หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    สภาวะธรรม ณ วัดโคกปราสาท


    วัดโคกปราสาท บ้านโนนแดง ต.หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา ที่หลวงพ่อฉลวย อาพาธโร จำพรรษาอยู่นั้น เป็นวัดเล็กๆ ศาลาปฏิบัติธรรมหลังน้อยถูกสร้างขึ้นอยู่กลางตัวปราสาทหิน ซึ่งตัวปราสาทหินนั้นได้สร้างมาพร้อมกันกับปราสาทหินพิมาย ห่างกันประมาณไม่กี่สิบกิโลเมตร บรรยากาศโดยรอบมีต้นไม้ใหญ่และมีคลองน้ำรอบ ผมไปกลางคืนจึงมองไม่เห็นบริเวณทั้งหมด และไม่ได้นำกล้องถ่ายรูปติดตัวไปด้วย ภูมิแห่งนี้พระสงฆ์องค์อื่นๆอยู่ไม่ได้ ตอนที่ผมนั่งภาวนาสมาธิก็รู้สึกมีกำลังมาก และแปลกมากตรงที่ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมง การภาวนาของผมกลับดึงให้ผมวิปัสสนาอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยวิปัสสนาได้เลย มีแต่ดึงเข้าสมถะหรือฌานอย่างเดียว แต่เมื่อคืนพอผมเริ่มเข้าสู่สมาธิ ความเจ็บปวดของร่างกายมันมาเร็วมาก จึงดึงให้ผมไม่มีเวลาในการเข้าฌานได้ แต่ดึงให้ไปพิจารณาที่อาการที่เกิดขึ้นกับร่างกายทันที มีสติระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา พร้อมกันกับพิจารณาทุกสิ่งที่เข้ามากระทบกับอายตนะ ทั้งเสียงที่เข้ามาทางหูซึ่งได้ยินพร้อมๆกันทุกเสียง อากาศร้อนอบอ้าวก็รู้ ความเจ็บปวดเคลื่อนไปตามร่างกายตำแหน่งไหนก็รู้ อาการเคลื่อนไหวของร่างกายส่วนไหนก็รู้ ลมหายใจก็ยังรู้อยู่ จะช้าจะเร็วก็รู้อยู่ จิตจะคิดอะไรสติก็ตามรู้อยู่ สติไม่เข้าไปขัดขวางจิตและกาย ไม่เข้าไปข่มหรือทำอะไรกับมันทั้งสิ้น และก็ยิ่งแปลกมากตรงที่ความเจ็บปวดและความร้อนอบอ้าวมันเข้ามาอยู่ตลอดเวลาได้อย่างไร ทั้งที่ผมนั่งภาวนามานานไม่เคยมีอาการเช่นนี้ และก็ยิ่งแปลกตรงที่เรามีสติตามรู้มันอยู่ได้เกือบสองชั่วโมง ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไม่อยากเข้าฌานอะไรทั้งสิ้น และก็ไม่รู้ว่ากำลังมันมากจากไหน


    เมื่อพิจารณานานเข้าก็มีจิตผุดขึ้นมาว่า อ๋อการนั่งภาวนาสมาธินี้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราค้นหาความทุกข์ในกายของเรานี่ มิใช่ส่งจิตออกไปนอกกายแต่อย่างใด เมื่อมันเกิดความทุกข์ตรงส่วนไหนของร่างกาย ผมก็โน้มจิตเข้าไปดูกายสังขารลึกๆตรงนั้นว่า มันเป็นอย่างไร ดูความทุกข์ของมันให้ถึงที่สุด ปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันให้ถึงที่สุด ไม่เข้าไปขัดขวาง ส่งเสริม หรือปรุงแต่ง ปล่อยให้มันเป็นไปเอง ดูอย่างเดียว เมื่อพิจารณาก็เห็นตามความเป็นจริง (มิใช่จดจำจากตำรา) ทั้งความไม่เที่ยง ทุกขเวทนา และอนัตตา ทุกอย่างมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ช้าบ้าง เร็วบ้าง เป็นอยู่อย่างนั้น ในที่สุดจิตมันก็รวมลงไป พร้อมกับการระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ให้ค้นหาความทุกข์ภายในกายของตน อย่าส่งจิตออกไปนอกกายเลย และจิตก็ผุดรู้ว่า เรามานั่งภาวนาพระพุทธเจ้าท่านให้มานั่งค้นหาความทุกข์ มิใช่มาค้นหาความสงบสุขจากร่างกายแต่อย่างใด พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ท่านก็สอนเช่นนี้ สัจจธรรมมันจึงเป็นเช่นนี้ พลันน้ำตามันก็หลั่งไหลออกมา พร้อมๆกับหลวงพ่อท่านให้ถอนออกจากสมาธิพอดี


    ท่านทั้งหลาย ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา ผมคิดว่า ผมน่าจะค้นพบจริตของตนเข้าแล้ว เพราะหลังจากออกจากสมาธิแล้ว หลวงพ่อ(ได้ตามดูจิตของทุกคนในขณะภาวนา)ได้เอ่ยกับผมและทุกคนว่า ผมมีสติระลึกรู้ตลอดเวลา(ครั้งแรกของชีวิต) ดีแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ความสว่างไสวเกิดขึ้นแล้ว เร่งเอาเด้อ พร้อมกับได้ทำนายและบอกอะไรอีกหลายเรื่อง.......ทุกคนจึงอนุโมทนา


    ประสบการณ์นี้ เป็นประสบการณ์ของคนที่เรียนอยู่ชั้นอนุบาลอย่างผม หรือว่ามันกำลังจะก้าวเข้าสู่ชั้นประถมได้แล้วกระมัง ความเพียรไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งเราก็คงได้ค้นพบตัวตนของเราได้ แม้หนทางมันจะยังยาวไกลอยู่ แต่กำลังใจและอนาคตญาณที่ได้จากหลวงพ่อนั้น ทำให้เรามองเห็นแสงสว่างแห่งความพ้นทุกข์ได้ คงอีกไม่นาน หากเป็นจริงเช่นนั้น

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    26 พฤศจิกายน 2554
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2011
  2. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ขอแสดงความยินดีและโมทนาสาธุในการเพียรหมุนไปแห่งธรรมด้วยครับ :cool:
     
  3. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    "โยมอธิษฐานจิตประกาศก้องออกไปในใจเลย...เราก็เป็นหนึ่งในศิษย์พระตถาคต...เอาให้จบสิ้นในภพนี้เลย...ดำเนินตามท่าน อย่ากลับมาเลย...มันล้...แล้ว...ภายใต้ร่มผ้ากาสาวพัตสร์ไม่เกิน...รับรอง"

    หลวงพ่อฉลวย อาพาธโร
    วันพระแรม 15 ค่ำ เดือน 12 (25 พฤศจิกายน 2554)
    เวลา 22.00 น. ณ วัดโคกปราสาท ต.หลุ่งตะเคียน อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา
     
  4. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    เทวดาประพรมน้ำมนต์ที่พระพุทธบาทสี่รอย

    วันที่ 17 พศจิกายน 2554 เวลาประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ คณะพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช และเหล่านักรบธรรม ไปไปกราบสักการะพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และมีปรากฏการณ์ดังที่ท่านสมบัติได้เล่าไว้แล้วดังนี้...............

    จากคำแนะนำของพ่อแม่ครูอาจารย์ สั่งให้พวกเราได้ช่วยกันทำความสะอาดบริเวณโดยรอบๆด้วยความเคารพก่อน

    [​IMG]

    [​IMG]

    กราบ กราบ กราบ

    - พ่อแม่ครูอาจารย์เห็นคนนั่งสมาธิอยู่ก็เกรงจะไปรบกวนเขา
    - แต่พวกเราจำต้องสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย ขอขมา นั่งสมาธิแผ่เมตตาแต่เพียงเบาๆแม้ไม่นานนัก
    แต่กลับทรงไว้ซึ่งคุณค่าอย่างยอดเยี่ยม จนพวกเราทุกคนต่างปีติ บังเกิดธรรมสังเวช ร้องไห้น้ำตาไหล..
    - สำหรับผมแล้ว ชั่งมากมายเป็นที่สุดจะกลั้นไว้ได้

    [​IMG]
    พวกเราจึงขอนอบน้อมก้มลงกราบลงแทบเท้าองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ทรงซึ่งกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ตามลำดับ

    จากนั้น...คุณแม่ชมจึงได้ขออนุญาตพ่อแม่ครูอาจารย์ในการสงเคราะห์ทองคำเปลว ดอกดาวเรือง(สัญลักษณ์ความรุ่งเรือง)
    และน้ำทิพย์บนอุ้งฝ่าพระพระพุทธบาท
    ขออนุญาตท่านนำไปนอบน้อมบูชาเป็นพุทธานุสติ เป็นศิริมงคล เป็นกำลังใจในการปฏิบัติบูชาต่อไป



    [​IMG]

    ญาติธรรมที่เข้ามารับการสรงน้ำทิพย์ โดยบังเอิญ
    ......................................................

    หลังจากที่พวกเราเสร็จสิ้นการสักการะรอยพระพุทธบาทดังข้างต้นแล้ว ขณะที่เดินลงมา พ่อแม่ครูอาจารย์เอ่ยขึ้นว่า ได้รับน้ำมนต์กันหรือยัง ผมงงเล็กน้อย สักพักก็มีเม็ดน้ำร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าถูกตัวเรา พอให้รู้ว่า เป็นน้ำมนต์ที่ประพรมลงมาจากเบื้องบน ทุกคนก็ได้รับเช่นกัน ทั้งที่ท้องฟ้าในวันนั้นยังมีแดดจ้าอยู่ ผมมารับทราบจากเพื่อนที่เป็นอาจารย์อยู่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ ในตอนเย็น เธอก็เล่าให้ฟังว่า เธอพึ่งไปกราบสักการะพระพุทธบาทสี่รอยมาก็ปรากฏเบื้องบนประพรมน้ำมนต์ให้เธอเช่นกัน ช่างมหัศจรรย์จริงๆหนอ ผมเองหรือแม้แต่คุณสมบัติ ก็เคยอธิษฐานจิตว่าอยากไปกราบพระพุทธบาทสี่ร้อยพร้อมกันแต่กำหนดไว้ว่าจะเป็นปีหน้า แต่พวกเราก็ได้เดินทางมาสักการะก่อนกำหนด ซึ่งเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของพุทธศาสนิกชนที่ควรมาสักการะสักครั้ง<!-- google_ad_section_end --> เป้าหมายต่อไปคือ สังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียเป็นกำหนดการต่อไปของเหล่านักรบธรรมที่จะไปให้ถึงสักครั้งหนึ่งในชีวิต โปรดรอติดตามนะครับ

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    27 พฤศจิกายน 2554
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2011
  5. Phoobes

    Phoobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,181
    อนุโมทนากับการปฏิบัติของดร.นนท์ ในแนวทางใช้ของจริงสู้กับความจริง จึงได้เห็นจริง

    ความจริงมันเกิดกับเราทุกขณะ ไม่เฉพาะแต่เวลานั่งภาวนาเท่านั้น และกิเลสที่จะแทรกเข้ามาก็เหมือนดั่งข้าศึกที่คอยซุ่มโจมตีทุกครั้งที่เผลอ ฉะนั้นเราจึงต้องระแวดระวังทุกอริยาบท ตามดูตามรู้จิตทุกขณะที่เราสามารถระลึกรู้ได้ ทุกครั้งที่เราเผลอมักถูกโจมตีจนย่อยยับมานับครั้งไม่ถ้วน สติจึงเป็นสิ่งที่จะคุ้มครองจิตไม่ให้ถูกโจมตีจนเพลี่ยงพล้ำ และมีปัญญาเป็นอาวุธที่จะฟาดฟันประหัตประหารข้าศึกอันได้แก่กิเลสในระหว่างสัปยุทธ์กัน ด้วยการเห็นตามความเป็นจริง เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อันเป็นการเห็นด้วยปัญญา ในสภาวะการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับเราขณะนั้น
    ในแนวทางที่พ่อแม่ครูอาจารย์(พ.สุรเตโช)ท่านได้ชี้แนะสั่งสอนให้เห็นถึงความจริง เมื่อเราหมั่นน้อมนำมาปฏิบัติ ก็จะยิ่งมองเห็นสภาวะที่ละเอียดขึ้น ชัดเจนยิ่งขึ้น (ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง)

    "ทุกสิ่งมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันต่างทำหน้าที่ของมัน ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน จะไปบังคับให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้(อนัตตา) " คำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์(พ.สุรเตโช)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2011
  6. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    ได้อ่าน PM แล้วครับ ทุกอย่าง เริ่มที่หัวใจครับ
     
  7. ซึ้งบน

    ซึ้งบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +377

    ขอแสดงความยินดีใน บุญ-บารมี ของท่านดร.นนต์ และขออนุโมทนาบุญทุกประการ ในเส้นทางธรรมในอนาคต ครับผม
     
  8. ซึ้งบน

    ซึ้งบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +377
    เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 54 ผมได้เดินทางไปทำธุระที่กรุงเทพ ได้เกิดอุบัติเหตุถูกรถกะบะขับมาชนท้ายรถยนต์ คันที่นั่งไปบนถนนสาย moterway ใกล้กับเทคโนโลยีเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง เวลาประมาณ 11.30 น. ขณะที่รถติดกันเป็นแถวยาว ก็ได้ยินเสียงดังโครมที่ด้านหลังรถที่ผมนั่ง งานเข้าแล้ว ผมบอกตัวเองอย่างนั้น รถชนกันที่บนถนนที่มีรถวิ่งเป็นร้อยๆคัน ด้วยความเร็ว 120-140 กม./ชม. ไม่สนุกเลยนะครับ

    อย่างแรกที่ต้องทำคือ ระงับอารมฌ์โกรธ อารมฌ์หงุดหงิดของตัวเองก่อน ตั้งสติให้ดีแล้วค่อยลงไปคุยกับคู่กรณี โชคดีที่ต่างฝ่ายต่างมีประกัน แต่กว่าจะติดต่อประกันได้ และกว่าพนักงานเครมความเสียหายของบริษัทประกันคู่กรณี จะมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ ก็ประมาณบ่าย 2 โมง ระยะเวลา 2.30 ชม. ที่รอคอยนี่แหละครับ มีโอกาสได้ใช้ปัญญาเต็มที่เลยครับ ต้องพิจารณาธรรมในสภาวะตามความเป็นจริง ท่ามกลางแสงแดด ท่ามกลางฝุ่นละออง ท่ามกลางเสียง (ดังจนหูอื้อ) ของรถยนตร์ที่วิ่งไป-มา(ต้องตะโกนคุยกับคู่กรณี)

    ร้อนก็ร้อนจริง(ร้อนจริงๆ) แสงแดดทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่เลยครับ ในเวลาประมาณเที่ยง-บ่าย ตัวถูกรู้ (ร่างกาย) แทบไหม้เหมือนกันครับ 555 แต่อย่างว่าแหละครับ ในเมื่อตัวเราไม่ใช่ของเรา จะไปทุกข์ทำไมพยายามทำใจของเรา ให้เย็น ให้สบาย จะได้ไม่เครียดครับ

    อารมฌ์โกรธ,หงุดหงิด,กังวล ฯลฯ ที่คิดว่าวางได้ก็คอยจะผุดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ก็เลยต้องพิจารณาอีกว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้หรอก ไม่ว่าตัวเขาตัวเรา อันนี้มันเป็นประสบการณ์สอนเรา หากเราไปมีอารมฌ์กับตัวเขา ตัวเราจิตเรานั่นแหละ จะมีอาการเหมือนเผาตัวเอง เพราะเกิดความไม่พอใจขึ้นในจิตของเราก่อน จิตปรุงเองมันจะเป็นทุกข์ร้อนรุ่ม ไปยึดไปแบกเขาเอง เรื่องของจิตไม่มีใครจะทำทุกข์ให้ใครได้ นอกจากตัวเองเท่านั้น ก็เลยถามเอง-ตอบเอง เราปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร ก็เพื่อฝึกจิตให้รู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริงแห่งปัจจุบัน มิใช่เพื่อความมีใดๆทั้งสิ้น เพราะถ้าเรามีตัวเราของเราเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทุกข์จะเกิดขึ้นทันที พอคิดได้ดังนี้ จิตก็ค่อยสบาย ค่อยเบา ขึ้นมาครับ

    บททดสอบตนเองจากประสบการณ์จริงๆ ของแต่ละบุคคล ก็เปรียบเสมือนข้อสอบที่แต่ละบุคคลจักต้องสอบและประเมินผล ด้วยตนเองว่าเราจักสอบผ่านหรือไม่อย่างไรครับ

    คิดถึงคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่ท่านพูดอยู่เสมอว่า " ธรรมะจักต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริง สภาวะจริง จึงจะรู้จริง "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2011
  9. Phoobes

    Phoobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,181
    กร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการปฏิบัติ นำมาฝากผู้ปฏิบัติในแนวทางวิปัสสนา(ดูกายดูใจ)เป็นเทคนิคเล็กๆแต่สำคัญมาก(สำหรับผม)

    ครั้งที่ผมสัญจรไปเชียงใหม่ช่วงที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปกราบพระอริยะองค์หนึ่งที่เชียงดาว ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่สิม เป็นศิษย์ผู้พี่ผม รุ่นอาวุโสที่คอยให้ความช่วยเหลือแนะนำช่วงผมเป็นพระนวกะ
    ท่านได้ให้แนวทางเรื่องฐานที่ตั้งของใจ สำหรับการปฏิบัติ เพื่อไม่ให้จิตไหลตามอารมณ์ไป จากการที่เราระลึกรู้สภาวะที่เกิดขึ้นกับใจ ซึ่งเรามักเผลอไหลไปตามสภาวะนั้น ผู้ที่ยังไม่ชำนาญใจมักไม่ตั้งมั่น ควรที่จะมาระลึกรู้กายก่อน ให้กายเป็นฐานที่มั่นเพราะกายเป็นรูปธรรม ระลึกรู้ได้ง่าย การระลึกรู้กายแม้จะเป็นสมถะ แต่ก็เป็นเบื้องต้นที่จะเป็นอุบายให้สติเกิดขึ้นได้บ่อยๆ(สติเป็นอนัตตา บังคับให้เกิดขึ้นไม่ได้) เมื่อสติเกิดขึ้นได้บ่อย ใจมีความตั้งมั่นชำนาญแล้ว การระลึกรู้ใจก็จะไม่เผลอไหลไปตามสภาวะที่เกิดขึ้นกับใจในขณะนั้น
    เป็นเทคนิคเล็กๆน้อยๆนำมาเป็นของฝากจากเชียงใหม่ครับ

    ผมได้รับฟังแนวทางการปฏิบัติจากท่านถึง2ชั่วโมง ตั้งแต่สภาวะของเราที่ยังไม่ชัดเจนหรือติดอยู่ จนไปถึงสภาวะของใจอันบริสุทธิ์อันเป็นเนื้อแท้ของใจที่ไม่มีอะไรเข้ามาเจือปนได้อีก แต่ยังคงอยู่ร่วมกันกับสภาวะของโลก เหมือนน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2011
  10. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    ธรรมสัญจรตอนจบ
    "พระธาตุดอยสุเทพ ศูนย์กลางพลังลึกลับ"

    เย็นของวันที่ 17 พฤศจิกายน 2554 ขณะที่คณะของพวกเราเดินทางผ่านมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (ที่ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ซึ่งตั้งอยู่ในเส้นทางที่มุ่งสู่พระธาตุดอยสุเทพ ผมก็ระลึกนึกถึงเพื่อนซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เธอกำลังเริ่มปฏิบัติธรรมเช่นเดียวกัน เมื่อได้ทักทายกันทางโทรศัพท์พอสมควร ผมก็ได้สอบถามถึงสถานที่พักซึ่งเป็นอุทยานหรือสถานที่เหมาะสมที่คณะของพวกเราจะไปพักได้ เธอจึงบอกให้ไปพักที่อุทยานที่อยู่ใกล้กับพระธาตุดอยสุเทพ ห่างกันประมาณเกือบ 1 กิโลเมตร หลังจากพวกเราได้กราบสักการะพระธาตุดอยสุเทพ ดังที่ท่านสมบัติได้นำเสนอแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าสู่อุทยาน(ผมจำชื่อไม่ได้เพราะมันมืดมองไม่เห็นชื่อป้าย) เวลาประมาณเกือบสองทุ่ม เมื่อเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่ามีบ้านพักว่างอยู่ 1 หลัง เป็นหลังใหญ่ มีที่นอนอยู่สองห้อง ห้องหนึ่งแยกอยู่อีกฟากมีที่นอนสำหรับท่านเดียวหรือสองท่าน อีกห้องหนึ่งเป็นห้องใหญ่มีที่นอนอยู่แปดที่แบ่งเป็นสองฟาก ฟากหนึ่งมีเตียงสามเตียง อีกฟากหนึ่งมีเตียงห้าเตียง ซึ่งดูบังเอิญเหลือเกินคือ มีจำนวนเท่ากับคนพักพอดี เตียงสามเตียงสำหรับผู้หญิงสามคน เตียงห้าเตียงสำหรับผู้ชายห้าคน ห้องหนึ่งห้องสำหรับพ่อแม่ครูอาจารย์ และบ้านพักหลังนี้ก็ใหญ่สุดและตั้งอยู่ใกล้กับต้นไม้ใหญ่จำนวนหลายต้น ดูแล้วช่างวิเวกวังเวงดี นอกจากนั้นยังสามารถมองไปเห็นพระธาตุดอยสุเทพเหลืองอร่ามสว่างจ้าอยู่ใกล้ๆ


    วันนี้พ่อแม่ครูอาจารย์อนุญาตให้พวกเราเข้าพักในบ้านที่สะดวกสบายได้ หลังจากท่านให้พวกเราลองพักในสถานที่ทุรกันดารมาแล้ว เพราะแม้แต่การพักที่รีสอร์ทที่แม่ฮ่องสอน พวกเราก็ขอกางเต๊นท์นอนใต้ถุนบ้าน และวันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายแล้วท่านจึงได้อนุญาต และคงมีเหตุผลอื่นๆ เสมือนถูกกำหนดสถานที่พักเอาไว้แล้ว วันนี้ท่านงดแสดงธรรมเพราะเห็นว่าทุกคนเหนื่อยล้าจากการเดินทาง พวกเราเข้าที่นอนประมาณห้าทุ่ม บางคนก็นั่งภาวนาต่อ ผมเองได้นั่งภาวนาจนถึงเกือบเที่ยงคืนจึงล้มตัวลงนอน มารู้สึกตัวอีกทีราวๆตีสาม เพราะผมได้ยินเสียงพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านลุกไปเข้าห้องน้ำ และท่านได้ออกไปนั่งภาวนาตรงระเบียงข้างนอกใต้ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ผมเองคืนนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ร่างกายและจิตใจกระปรี้กระเปร่ามีกำลังเกิดขึ้นมาเฉยๆ ไม่รู้สึกว่าง่วงนอน รู้อย่างเดียวว่าจะต้องนั่งภาวนาสมาธิ ผมจึงต้องลุกขึ้นมาภาวนาทันที ผมเองได้โน้มจิตระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์ และที่ขาดไม่ได้คือ ขอโน้มจิตไปกราบสักการะพระพุทธบาทสี่รอยและพระธาตุดอยสุเทพ และขอพละกำลังบางอย่างตามวิถีจิตของผม ปรากฏว่าในค่ำคืนนี้ผมมีความสุขกับการภาวนาเป็นอย่างมาก เกิดความปีติอิ่มเอิบใจ บางครั้งก็เข้าสู่สมถะกรรมฐาน บางครั้งก็พิจารณาและวิปัสสนา บางครั้งก็ดึงและถ่ายเทพลังงานจากพระธาตุดอยสุเทพและพระพุทธบาทสี่รอยมาปรับธาตุขันธ์ในตัวเอง จวบจนเวลาประมาณตีห้า ผมจึงได้โน้มจิตอธิษฐานต่อพระธาตุดอยสุเทพและพระพุทธบาทสี่รอย เพื่อเสี่ยงทายในบุญบารมีและข้อสงสัยบางประการ เกี่ยวกับเส้นทางในการปฏิบัติธรรมของเราในภพนี้ว่า จะบำเพ็ญเพื่อการสิ้นสุดหรือจะเดินต่อไปข้างหน้า ปรากฏมีจิตผุดรู้ขึ้นมาทันทีว่า "ทศบารมี" ผมโน้มจิตพิจารณาต่อไปว่า การจะสิ้นสุดภพชาติในยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดๆ ข้าพระพุทธเจ้าก็มีความปีติยินดีเสมอเหมือนกัน เพราะสภาวะวิมุตินั้น มันก็เป็นอันเดียวกัน จะอยู่ในยุคของพระองค์ใดก็เหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็โน้มจิตเสี่ยงทายทศบารมีของข้าพระพุทธเจ้าเป็นเช่นไร...มีบางอย่างสื่อกลับมา ผมมิอาจเปิดเผยสู่สาธารณะหรือผู้ใดได้ เพราะมันยังเป็นสิ่งที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากผู้พ้นแล้ว หรือมันอาจเป็นอุปาทานก็ได้ ดังนั้น ผมจึงขอเก็บไว้ในใจต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ผมรู้อย่างเดียวว่า ความปีติของผมในค่ำคืนนี้ มันมาเป็นระลอกๆ ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมได้ออกจากสมาธิในราวเกือบหกโมงเช้า เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ให้สัญญาณอยู่ข้างนอก และถือเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่ได้นั่งภาวนาสมาธิยาวนานเกือบสามชั่วโมงเต็ม ทั้งที่ได้นอนแค่สามชั่วโมง และเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตลอดอาทิตย์ แต่กลับกลายเป็นว่า ร่างกายได้รับโอสถทิพย์จากการนั่งภาวนาในครั้งนี้มากมายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


    หลังจากนั้น ทุกคนออกมาฟังธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ระเบียงข้างนอก ท่านเอ่ยขึ้นมาว่า ภูมิที่นี่ดีมาก พวกบำเพ็ญตะบะเช่น พวกฤาษีชีไพร นักพรต นักบวช ชอบมาขอพลังจากพระธาตุดอยสุเทพมาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว ผมจึงมาถึงบางอ้อว่า อ๋อพลังหรือกำลังที่เราได้รับเมื่อคืนนี้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านเอ่ยต่อไปว่า อาตมาออกมานั่งตั้งแต่ตีสาม ได้รับความสงบ มีเสียงไก่ป่าและสัตว์ต่างๆเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งที่ออกธุดงค์ไปตามถ้ำตามป่า ภูมิเจ้าที่ เทวดาก็ดีมาก มีพวกโลกทิพย์เข้ามาหามาก ประมาณตีห้า (ช่วงเวลาเดียวกันกับผมอธิษฐานจิต) พญานาคเจ็ดเศียรตัวใหญ่สีทองอร่ามเลื้อยมาหาตั้งแต่ตีนเขาตามช่องทางขึ้นมาพร้อมบริวาร องค์สักกะเทวราชก็มา และมีวิมานสีขาวสว่างไสวลอยอยู่เหนือพระธาตุดอยสุเทพอยู่นาน เป็นวิมานของพระศรีอาริยเมตไตย โยมสงสัยไหมว่าทำไมพวกเราถึงได้มาพักกันที่นี่ หลังจากพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านพูดจบลง พวกเราหันไปมองหน้ากันด้วยความปีติ ไม่มีความสงสัยใดอีกแล้ว


    ต่อมาท่านได้แสดงธรรมโปรดพวกเราแบบทางการเป็นครั้งสุดท้าย รวมทั้งเรื่องทศบารมีที่ผมเล่าให้ท่านฟังด้วย และสิ่งหนึ่งที่ออกมาจากหัวจิตหัวใจของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่มีต่อบรรดาลูกศิษย์ที่ติดตามท่านไปในครั้งนี้ก็คือ "ขออนุโมทนากับโยมทุกคนเด้อ" ในความหมายของท่านก็คือ ทุกคนได้รับพัฒนาการทั้งสภาวะทางจิตใจและภูมิธรรมสูงขึ้นจากคราวที่แล้ว จึงสร้างความปีติบังเกิดขึ้นกับทุกคนแบบอัตโนมัติ น้ำตาหลั่งไหลออกมาทุกคนโดยไม่ได้นัดหมาย ทุกคนคลานไปกราบแทบเท้าของท่าน ท่านเมตตาเอื้อมมือมาแตะหลังทุกคน ท่านคงรู้จิตของทุกคนว่าคงไม่อยากจากกันในวันนี้ ท่านจึงได้เอ่ยกับผมว่า ไปลงพิษณุโลกเด้อโยมด็อกเตอร์ (ซึ่งตอนแรกผมกับ คุณสมบัติ และคุณเก๋ ต้องแยกกับท่านที่เชียงใหม่) ผมตอบท่านทันทีโดยไม่ลังเลว่า "ข้าน้อย(ขอรับ)"


    ท่านทั้งหลาย เหตุการต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดเส้นทางที่ร่วมเดินทางธรรมสัญจรกับพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช และเหล่านักรบธรรมในครั้งนี้ มันมีมากมายเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรให้ทุกคนได้ซาบซึ้งได้ บางอย่างมันก็ควรอยู่ในหัวจิตหัวใจของแต่ละคน บางอย่างมันล้นออกมา ก็จำเป็นจักต้องสื่อออกมาบอกเล่าสู่กันฟัง เมื่อท่านได้ติดตามอ่านจบลงแล้ว หากมีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ก็ขอให้อนุโมทนา แต่หากสิ่งใดเกินความจำเป็นที่ท่านจะพึงได้รับหรือเกินเลยไปบ้าง ก็โปรดวางเฉยต่อสิ่งนั้นเถิด จงคิดว่าเป็นวิทยาทานที่ผู้เล่าพยายามสื่อออกมาจากสติปัญญาที่มีอยู่ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์


    และสุดท้าย ผมและเหล่านักรบธรรมขอน้อมอัญเชิญคุณของพระรัตนตรัยและความดีทั้งหลาย ได้โน้มนำผู้ที่เข้ามาอ่านเจอข้อความทั้งหลายเหล่านี้ จงมีแต่ความสุขความเจริญ มีความสว่างไสวทั้งทางโลกและทางธรรมจนกว่าจะเข้าพระนิพพานกันทุกท่านเทอญ


    ผมจึงขอจบบทความ "ธรรมสัญจรครั้งที่สอง" แต่เพียงเท่านี้
    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    27 พฤศจิกายน 2554

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN4960.jpg
      DSCN4960.jpg
      ขนาดไฟล์:
      329.9 KB
      เปิดดู:
      1,744
    • DSCN4974.jpg
      DSCN4974.jpg
      ขนาดไฟล์:
      322.5 KB
      เปิดดู:
      3,524
    • DSCN4979.jpg
      DSCN4979.jpg
      ขนาดไฟล์:
      352 KB
      เปิดดู:
      3,515
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2012
  11. Jokky

    Jokky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +154
     
  12. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    ขอโมทนาสาธุและยินดีกับท่าน ดร.นนต์ด้วยครับ ผมเองก็หวังว่าจะหาโอกาสไปกราบนมัสการและฟังธรรมจากท่านหลวงพ่อฉลวย อาพาธโร สักครั้ง เพื่อเป็นศิริมงคลกับผมและครอบครัวสืบต่อไป.
     
  13. Phoobes

    Phoobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,181
    คิดถึงท่านพิเชฐเช่นกันครับ หลังจากที่หายไปหลายวันเห็นว่าคอมฯเสียเลยไม่ค่อยได้ทราบความเป็นไป แต่ก็คงมีแต่สิ่งที่น่าปลื้มปิตินะครับ ขออนุโมทนากับหลายๆเรื่องนั้นด้วยครับ(แบบรวบยอด)สาธุ.
     
  14. Phoobes

    Phoobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,181
     
  15. Phoobes

    Phoobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,181
    ประสบการณ์ท่านสันติ ทำให้ได้เห็นว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม คือได้คุ้มครองทั้งกายและจิตของผู้ประพฤติปฏิบัติ
    อนุโมทนาครับ
     
  16. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
     
  17. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    เรียนทุกท่าน ผมได้สรุปบทความ "ธรรมสัญจรครั้งที่สอง (ภาคเหนือ) กับพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช" ไว้ในบล็อกของผมคือ "พ.สุรเตโช พระผู้มาโปรดโลก" อย่างละเอียดและครบถ้วน หากท่านใดต้องการเข้าไปทบทวนหรืออ่านเพิ่มเติม ก็ลองคลิ๊กเข้าไปอ่านได้ตามลิงค์นี้ครับ http://surateacho.blogspot.com/
     
  18. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    เมื่อคืน ผมได้นิมิต(แยกจากความฝัน) ว่า มีภาพเหตุการณ์ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เห็นเป็นภาพแผนที่โลก แถบย่านออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินโดนีเชีย เรื่อยมาถึงประเทศไทย เป็นวาตภัย มีทั้งคลื่นลม สึนามิ แผ่นดินไหว พื้นพสุธาโยกไปมา โดยเฉพาะในประเทศไทย ผมเห็นภาพพายุพัดกระหน่ำในเมือง(ไม่รู้ที่ไหน) แผ่นป้ายขนาดใหญ่ หลังคา สิ่งก่อสร้างและสิ่งของปลิวกระจัดกระจาย ช่างน่ากลัว ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อใด และอีกนานไหม ผมเองเคยมีจิตผุดรู้เกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งใหญ่ของประเทศหลายครั้ง และนิมิตเห็นน้ำท่วมหนักที่มีคนตายจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นภายในไม่เกินสามวันหลังจากนิมิต แต่ในครั้งนี้ หากเป็นไปได้ ผมขออย่าได้บังเกิดขึ้นในที่ใดๆเลย ขอให้เป็นแค่ความฝันนะครับ


    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    28 พฤศจิกายน 2554
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2011
  19. ซึ้งบน

    ซึ้งบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +377
    ขอน้อมนำเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยไปปฏิบัติครับ ด้วยความด้อยทางปัญญา ต้องอ่านถึงรอบที่ 3 จึงจะเข้าใจ ผลที่ได้รับไม่น้อยเลยครับ เป็นพื้นฐานสำคัญกับผู้เริ่มปฏิบัติครับ

    ขออนุโมทนาบุญทุกประการ สำหรับธรรมทานนี้ครับ
     
  20. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    สวัสดีครับ แวะมาทักทายกันก่อน เพราะพึ่งเดินทางมาถึงแม่สะเรียงเมื่อราวๆเที่ยงๆ พอทานข้าวกับเจ้าหน้าที่ทางนี้เสร็จก็รีบเริ่มงานกันเลย

    พอว่างจากงานนิดเดียวก็ถือโอกาสมาทักทายและโมทนาบุญกับหลายๆท่านในที่นี้ ขอให้กำลังใจคุณซึ้งบนนะครับ

    เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 54 พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านก็เทศน์โปรดญาติธรรมทางแม่สอด เรื่องอุบัติเหตุ น่าสนใจที่จักนำมาแบ่งปันแต่คงต้องใช้เวลาเรียบเรียงนิดนึง หรือหากเป็นไปได้ ขอให้ท่าน ดร.นนต์ต่อให้ก็ดีนะครับ เพราะอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ถ้าเกิดแล้วเขาก็เป็นเพียงอดีต ซึ่งดีแล้วที่เราไม่เป็นอะไรมาก ราวๆนี้ครับ

    ทราบว่า...ครูชาติก็ได้รับธรรมขั้นพิเศษทั้งจากของจริงที่ประสพเองและจากการฟังธรรมะของหลวงพ่อทูลหรือระหว่างการเดินทางไปส่งพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ถ้ำวัว:cool: ผมก็รออ่านอยู่นะครับ หุหุ

    ขอบคุณทุกๆท่านที่นำเรื่องราวที่เกี่ยวข้องและเป็นธรรมมาแบ่งปัน...
     

แชร์หน้านี้

Loading...