หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. ckj_tong

    ckj_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +869
    .....เป็นการไปพบ ผู้ใหญ่ (ท่าน ดร.ณัฐชัย) เป็นคราวที่สองของผม

    ....เพื่ออัญเชิญพระสมเด็จองค์ปฐม สร้าง วาระ พ.ศ.2412
    ....ประโยคแรกที่ท่านตอบทักทายผู้น้อยอย่างผม..แสดงถึงความเมตตาห่วงใย ....
    ....พร้อมยังแนะนำให้ทั้งข้อคิดทางธรรมและทางโลก..เพื่อให้นำไปปฏิบัติ..

    ....ผู้น้อยขอน้อมรับในทุกประการ..

    ....กราบขอพระคุณท่าน ดร.ณัฐชัย อีกครั้งครับ
     
  2. ckj_tong

    ckj_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +869
    เป็นจริงดังที่ท่าน somlatri ได้กล่าวมาแล้วในทุกประการขอรับ
    เพราะ ณ วันนั้น มิได้มีเพียงผมและท่าน ดร.ณัฐชัย เท่า่นั้นยังมี
    สมาชิกธรรมท่านอื่น(ท่านวันชัย) ด้วยครับ
     
  3. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    สวัสดียามบ่ายครับ
    บ่ายๆวันนี้องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ได้ตรวจสอบข้อความในโทรศัพท์มือถือคุณแม่ชม หมายเลขโทร. 0801765282 พบว่า...

    คุณวันชัย เมฆชัยพรพร้อมครอบครัว ได้ร่วมทำบุญสร้างวัดภูดานไหมา 10,800 บาท
    เนื่องในวาระวันคล้ายวันเกิดวันที่ 8 มีนาคม 2555

    คุณแม่ฯจึงทดลองโทร.ติดต่อกลับ แต่ติดต่อไม่ได้ คุณแม่จึงโทรมาบอกผมว่า
    "องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านรับรู้แผ่เมตตาให้แล้วและอนุโมทนาในบุญกุศลกับคุณวันชัยและครอบครัวด้วยครับ"

    ผมขอโมทนาสาธุ ขอให้คุณวันชัย(wanchai99)และครอบครัวจงประสบแต่ความสุขความเจริญครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2012
  4. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
     
  5. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    เมื่อวานช่วงบ่ายๆ

    ญาติธรรมทางไกลที่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับพระพุทธปฐวีธาตุกับคณะก็ได้ร่วมบริจาคปัจจัย 6,100 บาท
    ตามแต่ทางวัดภูดานไหจักเห็นสมควรนำไปใช้ประโยชน์ต่อพระศาสนา

    ผมขอโมทนาสาธุในบุญกับญาติธรรมทุกๆท่านด้วย
    ขอทุกท่านจงมีความสว่างไสวรุ่งเรืองในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  6. ckj_tong

    ckj_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +869
    ผมขออนุโมทนาสาธุ กับคุณพรชัยและครอบครัว

    ขอให้ท่านและครอบครัวจงประสบแต่ความสุขความเจริญครับ
     
  7. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    ขออนุโทนาบุญกับท่านด้วยทุกประการ รวมทั้งญาติธรรมจากแดนไกลด้วยนะครับ

    ช่วงนี้ผมยุ่งๆอยู่ จึงยังไม่ได้โอนเงินที่มีผู้ร่วมทำบุญบูชาพระหลวงปู่ทวดชุดที่สองแด่พ่อแม่ครูอาจารย์ เพราะยังมีผู้ขอบูชาพระพุทธปฐวีธาตุส่วนตัวด้วย พรุ่งนี้คงได้ทำการโอนเงินถวาย ยอดประมาณ 28,100 บาท ก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับ

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    14 มีนาคม 2555
     
  8. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    โมทนาสาธุในกุศลนี้ครับ
    ตัวเลขปัจจัยช่างบังเอิญตรงกันว่ามี 8 1 0 เนาะ หึหึ
     
  9. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    คำสอนขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช
    จาก "ปฏิปทา" สู่ "พระโสดาบัน"

    ...บุคคลที่จะเดินตามรอยครูบาอาจารย์ได้ ต้องสามารถที่จะเอาปฏิปทาของท่านไปดำเนิน สามารถที่จะบอกต่อๆกันไป ว่าครูบาอาจารย์ท่านนี้ๆ มีปฏิปทาอย่างนี้ ธรรมของท่านแสดงไว้อย่างนี้ เมื่อเข้าใจก็สามารถที่จะช่วยครูบาอาจารย์ได้อีกส่วนหนึ่ง ถ้าเรายังไม่เข้าใจหรือเข้าใจแต่ตนเอง แต่ไม่เข้าใจถึงตัวท่าน ยังไม่เข้าใจปฏิปทาของท่าน ยังเดินตามรอยของท่านยังไม่ได้ อันนี้ความคลาดเคลื่อนยังมีมาก

    ศิษย์กับอาจารย์ ต้องเห็นกันด้วยจิต ลงกันด้วยกายและก็ด้วยวาจา ต้องเป็นไปด้วยความนอบน้อม ต้องไว้ใจกันได้ ตายใจกันได้ ต้องแทนกันได้ เวลาท่านลับไป บุคคลเอาปฏิปทาของท่านไปดำเนิน ธรรมะของท่าน ปฏิปทาของท่าน มันจะไม่ตายไปด้วย หากเราไม่ตั้งใจ อยากได้แต่ธรรมอย่างเดียวไม่ได้ดอก "เพราะว่าปฏิปทาทั้งหลายนั่นแหละคือธรรมอันสุดยอด" ไม่อย่างงั้นพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าคงไม่มี ถ้าท่านจะสอนเพียงแค่ธรรมอันบรรลุอย่างเดียว ท่านไม่วางวินัยไว้ ไม่วางศีลไว้ ไม่วางกฏระเบียบไว้ ให้ลูกหลานชาวพุทธได้เดินตาม ใครก็อยากจะพ้นทุกข์ ไม่อย่างงั้นคนประเภทไหนก็พ้นทุกข์ได้หมด จะกินเหล้าเมายา จะมอมเมาสิ่งไหนก็ชั่ง เพียงแค่นั่งหลับตาแล้วคิดอยากจะพ้นทุกข์แล้วก็พ้นทุกข์ได้เลยนั้น มันไม่ได้

    คนที่จะพ้นทุกข์ได้ไม่ใช่บุคคลที่เหลวไหล แต่เป็นบุคคลใส่ใจที่จะทำตามคำของพระพุทธเจ้า เมื่อไปอยู่สำนักไหนก็ทำตามกฏระเบียบปฏิปทาของครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัด บุคคลอย่างงั้น ท่านจึงจะเบาใจได้ ไม่ใช่เบาใจเฉพาะเพียงแค่เขาพูดง่ายนะ ต่อไปข้างหน้า เขาจะเอาธรรมะเอาปฏิปทาของท่านไปบอกสอน เพราะว่าท่านทุ่มเททั้งจิตทั้งใจของท่าน ท่านทุ่มเทที่จะประพฤติปฏิบัติ รักษากฏระเบียบตัวนั้นมา และทุ่มเทในการประพฤติปฏิบัติเพื่อที่จะได้ธรรมมาครอง คนที่จะได้ธรรมไม่ใช่คนที่เหลวไหล ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นคนที่มีกฏ มีระเบียบ มีความเพียร มีปัญญา ลูกศิษย์ลูกหาที่มาประพฤติปฏิบัติ ก็ต้องใส่ใจในปฏิปทาของครูบาอาจารย์ เพราะว่าท่านได้ทำด้วยความเพียรของท่าน ท่านได้รักษาเหมือนจิตใจของท่าน ถ้าเรามาเหยียบมาย่ำมาทำลาย ก็เหมือนทำลายจิตใจของท่าน คนที่จะเป็นลูกศิษย์กันได้ ต้องเป็นได้ด้วยใจ คือทำตามปฏิปทาที่ออกมาจากใจของท่าน ท่านทุกข์ก็ทุกข์ด้วย ท่านสุขก็สุขด้วย ท่านพาทำอย่างไรเราก็ทำ สิ่งไหนที่ท่านไม่ทำเราก็ไม่ทำเหมือนกัน สิ่งไหนท่านเคยบอกเคยสอนเคยอบรมไว้เราก็จำไว้และก็นำไปประพฤติปฏิบัติ

    แม้กระทั่งเวลาเดินไปกับท่าน ลูกศิษย์ลูกหาถ้าจะเอาจริงๆต้องห่างประมาณสองศอก เกิดเวลาที่หยุดจะได้ไม่ชนท่าน ให้เดินอยู่ทางซ้ายมือ นี่แสดงออกถึงความเคารพ ส่วนใหญ่คนจะไม่ค่อยรู้จัก เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เวลาเห็นรอยเท้าของท่าน ลูกศิษย์ลูกหาจะไม่กล้าที่จะเหยียบซ้ำรอยเดิมด้วยความเคารพ สิ่งเหล่านี้มันออกมาจากคุณธรรมของบุคคลนั้นๆ แสดงถึงคุณธรรมของบุคคลนั้นๆที่มีต่อครูบาอาจารย์ หรือว่าต่อไปข้างหน้าเขาจะเบ่งบานในธรรม เขาต้องเป็นคนที่มีความฉลาด มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ถึงจะเดินตามรอยของครูบาอาจารย์ได้

    สิ่งเหล่านี้เป็นจิตสำนึกที่ลูกศิษย์ลูกหาที่มีต่อครูบาอาจารย์ ผู้ที่จะทำตามปฏิปทาของท่านต้องทำด้วยใจ ถือด้วยใจ ปฏิบัติด้วยใจ มันจึงมีน้อยบุคคลเหล่านี้หน่ะ บุคคลที่ตั้งใจ ท่านจึงบอกได้ บุคคลไหนเดินตามปฏิปทาของท่าน เคารพนับถือท่าน ไม่ว่าทางกาย ไม่ว่าทางวาจา ไม่ว่าทางใจ แสดงออกอยู่ทุกเวลา ไม่มีกาล ไม่มีเวลา แม้ต่อหน้า หรือว่าลับหลัง มีความเคารพบูชาอยู่อย่างงั้นตลอดเวลา เหมือนที่พวกเราเคารพพระพุทธเจ้ามีความนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ไม่มีสมัย ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน เคารพอยู่อย่างนั้น

    ผู้ถึงซึ่งพระพุทธเจ้า ผู้สามารถที่จะน้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นสรณะ ไตรสรณะคมนี่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆนะ ผู้เข้าถึงซึ่งพระไตรสรณะคมหมายถึงพระโสดาบัน ผู้ที่ขอรับเอาพระไตรสรณคมไปปฏิบัติ กับผู้ที่เข้าถึงพระไตรสรณคมไม่เหมือนกัน ผู้ที่เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริงคือพระโสดาบัน ไม่ได้เข้าง่ายๆ ถ้าหากว่าเราเคารพนับถือขอถึงกับเข้าถึงไม่เหมือนกัน คือแต่ก่อนเรายังไม่เคารพเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อได้ฟังธรรมะเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาก็เลยขอเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ แต่เมื่อขอถึงแล้ว มาประพฤติปฏิบัติสามารถที่จะกำจัดสังโยชน์ กิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจของตนเองออกไปได้ จึงเป็นผู้เข้าถึงซึ่งคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หมดความลังเลสงสัย กำจัดวิจิกิจฉาลังเลสงสัยในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในเรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องคุณเรื่องโทษ

    เมื่อไม่มีความลังเลสงสัยแล้ว ไม่มีความสงสัยในศีลในธรรม ศีลก็บริสุทธิ์ขึ้นมา เพราะเห็นคุณของศีล เห็นโทษของการละเมิดศีล ศีลจึงเป็นความปกติขึ้นมาในจิต คือไม่มีการฆ่าสัตว์ ไม่มีการลักทรัพย์ ไม่มีการประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ ไม่ดื่มสุราเมรัยหรือไม่มั่วอบายมุขทั้งหลาย เป็นความปกติอยู่ในจิตของตัวเองอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องไปสมาทานขอเอา เป็นความบริสุทธิ์ของจิต เป็นความบริสุทธิ์ของศีล ไม่มีขาด ไม่มีทะลุ ไม่มีด่างพล้อย เพราะว่าเป็นศีลบริสุทธิ์แล้วขึ้นมาในตัวจิตของพระโสดาบัน เพราะหมดความลังเลสงสัยในเรื่องศีล ในเรื่องของคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

    มีการพิจารณากายของตัวเองว่าเป็นของไม่เที่ยงอยู่เสมอ เป็นของปฏิกูลสกปรกอยู่เสมอ ถึงจะยังหลงอยู่แต่ก็ไม่ลืมความตาย สักวันก็ต้องตาย พิจาณาอยู่สม่ำเสมอถึงความไม่เที่ยงของกาย มีความเห็นว่ากายของตนเองเป็นของสกปรก ถึงจะละไม่ได้ก็ช่าง เพราะว่าภูมิของพระโสดาบันได้เท่านั้น ...

    เดินตามปฏิปทาของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้เคยบอกเคยสอน ลูกศิษย์ลูกหาเวลามาประพฤติปฏิบัติ เป็นศิษย์มีครูก็ต้องเดินตามรอยของครูบาอาจารย์ เพราะแต่ละที่แต่ละสำนักท่านจะรับรองไม่กี่คนหรอก เพราะบุคคลเช่นนั้นสามารถที่จะเอาปฏิปทาของท่านไปดำเนินได้ เอาปฏิปทาของท่านไปเผยแพร่ให้คนทั้งหลายได้รู้จัก ได้เดินตาม เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นศิษย์มีครูต้องมีปฏิปทาของครูบาอาจารย์ ต้องนำปฏิปทาของครูบาอาจารย์ไปดำเนิน เหมือนเป็นระเบียบบังคับ บังคับทั้งกาย บังคับทั้งวาจา บังคับทั้งใจของเราให้เดินตามรอย เพราะว่าใจของเรา ถ้ายังฝึกไม่ได้ มันยังเชื่อไม่ได้อยู่ เพราะจิตของเรามันยังเจือด้วยกิเลส เชื่อยังไม่ค่อยได้ ต้องอาศัยปฏิปทา ต้องอาศัยกฏระเบียบบังคับมันไว้ บางครั้งมันก็ขี้เกียจ บางครั้งมันก็ขยัน บางครั้งมันก็ผ่องใส บางครั้งมันก็วุ่นวายเศร้าหมอง ถ้ามันเศร้าหมองมันก็ไม่อยากทำคุณงามความดีอะไร แม้แต่ไหว้พระสวดมนต์ กราบพระมันก็ยังไม่อยากกราบ แต่ถ้าเรามีปฏิปทานี่ ขี้เกียจก็ทำ ขยันก็ทำ วุ่นวายก็ทำ ผ่องใสก็ทำ กฏระเบียบทั้งหลายปฏิปทาทั้งหลายมันจะบังคับไว้ ถือปฏิปทาก็ถือด้วยจิตด้วยใจ ถือธรรมของพระพุทธเจ้าก็ถือด้วยจิตด้วยใจ ไม่ได้ถือใจของตัวเองเลย จนฝึกใจมาเป็นธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน มันถึงเชื่อกันได้ มันถึงจะเป็นได้ มันถึงจะพาใจของเราพ้นทุกข์ได้ เพราะธรรมนั่นหล่ะ ไม่ใช่อันอื่นเลย ไม่ใช่เรื่องของกิเลสทั้งหลายที่จะพาใจเราพ้นทุกข์ ถ้าไม่มีปฏิปทาไม่มีกฏระเบียบ ใจมันก็ไม่มีที่พึ่ง พอใจไม่มีที่พึ่ง มันก็ไปพึ่งกิเลส จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์

    เพราะว่าคนทั้งหลายจะมั่นคงในธรรม จะเจริญไปข้างหน้าได้ต้องมีปฏิปทาเป็นเครื่องดำเนินถึงจะไปได้ เพราะว่าใจของเรามันวอกแวกหวั่นไหว มันยังห่วงตนเอง หลงตนเอง จนลืมธรรม บางครั้งจนลืมครูบาอาจารย์ที่บอกที่สอน เพราะความห่วงตัวเอง ถ้าจะประพฤติปฏิบัติท่านจึงบอกว่า เสี่ยงตาย คือทิ้งตัวเองไปเลย เอาธรรมมาใส่แทน ให้คำว่าตัวเองที่ยังมีกิเลสอยู่ เอาออกไปเลย ให้มันตายไปเลย เอาใจที่มันเป็นธรรมขึ้นมาใหม่ เอาจิตดวงใหม่ขึ้นมา จิตที่มันเป็นธรรม จิตที่มันเป็นศีล จิตที่มันมีครูบาอาจารย์ จิตที่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัยเอามาใส่แทน จิตที่เหลวไหลห่วงตัว เอาทิ้งออกไป กลัว เจ็บ กลัวตาย กลัวลำบาก กลัวกิเลส เอามันออกไป ด้วยการมาฝึกฝน เรื่องของธรรมสำคัญมาก เรื่องของปฏิปทาสำคัญมาก เพราะว่าถอดออกมาจากจิตจากใจของท่าน เอามาสอนพวกเรา เพราะว่าท่านดำเนินมาอย่างงี้ ท่านจึงมีธรรมะขึ้นมาครองในใจของท่าน ไม่ใช่จะเป็นคนยังไงก็ได้ จะเป็นพระยังไงก็ได้ จะทำอย่างไงก็ได้ อย่างนั้นธรรมไม่เกิดหรอก ธรรมจะเกิดต่อผู้นอบน้อมต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีปฏิปทาเป็นเครื่องดำเนิน รักษากาย วาจา จิตของตนเองอยู่อย่างนั้น เป็นผู้มีสติบริบูรณ์ ไม่ว่ากาย ไม่ว่าวาจา ไม่ว่าใจ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อยู่ด้วยสติเป็นผู้รักษา เป็นผู้ดูแล ใจของเราถึงจะไปได้

    บางครั้งเราประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ ยังตื่นตัวอยู่ อะไรก็อยากทำไปหมด เวลานานไปแล้ว กิเลส หยาบ กลาง ละเอียด มันแฝงตัวขึ้นมา มันแทรกตัวขึ้นมา มันเลยทำให้เราเห็นว่าเป็นของยาก เป็นของลำบาก แต่ก่อนเราประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ มันเป็นของง่ายๆ ทำอะไรก็ดูง่ายๆ แต่ว่าคนเราจะถึงจุดมุ่งหมายต้องอาศัยสิ่งที่มากระทบ ต้องอาศัยวันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าใจของเราจะหวั่นไหวไปตามกิเลสมั๊ย ใจของเราจะหนักแน่นในธรรมมั๊ย ถ้าเราไม่มีปฏิปทาแน่นอน ใจของเราย่อมหวั่นไหว ที่สุดแล้วต้องทิ้งธรรมไปเลย ถ้าเรามีปฏิปทาเป็นเครื่องดำเนิน ถึงกิเลสมันจะรบกวนจิตใจมากขนาดไหน จิตใจจะเศร้าหมองขนาดไหน แต่ว่าเรามีปฏิปทา เรามีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง มีหลักของใจอยู่อย่างนั้น มันไม่หวั่นไหว ที่สุดแล้วทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง เวลาใจของเราได้ฝึกได้ฝนได้อบรมมากๆ มันแข็งมันแกร่งขึ้นมา จิตใจแกร่งด้วยศีล จิตใจแกร่งด้วยสติ แกร่งด้วยธรรม แกร่งด้วยขันติ แกร่งด้วยวิริยะ แกร่งด้วยความศรัทธา แกร่งด้วยสมาธิ แกร่งด้วยปัญญา มันแข็งมันแกร่งเหมือนดั่งเพชร เป็นบุคคลใจเพชร ไม่ยอมให้กิเลสเลย บุคคลแบบนั้นถึงจะมีธรรมมาครอง ถึงจะได้ธรรมมาครอง ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมเพียงแค่การได้นั่งสมาธิก็จะบรรลุธรรมไปเลย เพราะว่าคนเราไม่ได้อยู่กับการนั่งสมาธิตลอดเวลา อริยาบทนี้มันก็เป็นบางเวลาเท่านั้น เวลาอื่นๆเราก็ต้องไปทำอย่างอื่่น นี่ละกฏระเบียบทั้งหลาย ปฏิปทาทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย จึงเป็นเครื่องคลุม เวลาเรานั่งสมาธิ อะไรมันก็ไม่มากวน แต่บางครั้งกิเลสมันก็เข้ามากวนจิตอยู่ แต่ว่ากายของเราไม่ไปทำสิ่งอื่น วาจาของเราไม่ไปทำสิ่งอื่น ในขณะนี้มันก็ดูพอใช้ได้ แต่เวลาออกจากการนั่งสมาธิ ออกจากการทำความเพียร ถ้าหากเราไม่มีปฏิปทา รับรองหวั่นไหวแน่นอน ปฏิปทาทั้งหลายจึงเป็นเครื่องคลุมจิตใจของเราไม่ให้หวั่นไหวไปตามกิเลสทั้งหลาย...

    ถอดจากการบันทึกคำสั่งสอน โดย นรธ.สมบัติ (14 มี.ค.55)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  10. ckj_tong

    ckj_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +869
    ผมขออนุโมทนาสาธุ กับทุกๆท่าน

    ขอให้ทุกๆท่านและครอบครัวจงประสบแต่ความสุขความเจริญครับ
     
  11. ckj_tong

    ckj_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +869

    ผมขออนุโมทนาสาธุ กับทุกๆท่าน

    ขอให้ทุกๆท่านและครอบครัวจงประสบแต่ความสุขความเจริญครับ
     
  12. D-Crew

    D-Crew เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2012
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +185
    อย่าโมทนาให้ผิดครอบครัวหนา....ไม่รู้ด้วย ฮ้าๆๆๆๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2012
  13. ckj_tong

    ckj_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +869

    สาธุ สาธุ สาธุ

     
  14. taewakan

    taewakan สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    14 มี.ค.55 เวลา 13.00 น.ได้พบท่านอาจารย์ ดร.ณัฐชัย เป็นครั้งแรกครับ
    เพื่ออัญเชิญพระสมเด็จองค์ปฐม ขอบพระคุณในความเมตตากรุณาของท่านอาจารย์เป็นอย่างมาก ซาบซึ้งในข้อคิดทางธรรมและทางโลก ปลื้มปิติมากครับ
    กราบขอบพระคุณอีกครั้งครับ...ธาตรี
     
  15. ซึ้งบน

    ซึ้งบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +377

    สาธุ สาธุ ขอขอบคุณหลายๆเด้อ ที่นำธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ มาเผยแพร่สู่ญาติธรรม ที่ไม่มีโอกาสได้รับธรรมโดยตรงจากองค์ท่าน

    อ่านครั้งแรก ไม่ได้อรรถไม่ได้ธรรมอะไร คิดว่าคงเป็นเพราะตัวเราเองไปไม่ถึงไหน สงสัยต้องเป็นอาหารของ กุ้งหอยปูปลา แน่ๆ
    อ่านรอบที่ 2 เริ่มเห็นแสงสว่างจุดเล็กๆ แต่อยู่ไกล ไกล ไกล มากเลย แต่ก็เริ่มมีความหวังว่า คงจะไม่ตกเป็นอาหารแล้ว
    อ่านรอบที่ 3 เริ่มเห็นเส้นทางที่จะเดินแล้ว แม้จักยังไม่ชัดนัก แต่ก็รู้ว่าใช่เส้นทางที่ถูกต้องแน่นอน มีโอกาสที่จะปริ่มๆน้ำได้

    เปรียบดังดอกบัว นั้นนา
    กว่าจะโผล่พ้นมา
    อยู่เหนือธารา งดงาม


    ธรรมเป็นสิ่งเหนือโลก เหนือเหตุเหนือผลทางโลก บางสิ่งบางอย่างอาจจะถูกต้องตามความรู้สึกของปุถุชนโดยทั่วไป เป็นที่ยอมรับของสังคม แต่ถ้าการนั้นเป็นเหตุที่จะก่อให้เกิดกรรม ไม่มีที่สิ้นสุด ก่อให้เกิดกิเลส โทสะ โมหะ โลภะ ขึ้นในจิตใจไม่รู้จักจบจักสิ้น ก็ถือว่าไม่ถูกธรรม

    ถ้าใครที่เคยไปที่ภูดานไห จักต้องเคยเห็นธรรมประโยคนี้

    " ถูกใจไม่ถูกธรรม อย่าทำ"


     
  16. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    โมทนาสาธุในความก้าวไปในธรรมกับการน้อมนำธรรมะขององค์ท่านมาเผื่อแผ่ในอีกแง่มุมครับ

    เป็นการถอดจากการบันทึกเสียงครั้งแรก ด้วยความลำบากเอาการอยู่ เพราะพิมพ์ไม่เก่ง ต้องย้อนฟังไปมาหลายรอบ แตกต่างอรรถรสจากการฟังจากองค์ท่านโดยตรงครับ และพอถอดมาถึง...เพราะว่าท่านทุ่มเททั้งจิตทั้งใจของท่าน...น้ำตามันก็หลั่งไหลออกมาด้วยความซาบซึ้งปีติ หึหึ มาช่วยกันถอดการบันทึกเสียงเพื่อเผยแพร่ธรรมะกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2012
  17. wanchai99

    wanchai99 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +86
    กราบ กราบ กราบ องค์พ่อแม่ครูอาจารย์.
    กราบคุณแม่ชม และ นรธ. ทุกท่าน,

    ผมและครอบครัว ดีใจมากๆครับ เมื่อทราบว่าองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านได้โปรดเมตตาอนุโมทนาบุญให้ในครั้งนี้.ผมขอกราบน้อมรับไว้เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งในการเริ่มต้นไปตลอดทั้งปีครับ.

    ขอโมทนาบุญที่ผมได้ทำไปแล้วนั้นให้กับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในวัดภูดานไหด้วยครับ.

    วันชัย
     
  18. wanchai99

    wanchai99 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +86
    กราบ กราบ กราบ องค์พ่อแม่ครูอาจารย์.
    กราบคุณแม่ชม และ นรธ. ทุกท่าน,

    ผมและครอบครัว ดีใจมากๆครับ เมื่อทราบว่าองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านได้โปรดเมตตาอนุโมทนาบุญให้ในครั้งนี้.ผมขอกราบน้อมรับไว้เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งในการเริ่มต้นไปตลอดทั้งปีครับ.

    ขอโมทนาบุญที่ผมได้ทำไปแล้วนั้นให้กับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในวัดภูดานไหด้วยครับ.

    วันชัย
     
  19. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ซึ้งบน [​IMG]
    สาธุ สาธุ ขอขอบคุณหลายๆเด้อ ที่นำธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ มาเผยแพร่สู่ญาติธรรม ที่ไม่มีโอกาสได้รับธรรมโดยตรงจากองค์ท่าน

    อ่านครั้งแรก ไม่ได้อรรถไม่ได้ธรรมอะไร คิดว่าคงเป็นเพราะตัวเราเองไปไม่ถึงไหน สงสัยต้องเป็นอาหารของ กุ้งหอยปูปลา แน่ๆ
    อ่านรอบที่ 2 เริ่มเห็นแสงสว่างจุดเล็กๆ แต่อยู่ไกล ไกล ไกล มากเลย แต่ก็เริ่มมีความหวังว่า คงจะไม่ตกเป็นอาหารแล้ว
    อ่านรอบที่ 3 เริ่มเห็นเส้นทางที่จะเดินแล้ว แม้จักยังไม่ชัดนัก แต่ก็รู้ว่าใช่เส้นทางที่ถูกต้องแน่นอน มีโอกาสที่จะปริ่มๆน้ำได้

    เปรียบดังดอกบัว นั้นนา
    กว่าจะโผล่พ้นมา
    อยู่เหนือธารา งดงาม


    ธรรมเป็นสิ่งเหนือโลก เหนือเหตุเหนือผลทางโลก บางสิ่งบางอย่างอาจจะถูกต้องตามความรู้สึกของปุถุชนโดยทั่วไป เป็นที่ยอมรับของสังคม แต่ถ้าการนั้นเป็นเหตุที่จะก่อให้เกิดกรรม ไม่มีที่สิ้นสุด ก่อให้เกิดกิเลส โทสะ โมหะ โลภะ ขึ้นในจิตใจไม่รู้จักจบจักสิ้น ก็ถือว่าไม่ถูกธรรม

    ถ้าใครที่เคยไปที่ภูดานไห จักต้องเคยเห็นธรรมประโยคนี้

    "ถูกใจไม่ถูกธรรม อย่าทำ"

    ขออนุโมทนาด้วยครับกับธรรมสายตรงของพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช

    ณ เวลานี้ ผมเองรู้สึกว่า ตัวเองเริ่มถอยห่างออกจากปฏิปทาขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์ไปเสียแล้วกระมัง เพราะชอบแถลออกไปข้างทางอยู่เรื่อย ใจหนึ่งอยากออกปลีกวิเวก อยากอยู่อย่างสงบ ปราศจากผู้คนมารบกวน เพราะผมเห็นนักรบธรรมบางท่านอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ซุ่มประพฤติปฏิบัติ เกาะติดเอาคำสอนขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์ไปปฏิบัติอย่างเงียบๆ แล้วเกิดความเจริญงอกงามในทางธรรม ซึ่งแตกต่างจากวิถีของผมอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้เป็นเพราะอะไรหนอ ความหลงนั้นก็คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมเฉออกไป จริตเดิมหนึ่งนั้นก็ทำให้เฉออกไป ความห่างไกลองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ และภารกิจบางอย่างก็ทำให้เฉออกไป สภาวะธรรมที่คิดว่าบังเกิดขึ้นบ้าง จึงเป็นแบบลุ่มๆดอนๆ แบบหลงๆ แต่กำลังใจยังดีอยู่ ยังเต็มเปี่ยมอยู่ เพราะกระแสธรรมขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์ยังคอยมาเป็นเกาะป้องกันให้เรา สักวันหนึ่งบุญวาสนาจะดึงเรากลับมาสู่เส้นทางตรง สู่แดนพระนฤพานได้กระมัง

    ผมขออนุโมทนาสาธุกับเหล่านักรบธรรม ที่กำลังออกดอกออกผล ด้วยความเมตตากรุณาขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์ ที่คอยรดน้ำใส่ปุ๋ยให้ทุกท่าน ได้เจริญเติบโตเป็นผู้เจริญในธรรมในที่สุด จักมีสักกี่คนที่มีบุญวาสนาเช่นนี้

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    14 มีนาคม 2555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2012
  20. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388

    "ธุดงควัตรที่ท่านถือปฏิบัติเป็นอาจิณ ๔ ประการ
    ๑. บังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุล นับตั้งแต่วันอุปสมบทมาตราบจนกระทั่งถึงวัยชราจึงได้พักผ่อนให้คหบดีจีวรบ้างเพื่ออนุเคราะห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย
    ๒. บิณฑบาตกังคธุดงค์ ถือภิกขาจารวัตรเที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์ แม้อาพาธไปในละแวกบ้านไม่ได้ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉันจนกระทั่งอาพาธ ลุกไม่ได้ในปัจฉิมสมัยจึงงดบิณฑบาต
    ๓. เอกปัตติกังคธุดงค์ ถือฉันในบาตรใช้ภาชนะใบเดียวเป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัยอาพาธหนักจึงงด
    ๔. เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ตลอดมา แม้ถึงอาพาธหนักในปัจฉิมสมัยก็มิได้เลิกละ

    ส่วนธุดงควัตรนอกนี้ได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งคราวที่นับว่าปฏิบัติได้มาก ก็คือ อรัญญิกกังคธุดงค์ ถืออยู่ เสนาสนะป่าห่างบ้านประมาณ ๒๕ เส้น หลีกเร้นอยู่ในที่สงัดตามสมณวิสัยเมื่อถึงวัยชราจึงอยู่ใน เสนาสนะ ป่าห่างจากบ้านพอสมควร ซึ่งพอเหมาะกับกำลังที่จะภิกขาจารบิณฑบาตเป็นที่ที่ปราศจากเสียงอื้ออึง ประชาชนยำเกรงไม่รบกวน นัยว่าในสมัยที่ท่านยังแข็งแรง ได้ออกจาริกโดดเดี่ยวแสวงวิเวกไปในดงพงลึกจน สุดวิสัยที่ศิษยานุศิษย์ จะติดตามไปถึงได้ก็มี เช่นในคราวไปอยู่ทางภาคเหนือเป็นต้น ท่านไปวิเวกบนเขาสูง อันเป็นที่อยู่ของพวกมูเซอร์ ยังชาวมูเซอร์ซึ่งพูดไม่รู้เรื่องกันให้บังเกิดศรัทธาในพระศาสนาได้"

    พระอริยคุณคุณาธาร วัดเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น เรียบเรียง
    --------------------------------------------------------------------------------
    "...พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านพาดำเนินอย่างถูกต้องแม่นยำ
    ถือเอาธุดงควัตร ๑๓ ("...ธุดงค์ 13แต่ละข้อมีความหมายในการปราบปรามกิเลสทุกประเภทได้อย่างอัศจรรย์ยากที่คาดให้ทั่งถึงได้ดังนี้ 1.บิณฑบาตเป็นวัตร 2.บิณฑบาตตามลำดับบ้าน 3.ไม่รับอาหารที่ตามส่งทีหลัง 4.ฉันในบาตร 5.ฉันหนเดียวในวันหนึ่งๆ 6.ถือผ้าสามผืน 7.ถือผ้าบังสกุล 8.อยู่รุกขมูลร่มไม้ 9.อยู่ป่า 10.อยู่ป่าช้า 11.อยู่กลางแจ้ง 12.อยู่ในที่เขาจัดให้ 13.ถือไม่อยู่อิริยาบถนอน...")

    นี้เป็นพื้นเพในการดำเนิน และการประพฤติปฏิบัติจิตใจของท่านก็เป็นไปโดยสม่ำเสมอ ไม่นอกลู่นอกทางทำให้ผู้อื่นเสียหาย และริจะทำเพื่อความเด่นความดังอะไรออกนอกลู่นอกทางนั้นไม่มี เป็นแนวทางที่ราบรื่นดีงามมาก นี่ละเป็นที่นอนใจ เป็นที่ตายใจยึดถือไว้ได้โดยไม่ต้องสงสัยก็คือปฏิปทาเครื่องดำเนินของท่าน

    นี่ครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านก็มีจำนวนมากพากันดำเนินมายึดถือหลักนั้นแหละมาปฏิบัตได้แพร่หลายหรือกระจายออกไปแก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายเป็นแขนงๆ หรือแผลงๆ อะไรออกไปให้เป็นที่สะดุดตา ไม่แน่ใจอย่างนี้ไม่มี ท่านดำเนินอะไรเป็นที่เหมาะสมทั้งนั้น คือมีแบบมีฉบับเป็นเครื่องยืนยันไม่ผิดเพี้ยนไปเลย

    นี่เพราะเหตุไร เพราะเบื่องต้นท่านก็ตะเกียกตะกายก็จริง แต่ตะเกียกตะกายตามหลักธรรมหลักวินัย ไม่ได้นอกเหนือไปจากหลักธรรมหลักวินัย หลักวินัยคือกฏของพระระเบียบของพระ ท่านตรงเป๋งเลย และหลักธรรมก็ยึดธุดงค์๑๓ ข้อนี้เป็นทางดำเนิน ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางนี้ไปอย่างทางอื่นบ้างเลย นี่จึงเป็นที่น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งมาตั้งแต่ขั้นเริ่มแรกของท่าน

    ต่อจากนั้นท่านก็ปรากฏเห็นผลขึ้นมาโดยอันดับอำดา ดังเคยเขียนไว้แล้วในประวัติของท่านจนกระทั้งเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลโดยสมบูรณ์ในหัวใจท่าน แล้วก็ประกาศสั่งสอนธรรมแก่บรรดาศิษยทั้งหลายพร้อมทั้งปฏิปทาเครื่องดำเนินด้วยความองอาจกล้าหาญ ไม่มีคำว่าสะทกสะท้านแม้นิดหนึ่งเลย นี่เพราะความแน่ใจในใจของท่านเอง ทั้งฝ่ายเหตุทั้งฝ่ายผล ท่านเป็นที่แน่ใจทั้งสองแล้ว

    พวกบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายที่เข้าไปศึกษาอบรมกับท่าน จึงได้หลักได้เกณฑ์จากความถูกต้องแม่นยำที่ท่านพาดำเนินมา มาเป็นเครื่องดำเนอนของตน แล้วถ่ายทอดไปโดยลำดับลำดา ไม่มีประมาณเฉพาะอย่างยิ่งภิกษุบริษัท มีกว้างขวางอยู่มากสำหรับลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นแตกกระจายออกไปการที่ได้ปฏิปทาเครื่องดำเนินจากท่านผู้รู้ผู้ฉลาดพาดำเนินมาแล้วเช่นนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก นี่ละเป็นที่ ให้ตายใจนอนใจ อุ่นใจได้ ผิดกับเราเรียนมาโดยลำพัง และปฏิบัติโดยลำพังเป็นไหนๆ

    ยกตัวอย่างไม่ต้องเอาที่อื่นไกลที่ไหนเลย ผมเองนี่แหละเรียน จะว่าอวดหรือไม่อวดก็ตามก็เรียนถึงมหา แต่เวลาจะหาหลักหาเกณฑ์มายึดเป็นเครื่องดำเนินด้วยความอุ่นแน่ใจตายใจสำหรับตัวเอง ไม่มีจะว่ายังไงนั่น มันเป็นอย่างนั้น จิตเสาะแสวงหาแต่ครูอาจารย์อยู่ตลอดเวลาเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น..."

    พระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
    ( จากหนังสือ"หยดน้ำบนใบบัว")
    --------------------------------------------------------------------------------
    "...ที่ผมได้ความรู้ความฉลาด จนได้มาแบ่งปันพวกท่านทั้งหลายนั้น ก็เพราะผมได้ ไปกราบครูบาอาจารย์มั่น...ไปพบท่าน แล้วก็เห็นสภาพวัดวาอารามของท่าน ถึงจะไม่สวยงาม แต่ก็ สะอาดมาก พระเณรตั้งห้าสิบหกสิบ เงียบ! ขนาดจะถากแก่นขนุน (แก่นขนุนใช้ต้มเคี่ยว สำหรับย้อมและซักจีวร) ก็ยังแบกเอาไปฟันอยู่โน้น.. ไกล ๆ โน้น เพราะกลัวว่าจะ ก่อกวนความสงบของหมู่เพื่อน... พอตักน้ำทำกิจอะไรเสร็จ ก็เข้าทางจงกรม ของใครของมัน ไม่ได้ยินเสียง อะไร นอกจากเสียงเท้าที่เดินเท่านั้นแหละ
    บางวันประมาณหนึ่งทุ่ม เราก็เข้าไปกราบท่านเพื่อฟังธรรม ได้เวลาพอ สมควรประมาณสี่ทุ่มหรือห้าทุ่มก้กลับกุฏิ เอาธรรมะ ที่ได้ฟังไปวิจัย... ไปพิจารณา

    เมื่อได้ฟังเทศน์ท่าน มันอิ่ม เดินจงกรมทำสมาธินี่... มันไม่เหน็ดไม่เหนื่อย มันมีกำลังมาก ออกจากที่ประชุมกันแล้วก็เงียบ! บางครั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน เพื่อนเขาเดิน จงกรมอยู่ตลอดคืนตลอดวัน จนได้ย่องไปดูว่าใครท่านผู้นั้นเป็นใคร ทำไมถึงเดิน ไม่หยุดไม่พัก นั่น... เพราะจิตใจมันมีกำลัง..."

    พระโพธิญาณเถร ( หลวงปู่ชา สุภัทโธ ) วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี
    จากอัตตโนประวัติหลวงปู่ชา "ใต้ร่มโพธิญาณ"
    --------------------------------------------------------------------------------
    ๑. ต่างคนต่างไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เป็น
    ๒. ฝ่ายหนึ่งรู้ ฝ่ายหนึ่งเห็น ฝ่ายหนึ่งเป็น อีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ ไม่เห็น และไม่เป็น
    ๓. เมื่อต่างฝ่ายต่างรู้ ต่างเห็น ต่างเป็น ไม่มีการขัดแย้ง เช่น พระอรหันต์ไม่เคยทะเลาะกัน
    --------------------------------------------------------------------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...