยู่
    เธอจงมองดูโลกนี้ โดยความเป็นของว่างเปล่า (ไม่มีสาระแก่นสารอันใด) มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฏฐิคือ ความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสีย
    ด้วยประการฉะนั้น เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวล

    ไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวาง และการสำรวมตนอยู่ในธรรม.<!-- End main-->
     
  11. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    39: ทำกรรมเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

    <!-- Main -->[​IMG]
    ภูมกสูตร ๑๘/๓๔๒

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปาวาริกอัมพวัน ใกล้เมือง นาลันทา
    ครั้งนั้นแล นายบ้านนามว่า อสิพันธกบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

    ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ มีคนโทน้ำติดตัว ประดับพวงมาลัยสาหร่าย
    อาบน้ำทุกเช้าเย็น บำเรอไฟ พราหมณ์เหล่านั้นเชื่อว่า ยังสัตว์ที่ตายทำกาละแล้วให้เป็นขึ้น ให้รู้ชอบ ชวนให้เข้าสวรรค์
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถกระทำให้สัตว์โลกทั้งหมดเมื่อตายไปแล้ว พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ได้หรือ?”

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “คามณี ถ้าอย่างนั้น เราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ปัญหาควรแก่ท่านด้วยประการใด ท่านพึงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นด้วยประการนั้น
    ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? บุรุษในโลกนี้ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา
    (ความเพ่งเล็งด้วยความโลภ) มีจิตพยาบาท และมีความเห็นผิด
    หมู่มหาชนมาประชุมกันแล้ว พึงสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบผู้นั้นว่า “ขอบุรุษนี้เมื่อตายไปแล้ว จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เถิด”
    ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? บุรุษนั้นเมื่อตายไปแล้ว พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอน เพราะเหตุแห่งการสรรเสริญ
    หรือเพราะเหตุแห่งการประนมมือเดินเวียนรอบดังนี้หรือ?”

    นายบ้านทูลตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า”

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “คามณี! เปรียบเหมือนบุรุษโยนหินก้อนหนาใหญ่ลงในห้วงน้ำลึก
    หมู่มหาชนพึงมาประชุมกัน แล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือ เดินเวียนรอบหินนั้นว่า
    “ขอจงโผล่มาเถิดท่านก้อนหิน ขอจงลอยขึ้นมาเถิดท่านก้อนหิน ขอจงขึ้นบกเถิดท่านก้อนหิน”
    ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? ก้อนหินนั้นพึงโผล่ขึ้น พึงลอยขึ้น หรือพึงขึ้นบก เพราะเหตุแห่งการวิงวอน สรรเสริญ หรือประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ?”

    นายบ้านทูลตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า”

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “คามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษ (สตรี) คนใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
    มากไปด้วยอภิชฌา (ความเพ่งเล็งด้วยความโลภ) มีจิตพยาบาท และมีความเห็นผิด
    หมู่มหาชนพึงมาประชุมกัน แล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษ (สตรี) นั้นว่า
    “ขอบุรุษ (สตรี) นี้เมื่อตายไปแล้ว จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์” ก็จริง แต่บุรุษ (สตรี) นั้นเมื่อตายแล้ว พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    คามณี! ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? บุรุษ (สตรี) ในโลกนี้ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พู
    ดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา (ความเพ่งเล็งด้วยความโลภ) มีจิตไม่พยาบาท และมีความเห็นชอบ
    หมู่มหาชนพึงมาประชุมกัน แล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือ เดินเวียนรอบบุรุษ (สตรี) นั้นว่า “ขอบุรุษ (สตรี) นี้เมื่อตายไปแล้ว จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เถิด”
    ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? บุรุษ (สตรี) นั้น เมื่อตายไปแล้ว พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอน สรรเสริญ
    หรือเพราะเหตุแห่งการประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ?”

    นายบ้านทูลตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า”

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “คามณี! เปรียบเหมือนบุรุษลงไปยังห้วงน้ำลึก แล้วพึงทุบหม้อเนยใสหรือหม้อน้ำมัน ก้อนกรวดหรือก้อนหินที่มีอยู่ในหม้อนั้นพึงจมลง
    เนยใสหรือน้ำมัน ที่มีอยู่ในหม้อนั้นพึงลอยขึ้น
    หมู่มหาชนพึงมาประชุมกัน แล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือ เดินเวียนรอบเนยใสหรือน้ำมันนั้นว่า
    “ขอจงจมลงเถิด ท่านเนยใสและน้ำมัน ขอจงดำลงเถิด ท่านเนยใสและน้ำมัน ขอจงลงไปภายใต้น้ำเถิด ท่านเนยใสและน้ำมัน”
    ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? เนยใสและน้ำมันนั้นพึงจมลง พึงดำลง พึงลงไปอยู่ภายใต้น้ำ เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอน สรรเสริญ
    หรือเพราะเหตุแห่งการประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ?”

    นายบ้านทูลตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า”

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “คามณี! ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษ (สตรี) ใด เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด
    พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา (ความเพ่งเล็งด้วยความโลภ) มีจิตไม่พยาบาท และมีความเห็นชอบ
    หมู่มหาชนจะพากันมาประชุม แล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือ เดินเวียนรอบบุรุษ (สตรี) นั้นว่า
    “ขอบุรุษ (สตรี) นี้ เมื่อตายไปแล้ว จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ก็จริง แต่บุรุษ (สตรี) นั้นเมื่อตายไปแล้ว พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”

    ในตอนท้าย นายบ้าน อสิพันธกบุตร เกิดความเลื่อมใส ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต.<!-- End main-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2012
  12. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]


    ....ผู้ที่ได้ฟังธรรมในสมัยครั้งพุทธกาลฟังกันอย่างมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา พิจารณาแยกแยะในเหตุผลจนเข้าใจ ได้นำเอาธรรมหมวดนั้นมาปฏิบัติก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าขั้นใดขั้นหนึ่ง ตามบุญบารมีของแต่ละท่านที่ได้บำเพ็ญมา จะเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี หรือได้บรรลุธรรมในระดับสูงเป็นพระอรหันต์ ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีที่ได้บำเพ็ญมาแต่ละเท่าไม่เท่ากัน เหตุนั้น การได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าในสมัยครั้งพุทธกาลจึงเป็นไปได้ง่าย เพราะได้รับอุบายธรรมจากพระพุทธเจ้าที่ตรงกับจริตนิสัยของตัวเอง และตรงกับบารมีที่ตัวเองได้บำเพ็ญมา จึงเรียกว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าเป็นจำนวนมาก อุบายธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละหมวดหมู่ พระองค์ให้อุบายธรรมไม่เหมือนกัน ใครได้บำเพ็ญบารมีมาอย่างไร พระองค์ก็ให้อุบายธรรมที่ตรงต่อบารมีของท่านผู้นั้น เว้นเฉพาะผู้สร้างบารมีมาเหมือนกันจึงให้อุบายธรรมเหมือนกัน

    ....ฉะนั้นพวกเราจงศึกษาให้ดี มิใช่ว่าจะเอาหมวดธรรมใดมาปฏิบัติก็จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้ ถ้าหมวดธรรมนั้นตรงกับบารมีที่เราได้บำเพ็ญมาก็โชคดีไป ถ้าเอาหมวดธรรมที่ไม่ตรงกับบารมีของตัวเองมาปฏิบัติ ถึงจะเร่งความเพียรอย่างเข้มข้นเต็มที่อยู่ก็ตาม การจะได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยเจ้าก็เป็นไปไม่ได้อยู่นั่นเอง เหมือนกินยาไม่ถูกกับโรค ไม่ว่าจะกินสักปานใดโรคก็ไม่หายนี้ฉันใด การปฏิบัติธรรมก็เป็นฉันนั้น

    หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ

    อ่านเพิ่มเติมใน เปลี่ยนความเห็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2012
  13. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    โสดาบัน...สำคัญไฉน

    ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ ก็มักจะพลั้งเผลอ เอาปริยัติเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอด
    ทำให้เกิดการระแวงสงสัย ว่าการปฏิบัติของเรานั้นไปถึงขั้นไหนแล้ว ทั้งๆที่ในอดีต
    สมัยพระพุทธกาลมานั้น ไม่มีขั้นตอนของการปฏิบัติ แต่เราเอาผลของการปฏิบัติ
    มาแยกออกตั้งเป็นหัวข้อ เพื่อให้มีการเรียนรู้ คนเรารุ่นหลังๆ ก็เลยนำเอาตัวหนังสือ
    มายึดเป็นแบบฉบับ ซึ่งบางครั้ง ผู้ที่ยึดแต่ตัวหนังสือนั้น ยังไม่เคยสัมผัสผลของ
    การปฏิบัตินั้นๆ ก็เลยคิดเอาเองว่า เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ แล้วก็นำมาทุ่มเถียงกัน
    กล่าวอ้างไปตามความนึกคิดของตน

    ผู้ที่ปฏิบัติธรรมถึงขั้นโสดาบันแล้วนั้น ก็จะทราบแต่เพียงวาระจิตของตัวเอง
    ที่มีความเปลี่ยนแปลงในขณะนั้น เช่นจิตเข้าสู่ความสงบโดยปัญญา แล้วสามารถละ
    บางสิ่งบางอย่างออกไปจากใจได้ โดยไม่รู้เลยว่า ขั้นนั้นเรียกว่า”โสดาบัน” เพราะ
    เมื่อจิตถึงขั้นละวางได้นั้น ไม่มีตัวหนังสือใดๆมาชี้บอกว่าสำเร็จโสดาบัน ก็เหมือนกับ
    เรากินข้าวอิ่ม เราก็รู้สึกอิ่ม ไม่ต้องมีตัวหนังสือใดๆขึ้นมาว่าอิ่ม แล้วเมื่อเรากินข้าว
    อิ่มแล้ว เราจะต้องไปถามใครหรือไม่ ว่า เรากินข้าวอิ่มหรือยัง เพราะมันบ่งบอกความ
    รู้สึกของเราอยู่แล้ว เราจะอิ่มมากอิ่มน้อย เราก็รู้สึกของเราเอง

    การกินข้าว เราเอาอาหารจากภายนอกใส่เข้าไป แล้วเกิดการอิ่มโดยกาย
    แสดงออกให้กายรู้ว่าอิ่ม การสำเร็จธรรม ก็คือการนำธรรมะจากภายนอกเข้าไปสู่
    ภายใน แล้วเกิดการรู้ด้วยใจ

    การจะสำเร็จธรรมได้นั้น ไม่ใช่เพียงแต่รู้ภายนอกแล้วจะสำเร็จ นั่นเป็นเพียง
    การนึกคิดเอา การคาดเดาเอาเท่านั้น เมื่อเราพิจารณาธรรม นั่นคือการนำเอาธรรม
    เข้าสู่ภายในใจ เมื่อจิตสามารถตีความหมายของธรรมออกชัดแจ้งเมื่อไร จิตจะมีความ
    ยินดีในธรรมนั้นๆ จะเกิดความรู้ขึ้นเองภายในจิต แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงของจิ
    เกิดขึ้นไปในทางที่เป็นสัมมา แล้วจิตก็นำออกมาให้กายปฏิบัติตามนั้น มีการละวาง
    ไปตามขั้นตอนของธรรมะนั้นๆ

    การเกิดนิมิตใดๆเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่ขั้นของการสำเร็จ เป็นเพียงตัวเสริม
    ในการปฏิบัติธรรมเท่านั้น เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถนำเอาข้อคิดจากนิมิตนั้นไปพิจารณา
    หาเหตุผลในธรรมะที่ตนเองกำลังพิจารณาอยู่ นิมิตสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในขณะ
    ที่ปฏิบัติอยู่นั้น และแต่ละคน ก็เกิดนิมิตที่แตกต่างกันออกไปตามจริตนิสัยของคนนั้น

    แนวทางการฝึกจิตเพื่อบรรลุธรรม

    เมื่อพอจะรู้จักการฝึกสมาธิขั้นต้นแล้ว ให้มุ่งจิตเข้าสู่การพิจารณาธรรมะ
    โดยการเริ่มที่ กรรมฐานห้า คือสิ่งที่เราเห็นภายนอก ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
    แล้วเข้าสู่ภายในทั้งหมด ที่เรียกว่าอาการสามสิบสอง จะดูความไม่เที่ยง ดูความ
    เป็นทุกข์ ดูการเกิดดับ หรือพิจารณาทางใดก็แล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละคนว่า
    ชอบพิจารณาด้านใด การพิจารณา ให้พิจารณาตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด
    อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร แม้กระทั่งในขณะกิน หรือขับถ่าย ก็สามารถนำเอาสิ่งของ
    รอบตัวมาประกอบการใช้ปัญญาพิจารณาได้ทั้งสิ้น เช่นในขณะขับถ่าย นั่นคืออาหารเก่า
    ที่ร่างกายขับทิ้ง การกิน นั่นคืออาหารใหม่ที่เรากินเข้าไป พิจารณาให้รอบรู้ทุกๆด้าน
    เมื่อจิตพิจารณาบ่อยเข้าๆ จิตก็จะคุ้นเคยและพิจารณาโดยไม่หยุด เมื่อถึงเวลาอัน
    สมควรแก่จิต ก็จะเกิดอาการขึ้นทางจิต ทำให้เราสามารถเห็นความเป็นจริงของ
    และการเปลี่ยนแปลงของสัตว์โลก จิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในจิต ส่วนอาการ
    เกิดในขณะนั้นจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่แต่ละคนอีกนั่นแหละ มันจะเกิดขึ้นเองในจิต
    โดยที่เรามิได้เป็นผู้กำหนด และบางครั้ง เราก็กำหนดหรือบังคับไม่ได้ด้วย เพราะ
    เป็นไปตามสภาวะของจิตในขณะนั้น

    ไม่จำเป็นต้องลังเลสงสัย ว่าเราปฏิบัติถึงขั้นใด เพราะนั่นคือความลังเลสงสัย
    จิตยังไม่ข้ามพ้นจากจิตปุถุชนธรรมดา เราจะถึงขั้นใด ก็ช่างมัน เรามุ่งหน้าตั้งตา
    ปฏิบัติต่อไปโดยไม่ยอมหยุด ไม่ต้องตั้งความหวังว่าเราจะต้องสำเร็จโสดาบัน
    หรือขั้นตอนใดหรือไม่ เรากินข้าวไปเรื่อยๆ แล้วเราก็อิ่มเอง เราปฏิบัติพิจารณา
    ไปเรื่อยๆ เราก็สำเร็จเอง

    เราต้องให้ครูบาอาจารย์รับรองหรือไม่ว่าเราสำเร็จธรรมขั้นใด.....
    เราต้องให้ใครมารับรองไหมเมื่อเรากินข้าวอิ่มแล้ว....

    ตัวเรารู้เอง เพียงแต่อย่าด่วนสรุปหลอกตัวเองว่าสำเร็จ จิตย่อมรู้ในจิต
    รู้แล้วก็อยู่ในจิต ถ้าในตำราไม่เขียนขั้นตอนและตั้งชื่อของการสำเร็จเอาไว้
    เราก็ไม่รู้ว่าเราสำเร็จขั้นไหน เพียงในจิตเรารู้ว่า จิตของเราสามารถละวาง
    ในจิตได้หลายอย่าง ผิดจากคนทั่วไปอย่างชัดเจนเท่านั้น จิตจะไม่ตำหนิ
    ติเตียนใคร แต่จิตจะเกิดความสงสาร ความเมตตาแก่เขาเหล่านนั้น

    วัดจิตใจ

    1. อยากได้สมบัติต่างๆไหม ยังอยากแสวงหามาและยังหวงแหนอยู่หรือไม่.
    ..สมบัติทางโลก ตายไปย่อมทิ้งไว้กับโลก ยังอยากแสวงหาพัดยศอยู่หรือไม่
    อยากเป็นท่านเจ้าคุณไหม

    2. ความโกรธ ความพยาบาทอาฆาต อารมณ์ฉุนเฉียว ความน้อยอกน้อยใจ
    มีการทะเลาะเบาะแว้ง อาการเหล่านี้ เป็นอาการของจิตปุถุชน ไม่ใช่อาการ
    ในจิตของผู้สำเร็จธรรม

    3. พูดเสียดสี ความสะใจในความหายนะที่เกิดขึ้นกับบุคคลอื่น สะใจ
    เมื่อคนอื่นถูกตำหนิ การนินทาในทางเสื่อมเสีย

    4. หวงและห่วงลูกสาว หวงและห่วงลูกชาย หวงและห่วงสามี ภรรยา
    จิตยังไม่สามารถปล่อยวางจากวัฏฏะสงสารได้

    5. สงสัยว่าตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิด ตายแล้วสูญ

    6. คิดว่าตัวเองเก่งกว่าใครๆทั้งสิ้นทั้งทางธรรมและทางยศถาบรรดาศักดิ์
    คิดว่าตัวเองเป็นพระย่อมเก่งกว่าโยม คิดว่าห่มผ้าเหลืองแล้วย่อมเหนือกว่าคนธรรมดา

    เพียง 6 ข้อนี้ ก็จะสามารถวัดจิตใจ จะรู้ตัวเองว่า สามารถปฏิบัติธรรมได้ถึงไหนแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2012
  14. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    โมทนาสาธุครับ...น้อมระลึกนึกถึงพระคุณพ่อแม่เสมอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  15. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    กราบเรียน นรธ.และญาติธรรมทุกท่าน,

    ขอเรียนความคืบหน้าในการดำเนินงานเรื่องการสร้างถนนและการสร้างไฟฟ้าเข้าสู่พุทธสถานภูดานไหดังนี้

    1. ในเรื่องสร้างถนน
    หลังจากที่ทาง อบต.กุดหว้า ดำเนินการรังวัดกำหนดเขตของถนนจากเดิมขยายเป็น 6 เมตร ก็ได้มีการจัดหาผู้รับเหมามาสร้างถนน
    โดยเบื้องต้นคือถมดินให้เป็นระดับความสูง ความกว้างเดียวกันโดยตลอดจาก ปากทางเข้า-ภูดานไห ระยะทางประมาณ 2 กม.
    ผู้รับเหมาเรียนว่า เนื่องจากเป็นทางเข้าวัดและเพื่อให้ยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย จึงขอเปลี่ยนจากลักษณะรูปแบบการเหมา เป็นการขายเป็นคันรถ (คันละ 1 คิว) แล้วให้ทางวัดดำเนินการเกลี่ยถนนเอง รายละเอียดดังนี้

    1. ค่าถมดิน (บริจาคดินตามทุ่งนาของชาวบ้านรอบๆวัด) จากปกติคันรถละ 250 บาท ลดเหลือ 200 บาท (ประมาณคร่าวๆ 160 คันรถ)
    2. ค่าถมหินลูกรัง (บ่อที่ไม่มีดินเหนียวปน) จากปกติคันรถละ 500 บาท ลดเหลือ 400 บาท (ประมาณคร่าวๆ 160 คันรถ)
    3. ค่ารถแม็คโค เกลี่ยดินและหิน คันละ 50 บาท (รวมประมาณ 320 คันรถ)
    4. การเทคอนกรีต ในบางช่วงที่มีน้ำไหลผ่านตามภูเขา (ยังไม่ได้ประเมิน)
    5. การลงท่อ ในบางช่วงที่มีน้ำไหลผ่านตามทุ่งนา (ยังไม่ได้ประเมิน)

    ในวันนี้ 21 มี.ค. 55 : ได้มีการเริ่มดำเนินการถมดินสร้างถนนแล้ว โดยชาวบ้าน รวมทั้งเจ้าของที่ดิน ได้กล่าวสรรเสริญและโมทนาสาธุในบุญที่ท่านได้บริจาคปัจจัยร่วมสร้างพุทธสถานภูดานไหมา

    2. ในเรื่องสร้างไฟฟ้า
    จักเริ่มปักเสาไฟฟ้าที่เป็นคอนกรีตต้นแรก (ตามถนนใหม่นี้) ในวันอาทิตย์ที่ 25 มี.ค. 55 โดยคำนวนใหม่จากเดิม 25 ต้น เหลือ 23 ต้น ส่วนเสาเหล็ก 8 ต้น เพื่อติดตั้งบนภูเขาและภายในวัดยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

    สำหรับภาพถ่ายกิจกรรมต่างๆก็จักทยอยลงให้ท่านชมในโอกาสต่อไป

    ขอโมทนาสาธุในบุญกุศลสร้างพุทธสถานภูดานไหนี้กับทุกท่านอีกครั้งด้วยครับ
    นรธ.สมบัติ / 21.03.55
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  16. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    โลกนี้หากสมมุติหรือบัญญัติขึ้นก็...มี
    หากละวางบัญญัติและสมมุติลงได้ก็...ไม่มี
     
  17. ckj_tong

    ckj_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +869
    [​IMG]


    สั้นๆ แต่ลึกซึ่งถึงแก่นธรรม

    ขอบพระคุณมากครับ ท่าน อ.ดร.นนต์

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2012
  18. ckj_tong

    ckj_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +869



    เอาธรรมะหลวงพ่อมาฝาก



    [​IMG]
     
  19. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
  20. Indhus

    Indhus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +113

    สมองที่ถูกฝึกมาว่านั่นคือ หอม เหม็น หวาน เปรี้ยว เค็ม สมองย่อมรับรู้ได้ว่าเหล่านี้คือรสและกลิ่น ที่มีอยู่และเป็นอยู่

    จิตที่ถูกฝึกมาว่านั่นคือ หอม เหม็น หวาน เปรี้ยว เค็ม ท้ายที่สุดจิตย่อมรู้ว่าเหล่านี้มีไม่จริง

    ...............ด้วยความเคารพ จากปัญญาอันกะจ๊อย (ยืมคำพูดหลานชายตัวเล็กมาพูด แปลว่า เล็กมากถึงมากที่สุด).........
     

แชร์หน้านี้

Loading...