ภูมิจิตพระอรหันต์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 12 ตุลาคม 2010.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    ภูมิจิตพระอรหันต์
    โดย
    Kat_kine


    สวัสดีค่ะ
    ได้รับหนังสือพระอรหันต์ โดยหลวงตามหาบัว จากศาลาลุงชิน -อ่านแล้วรู้สึกว่าดีมากและน่าสนใจมากสำหรับท่านผู้ปฏิบัติธรรม -จึงขอสรุปไว้ใน blog นี้ค่ะ
    หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ


    [​IMG]

    - จิตของพระอรหันต์เป็นอริยจิต เป็นจิตที่บริสุทธิ์
    จิตของสามัญชน เป็นสามัญจิต, เป็นจิตที่มีกิเลสโสมม

    -เมื่อจิตผู้เป็นเจ้าของเข้าครองอยู่ในร่างใด และจิตเป็นจิตประเภทใด - ร่างนั้นอาจจะกลายไปตามสภาพของจิตที่เป็นเจ้าเรือนพาให้เป็นไป

    - จิตอรหันต์เป็นจิตที่บริสุทธิ์ -อาจจะมีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ ให้เป็นธาตุที่บริสุทธิ์ไปตามส่วนของตน - ฉะนั้น อัฐิของพระอรหันต์จึงกลายเป็นพระธาตุได้

    - แต่อัฐิของสามัญชน แม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน
    ส่วน จิตผู้เป็นเจ้าของเต็มไปด้วยกิเลส ไม่มีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นของบริสุทธิ์ไปตามส่วนของต้นได้ -อัฐิจะกลายเป็นธาตุที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร - ก็ต้องเป็นสามัญธาตุไปตามจิตของคนมีกิเลสอยู่ดี
    - เพราะคุณสมบัติของจิต ของธาตุ ระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนต่างกัน -> อัฐิจำต้องต่างกันอยู่โดยดี
    ___________________________________________________________________________________

    - บรรดาสาวกทั้งหลายที่ได้รับพระโอวาทจากพระองค์ท่านแล้ว นำไปสร้างตนเอง
    บางท่านทำความเพียรกล้าถึงกับฝ่าเท้าแตกก็มี
    บางท่านก็ไม่หลับไม่นอน

    อุบายวิธีทั้งหมดนี้ ก็เป็นการสร้างตนของท่านจนได้สำเร็จรูปขึ้นมาอย่างสมบูรณ์
    คือ เป็นสาวกอรหันต์ที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าแต่ละท่านๆ - เนื่องมาจากการสร้างตนของท่านด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่ท้อถอยต่อหน้าที่ของตน
    ____________________________________________________________________

    - พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ ไม่ทรงแสดงความสูญไว้กับจิตพระอรหันต์และจิตของสัตว์โลก
    - จิตที่จะหมดปัญหาแล้วมันสูญไหม?
    จิตยิ่งเด่น แล้วจะเอาอะไรมาสูญเล่า?
    เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ จะเอาอะไรมาสูญ?
    ขุดคนเรื่องสูญเท่าไร - จิตยิ่งเด่น ยิ่งชัดไม่มีอะไรสงสัย
    เด่นจนพูดไม่ถูก บอกไม่ถูกตามโลกนิยมสมมุติซึ่งหาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้

    - นิพพานํ ปรมํ สุญฺญํ - นิพพานสูญแบบนี้เอง คือสูญแบบนิพพาน มิใช่สูญแบบโลกๆ ที่เข้าใจกัน
    - สูญแบบนิพพาน คือ ไม่มีอะไรบรรดาสมมุติเหลืออยู่ภายในจิต

    - ผู้ที่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายสูญสิ้นแล้วจากใจนั่นเลย- นั่นแหละ คือตัวจริง, นั่นแหละคือผู้บริสุทธิ์- ผู้นี้จะสูญไปไม่ได้ - ยิ่งเด่น ยิ่งชัด ยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง - ผู้นี้ไม่สูญ - ผู้นี้แลเป็นผู้ทรงคุณสมบัติอันยอดเยี่ยม - นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ -ผู้นี้แลเป็นสุขอย่างยิ่ง นอกสมมุติทั้งปวง
    ____________________________________________________________________

    - พระสาวกองค์หนึ่งที่มีอติเรกลาภมาก คือ พระสีวลี -ในอดีตชาติท่านเป็นนักเสียสละ ไปที่ไหนก็มีแต่ให้ทานเป็นพื้นเป็นนิสัย ทานอย่างไม่อัดไม่อั้น ให้ทานตามนิสัยจริงๆ
    จะอดอยากขาดแคลน หรือจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ก็ไม่เคยลดละในการให้ทาน - จึงเป็นเลิสในทางอติเรกลาภมาก ไม่มีองค์ใดเสมอเหมือน ยกพระพุทธเจ้าเสียเท่านั้น

    - บางองค์สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีคนเคารพนับถือ ไม่มีอติเรกลาภก็เยอะ - แต่ท่านดีในทางอื่น - แม้ถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว สิ่งที่ได้ก็คือ -ไม่มีคนถวายจตุปัจจัยไทยทานมากสมกับความเป็นพระอรหันต์ของท่านก็มี- นี่เป็นเพราะอุปนิสัยที่เคยสร้างมาต่างกัน
    ____________________________________________________________________

    [​IMG]

    - พระอรหันต์ท่านมีความเพียรแก่กล้าสามารถขนาดไหน ท่านจึงเอื้อมถึงภูมินั้นได้ - ทั้งนี้ท่านต้องเป็นนักรบจริงๆ เหนือคนธรรมดาอยู่มาก - ต่างองค์ก็มีความเพียร สมเหตุสมผล -ความเพียรมีมาก กิเลสก็ตายไปเรื่อยๆ ตามทางจงกรม
    - เข้าไปเดินจงกรมอยู่ท่านก็ฆ่ากิเลส, นอนอยู่ท่านก็ฆ่ากิเลส เว้นแต่เวลาหลับเท่านั้น
    - แม้เวลาขบฉันอยู่ ท่านก็ฆ่ากิเลสด้วยสติปัญญาซึ่งทำงานอยู่ตลอดเวลา - ในอิริยาบถต่างๆ เป็นอิริยาบถของนักรบเพื่อฆ่ากิเลสอาสวะทั้งนั้น
    - ไม่ได้นั่งสั่งสมกิเลส, ยืนสั่งสมกิเลส, นอนสั่งสมกิเลส, แม้ขณะเดินจงกรมอยู่ ก็สั่งสมกิเลสเหมือนอย่างพวกเรา เพราะความไม่มีสติ มันผิดกันอย่างนี้
    ____________________________________________________________________

    - พระอรหันต์ก็รับทราบ "กายเวทนา"เหมือนกัน แต่เป็นเรื่องธรรมดา
    ท่านทราบทั้ง 3 ระยะ คือระยะที่เกิด ตั้งอยู่และดับไป
    ____________________________________________________________________

    - พระอรหันต์ท่านตายไม่ยาก ทุกท่าอิริยาบถตามแต่ท่านถนัดในอิริยาบถใด

    - ในระหว่างความเป็นอยู่ กับการตายไป ของผู้สิ้นกิเลสแล้ว มีความหนักเบาเสมอกัน

    - เมื่อมีชีวิตอยู่จะได้ทำประโยชน์ให้โลกอย่างนั้นๆ - การเป็นอยู่ก็ดี เพราะจะได้ทำประโยชน์ให้โลกผู้หวังพึ่งธรรม ผู้หวังประโยชน์กับท่านยังมีอยู่มาก
    - ถ้าไม่คิดถึงประโยชน์ทางโลกแล้ว - ไปเสียดี ไม่ต้องมายุ่งกับธาตุกับขันธ์ที่แสนรบกวนตลอดเวลา

    - ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา - ขันธ์ทั้งห้า เป็นภาระอันหนักนี้ ขันธ์นี้ต้องแบกหาม ต้องรับผิดชอบ ทั้งขันธ์ของปุถุชน และขันธ์ของพระอรหันต์
    - ต่างแต่ขันธ์ของพระอรหันต์ท่านไม่มีอุปาทานเท่านั้น
    - ไม่มีอะไรที่หนักยิ่งกว่าขันธ์ของเรารบกวนเรา - ต้นไม้เราก็ไม่ได้ไปแบกไปหามเขา , ภูเขาทั้งลูก เราก็ไม่เคยไปแบกหามเขา สิ่งเหล่านั้นมันจะหนักอะไร
    - แต่ส่วนธาตุขันธ์ คือร่างกายของเรานี้แบกหามอยู่ตลอดเวลา - พาอยู่ พากิน พาหลับ พานอน พาขับถ่าย พาเปลี่ยนอิริยาบถ บำบัดด้วยหยูกยาไม่มีเวลาว่างเว้นเลย - เพราะความบกพร่อง เพราะความรบกวนของธาตุขันธ์

    - แม้สิ้นอุปาทานในขันธ์แล้ว ยังมีความรับผิดชอบในขันธ์ที่ยังครองตัวอยู่
    - เมื่อขันธ์สลายตัวลงไปหมดแล้ว เป็นอนุปาทิเสสนิพพานล้วนๆ- นั่นแลจึงจะเป็นสุขล้วนๆ ไม่มีสมมุติใดๆเข้าเกี่ยวข้องเลย

    - พระขีณาสพท่านไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่โต ถือเป็นเรื่องวุ่นวายในเรื่องการเป็นการตาย
    - ท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็นิพพานที่นั่นได้สบายๆ -ไม่ต้องกลุ้มต้องรุม ต้องวุ่นต้องวายกันเหมือนอย่างปุถุชนจำพวกชนดะเราที่ถือการตายเป็นเรื่อง ใหญ่โตเกินโลก
    ____________________________________________________________________

    - พระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลาย ท่านหลุดพ้นจากกิเลสได้ เพราะความเพียร
    แต่ครั้นพ้นจากกิเลสไปแล้ว ท่านทำความเพียรเพื่ออะไรกันอีก -
    ในธรรมก็มีบอกไว้ว่าเพื่อวิหารธรรมในทิฏฐธรรมขณะครองขันธ์อยู่
    - ทิฏฐธรรม แปลว่า ธรรมที่รู้เห็นอยู่ในวงขันธ์ที่ครองตัวอยู่คือปัจจุบันนี้ เป็นธรรมเครื่องอยู่ระหว่างขันธ์กับจิตในปัจจุบัน

    - ความจริงพระธาตุพระอาการทุกส่วนของพระพุทธเจ้า, ธาตุขันธ์ทุกส่วนทุกอาการของพระอรหันต์ทั้งหลาย - เป็นสมมุติทั้งสิ้น
    - ธาตุขันธ์ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ด้วย, รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ได้เป็นพระอรหันต์, ไม่ได้บริสุทธิ์ด้วยเลย - มันเป็นเครื่องมือของใจ เป็นเครื่องมือทำงานของใจ
    - คนจะดีจะชั่ว เครื่องมือก็ไม่ได้ดีได้ชั่วด้วย - เพราะเป็นเครื่องมือเพียงอย่างเดียว

    - ความคิดปรุง เป็นสิ่งสำคัญอยู่มากที่จะทำให้อาการภายในไม่สะดวก
    เมื่อใช้ความคิดปรุงมาก - ธาตุขันธ์ก็อ่อนเพลีย และอ่อนเพลียภายในอวัยวะส่วนละเอียด
    - จะปฏิบัติยังไงถึงจะระงับความอ่อนเพลียเหล่านี้ให้อยู่ในความพอดีปกติทางส่วนร่างกาย


    - ที่จิตคิดเรื่องนั้น วาดภาพเรื่องนี้ ก็เพื่อการใช้งานนั่นเอง - ยิ่งเป็นการกะ การตวง การคำนวณด้วยแล้ว ยิ่งจะใช้สัญญากับสังขารเกี่ยวข้องกันอย่างมากมาย - ที นี้เวลาใช้นานๆ เข้า มันก็ทำให้อ่อนเพลียได้ - ต่อไปก็ไม่ทำงานให้ ย่อมเหนื่อยภายในธาตุขันธ์ -เฉพาะอวัยวะส่วนละเอียด ก็ปรากฎเหนื่อยอ่อนเพลียขึ้นมา - ก็จำต้องระงับเสียด้วยวิธีสมาธิภาวนา -ดังพระพุทธเจ้าทรงเข้าสมาธิสมาบัติ พระสาวกก็เข้าที่ภาวนา เพราะเป็นเครื่องบังคับกันอยู่ในตัว

    -งาน ของพระขีณาสพท่านไม่ได้มีอะไรเสียดาย ทำไปตามความจำเป็นเกี่ยวกับสมมุติเท่นั้น คิดปรุงด้วยเรื่องราวที่มีความจำเป็น- พอคิดจะปล่อยเท่านั้น ท่านก็ปล่อยของท่านได้อย่างรวดเร็ว - อาหารแห่งขันธ์ทั้งหลายก็สงบตัว - จะสงบนานเท่าไรนั้น แล้วแต่ความพอของธาตุขันธ์

    - การที่จะทรงธาตุขันธ์ให้เป็นไปตามอายุขัยนั้น -ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติระหว่างจิตกับขันธ์ให้เหมาะสมกัน ไม่ให้มากเกินไป ซึ่งเป็นการตัดทอนอายุขัยลงดดยลำดับที่ฝืนความพอดี

    - นี่คือความจริงที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี พระสาวกก็ดี ท่านทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวันปรินิพพาน เพื่อความรับผิดชอบในธาตุขันธ์นี้เท่านั้นเป็นสำคัญ
    ____________________________________________________________________

    - พระอรหันต์ท่านรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเหรอ-
    รู้ในสิ่งที่ควรรู้, ไม่รู้ในสิ่งที่ไม่อาจรู้

    - แล้วท่านจำได้หมดเหรอ ท่านจำอะไรได้หมดเหรอ ท่านหลงลืมไหม -
    ท่านก็มีหลงลืมเหมือนกันกับคนทั่วๆไป

    - สิ่งที่ไม่ลืมมีไหม - มี คืออะไร - คืออริยสัจ ท่านไม่หลงไม่ลืม จะหลงลืมอย่างไง
    อริยสัจกับจิตมันอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
    - จำนั้นจำนี้ จำชื่อจำเสียง จำตำรับตำราคาถาบทนั้นบทนี้ มันลืมไปได้เหมือนกับคนทั่วๆไป
    สญฺญา อนิจฺจา สญฺญา วาสฺส วิมุยฺหติ ก็มี บอกแต่เรื่องหลงลืม เรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทั้งนั้น ขันธ์จะเหนือโลกไปไหน
    ____________________________________________________________________

    - ท่านไม่มีปัญหาอะไรกับสมมุติ คือการตาย - กิริยาแห่งการตายต่างๆ นั้นเป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด
    ความบริสุทธิ์ บริสุทธิ์เต็มภูมิ จึงไม่วิตกวิจารณ์เรื่องการเป็นการตาย
    จะตายแบบไหนท่าไหน จะยืนตาย เดินตาย นั่งตาย นอนตาย ไม่มีปัญหา - เพราะเป็นเรื่องอาการของสมมุติต่างหาก

    - อาการของท่านขณะที่ท่านปลงขันธ์นิพพานในท่าต่างๆ นั้นเหมือนปุยนุ่น อ่อนนิ่มไปเลย - ไม่มีอากัปกิริยาที่เป็นเหมือนโลก ที่ว่าทุรนทุราย หรือระส่ำระส่าย - จะเอาอะไรมาระส่ำระสาย ลงจิตขนาดนั้นแล้ว
    ____________________________________________________________________

    [​IMG]

    - จริตนิสัยของใครของเรา ก็เป็นสมบัติของใครของเรา
    จริตนิสัยไม่เป็นโทษเป็นกรรมอะไร

    - คนก็คาดว่าพระอรหันต์ต้องมีกิริยามารยาทที่สวยงามนิ่มนวลมาก - นี่เป็นความคิด แต่ไม่ได้คำนึงถึงนิสัย
    - นิสัยเป็นของดั้งเดิม ความเป็นอรหันต์เป็นความสิ้นจากกิเลส - กิเลสไม่ได้อยู่ในกิริยาอันนี้ เพราะสิ่งนี้มันยังไม่ดับ ดับได้เฉพาะพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น พร้อมทั้งนิสัยและวาสนา - นอกนั้นดับไม่ได้

    - พระสันตกาย มารยาทเรียบร้อยสวยงาม -เธอเคยเป็นราชสีห์มาตั้ง 500 ชาติ
    - ราชสีห์นั้นเป็นสัตว์ที่มีสติดีมากเหมือนกับเสือ - เวลาจะนอนราชสีห์จะต้องกำหนดอวัยวะทุกสัดทุกส่วนไว้เรียบร้อย - ตื่นขื้นมาแล้ว เมื่อเห็นอวัยวะส่วนใดเคลื่อนจากที่วางไว้เดิมแล้ว ราชสีห์จะไม่ลุกขึ้นหากิน จะนอนใหม่ ตั้งใหม่ -จนกระทั่งตื่นขึ้นมา อวัยวะส่วนใดที่วางไว้ เช่น หู หาง อย่างนี้เป็นปกติแล้ว จึงจะลุกขึ้นหากิน แผดเสียงเอี้ยวกาย บิดกายแล้วออกหากิน
    ____________________________________________________________________

    - พระอรหันต์ท่านไม่มีเวทนาทางใจ
    เวทนามีอยู่เฉพาะภายในขันธ์เท่านั้น -ไม่มีอยู่ภายในจิตของพระอรหันต์

    - ทุกข์เกิดขึ้นภายในกายเฉยๆ เกิดขึ้นภายในกายนี้เท่านั้น - ไม่สามารถจะไปเกิดภายในจิตของพระอรหันต์ได้เลย - เพราะจิตนั้นเป็นวิสุทธิจิต เป็นวิมุตติจิตที่พ้นจากสมมุติแล้ว - ท่านจึงไม่มีเวทนาใดที่จะให้เสวย
    - เวทนาทั้งปวงเป็นสมมุติ - แต่จิตของท่านเป็นวิมุตติจิต จะเข้ากันได้อย่างไร
    - ฉะนั้นจึงไม่มีเวทนาใดที่จะเข้าเหยียบย่ำทำลายจิตใจของท่านได้ - นอกจากสุขในหลักธรรมชาติ
    นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป้นสุขอย่างยิ่ง

    - สุขในนิพพาน ไม่ใช่สุขเวทนา -เป็นสุขของวิมุตติจิต เหนือสมมุตินี้ไปแล้ว
    สุขนั้นจึงไม่มีคำว่า อนิจฺจํ เวทนา อนิจฺจา อย่างนี้ก็ไม่มี

    - ถ้าเป็นเวทนาแล้วต้องมี อนิจฺจํ เป็นคู่กันเสมอไป
    ____________________________________________________________________

    [​IMG]

    - มรรค4 ผล4 นิพพาน1 ใครจะไปแยกได้ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์, ใครจะไปทราบได้ ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ - พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงแยกแล้ว - ผู้ที่จะรู้ตามนี้ได้ก็คือพระอรหันต์เท่านั้น

    - นิพพาน1 ชื่อว่า จริมรรคจิต - คือจิตวิ่งผ่านแย็บเดียวเท่านั้นก็เป็นนิพพาน 1 ขึ้นมา
    - ขณะจิตที่เป็น จริมรรค นั่นท่านเรียกว่าเป็นมรรค4 ผล4 กำลังทำงานต่อกันอยู่ยังไม่ยุติ- พอขณะนั้นสิ้นลงไป ดับลงไปพับ ทางนี้ก็สมบูรณ์เป็นนิพพาน1 ขึ้นมา - หมดกิริยา จึงเรียกว่านิพพาน1
    - เวลาเข้าไปถึงจริงๆแล้ว เป็นพระอรหันต์เท่านั้นเองที่จะเข้าถึง และที่จะรู้
    ความจำได้หมายรู้จากการเรียน ไม่มีทางรู้ได้ในความจริงอันนั้น
    ____________________________________________________________________

    - ภาคแห่งความจำ ภาคแห่งความคาดคะเน จะไปตรงกับความจริงไม่ได้
    ยกตัวอย่างเช่น เขาออกเป็นหนังสือว่า ถ้าผู้ใดหรือพระองค์ใดยังมีการนอนหลับอยู่แล้ว พระองค์นั้นไม่ใช่พระอรหันต์ นั่น

    - พระอรหันต์แท้ไม่ได้หลับ เพียงพักผ่อนธาตุขันธ์เท่านั้น - ส่วนจิตใจของท่านตื่นอยู่ตลอดเวลา คือ หมายความเอาชาครธรรมที่มีอยู่ประจำจิตที่บริสุทธิ์ของท่าน

    - การหลับนอนเป็นเรื่องของธาตุของขันธ์
    แล้วผู้รู้อันบริสุทธิ์ซึ่งครองร่างอยู่นั้นคืออะไร
    คือ ชาคร = ธรรมชาติที่ตื่นอยู่ นอกจากวงสมมุติทั้งปวง มีขันธ์ เป็นต้น
    - ชาคร นั้นคือชาคร - เมื่อหลับก็เป็นเรื่องของขันธ์นี้ระงับตัวลงไป
    ไม่ใช่อาการทุกส่วนของขันธ์ของสมมุติที่มีอยู่ในขันธ์นี้
    ส่วน ชาครนั้น - ขันธ์จะตื่นไม่ตื่นจากหลับก็ตาม - ชาคร ก็คือชาครอยู่นั้น โดยหลักธรรมชาติของตัวเอง ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งหลับและตื่น

    - อาการทั้งหมดที่แสดงในขันธ์ล้วนเป็นสมมุติด้วยกันทั้งนั้น
    เพราะขันธ์เป็นรากฐานของสมมุติอยู่แล้ว - ขันธ์กระดิกอะไรออกมาก็เป็นสมมุติทั้งหมด
    - พอขันธ์ระงับตัวลงไป สมมุติในวงขันธ์นี้ก็ระงับตัวไปด้วย
    แล้ว ชาครนั้นจะมามีส่วนได้ส่วนเสียกับขันธ์นี้อย่างไร - เพราะไม่ใช่ฐานะที่จะมาเกี่ยวข้องกันได้ หรือมาสัมผัสสัมพันธ์กันเหมือนโลกทั่วๆ ไปได้ ต่างอันต่างเป็นหลักธรรมชาติของตัวอยู่เช่นนั้น
    ____________________________________________________________________

    - ขันธ์ก็เป็นขันธ์ จะมีอะไรกัน - ทำให้งอ ให้หงิก ให้กระตุกกระติก ให้บางทีทิ้งเนื้อทิ้งตัวไปได้ - เพราะเส้นมันกระตุก -มันเป็นขันธ์
    - นิสัยที่เคยมีครวญคราง อาจเป็นได้ พระอรหันต์น่ะ- แต่จิตของท่านไม่เป็น - เป็นด้วยอาการของขันธ์ที่มันกระทบกระเทือนกันนี้ - เวลาสุดท้ายของมันที่จะแตกกระจายออกจากกันมันเป็นได้ เรายอมรับอันนี้
    - แต่เรื่องจิตของพระอรหันต์ที่เข้ามาสุงสิงกับอันนี้ ให้มามั่วมาสุมมาหลงใหลอันนี้ นั่นเป็นอฐานะ เป็นไปไม่ได้
    ____________________________________________________________________

    - พระอรหันต์ทุกๆองค์จะเป็นแบบกามลามสูตรนี้ทั้งนั้น คือ ไม่เชื่อใคร

    - ว่าไง สารีบุตร ได้ทราบว่าเธอไม่เชื่อเราตถาคตใช่ไหม?
    - ใช่พระองค์ ในส่วนที่ข้าพระองค์เชื่อข้าพระองค์เอง ข้าพระองค์แน่นอนในข้าพระองค์เอง
    ข้าพระองค์ไม่ให้พระองค์มาเป็นภาระเป็นกังวลวุ่นวายหนักหน่วงเลย เป็นเรื่องของข้าพระองค์รู้เอง เห็นเอง เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ของข้าพระองค์เอง
    - เออ! ใช่ สารีบุตร ธรรมแท้ต้องเป็นอย่างนั้น

    - พระพุทธเจ้าสอนสอนนี้ เป็นอุบายในแง่ต่างๆ เข้าไป - พอถึงขั้นที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มจริงๆ ก็เป็น สนฺทิฏฺฐิโก นำผลขึ้นมาให้เห็นชัดเจนเอง - ท่านสอนในกาลามสูตรเพื่อธรรมขั้นนี้ต่างหาก
    - แม้จะธรรมขั้นใดก็ตาม ก็มี สนฺทิฏฺฐิโก แนบไปทุกขั้นๆ
    - แต่ขั้นสุดท้ายต้องเป็นอย่างว่านี้ -เป็นธรรมเพื่อขั้นสุดท้าย ให้เชื่อตัวเอง อย่าเชื่อใคร ให้เชื่อ สนฺทิฏฐิโก
    ____________________________________________________________________

    - ทางด้านจิตใจของท่านดี ดีมาก (ท่านสิงห์ทอง) - ท่านก็เล่าให้เราฟังทุกแง่ทุกมุม
    ตั้งแต่ขั้นสำคัญมันก็มี 2 ขั้น กามราคะ กับอวิชชา -ท่านพูดถูกต้องทั้งสองเลย -ถ้าท่านไม่เป็นจะพูดไม่ถูก นี่เราจับเอาตรงนี้

    [​IMG]
    - ในตำราว่า
    กัลยาณปุถุชน ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาของพระโสดาบันได้
    พระโสดาบัน ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาของพระสกิทาคาได้
    พระสกิทาคา ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาของพระอนาคาได้
    พระอนาคา ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาของพระอรหันต์ได้

    - จะแก้ได้ยังไง มันมีเคล็ดๆ อยุ่นั้นประจำของผู้ปฏิบัตินั่น
    เมื่อปฏิบัติลงไปตรงไหนๆ รู้ตรงนั้นๆ ในคัมภีร์ไหนไม่มี - แต่มันรู้เลยนะว่า อันไหนเป็นของจริง
    - หลักปฏิบัติต้องของจริง ต้องพูดออกมาได้อย่างจริงจำถูกต้องแม่นยำ

    - ความจำ เป็นอย่างหนึ่ง, ความจริงเป็นอย่างหนึ่ง - ความจริงก็ประจักษ์ในเจ้าของผู้ปฏิบัตินั้น เรียกว่าความจริง
    - อย่างกามราคะยังงี้ ท่านพูดได้ถูกต้อง - ผมซักเอาจนแหลก เพราะเป็นลูกศิษย์ผมนี่ เอ้า! เล่าให้ฟังชัดๆซิ - ท่านก็เล่าของท่านไปถูกต้อง
    - ไปถึงขั้นสุดท้ายท่านก็พูด - แต่มันแปลก -ท่านบอก ท่านก็ยอมรับว่า ท่านไม่มีขณะ แต่สมมุติว่า ถ้าผู้ไม่มีขณะ กับผู้มีขณะ ผลเลยออกไปจากนั้นเหมือนกัน - นี่ซิมันแปลกตรงนี้ ทำไมไปเหมือนกันได้
    -ผู้มีขณะเลยจากขณะนี้ไปแล้วก็เป็นอย่างนั้น ผู้ไม่มีขณะก็เป็นอย่างนั้น - นี่ซิจึงทำให้เราพิจารณา เอ! หรือว่า สุกขวิปัสสโก ท่านจะเป็นอย่างนี้กระมัง -ทำให้เราคิด
    ____________________________________________________________________

    - ผู้ท่านไม่เกิด ท่านก็รู้ท่านว่าหมดแล้ว - หมดอะไร- หมดเชื้อตัวเทวทัตพาให้เกิดนั่นแหละ
    - พอตัวนี้ถูกกำจัดออกหมดแล้ว ก็เหลือแต่จิตบริสุทธิ์ล้วนๆแล้ว ดวงใดก็ตาม
    - พระอรหันต์มีกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านองค์ก็ตาม ไม่เกิดทั้งนั้น ท่านผู้นี้เป็นผู้สำรอกออกหมดแล้ว - ข้าวที่เราหุงสุกมาแล้วนี้เอาอะไรไปเกิด -เอาเปลือกมันออกก็ยังไม่แน่ใจนัก บางทีเชื้อมันฝังอยู่ภายในอาจเกิดได้ - เอามาหุงต้มเสีย ให้สุกเต็มที่เสียแล้วเอาอะไรไปเกิดที่นี่
    ____________________________________________________________________

    [​IMG]

    - เมื่อจิตได้ถึงขั้นแห่งความบริสุทธิ์แล้ว ต้องเป็นมหากตัญญูมหากตเวทีทันทีเลย
    - เรื่องเห็นคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คุณของครูบาอาจารย์นี้ยกไว้- ไม่มีอะไรเทียบแห่งใจของพระอรหันต์ที่เห็นคุณ -เพราะใจของพระอรหันต์ที่เห็นคุณนั้นเป็นใจล้วนๆ ไม่มีกิเลสเข้าไปเคลือบ ไปแฝง ไปคัดค้านต้านทานบ้างเลย
    ____________________________________________________________________

    - ความปรุงคิดเกิดขึ้นแล้วดับไป
    - เปือกตม คือ กิเลสได้ตกในจิตของพระอรหันต์ ย่อมกลิ้งตกไปในขณะนั้น -โดยไม่ต้องสลัดปัดทิ้งมันเลย มันหากเป็นของมันเอง
    - เพราะกิเลสแท้ๆ นั้นได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นั้นได้พังลงไปแล้วตั้งแต่ขณะได้บรรลุธรรม
    - กิเลสในขันธ์เท่านั้นเองที่ปรากฎขึ้นในขณะที่ขันธ์แสดงตัวแย็บๆ เพียงเท่านั้น พอให้จิตรับทราบ - รับทราบแล้วก็ดับไปๆ
    - เพราะคำว่าจิต จิตนั้นไม่ใช่หัวตอ - ดีก็รับทราบ ชั่วก็รับทราบ
    - ถ้าหากว่ากิเลสมีอยู่เป็นพื้นภายในจิตใจนั้นแล้วจะติด จะยินดีจะยินร้าย
    - แต่พื้นฐานของจิตจริงๆ นั้น บริสุทธิ์แล้ว กิเลสไม่มี จึงไม่ได้รับความยินดียินร้าย - เป็นแต่เพียงว่า รับทราบดีชั่วๆ สิ่งที่รักน่าชัง รับทราบๆ ดับไปพร้อมๆ นี้แล
    - เปือกตม คือกิเลสตั้งอยู่ในจิตของพระอรหันต์ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้นาน กลิ้งตกไปในทันทีทันใด
    ____________________________________________________________________

    - เรื่องความฝันนี้ก็เป็นเรื่องของธาตุของขันธ์นี่ -ทำไมฝันไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของขันธ์5 แท้ๆ
    ขันธ์5 เป็นสิ่งที่กระดุกกระดิกได้เหมือนทั่วๆ ไป ทำไมพระอรหันต์จะฝันไม่ได้

    - เอ้า! พิจารณาธาตุขันธ์ให้ชัดเจนซิ ทั้งจิตด้วย, ทั้งขันธ์5 ด้วย - รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ด้วย - ท่านบรรลุนิพพาน ท่านสังหารขันธ์ 5 นี้ให้ฉิบหายไปแล้วเหรอ ขันธ์ 5 จึงดีดดิ้นไม่ได้ - การดีดดิ้นได้ก็ฝันได้ล่ะซิ
    - ขันธ์เป็นขันธ์นี่ ทำไมจะฝันไม่ได้
    - ขันธ์5 เป็นขันธ์5 ก็ต้องแสดงอยู่เป็นธรรมดา - เมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมจะฝันไม่ได้
    การฝันก็เป็นการแสดงขันธ์5 นี่นะ


    - อันหนึ่งที่ว่า ถ้าสำเร็จธรรมขั้นสูงสุด คืออรหัตตภูมิแล้ว ถ้าไม่ได้บวชจะตายภายใน 7 วันนี้ ก็เหมือนกัน
    - วิสุทธิธรรม หรือ วิสุทธิจิต นี้เป็นเพชฌฆาตฆ่าขันธ์ 5 เชียวเหรอ? - อันนี้ไม่ใช่เป็นเพชฌฌาตนี่นะ
    - สิ่งใดที่ควรไม่ควร พระอรหันต์ท่านจะรู้ของท่านเอง -ถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่มีใครมาบอกก็ตาม ท่านจะรู้วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องขันธ์ของท่าน -เหตุใดจะต้องไปตายภายใน 7 วันวะ- มันเกินเหตุเกินผล

    - ตัวผู้ไปจดจารึกนั้นน่ะ ถ้ามีความจริงภายในจิตใจ มีภูมิจิตภูมิธรรมแล้ว จะได้ธรรมะละเอียดมามากมาย จะไม่มีแต่ความจำล้วนๆ มา
    ____________________________________________________________________

    - พระอรหันต์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ยืนยันในความรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ - เอานี้เป็นหลักใหญ่เลยทีเดียว - หลักอันดับแรกคืออะไร คือ อวิชฺชาปจฺจยา

    - พระอรหันต์เป็นผู้ได้สังหารอวิชชานี้ออกจากใจได้หมดโดยสิ้นเชิง เป็นจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่ -
    นี่เป็นเครื่องยืนยันให้ได้กราบพระพุทธเจ้าอย่างสนิทติดใจฝากเป็นฝากตาย

    - ไม่มีใครที่จะกราบพระพุทธเจ้าได้สนิทยิ่งกว่าอรหันต์ท่าน - เพราะกราบด้วยความเห็นบุญเห็นคุณ - กราบด้วยความยอมรับ - กราบด้วยการที่เอาจิตของตนนี้เป็นสักขีพยาน ยืนยันกับความเป็นจริงของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้และเป็นผู้บริสุทธิ์ไปแล้ว

    - อวิชชานี่ล่ะ พระอรหันต์ทุกๆองค์จะต้องรู้เหมือนกันหมด
    - พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก มาให้อุบายวิธีการต่างๆ - เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงเป็นผู้ที่เลิศเลอที่สุด
    - สยัมภู ทรงรู้เองเห็นเอง
    - อวิชชาตัวนี้ล่ะ เป็นตัวสำคัญที่สุด ฝังอยู่ภายในจิตใจ - นี่ตัวนี้พาให้เกิดบุญบาป พาให้ไปสูงไปต่ำ
    ____________________________________________________________________

    - พระอรหันต์ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน
    - อยู่ด้วยกันจำนวนมากน้อย -ต่างคนต่างถือธรรมวินัยเป็นแบบเป็นฉบับเป็นหัวใจ - เป็นกิริยาแห่งความเคลื่อนไหว - แล้วจะเป็นความร่มเย็นเป็นสุขด้วยกัน
    - ดังพระสาวกท่านมีจำนวนร้อยๆ พันๆ หมื่นๆ แสนๆ องค์ ก็ไม่เคยได้ยินเลยว่าพระอรหันต์เหล่านั้นมีการทะเลาะเบาะแว้ง ขัดแย้งกันเรื่องความรู้ความเห็นไม่ลงรอยกัน- อย่างนี้ไม่ปรากฎแม้รายหนึ่งเลยในตำรับตำรา

    - ธรรมแท้นี้เมื่อได้เข้าถึงใจแล้ว ย่อมเป็นความแท้จริงอยู่ตลอดเวลา - ไม่เคลื่อนไหวจากนั้นสู่ความจอมปลอมแม้แต่น้อยเลย พอที่จะให้เกิดความทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้งกัน ในเรื่องหลักธรรมหลักวินัย หรือความประพฤติต่างๆ
    ____________________________________________________________________

    [​IMG]

    - สาวกอรหันต์ของพระพุทธเจ้า ท่านเหล่านี้เป็นผู้ให้ความอบอุ่นแก่ชาวพุทธ - นอกจากให้ความอบอุ่นแก่ตนเองได้แล้ว ยังให้ความอบอุ่นแก่ผู้เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวโยงกัน มีบริษัททั้งหลาย คืออุบาสกอุบาสิกา
    - ท่านเหล่านี้อยู่ด้วยความอบอุ่น แม้จะห่างไกลจากพระพุทธเจ้า ซึ่งปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม - แต่ยังมีพระสงฆ์สาวกผู้ทรงมรรคทรงผลด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ให้ความอบอุ่น, ความไว้วางใจ ,ความตายใจ เป็นหลักใจพึ่งเป็นพึ่งตายแก่ท่านเหล่านั้นเรื่อยมาโดยลำดับ

    - ผลของการปฏิบัติที่ได้รู้ได้เห็นจริงๆ , ทรงมรรคทรงผลสำหรับผู้ปฏิบัติจริงๆ สามารถให้ความอบอุ่นแก่โลกได้ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ นี่เราพูดในวงมนุษย์
    - ส่วนวงเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหลายนั้นเป็นประเภทหนึ่ง ซึ่งได้รับความอบอุ่นจากธรรมของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน
    ____________________________________________________________________

    - ถ้าหากไม่มีความสงบภายในจิตใจ เกี่ยวกับเรื่องธรรมเข้าแทรกบ้างเลยนั้น- อย่างไรก็ร้อยทั้งร้อย พันทั้งพัน เป็นกิเลสทั้งหมด - ความรู้นั้นเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด - เราจะหาเอาตัวจริงอะไรจากความรู้ที่เป็นกิเลสได้เล่า

    - กิเลสที่หนาแน่นแก่นฉลาดที่สุดขนาดไหนก็ตาม ท่านก็ผ่านไปแล้ว สังหารไปหมดแล้ว ไม่มีซากเหลือ อยู่ภายในจิตใจแล้ว ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา จนถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้นแล้ว
    - ทีนี้จิตของท่านเป็นอย่างไร จิตของท่านจะมีอะไรไปเจือปน- นั่นแหละท่านว่าวิเศษ วิเศษตรงนั้น

    - ถ้าลงถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้ว- จะมีแต่จอมกษัตริย์วัฏจิตโดดเดี่ยว คือ อวิชชาที่แทรกอยู่นั้นเท่านั้น - นอกนั้นตัดเข้ามาหมดแล้วจะมีอะไรเหลือ ไม่มีเลย - แล้วก็ไม่กี่เวลา มหาสติมหาปัญญานี้ก็สังหารกันลงได้
    -ทีนี้พอ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ซึ่งเป็นตัวกษัตริย์วัฏจักรที่ฉลาดแหลมคมและละเอียดที่สุดนั้น พังลงไปเท่านั้น - อะไรที่นี่ที่เหนือจากนั้น วิเศษวิโสยิ่งกว่านั้น เอามาเทียบซิ สามแดนโลกธาตุนี่จะมีอะไรเหมือนธรรมชาตินั้น - นั้นแหละที่ท่านไม่ติด ท่านไม่ข้อง คือไม่มีอะไรเหมือนที่จะให้ติด ,ไม่มีอะไรมีคุณค่ายิ่งกว่าความเหนือแล้ว

    - โลกุตรธรรม คือ ไม่มีอะไรเหมือนเลย- ถ้าพูดแบบที่ว่าเหนือ ก็หมดแล้ว ,จะหย่อนตัวลงมา จะก้าวตัวลงมาหาอันนี้อะไร - เหมือนกับมูตรคูถที่จมอยู่ในส้วนในถานนั่นเอง ก็มีแต่พวกสัตว์พวกหนอนต่างๆ ที่เต็มไปอยู่ในส้วมในถานซิ - คนที่มีสมบัติผู้ดี ใครก็รู้อยู่แล้ว จะไปยุ่งกับมันอะไร

    - ถ้าพูดถึงเรื่องความสมบูรณ์ก็เต็มที่แล้ว, ถ้าพูดถึงเรื่องความรู้ก็ล้วนๆแล้ว
    - นั่นแหละ ความรู้ของผู้สิ้นกิเลสเป็นความรู้ล้วนๆอย่างนั้น- ไม่เข้ามาเจือปนกับโลกอันใด กับสมมุติอันใดเลยทั้งสามแดนโลกธาตุ ซึ่งเคยคลุกเคล้ากันมานานเท่าไรกับจิตดวงนี้ - ขาดสะบั้นไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นแหละความรู้ของท่าน
    - แม้ทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ก็ตาม - ขันธ์ก็เป็นขันธ์, ธาตุก็เป็นธาตุ ท่านก็รู้อยู่เป็นของใครของเรา - บังคับให้เข้าคละเคล้ากันก็บังคับไม่ได้ เพราะเป็นอฐานะแล้ว- ระหว่าง วิมุตติจิต กับ สมมุติ ต่างกันอย่างนั้น
    ____________________________________________________________________

    - ท่านผู้ที่จะสามารถรู้เห็นตามที่ทรงแสดงและเชื่อพระองค์ จนถึงขนาดที่ว่าเชื่อจนถึงใจ - เป็นตายยอมถวายพระพุทธเจ้าเลยก็มีจำนวนมากมาย -เช่น พระอรหันต์เป็นอันดับหนึ่ง ที่มอบกายถวายชีวิตต่อต่อพระพุทธเจ้า โดยไม่มีความเยื่อใยเสียดายในชีวิตของตนแม้แต่น้อยเลย

    - บูชาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยความเชื่ออย่างฝังใจอันลึกซึ้ง - ไม่มีอะไรซึ้งเกินความเชื่อของพระอรหันต์ท่าน - ได้ฝังลึกในพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พร้อมกับสักขีพยานที่รู้ที่เห็นภายในจิตใจของตน อันสืบเนื่องมาจากพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว -จึงรู้เห็น นี่อันดับหนึ่ง

    ____________________________________________________________________

    - ความรับผิดชอบทางสัญชาตญาณเป็นยังไง
    - เวลาเราเดินไปที่ลื่นๆ มันจะหกล้ม - แต่จิตจะช่วยตัวเองอย่างเต็มที่ - คนมีกิเลสเต็มหัวใจก็ตาม พระอรหันต์ก็ตามนะ จะช่วยเจ้าของอย่างเต็มที่ในเวลานั้น ไม่ยอมให้หกล้มง่ายๆ - จนกระทั่งสุดกำลังแล้วถึงจะยอมล้ม
    - หรือเดินไปจะเหยียบรากไม้ เข้าใจว่าเป็นงู จะกระโดดทันที - นั่นเป็นกิริยาแห่งสัญชาตญาณรับผิดชอบตัวเองของพระอรหันต์ - ไม่ใช่อุปาทาน
    - ที่ต่างกันอยู่คือ จิตของปุถุชนจะร้อนวูบ เพราะตกใจกลัว มันจะสะเทือนมากภายในใจ
    - ส่วนจิตของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว เพียงแต่แสดงอาการแย็บๆ เท่านั้น - เพียงแต่รับทราบว่าจะเป็นอันตรายต่อขันธ์

    - จิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆแล้ว เป็นหลักธรรมชาติประจำใจ คือ รับผิดชอบตัวเองทั่วสรรพางค์ร่างกาย คือต้องรู้เจ็บรู้ปวด รู้ร้อนรู้หนาว นี่รับทราบตลอด- เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ซึมซาบเข้าสู่ใจได้เท่านั้น - นี้เป็นหลักธรรมชาติ
    - ไม่ซึมซาบ ไม่กระเทือนถึงจิต - อันนี้เรียกว่า เวทนาจิตในจิตพระอรหันต์ไม่มี คือ ไม่มีเวทนาจิต - มีเฉพาะเวทนาทางกายอย่างเดียว
    - สุขไม่มี ทุกข์ไม่มี ไม่มีร้อน ไม่มีหนาว ที่จะเข้าไปสัมผัสภายในจิต - เพียงแต่รับทราบเท่านั้น -แต่ไม่ซึมซาบเข้าสู่ใจ คือ ไม่ประสานกัน

    - เวลาจิตหมดความรับผิดชอบนะ ทุกขเวทนาในร่างกายจะมีมากขนาดไหน ถึงขนาดที่ว่าจะอยู่ไม่ได้ - เวลานั้นทุกขเวทนาทั้งหมดดับไป พร้อมกับร่างกายหมดความหมาย - ตา หู จมูก ร่างกายเป็นท่อนไม้ท่อนซุงฉันใด ทุกขเวทนาก็ไม่มีฉันนั้นเหมือนกัน - เป็นอันว่า ระงับหมด จะเหลือแต่ความรู้เท่านั้น - ถ้าขยับก็ไป - ผู้รู้จะไม่มีทุกขเวทนาทางกายให้รับทราบเลย มันดับหมด

    - ขณะเดียวกับร่างกายหมดความหมายนั่นแล -ความรับผิดชอบของจิต จึงหดตัวเข้ามาในจุดจุดเดียว - ถ้าว่าจุดนะเข้ามาอยู่ในนั้น ร่างกายหมดความหมายไปเลย- ไม่มีว่าเจ็บว่าปวด ได้ยินโน่นนี่ไม่มี -ดับหมดทวารนี่ เหลือแต่ความรู้เท่านั้น - ถ้าขยับก็ไป

    - คนเรา ถ้าหากว่ามีสติอยู่แล้ว - เวลาจะตายจริงๆ -ทุกขเวทนาทางกายจะต้องดับหมด ก่อนเวลาจิตออกจากเรา

    - ส่วนพวกเรามันไม่เป็นอย่างนั้น มันทิ้งเนื้อทิ้งตัว ตกเตียง ตกที่นอน และวุ่นวายตั้งแต่ยังไม่ตาย - ยังไม่จวนจะตายก็ดิ้นไปก่อนแล้ว มันเป็นอย่างนั้นนะ -
    ____________________________________________________________________

    - นี้พูดถึงเรื่องจิตตภาวนา มันสำคัญมากอย่างนี้นะ - เวลาท่านอยู่ในป่าเขา - ท่านมาปรุงมาคิดยุ่งอะไรกับหยูกยา - เวลาจำเป็นจริงๆ ใจท่านจะหมุนติ้วเข้ามาข้างในเลย - เป็นอะไรก็ตาม ท่านจะไม่กลัวคำว่าเป็นว่าตาย - ดูความจริงเท่านั้นว่าเป็นยังไง เอาให้ถึงขีดถึงแดน -ในเวลายังไม่ตาย ดูกันให้ชัดเจน - เวลาตายแล้วก็หมดวิสัยที่จะดู

    - เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว กำลังจิตของท่านผู้บริสุทธิ์จะเด่นผึงๆ เลยนะ - เรื่องความทุกข์ทั้งหลาย จะไม่มีอำนาจเหนือจิตเหล่านั้นเลย - จิตนั้นจะฟอกตลอด - เพราะฉะนั้น ท่านจึงว่า โรคหายได้ด้วยธรรมโอสถ คือการพิจารณา - เวลาตาย ก็ตายอย่างอาจหาญ

    [​IMG]

    - ยกตัวอย่างท่านอาจารย์กู่ของเรา ที่ท่านไปเสียที่บ้านโคกกะโหล่ง - ท่านคงเป็นมะเร็งนั่นแหละ
    เขา ว่าเป็นฝีหัวปลาไหล เป็นอย่างนี้นานๆแล้ว - หนักๆ เข้า ท่านก็บอกว่า ไม่ไหวแล้วนะ จะไม่ไหวแล้ว ผมจะไปเร็วๆ นี้ - ท่านนั่งให้พระประคองอยู่ แล้วให้หมู่เพื่อนทั้งหลายทำความเข้าใจกับตัวเองให้ดีนะ ท่านสอนย่อๆ -ขอให้อบรมใจให้ดีเถอะ จะไม่มีอะไรกระทบกระเทือนถึงจิตเลย ขอให้ทำจิตให้ดีนะ- แล้วเวลาผมตายไปนี่ อย่าเข้าใจว่าผมตายไปนะ ผมที่แท้จริงไม่ได้ตายนะ นี่เป็นแต่ธาตุสลายตัวไปเพราะหมดกำลังของมัน เอาล่ะนะไปล่ะนะ - เท่านั้นแหละท่านก็ไปเลย
    ____________________________________________________________________

    สวัสดีค่ะ
    หนังสือพระอรหันต์ของหลวงตามหาบัว มีเรื่องน่าสนใจเยอะมากค่ะ จะขอสรุปให้จบเลยนะคะ

    - ตามหลักอริยประเพณีของพระพุทธเจ้าที่พาดำเนินมา ท่านถือความเคารพเป็นสำคัญมาก - พระจะเป็นมหากษัตริย์มาบวชก็ตาม ต้องถืออายุพรรษา - ใครบวชก่อน ใครบวชหลัง ให้ทำความเคารพตามอาวุโสภันเต
    - นี่เป็นความเคารพซึ่งเป็นประเพณีอันดีงาม ไม่อาจเอื้อมในที่ต่ำสูงต่างๆ เรียกว่า อัตตัญญุตา คือ รู้จักตน รู้จักท่านผู้เกี่ยวข้องกับตนเป็นประเภทใด ก็เคารพนับถือตามนั้น
    - พระสารีบุตร เป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้า - แต่ท่านเคารพในคุณธรรมที่ท่านได้เห็นอรรถเห็นธรรมมาจากผู้ใด ก็คือ ท่านพระอัสสชิ - เมื่อพระอัสสชิท่านอยู่ในสถานที่แห่งหนตำบลใด - พระสารีบุตรจะต้องกราบไหว้น้อมเคารพบูชาไปตามสถานที่ท่านอยู่นั้นๆ นี่เพราะความเคารพ - นี่เป็นหลักสำคัญ นี่คือพระอรหันต์เคารพกัน ท่านเคารพอย่างแท้จริงในอรรถในธรรมทั้งหลาย -ไม่ได้ทำแต่เพียงสักกิริยา
    _________________________________________________________________________________


    [​IMG]
    - ผู้เฒ่าแม่แก้วก็เป็นแล้ว (อัฐเป็นพระธาตุ)
    - การอุปัฏฐากพระอรหันต์ ระวังอย่าไปตำหนิติเตียน

    - ใครเป็นผู้อุปัฏฐากดูแลผู้เฒ่าแม่แก้ว - ถ้าเป็นคนไม่เคยภาวนา มันจะเข้ากันได้ยังไง

    - เราก็ไปเตือนผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐาก - อย่าไปถือสากิริยามารยาทอะไรๆ อย่าไปถือนะ -เราเตือนเสมออันนี้นะ - เราจะเอาตั้งแต่เรื่องสมมุติไปคัดค้านธรมชาตินั้นไม่ได้นะ
    - กิริยานี้เป็นเรื่องของขันธ์ - ขันธ์นี้เป็นเรื่องสมมุติ มันจะออกอากัปกิริยาใดก็เป็นเรื่องสมมุติล้วนๆ ไม่ใช่วิมุตติ อย่าไปถือสีถือสานะ
    - สงสารผู้ไปปฏิบัตินี้ แทนที่จะได้คุณ มันจะเป็นได้โทษ- เวลาอากัปกิริยาแสดงออกมาแล้วก็ไปยึด ตำหนิติโทษอย่างนั้นอย่างนี้ไปเสีย มันเสีย - เพราะกิริยานี้โลกเขาเคยปฏิบัติกัน พอเห็นอย่างนั้นก็จะหมายว่าเป็นโลกไปหมด - ความดีที่เต็มอยู่ในหัวใจก็เลยลบล้างไปหมด -ถ้าต่างคนต่างรู้แล้ว ก็เข้าใจกันทันที จะเป็นกิริยายังไงๆ ก็เข้าใจทันที
    - เพราะแกป่วยอยู่นานนี่นะ (แม่แก้ว) - ไปก็ไปเตือน อย่าไปถือสีถือสานะ สอนขนาดนั้นนะ - เพราะกิริยาของแกก็เหมือนคนธรรมดา บางทีแกพูดอะไรๆ ก็เหมือนคนธรรมดา เพราะเรื่องของขันธ์ ขันธ์ดีด ขันธ์ดิ้น ขันธ์หิว ขั้นธ์โหย ขันธ์ทุกข์ ขันธ์ลำบากก็เป็นอยู่ในนี้ - กิริยาที่แสดงออกมาก็เป็นเรื่องของขันธ์ๆ ในวงขันธ์วงขันธ์ - ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติทางด้านจิตใจก็สูงอย่างนี้ เข้าใจกันทัน แม้เช่นนั้นก็สาธุ

    - เรายังไม่ลืมกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ขณะนั้นดึกๆเงียบนะ ท่านไม่แสดงอะไรมากแหละ -มีลักษณะอิ๊ๆ แอ๊ๆ อะไร เหมือนครางเบาๆ อิ๊ๆแอ๊ๆ- เอ๊! เวลาท่านเป็นอย่างนี้ ท่านมีกิริยาอย่างนี้
    ท่านจะมีเวลาเผลอบ้างไหมนา - ดูแนะ แต่เพียงเท่านั้นนะ เรากระตุกทันที หยุดทันที -
    - โธ่! ตาย เผลอไม่เผลอมันเป็นเรื่องของสมมุติ เอาไปโปะท่านทำไม เอาไปทับท่านทำไม - โอ๊ย! ไปขอขมาท่านทันทีเลย ขอขมากับอัฐิท่าน - ปรากฎว่าโล่งหมดเลย เราเห็นข้อบกพร่องของเรา

    - ไอ้ไม่ได้เรื่องอะไรเลย ไม่เคยปฏิบัติภาวนาเลย ไปปฏิบัติ อย่างปฏิบัติพระอรหันต์ ก็ลองดูซิน่ะ - ไปก็จะไปขนแต่โทษแต่กรรมมาเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรดีล่ะ
    ____________________________________________________________________________

    [​IMG]


    - จิตที่บริสุทธิ์นั้น ถ้าบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็ตายอย่างรวดเร็วนี้ - อัฐจะกลายเป็นพระธาตุช้ามาก - เพราะจิตใจนี้ยังไม่ได้ฟอกธาตุขันธ์ให้มีความละเอียดลออ ให้มีความสะอาดสะอ้าน -
    แล้วเจ้าของตายไปเสียก่อน จิตก็ยังไม่ได้ฟอกให้ถึงขีดถึงที่ถึงแดน - อันนี้จะกลายเป็นพระธาตุช้า

    - องค์ไหนที่อบรมเจ้าของอยู่ ค่อยคืบคลานไปเรื่อย คืบคลานไปเรื่อยๆ - จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติ - เสร็จแล้วค่อยตาย - อย่างนี้อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว -และยังครองขันธ์อยู่อีก ต่อไปอีก - นอกจากจิตบริสุทธิ์แล้ว ยังครองขันธ์ไปอีกนานนี้ ยิ่งเร็ว - พอตายไปแล้ว อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้อย่างรวดเร็ว มันเป็นชั้นๆ

    - จิตที่บริสุทธิ์นี้ฟอกขันธ์ ฟอกธาตุ - ฟอกขันธ์ ฟอกโดยหลักธรรมชาติก็ฟอกอยู่อย่างนั้น
    - แล้วเวลาเข้าที่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จิตส่งเข้าข้างในนี้ ยิ่งเป็นการฟอก
    ภาวนาเท่าไร ก็ยิ่งฟอกก็ยิ่งฟอกเข้าไปเรื่อยๆ มันสะอาด - ในเวลาตายแล้วอัฐก็กลายเป็นพระธาตุได้
    - แต่ถ้าหากว่าท่านอธิษฐานไม่ให้เป็นพระธาตุนี้อาจไม่เป็นนะ - เพราะจิตของท่านมีอำนาจนี่
    - อย่างพระอานนท์ตายแล้ว อัฐก็แยกออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งแม่น้ำ- เป็นญาติ เป็นลูกศิษย์ทั้งสองฝ่าย จะต้องได้ทั้งสองฝ่าย
    ____________________________________________________________________________

    [​IMG]

    - 2493 เป็นปีเผาศพหลวงปู่มั่นเรา - ปีนั้นเป็นปีที่เราเผาศพกิเลสให้บรรลัยจากหัวใจ - ตั้งแต่บัดนั้นมาแล้วเราครองบรมสุขตั้งแต่บัดนั้น
    - คำว่าทุกข์ที่จะเฉียดเข้าไปในจิตใจเราไม่เคยมีเลย - เพราะกิเลสอันเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์หมดแล้วภายในหัวใจ ทุกข์จึงไม่มีในหัวใจ - มีแต่บรมสุขล้วนๆ เต็มหัวใจ
    - เราครองธรรมประเภทนี้มาได้ 49 ปีนี้แล้ว - แล้วทำประโยชน์ให้โลกเต็มเม็ดเต็มหน่วยเรื่อยมา

    - ไม่มีอันใดที่จะเป็นของตัว - สมบัติมากน้อยทุ่มเทลงไปเพื่อช่วยโลกช่วยสงสาร - นับแต่คนทุกข์คนจนขึ้น สงเคราะห์ไปหมดทั่วทุกภาคของเรา, สร้างโรงร่ำโรงเรียน สถานที่ราชการต่างๆ, โรงพยาบาล - มีเท่าไรทุ่มลงไปหมด -ไม่เคยเก็บอะไร จนสามารถพูดได้ว่า - เราเป็นนักเสียสละ ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวเราเลย เงินทองข้าวของไม่เคยมี - เพราะความเมตตากวาดออกไปหมด เพื่อสงเคราะห์โลก - ความตระหนี่ถี่เหนียวมายุ่งเราไม่ได้ - มีแต่การจะให้ทาน มีแต่การสงเคราะห์โลกอย่างเดียว

    - ด้วยเหตุนี้เอง สมบัติเงินทองข้าวของที่พี่น้องทั้งหลายนำมาบริจาคเพื่อชาติไทยของเรา โดยผ่านหลวงตาบัวเอง - จึงเป็นที่แน่ใจว่า สมบัติเหล่านี้จะเข้าคลังหลวงทุกบาททุกสตางค์ ไม่รั่วไหลแตกซึมไปไหน - เพราะหลวงตาบัวเป็นผู้รับผิดชอบในการเงินนี้ทั้งหมด

    - ผู้นำเป็นของสำคัญมากนะ - เราคิดก่อนแล้วหาผู้นำ - มันหาไม่ได้ทั่วประเทศไทย - ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามท่านผู้หนึ่งผู้ใด แต่มันปลงใจลงไม่ได้ - เวลาจะปลงใจลงได้ ก็คือมาหาหลวงตาบัวเสียเอง เอาตัวประกัน - ปลงใจลงได้เพราะอะไร - เพราะเราไม่มีอะไรแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเราบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว

    - ถ้าพูดถึงเรื่องใจของเรา เราก็บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว - หากิเลสตัวใดมาแทรกไม่มีแล้วเวลานี้ - ถึงจะประกาศเป็นว่า เรานี้คือพระอรหันต์องค์หนึ่ง ก็จะผิดไปไหนถ้าจะพูด - พระพุทธเจ้ายังพูดได้ ครั้งพุทธกาลยังพูดได้- ธรรมอันเดียวกัน ผู้รู้ผู้เห็นธรรม ธรรมแบบเดียวกัน ทำไมเราจะพูดไม่ได้

    - เราปฏิบัติแทบเป็นแทบตาย - เราก็รับรู้ของเรา ผลรายได้มากน้อยเพียงไร เรารู้ของเรา - ความบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้น เราก็เห็นในหัวใจของเราแล้ว- จะนำออกมาพูดไม่ได้เหรอ - จะให้แต่กิเลสมันเย็บปากไว้หมดเหรอ -ไม่เชื่อถือกัน หาว่าโอ้อวดเหรอ

    - ตัวโคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยปฏิบัติ จะเอามรรคผลนิพพานมาจากไหน
    - ทำไมเราปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน จะรู้มรรคผลนิพพานไม่ได้
    ____________________________________________________________________________

    - สอุปาทิเสสนิพพาน - นิพพานที่ยังครองขันธ์อยู่ - เป็นพระอรหันต์แล้ว สิ้นกิเลสแล้วยังครองขันธ์อยู่
    - ถ้าสิ้นกิเลสแล้วด้วย ตายแล้วไปเลย - นี้เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน
    ____________________________________________________________________________

    - พระพุทธเจ้าทรงตั้งสมณศักดิ์ให้พระที่ว่า เอตทัคคะ คือความเลิศ
    - ตั้งเพียง 80 องค์ - อสีติมหาสาวก - พระสาวกเรียกว่าที่ใหญ่สุด 80 องค์
    - อสีติ คือแปดสิบ - มหาสาวก คือสาวกที่ยิ่งใหญ่ - พระพุทธเจ้าทรงตั้งนะ
    - เมื่อถึงขั้นพระอรหันต์ตูมเท่านั้น ก็เป็นมหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือเป็นธรรมธาตุล้วนๆ เสมอกันไปหมด เหมือนกันหมด- ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน
    - เหมือนกับน้ำที่ไหลลงมาจากสายต่างๆทั่วโลก ไหลลงสู่มหาสมุทร - เวลายังไม่ถึงก็ว่า แม่น้ำสายนั้นๆ ว่าไป - พอเข้าถึงมหาสมุทรแล้ว เป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมดเลย -จะเรียกแม่น้ำสายใดอีกไม่ได้
    - จิตวิมุตติก็แบบเดียวกัน อันนี้เสมอกันหมด
    - ส่วนปลีกย่อยที่ท่านทรงตั้งเอตทัคคะให้เลิศไปคนละทางๆ -เป็นนิสัยวาสนาของท่านที่ทำความปรารถนาไว้แต่เริ่มต้น - เมื่อสำเร็จอรหันต์แล้ว ก็ขอให้มีอย่างนั้นๆ - มีฤทธาศักดานุภาพ หรือมีสติปัญญา มีอะไรๆ - ท่านมีความปรารถนานั้นๆ - เวลาสำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณดูตั้งตามนั้นๆ ไปเลย อย่างนั้นนะ- ไม่ได้ตั้งสุ่มสี่สุ่มห้า
    ____________________________________________________________________________

    - จิตเพียงดวงเดียวของพระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสแล้ว สว่างจ้าครอบโลกธาตุ คือไม่มีอะไรมาปิดบังลี้ลับ
    - สิ่งปิดบังลี้ลับ ได้แก่ กิเลสนั้นเอง - กิเลสสิ้นซากไปหมดแล้ว มีแต่ความสง่างามจ้าครอบโลกธาตุ
    - นี่เพียงจิตของพระอรหันต์องค์เดียวเท่านั้นก็ขนาดนั้นแล้ว - นี้ 1250 ดวงของพระอรหันต์ซึ่งเป็นจิตประเภทเดียวกัน รวมกันเป็นธรรมธาตุก้อนหนึ่ง - 1250 รวมเป็นธรรมแท่งเดียว เรียกว่าเป็นธรรมธาตุ สว่างจ้าขนาดไหน - นี่ล่ะ ท่านถึงได้นำมาประกาศสอนพี่น้องทั้งหลาย
    ____________________________________________________________________________

    - ฆราวาสสำเร็จเป็นพระอรหันต์มีมากอยู่นะ ที่ไม่ได้บวชเป็นพระอรหันต์มีอยู่มากนะ - เราจำไม่ได้มากนัก - จำได้แต่พระเจ้าสุทโธทนะที่เป็นพระราชบิดา, แล้วก็พาหิยะ, สันตติมหาอำมาตย์ และนางเขมา
    ____________________________________________________________________________

    - ถ้าไม่มีความดีเลย จะจนตรอกจนมุม จนกระทั่งวันตายทั้งภพทั้งชาติ -หาที่ปลอดภัยไม่ได้เลย - จึงต้องสร้างความดีเอาไว้
    - ความดีนี้เป็นสำคัญ เมื่อสร้างมากแล้วหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง
    - ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน นี่คือท่านผู้สร้างคุณงามความดี -เรียกว่าสร้างบารมีมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว - อำนาจแห่งความดีนี้หนุนท่านให้หลุดพ้นจากแดนแห่งความเกิดตาย -ซึ่งหาบหามไปด้วยกองทุกข์นี้โดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือเลย
    - ผู้ที่สร้างบารมีเต็มกำลังความสามารถ ถึงขั้นสุดยอดแห่งความสุขความเจริญ- ที่ท่านเรียกว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ พระ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง คือเป็นสุขอันยอดเยี่ยม - ไม่มีสภาพใดสิ่งใดเสมอเหมือนพระนิพพานเลย - นี่เพราะอำนาจแห่งคุณงามความดีของผู้บำเพ็ญนั้นแหละ
    ____________________________________________________________________________

    - พระองค์สอนให้ไปอยู่ในป่าในเขา
    - ถ้าที่พลุกพล่านวุ่นวายนี้มันเป็นการเสริมกิเลสตัวนี้ให้รุนแรง แสดงเปลวหนักขึ้น ความเดือดร้อนมากขึ้น - ต้องให้ไปหาอยู่ในสถานที่สงบสงัด ปราศจากผู้คนหญิงชายไปก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวาย
    - พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ไปอยู่ในป่าในเขา -นั่นเรียกว่ามหาวิทยาลัยป่า - ท่านไล่เข้าไปในป่าเลย
    - องค์ศาสดาเป็นปรมาจารย์ เป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมในสามแดนโลกธาตุ - เบญจวัคคีย์ทั้งห้า เป็นนักศึกษาอยู่ในป่า
    - มหาวิทยาลัยก็คือป่า - วิชาที่เรียนก็ สติปัฏฐาน4, อริยสัจ4 - รวมแล้วเป็นโพธิปักขิยธรรม37 ประการ - นี้เป็นกลุ่มแห่งธรรม เป็นพลังของธรรมที่จะรวมเข้าตีกิเลสภายในหัวใจของสัตว์โลก - ผู้สนใจนำธรรมเหล่านี้มาปฏิบัติตัวเองทั้งนั้นแหละ ก็สำเร็จขึ้นมา

    (- โพธิปักขิยธรรม = ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค - มี37 ประการ - สติปัฏฐาน4, สัมมัปปธาน4, อิทธิบาท4, อินทรีย์5, พละ5, โพชฌงค์7, มรรค8)

    - วัดไหนๆ อุปัชฌาย์บวชต้องสอนอนุศาสน์ 8 - นิสสัย 4, อกรณียกิจ 4 ประการ
    - อนุศาสน์ 8 นี้สอนตลอดเลย - ทุกๆองค์ต้องสอนอนุศาสน์ 8

    (- อนุศาสน์ = การสอน,คำชี้แจง, คำสอนที่อุปัชฌาย์หรือกรรมวาจาจารย์บอกแก่ภิกษุใหม่ ในเวลาอุปสมบทเสร็จ ประกอบด้วย นิสสัย4, อกรณียกิจ4
    - นิสสัย = ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต มี4 อย่าง
    1. เที่ยวบิณฑบาตร, 2. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล, 3. อยู่โคนไม้, 4. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า
    - อกรณียกิจ= กิจที่ไม่ควรทำ คือกิจที่บรรพชิตทำไม่ได้ มี4 อย่าง
    1. เสพเมถุน, 2.ลักของเขา, 3.ฆ่าสัตว์ (ที่ให้ขาดจากความเป็นภิกษุ หมายเอาฆ่ามนุษย์) 4. พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน)

    ____________________________________________________________________________

    - พระสารีบุตรนั่น ท่านโดดข้ามคลองไป - นี่เป็นนิสัยอยู่ในขันธ์มัน หากมีอยู่ในขันธ์ของท่าน - โดดข้ามคลองไป แล้วโดดกลับไปกลับมา สนุกเล่นเหมือนเด็ก
    - จนกระทั่งพระปุถุชนว่า โอ๊ย! นี่เป็นจนกระทั่งถึงพระอรหันต์ แล้วเป็นพระอัครสาวกข้างขวา แล้วทำไมจึงมาทำเล่นเหมือนเด็ก - นี่ปุถุชนมันอวดดี ยกโทษพระสารีบุตร
    - พระพุทธเจ้ารับรอง - เออ นี่เป็นนิสัยของเธอ เธอเคยเป็นลิงมาหลายภพหลายชาติ นิสัยของลิงนี้ติดเธอ - ทีนี้เรื่องก็สงบไปหายไป เพราะพระพุทธเจ้าตัดสินให้ - พวกเราไม่มีใครตัดสินกันซี - นั่นแหละคือนิสัย
    ____________________________________________________________________________

    [​IMG]
    - ระหว่างปุถุชนหิวข้าว กับพระอรหันต์หิวข้าวนั้นต่างกัน
    - ปุถุชนเราหิวข้าว -ทั้งหิวทั้งทั้งทุกข์ทางร่างกาย และทุกข์ทางจิตใจด้วย
    - แต่พระอรหันต์ท่านหิว ก็หิวแต่ธาตุขันธ์ - ท่านทราบว่ามันหิว มันต้องการเหมือนกัน - แต่จิตใจท่านไม่มีความหิวโหย - เพราะท่านพอแล้ว ไม่มีอะไรเข้าไปรบกวนจิตใจท่านได้เลย
    - นี่ล่ะระหว่าง "จิตของปุถุชน" กับ "จิตพระอรหันต์" จึงต่างกันอย่างนี้
    ____________________________________________________________________________

    - พระอังคุลิมาลฆ่าคนถึง 999 คน จะเป็นบาปเป็นกรรมขนาดไหน - แล้วทำไมอังคุลิมาลยังบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ล่ะ
    - พระอังคุลิมาล เธอไม่ได้ถอนรากแก้วรากฝอยขึ้นมา - พระอังคุลิมาลไม่ได้ฆ่าพ่อฆ่าแม่ นี่คือต้นลำอันใหญ่หลวง - ถ้าฆ่าแม่เสีย หรือฆ่าพ่อคนใดคนหนึ่งแล้ว พระอังคุลิมาลก็เท่ากับถอนรากแก้วรากฝอยแห่งอุปนิสัยปัจจัยที่จะให้เป็นพระ อรหันต์นั้น ขาดสะบั้นลงไป จมลงในนรกทันทีทันใด
    - สัตว์ประเภทที่มีบุญมีคุณหนักเบามากน้อยต่างกัน - ถึงขั้นอนันตริยกรรมก็มี อย่างฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายพระพุทธเจ้า - เหล่านี้เป็นกรรมที่หนักมากที่สุด - ใครทำลงไป มีอุปนิสัยมาเท่าไรขาดสะบั้นหมด
    ____________________________________________________________________________


    - เมื่อมีเงินมีทองข้าวของ เรื่องกิเลสตัณหาจะพอกพูนขึ้นไปเรื่อยๆล่ะ - ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมาก จึงตัดให้ขาด ไม่มีอะไรเลยทีเดียวติดเนื้อติดตัว ให้เหลือแต่บริขารแปด - ปฏิบัติธรรมเพื่ออรรถเพื่อธรรมโดยถ่ายเดียว แล้วก็เพื่อมรรคผลนิพพาน
    - ใครที่มีหลักธรรมหลักวินัยติดแนบกับตัว ก็แสดงว่ามีศาสดาติดกับตัว - มรรคผลนิพพานจะไม่ต้องไปดูที่ไหน - ให้ชี้ลงในธรรมในวินัยนี้ คือทางก้าวเดินมรรคผลนิพพาน - ถ้าไม่ผิดพลาดจากนี้แล้ว มรรคผลนิพพานจะเจอไม่สงสัย - เพราะธรรมนี้ชี้ไว้เพื่อมรรคผลนิพพาน
    - เพราะฉะนั้น ท่านถึงให้เคารพธรรม เคารพวินัย - อย่าข้ามเกินฝ่าฝืน - ให้ปฏิบัติตามนี้แล้วจะเจอมรรคผลนิพพาน ตามนี้แหละ
    - ไปดูที่อื่น ดูโลกๆไปเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์
    - ให้ดูหลักธรรมหลักวินัยที่เป็นเข็มทิศทางเดินเพื่อมรรคผลนิพพาน อันนี้แม่นยำ
    - "ดูก่อนอานนท์ ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามหลักธรรมหลักวินัยที่แสดงไว้แล้วอยู่ - พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์"
    - จุดนี้เป็นจุดที่ตักตวงเอามรรคผลนิพพาน - ถ้ามองข้ามนี้แล้วก็เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปเลย ไม่มีศาสดา ไม่มีความหมายล่ะ
    ____________________________________________________________________________

    - พระอรหันต์มี 4 ประเภท - ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกันก็จริง แต่อาการนี้จะไม่เหมือนกัน
    - สุกฺขวิปัสฺสโก, เตวิชฺโช, ฉฬภิญฺโญ, จตุปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต - นี้เป็นอาการของความบริสุทธิ์ตามวาสนาของผู้ปรารถนามา - คือผู้ที่ปรารถนาอะไรก็ตามนะ
    - อย่างเรามีพื้นที่อยู่นี่ พื้นที่นี้เราจะปลูกอะไรบ้าง - เราปลูกอะไร มันก็เป็นผลอันนั้นขึ้นมาๆ - ถ้าปลูกอย่างเดียว มันก็มีแต่อย่างเดียวขึ้นมา - ปลูกหลายชนิดก็มีหลายชนิดขึ้นมา - จากพื้นแผ่นดินเป็นสวนเป็นไร่เป็นนาของเรานะ มันก็ออกหลายสิ่งหลายอย่าง เป็นผลประโยชน์ขึ้นมา จากพื้นที่อันเดียวกันนั่นแหละ
    - อันนี้ผู้ต้องการเป็นพระอรหันต์ล้วนๆแล้ว ไม่ต้องการอะไรแล้ว -ก็มีแต่พื้นที่ของท่านล่ะ จะปลูกอะไรก็ปลูกอย่างเดียวไปเลย
    - ผู้ต้องการหลายชนิดก็ปลูกหลายชนิด - มันก็ออกหลายชนิด เข้าใจหรือยัง
    - นี่อรหันต์ คือพื้นที่เสมอกันเหมือนกัน - แต่เวลานิสัยวาสนาออกจากความปรารถนาของตัวเองแล้ว สำเร็จเป็นอรหันต์ขึ้นมา - นิสัยวาสนานี้จะตามไปเลย พากันเข้าใจนะ
    ____________________________________________________________________________

    - โปฐิละ แปลว่า ใบลานเปล่า - คือเรียนมาเปล่าๆ เป็นเหมือนหนอนแทะกระดาษ ไม่สนใจปฏิบัติ - แต่ท่านมีอุปนิสัย - พระโปฐิละเป็นอาจารย์สอนด้านปริยัติ
    - พระองค์ทรงเห็นอุปนิสัยแล้ว ใส่เพื่อจะให้สะดุดใจ - ใบลานเปล่า เธอจงลุก เธอจงนั่ง เธอจงไป เธอจงมา ใบลานเปล่าๆเรื่อย
    - เอ๊ ทำไมเราเรียนมามากมาย จนขนาดได้เป็นครูเป็นอาจารย์สอนด้านปริยัติ- ทำไมพระพุทธเจ้าแทนที่จะชมเชยเราสักคำหนึ่งไม่มีเลย มีแต่ใบลานเปล่า - ไม่เคยมีชม เพราะเหตุไร - ท่านจึงเกิดความสลดสังเวช
    - พอกลับไปถึงวัดเตรียมบริขารปุ๊ปปั๊ป -พวกบริษัทบริวารในวัดเต็มไปหมด ลูกศิษย์ลูกหา ไม่บอกใครเลย - เตรียมตัวออก หนีไปกลางคืนไม่บอกใครเลย ไปก็มุ่งหน้าต่อพระอรหันต์

    -ขึ้นไปหามหาเถระก่อน นี่ก็อรหันต์ - อรหันต์ตลอดถึงเณร - องค์นี้ก็ว่า อู๊ย ท่านเป็นขนาดอาจารย์แล้วจะให้ผมสั่งสอนอะไร ท่านหลบตัวเสีย - ให้องค์นี้ลองดู หันเข้ามาองค์นั้น องค์นั้นก็พูดแบบเดียวกันๆไปเลย - จนกระทั่งถึงสามเณรน้อย นั้นก็เป็นพระอรหันต์ - เลยมอบกายถวายตัวต่อเณร เอาเณรเป็นอาจารย์ เอาจริงๆนะไม่ใช่ธรรมดา
    - เณรก็ทดลองทุกอย่าง - ทดลองทิฐิมานะจะถือเนื้อถือตัวหรือไม่- สอนอย่างไร ทำอย่างนั้น เอาอย่างนั้นหมดเลย - เณรก็ลงใจ เอ้อ จะสอนได้แหละ
    - คำสอนเณร - สอนตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตนี้แหละ - ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย หมด - ให้จิตทำงานอย่างเดียว เปิดช่องจิต - มีสติพิจารณากันตรงนี้ -จนได้บรรลุธรรมถึงขั้นอุเบกขา -เณรเป็นอาจารย์ ไปไหนจะติดตามเณรเลย เหมือนสามเณรน้อยแหละ
    - ทีนี้ พอสั่งสอนธรรมถึงจุดนี้แล้ว นี่แหละจุดจะเข้าด้ายเข้าเข็ม จะบรรลุธรรมแหละที่นี่ - เณรรู้แล้วนะ - เณรยังให้เกียรติ

    - พอถึงขั้นจะสำเร็จอรหันต์ เณรพาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า -เณรจะสอนให้สิ้นกิเลสในเวลานั้นก็ได้ -แต่เพื่อยกเกียรติของมหาเถระนี้ขึ้น จึงพามหาเถระนี้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
    - พอเข้าไปถึง -เป็นยังไงเณร ลูกศิษย์เธอเป็นยังไง - เพราะท่านทรงทราบแล้ว
    - "โอ๊ย หาได้ยาก อาจารย์อย่างนี้หาได้ยาก ไม่มีคำว่าทิฐิมานะ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอรรถธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย"
    - พอไปแล้วเณรก็มอบถวายพระพุทธเจ้า - เณรก็หลีกตัวไปเสีย

    - พระองค์ก็ทรงสั่งสอนขึ้นว่า "โยคา เว ชายเต ภูริ" -สอน เรื่องปัญญาขึ้นเลย -เพราะอยู่ในขั้นมัธยัสถ์ ขั้นอุเบกขาวางเฉยเรียบร้อยไปแล้ว - ถึงขั้นจะก้าวปัญญาแล้ว เณรจึงไปถวายพระพุทธเจ้า - พระองค์ก็ทรงแสดงถึงขั้นปัญญาขึ้นทันที
    - พระโปฐิละบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขึ้นต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า - ไม่ให้บรรลุธรรมต่อหน้าเณร - นั่นเห็นไหม เณรยกเกียรติให้ขนาดนั้น
    ____________________________________________________________________________

    โยม - พวกหนอนแทะกระดาษทั้งหลายถามว่า จะรู้ได้ยังไงว่าองค์ไหนเป็นพระอรหันต์จริง
    หลวงตา - อยากรู้ก็ปฏิบัติเอาซิ - สันทิฏฺฐิโก ประกาศให้ฟังอยู่ - ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะรู้ด้วยตนเอง
    - ผู้ไม่ปฏิบัติ เป็นหนอนแทะกระดาษตายไปตลอดกัปตลอดกัลป์ มันก็เป็นหนอนแทะกระดาษอยู่งั้นแหละ
    ____________________________________________________________________________

    [​IMG]
    - พูดถึงเรื่องความมักน้อย ที่เด่นที่สุดในวงลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ - ท่านอาจารย์หลุยส์ ยกนิ้วให้เลย ไม่มีใครเหมือนนะ
    - ท่านอาจารย์หลุยไปที่ไหน ท่านไปองค์เดียวๆ - ชอบสงัด ชอบไปองค์เดียว - บริขารใช้สอยไม่ให้มีอะไรติดไป นอกจากผ้าไตรเท่านั้น - ท่านเป็นอย่างนั้นตลอด - เอาผ้าใหม่ๆให้ ท่านไม่เอานะ มักน้อยที่สุด ไปที่ไหนๆ ก็เป็นอย่างนั้น
    - ในครั้งพุทธกาลก็พระกัสสปะท่านใช้ผ้าสามผืน - จนกระทั่งพระองค์ทรงเมตตารับสั่ง - นี่เธอก็เฒ่าแก่มากแล้ว ให้ใช้ตามอัธยาศัยสะดวกสบายตามวัยของคนแก่จะเป็นความสะดวกดี
    - ทางนั้นก็ทูลท่านว่า เท่าที่ข้าพระองค์ใช้อยู่นี้ และมีอยู่นี้ เป็นความสะดวกดีแล้ว
    - เออ! ถ้าอย่างนั้น เราก็อนุโมทนาสาธุ - แนะจะค้านยังไง ไม่ค้านนะ ตถาคตอนุโมทนาสาธุ
    - ถ้าได้พระปฏิบัติแบบนี้ๆมากๆ ศาสนายิ่งเจริญรุ่งเรือง - พระเราจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมากภายในจิตใจ
    ____________________________________________________________________________

    - ใครที่มาพูดป่าๆ เถื่อนๆ ว่า บรรดาพระอรหันต์ที่ตรัสรู้ หรือบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้น ต้องพระพุทธเจ้าเป็นผู้รับรองเสียก่อนถึงจะเป็นได้ - มันเอาป่าเอาเถื่อนจากไหนมาพูด - ยกยอกันเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณมาแสดงธรรม มาขายขี้เท่อให้เห็น- นั่นแหละความลูบคลำ
    - สนฺทิฏฺฐิโก พระ พุทธเจ้าประทานไว้เรียบร้อยแล้ว -จะพึงรู้เองเห็นเองในผลแห่งการปฏิบัติของตน ตั้งแต่พื้นจนถึงวิมุตติพระนิพพาน -ใครบรรลุปึ๋งที่ไหนก็พอแล้วๆ

    - พระอัญญตระ - ท่านจะเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้า เรียกว่าธรรมขั้นสูงแหละ ธรรมขั้นอัตโนมัติ - พอไปถึงใต้ถุนพระคันธกุฎี - ฝนตก เลยพักอยู่นั้น - ฝนตกน้ำหยดย้อยลงมาจากชายคา ตกมากระทบกับน้ำในพื้นร ตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมา - ตั้งขึ้นแล้วดับไปๆ
    - ท่านพิจารณาอยู่นั้นเทียบเข้ามากับสังขารความเกิดดับของจิต - สังขารไม่ว่าดีว่าชั่ว - เกิดแล้วดับๆ - ฐานของมันคือจิต -น้ำที่รับรองกันไว้ มันตกมากระทบกันตั้งขึ้นมาเป็นต่อมเป็นฟอง - ท่านพิจารณานี้แล้วบรรลุธรรมปึ๋งเลย - สนฺทิฏฺฐิโก แล้วนั่น - บรรลุธรรม สนฺทิฏฺฐิโก หายสงสัย
    -พอฝนหยุดเท่านั้น แทนที่จะขึ้นไปทูลถามพระพุทธเจ้า -กลับเลย ไม่ไป
    - สนฺทิฏฺฐิโก จำเป็นอะไรจะต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า
    ____________________________________________________________________________

    - พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลาย ตายร่มไม้ภูเขา ไม่เห็นไปตายกองกันอยู่โรงพยาบาลเหมือนสัตว์โง่อย่างพวกเรานี้นะ
    - กิริยาอาการจะเป็นยังไง ก็เป็นตามธาตุตามขันธ์ซึ่งเป็นส่วนสมมุติ - ส่วนจิตที่เป็นวิมุตตินั้นมันจ้าอยู่ตลอดเวลาแล้ว เปลี่ยนแปลงที่ไหน - นั่นแหละ ท่านเรียกว่า "นิพพานเที่ยง" ตรงนั้นเอง
    ____________________________________________________________________________

    [​IMG]

    - ไม่มีใครที่จะเก็บความรู้สึกได้ดียิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน - รู้นี่รู้จริงๆ แต่ทำเหมือนไม่รู้
    - หากว่าผู้ใดหรือรายใดที่จะพอเป็นประโยชน์ยังไงๆ ก็ไปแนะๆ เฉพาะๆ แล้วผ่านไปเลยๆ - ความรู้อันนี้ท่านจะไม่ได้เอามาใช้ทั่วๆ ไป- ท่านจะใช้เฉพาะๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ใดโดยเฉพาะ - พอมีโอกาสเมื่อไร ท่านจะแนะนิดๆ - เป็นความรู้ภายในที่ท่านเก็บไว้เรียบร้อย
    - จะรู้เห็นอะไรก็ตาม เหมือนไม่รู้ไม่เห็น - เดินผ่านไปผ่านมาปั๊บ มันรู้แล้วว่า - สายทางของคนนี้มายังไงๆ อันนี้สำคัญมาก

    - เรื่องความรู้นี้ละเอียดลออมาก - พอมองเห็นปั๊ป มันทราบแล้ว -ทราบสายทางของผู้นั้นเป็นมายังไงๆ รู้ปั๊ปๆ -นี่เรียกว่าความรู้ภายใน - นี่ล่ะ ท่านเก็บ
    - ไม่มีใครเก็บความรู้สึกประเภทนี้ได้ยิ่งกว่าท่านผู้รู้ธรรมเห็นธรรม - มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เป็นต้นที่เก็บความรู้สึก - ท่านจะเอาออกใช้เฉพาะรายๆ ที่จำเป็นเท่านั้น - ท่านไม่ได้ใช้ดะนะ
    - ธรรมะที่เทศน์สอนทั่วๆไป เป็นอย่างหนึ่ง - ธรรมะที่เฉพาะๆ เป็นอีกอย่าง
    ____________________________________________________________________________

    - ขันธ์พระอรหันต์นี้ เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีกิเลส - ความคิด ความปรุง สัญญาอารมณ์อะไรเหล่านี้ - สักแต่ว่ารู้ๆ ไม่เป็นกิเลส - เพราะใจไม่เป็นกิเลส ใจหมดแล้วกิเลส
    - พระอรหันต์ท่านไม่มีอสุภะอสุภัง ไม่มีกรรมฐาน - เหล่านี้เป็นทางเดิน - ผ่านไปหมดแล้วจะเอากรรมฐานมาจากไหน - กรรมฐานก็เป็นทางเดินใช่ไหมล่ะ - ผ่านไปหมดแล้ว มันก็ไม่มีกรรมฐานซิ - อะไรที่มี ก็คือนิพพาน
    ____________________________________________________________________________

    - งานของโลกไม่มีที่สิ้นสุด ตายกอดกันไปกับงาน
    - แต่ธรรมนี้ เมื่อถึงขั้นสิ้นสุด สิ้นสุด หมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเข้ามาสอดแทรกอีกแล้ว
    ____________________________________________________________________________

    [​IMG]
    - ใจของพระอรหันต์ จะแสดงอะไร แม้ที่สุดจะออกมาทางกิริยาท่าทางอะไรก็ตาม -จะเป็นแต่กิริยาที่โลกเขายึดเขาเกาะกันว่าดุ ว่าด่า ว่าเฆี่ยน ว่าตี ว่าเด็ด ว่าขาด ว่าอะไร ก็ว่าไปตามกิริยา - แต่ใจนี้เป็นไปด้วยคุณธรรมทั้งหมดนั้น
    - ไม่ว่าจะอ่อน จะแข็ง จะดุ จะด่าว่ากล่าว นิ่มนวล หรือธรรมดาๆ ก็ตาม - เป็นเรื่องของธรรมล้วนๆ ออก - ท่านจึงไม่มีพิษ จะแสดงอาการทั้งหลายออกมาอย่างใดก็ตาม ไม่มีพิษ มีแต่คุณถ่ายเดียวเท่านั้น

    - เพราะพิษในจิตไม่มี มีแต่ธรรมล้วนๆ - กิริยาอะไรแสดงออกมาเป็นธรรมทั้งหมดเลย
    - ถ้าทำจิตให้หมดพิษภายในตัวเองแล้ว - กิริยาแสดงออกก็เป็นคุณทั้งหมดๆ เลย
    ____________________________________________________________________________

    โยม - เมื่อ 9 ปีก่อน เข้าใจว่าพระอรหันต์ไม่ฉันหมาก แต่หลวงตาฉันหมาก เลยมากราบขอขมา
    หลวงตา - พระอรหันต์ไม่ใช่หัวตอรู้ไหม - ร่างกายเป็นสภาพเหมือนโลกทั่วๆ ไป ใช้เหมือนโลกทั่วๆไป ที่เคยใช้ยังไงๆ เข้าใจไหมล่ะ - ธาตุขันธ์เป็นสมมุติ - ใจเป็นวิมุตติ ใจไม่เอาอะไร - ใจของพระอรหันต์ทุกองค์บริสุทธิ์สุดส่วน ไม่เอาอะไรเลย
    - ส่วนธาตุขันธ์ก็เป็นเหมือนโลกทั่วๆไป - เขากินอะไรกินกับเขา - ถ้าเขาพากินช้างก็จะฟาดช้างเลย เข้าใจหรือยัง มีช้างกี่ตัวเอามาจะฟาดหมด
    - อะไรกัน เห็นพระอรหันต์เป็นหัวตอไปหมด กระดุกกระดิกไม่ได้ - พระอรหันต์เป็นนักโทษใหญ่ คืออรหันต์
    - พวกส้วมพวกถานนั่นล่ะ มันมาตำหนิพระอรหันต์ - พระอรหันต์เป็นอย่างนั้น พระอรหันต์เป็นอย่างนี้ - ตัวมันเป็นอะไรไม่ดู
    - แล้วว่าอะไร มาขอขมา (ครับ) - เราให้เขามาตลอดโลกสงสาร เราไม่เอาอะไร
    ____________________________________________________________________________

    - จิตของพระอรหันต์ ท่านพ้นจากทุกข์ ก็คือพ้นจากกิเลสคืออวิชชานี้เป็นสำคัญ
    - พออวิชชาดับพรึบลงไปเช่นนั้น จิตนี้ว่างโดยหลักธรรมชาติ - มองไปที่ไหนไม่มีต้นไม้ภูเขา ดินฟ้าอากาศ - ถึงเราจะนั่งจะอาศัย จะเดินไปเดินมา ก็สักแต่ว่าปรากฎๆ - แต่จิตนี้ว่างครอบไปหมดเลย - นั่นล่ะ ที่เรียกว่า สุญฺญโต โลกํ - โลกนี้เป็นโลกสูญเปล่า ว่างเปล่า
    - นี่ล่ะจิตพระอรหันต์ท่าน ท่านว่างอย่างนี้ - เมื่อเห็นต้นไม้ภูเขา ก็เป็นเพียงรางๆ เป็นเงาๆ
    - ส่วนเรื่องใหญ่โต คือ ความว่างของจิตนี้ ว่างเป็นประจำเต็มหัวใจ - แล้วท่านจะสะทกสะท้านกับสิ่งใดในโลกอันนี้ - นั่นล่ะ จิตว่าง-สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ

    - ท่านว่าให้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่า - แล้วถอนอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นว่าเขาว่าเรา อันเป็นเหมือนก้างขวางคอออกเสีย- จะพึงหลุดพ้นจากพญามัจจุราช พญามัจจุราชจะตามไม่ทัน - ผู้ที่พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ แล้วหลุดพ้นไปโดยสิ้นเชิง -นี่การพิจารณาภาวนา

    - พอถึงขั้นอวิชชาขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว จิตก็ว่างโดยหลักธรรมชาติ - สุญฺญโต โลกํ - เป็นว่างไปหมด ไม่มีอะไรเข้ามาแทรกแซงในจิต แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีเลย - มีแต่จิตที่ว่างเปล่าไปหมด นั่นล่ะจิตของพระอรหันต์ท่านว่างอย่างนั้น

    [​IMG]

    - ท่านไม่ยึดไม่ถือ ไม่มีอะไรในโลกที่จะเข้ามาผ่านจิตใจให้ท่านยึดท่านถือ - ท่านหลงงมงายอะไรไม่มี - ธรรมชาตินั้นว่างหมดเรียบร้อยแล้ว - นี่คือจิตพระอรหันต์ แล้วความทุกข์จะมาจากไหน เมื่อไม่มีสิ่งเข้ามาแทรกให้เกิดความทุกข์ลำบากลำบนมากน้อย

    - คำบริกรรมให้ติดอยู่กับจิต จนจิตสงบ - เมื่อจิตมีความสงบแล้ว จิตก็เป็นจุดแห่งความสงบ สติตั้งเข้าไปหาจุดแห่งความสงบ - จากนั้นกระจายเป็นทางปัญญาดังที่ว่ามานี้- สติไม่ปล่อยวาง สติละเอียดลออเข้าเป็นลำดับลำดา- จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ -ทำงานฆ่ากิเลสโดยลำพังตนเอง โดยไม่ต้องบังคับบัญชา จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือ

    - นั่นล่ะที่นี่จิตว่าง จิตพระอรหันต์ท่านว่างอย่างนั้น - ว่างจากสมมุติทั้งสามแดนโลกธาตุ ว่างหมดโดยสิ้นเชิง - ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องในจิตของท่านเลย จึงเรียกว่าจิตของท่านว่าง หรือเป็นบรมสุข
    ____________________________________________________________________________

    - พระพุทธเจ้านิพพาน พระสงฆ์ทั้งหลายปลงธรรมสังเวช คือ น้ำตาร่วง - นี่ล่ะขันธ์ทำงาน จิตพระอรหันต์ท่านจะเป็นอะไรไป
    - ที่ว่าท่านปลงธรรมสังเวช คือน้ำตาพระอรหันต์ร่วงนั่นเอง - ขันธ์ดีดรับขันธ์ - ขันธ์หนึ่งพระพุทธเจ้านิพพาน - ขันธ์หนึ่งก็เกิดความสลดสังเวช ถึงบุญถึงคุณถึงอะไรทุกอย่าง -บุญคุณมหาคุณของพระพุทธเจ้า จะมารวมอยู่ในหัวใจพระอรหันต์หมดเลย - เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมสังเวชขึ้นมา น้ำตาร่วงๆ
    - น้ำตานี้เป็นสมมุติ - พระพุทธเจ้านิพพานก็เป็นสมมุติเข้ารับกันได้ - ธรรมวิมุตติไม่มีปัญหาอะไรแหละ เป็นอย่างนั้น - มันวิ่งขึ้นมาหากันหมดล่ะ
    ____________________________________________________________________________

    [​IMG]
    - ถ้าลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วตีตราเป็นพระอรหันต์เลย -เปิดเผยเต็มที่แล้ว - ปิดไม่อยู่แล้ว- จิตก็บริสุทธิ์
    - บรรดาพระกรรมฐานท่านอยู่ที่ไหน ท่านรู้กันนะ- องค์ไหนภูมิจิตภูมิธรรมเป็นอย่างไรๆ ท่านรู้กัน ท่านเข้าถึงกันเสมอ
    - ทางด้านภายนอกออกไปแล้ว ท่านก็เหมือนไม่รู้ไม่ชี้อะไร - อยู่ในป่าในเขาท่านภาวนี้ - สนทนากันนี้ลืมมืดลืมแจ้ง - มันเพลินในการภาวนา ในการคุยกันเรื่องอรรถเรื่องธรรม
    - เดี๋ยวนี้จะไม่มีแล้วนะ พระที่จะทรงมรรคทรงผลอย่างนั้น - เพราะพระที่เข้าอยู่ในป่าในเขามีน้อยมากทีเดียว - มีแต่อยู่ในตลาดลาดเล กระดูกหมูกระดูกวัวแขวนคอเต็มไปหมด - พระทั้งองค์ไม่เห็น เห็นตั้งแต่กระดูกหมูกระดูกวัวแขวนคอ -เรื่องธรรมที่จะแทรกในใจไม่มี
    - ผู้หาธรรมต้องเห็นธรรม - ผู้หาโลกต้องเห็นโลก - ความสกปรก ความสะอาดมีอยู่ด้วยกัน
    ____________________________________________________________________________

    [​IMG]

    - เราสอนโลก เราก็สอนเต็มความสามารถ - การปฏิบัติธรรมของเรา ก็เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย - เป็นเวลา 9 ปี ตกนรกทั้งเป็น
    ตั้งแต่ได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์ลงมาแล้ว - เพราะมุ่งใส่ท่านอย่างแรงกล้า เพื่อมรรคผลนิพพานอย่างสุดหัวใจ - จะให้ได้ถึงนิพพานในชาตินี้ และอย่างไรจะให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ - ว่าอย่างนั้นเลย จิตมันพุ่งๆ - ขอแต่มีผู้รับรองว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่เท่านั้น เราจะเอาตายเข้าว่าเลย - นี่ล่ะเป็นความมุ่งมั่นของใจแรงกล้ามากทีเดียว

    - ไปก็เข้าไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น - ท่านกางเรดาร์ไว้แล้วก็ใส่เปรี้ยงๆ - ท่านมาหาอรรถหาธรรมหรือ ท่านมาหามรรคผลนิพพานหรือ - ขึ้นเลยนะ
    - ท่านกางเรดาร์ไว้แล้ว - พอเราเข้าก็ใส่ปุ๊ปเลย - ท่านมาหามรรคผลนิพพานหรือ - ท่านมาหาอรรถหาธรรมเหรอ - ต้นไม้เป็นต้นไม้, ภูเขาเป็นภูเขา, ดินฟ้าอากาศเป็นธรรมชาติของเขา - ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน
    - ธรรมแท้ กิเลสแท้ มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่ใจ ไล่ลงมานี้ - พระพุทธเจ้าบุกเบิกสิ่งสกปรกเหล่านี้ออกด้วยวิธีการใด ก็คือจิตตภาวนา - เอา! ให้ท่านเร่งจิตตภาวนาเข้าให้หนัก - ท่านไม่ต้องถามหานิพพาน
    - เราไปมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่สุด - หาที่ปลดเปลื้องว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่หรือไม่ - ไปท่านก็ใส่เปรี้ยงมรรคผลนิพพานเลย - มันก็จ้าออกเลย - ทั้งๆ ที่กิเลสมีเต็มหัวใจ แต่ก็ไม่มีความสงสัยมรรคผลนิพพาน ทางนี้
    - เอาล่ะนะทีนี้ เราจะจริงไหม - จริง ไม่จริงต้องตายเท่านั้น ว่าอย่างนั้นเลย- ตายนี้ตายเพื่อบูชามรรคผลนิพพาน - จะให้ได้มรรคผลนิพพานในชาตินี้ ให้เป็นอรหันต์ชาตินี้
    - ตั้งแต่นั้นล่ะจึงว่าตกนรกทั้งเป็น - คือนิสัยอันนี้มันผาดโผน - ลงใจแล้วด้วยเรื่องมรรคผลนิพพาน อย่างไรก็ฟัดกันเลย เอาจริง

    - แต่เที่ยวกรรมฐานไม่มีใครไปด้วยนะ ห้ามไม่ให้ไป - ความเป็นห่วงเป็นใยกันในสัญชาตญาณมี ไม่ว่าเขาว่าเรา - ไปกับหมู่กับเพื่อน หากเป็นห่วงเป็นใยหมู่เพื่อน
    - ถ้าเราไปคนเดียวนี้ ป่าช้าอยู่กับเราพอ - อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่กิน - ความเพียรเอาขนาดไหน ความเป็นความตายรู้อยู่กับจิตเรา - เท่านั้นล่ะฟัดกันเลย - จึงได้ธรรมเหล่านี้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย - ไม่ได้มาแบบงมเงาเกาหมัดนะ - สอน สอนจริงๆ รู้จริงๆ เห็นจริงๆ กิเลสขาดสะบั้นไปจากใจจริงๆ - ไม่ถามนิพพานตั้งแต่บัดนั้นมา ไม่ถามถึง จริงหรือไม่จริง
    ____________________________________________________________________________

    - ผู้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว เป็นผู้ลบป่าช้าทั้งนั้น - ไม่มีป่าช้าใดที่จะปีนขึ้นมาได้เลยพระอรหันต์ สิ้นซากของกิเลสทั้งหลาย- พระอรหันต์จึงไม่มีป่าช้า - หมดโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่กิเลสซึ่งเป็นตัวสร้างป่าช้าดับภายในจิตใจ ป่าช้าก็ดับในเวลานั้น - จ้าขึ้นมาแล้ว อาโลโก อุทปาทิ - สว่างกระจ่างแจ้งทั้งวันทั้งคืน- ไม่มีอะไรเหลือเลยภายในจิตใจของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์
    - พระอรหันต์ในครั้งนั้น กับพระอรหันต์ในครั้งนี้ ต่างกันอย่างไร
    - พระอรหันต์ก็คือกิเลสสิ้นไปจากใจ - เวลากิเลสมีอยู่ มันทุกข์ด้วยกันทั้งครั้งนั้นครั้งนี้ - พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว- ครั้งนั้นครั้งนี้เป็นพระอรหันต์ที่สมบูรณ์แบบด้วยกันทั้งหมด เป็นบรมสุขด้วยกัน
    ____________________________________________________________________________

    [​IMG]
    - วันนี้พี่น้องทั้งหลายก็ได้มากราบไหว้บูชาเจดีย์เหล่านี้ (เจดีย์สุภัททเถรานุสรณ์ หลวงปู่แนน สุภัทโท) - แล้วพร้อมกันได้มาพบครูบาอาจารย์ที่มาในงานนี้ -สมณานญฺ จ ทสฺสนํ - การเห็นสมณะผู้มีกาย วาจา ใจอันสงบเป็นมงคลอย่างสูงสุด นี่ก็เป็นมงคลแล้ว
    - ครูบาจารย์ทั้งหลายมาที่นี่มีหลายประเภท - แต่ท่านไม่ตีเบอร์ตีตราไว้ เหมือนเบอร์นายร้อยนายพัน - ท่านจะเป็นชั้นใดภูมิใจในธรรมของท่านอยู่ภายในใจ เราไม่อาจทราบได้นะ เพราะท่านไม่ตีเบอร์ไว้ นี้คืออรหันต์นะ
    - ถ้าตีเบอร์ไว้ คืออรหันต์ ก็มีแต่หันไปหันมา มันไม่ใช่อรหันต์แท้ เข้าใจไหม
    - ถ้าอรหันต์แท้อยู่ภายในสง่างาม อย่างพระพุทธเจ้า1 พระอรหันต์1 ที่สำเร็จภายในจิตใจสง่างาม - เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหมทั้งหลายลงมากราบไว้ บูชาท่านเหล่านี้ทั้งนั้นแหละ

    - เรานานๆ จะได้พบท่าน พบก็พบแต่ผ้าเหลืองธรรมดา - ไม่ทราบว่าท่านเป็นพระประเภทใด - เพราะ พระที่ท่านทรงคุณธรรมอันสูงส่งอย่างนี้ มักจะไม่แสดงตัว - ไปที่ใด เห็นอะไร พบอะไร ได้ยินเรื่องราวอะไร ไม่แสดงตัว เหมือนไม่เห็น ไม่รู้ ไม่ได้ยิน - หรือรู้อะไรภายในจิตใจก็เหมือนไม่รู้ - ท่านบัณฑิตนักปราชญ์ฉลาดแหลมคมอยู่ภายใน เป็นอย่างนั้นล่ะ
    - มาในงานนี้ เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะไม่มี - มี แต่ท่านไม่ได้ประกาศออกเสียงให้เราทราบเฉยๆ
    - ยังมีผู้ปฏิบัติความดี ปฏิบัติอยู่ทุกเวล่ำเวลา - ความดีขวนขวายเข้ามา ขวนขวายเข้ามา -มากเข้าๆ ก็สำเร็จลุล่วงไปโดยสมบูรณ์ถึงขั้นอรหัตตบุคคลก็ได้ - นั่นแหละธรรมเป็นอยู่ลึกๆ นะ

    ____________________________________________________________________________

    - ทั้งๆ ที่พระอัสสชิท่านเป็นพระอรหันต์แล้วนะนั่น -ท่านไม่ได้บอกว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์นะ ไม่ได้ว่านะ - ถ้าว่าคำนี้จะไม่ขลังเลย - แต่ท่านไม่ได้พูด บอกว่าอาตมาพึ่งบวชใหม่ๆ มาในธรรมวินัยใหม่ๆ ยังไม่มีความรู้อันกว้างขวาง จะแสดงธรรมย่อๆ เท่าที่เข้าใจได้ให้ท่านฟัง
    - พอว่าอย่างนั้นก็ เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ขึ้น เลย - ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุในหัวใจนี้ทั้งนั้น - หัวใจเป็นที่เกิดของบาป ของบุญ ของคุณของโทษ - เป็นที่เกิดของนรก สวรรค์ นิพพาน เกิดที่ใจ - ท่านลงในจุดนี้ทัน ไม่ได้บอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์ - ทั้งๆ ที่ท่านเป็นพระอรหันต์นะ เบญจวัคคีย์ทั้งห้า อัสสชินี้เป็นองค์ที่ห้า- พระสารีบุตรสำเร็จเป็นพระโสดาขึ้นทันที
    - นี่ล่ะ การได้ยินได้ฟัง การเห็นอากัปกิริยา การถ่อมเนื้อถ่อมตัว ไม่แสดงอาการใดๆเลย - พระอัสสชิเป็นพระอรหันต์ - ท่านบอกท่านพึ่งถึงธรรมวินัยใหม่ๆ - ใหม่ๆ ก็จริง แต่ว่าพึ่งตรัสรู้แล้วก็มาสดๆ ร้อนๆ นี่ล่ะ ใหม่แบบนี้ต่างหากนะ
    - นี่ล่ะ การคบบัณฑิตนักปราชญ์ฉลาดแหลมคม - ท่านจึงสอนว่า อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา -อย่า คบคนพาลสันดานหยาบ จะพาให้เราลุ่มหลงล่มจมไปได้ไม่สงสัย -ขอให้คบบัณฑิตนักปราชญ์ฉลาดแหลมคมทางด้านอรรถด้านธรรม แล้วเราจะเป็นคนดิบคนดีขึ้นไปจนเป็นจอมปราชญ์ได้ไม่สงสัย
    ____________________________________________________________________________

    [​IMG]

    - เรายังจำได้ทีแรกถึง 10 นาทีนะ, ครั้งที่สองดูเหมือน 45 นาที - หมุนติ้วเลยนะ - ถ้าเทียบเหมือนกับถังน้ำที่สะอาดสุดยอด ไม่มีน้ำไหนเสมอเหมือนเลย นอกจากน้ำพระอรหันต์ด้วยกัน
    - ธรรมะนี้นะ ถ้าไม่รู้ตอบไม่ได้, และถ้าไม่รู้เอาออกถามไม่ได้ - พอขึ้นไปก็ใส่ปั๊วะเลย - ท่าน(หลวงปู่แหวน)ดีดผึงลงมาเลย เร็วที่สุดนะ - น้ำที่สะอาดสุดยอด 10 นาที - เอา 2 จุดเท่านั้น จุดสำคัญๆของธรรมะที่เลิศเลอ - พอจุดที่สอง 45 นาที ทีนี้ไหนเลยนะ ตัวแดงเลย กับทางนี้มันเอากัน
    - ทำลายรวงรังอวิชชาอันดับหนึ่ง, ทำลายรวงรังกามกิเลส - มี 2 จุดนี้ในโลกวัฏวนนี้ มี 2 จุดนี้เท่านั้นที่ครอบสัตว์โลกไว้ ไม่มีใครเอาออกมาพูด - วันนั้นเอาขึ้นซัดกับหลวงปู่แหวนเลย เอาอันนี้ล่ะขึ้น ใส่จุดสำคัญๆ - พอเราถามจุดแรก ท่านก็ผางออกมาเลย 10 นาที เราเข้าใจแล้ว - พอท่านหยุดหายใจเข้าอีกปั๊ป คราวนี้ 45 นาที ตัวแดง - เห็นธรรมะผู้เฒ่าออกวันนั้น

    ที่มาBlogGang.com : : Kat_kine
     
  2. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    รายชื่อและรูปพ่อแม่ครูอาจารย์เสาหลักพระธุดงค์กรรมฐาน ยุคปัจจุบัน
    สวัสดีค่ะ
    ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาดมา เห็นรูปพ่อแม่ครูอาจารย์้เสาหลักธุดงค์กรรมฐาน ที่ศาลา น่าสนใจและมีประโยชน์มาก
    เลยขออนุญาตถ่ายและนำมาฝากทุกท่านค่ะ [​IMG]
    พ่อแม่ครูอาจารย์้เสาหลักธุดงค์กรรมฐาน

    <table style="width: 85%;" border="1"><tbody><tr><td>[​IMG]</td><td>1. หลวงตามหาบัว ญาณสมปนฺโน - วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จังหวัดอุดรธานี </td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 2. หลวงปู่มหาเขียน ฐิตสีโล - วัดป่ารังสีปาลิวัน กาฬสินธุ์</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 3. หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล - วัดป่า ไชยวาน อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี </td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 4. หลวงปู่หลอด ปโมทิโต - วัดสิริกมลาวาส กรุงเทพ</td> </tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 5. หลวงปู่จันทร์ กุสโล - วัด เจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่</td></tr><tr> <td> [​IMG]</td> <td> 6. หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท - วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ. ปทุมธานี</td> </tr> <tr><td> [​IMG]</td><td> 7. หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ - วัดราษฎรสงเคราะห์ (ป่าบ้านหนองแซง) อ. หนองวัวซอ จ. อุดรธานี</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 8. หลวงปู่ชา สุภทฺโท - วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 9. หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ - วัดป่าเขาน้อย ต. เสม็ด อ. เมือง จ. บุรีรัมย์</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 10. หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร -วัดป่านาสีดา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 11. หลวงพ่อพุธ ฐานิโย - วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 12. หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ -วัดเจติยาคีรีวิหาร(ภูทอก) อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 13. หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร -วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 14. หลวงตาแตงอ่อน กลฺยาณธมฺโม -วัดกัลยาณธัมโม (วัดป่าโชคไพศาล) บ้านหนองนาหาร ต.นาซอ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 15. หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต - วัดบรรพตคีรี (วัดภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ. มุกดาหาร</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 16. หลวงปู่ศรี มหาวีโร - วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ. ร้อยเอ็ด.</td></tr><tr> <td> [​IMG]</td><td> 17. หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ - วัดป่านาคูณ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี </td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 18. หลวงปู่ผาง ปริปุณฺโร -วัดประสิทธิธรรม จ.อุดรธานี</td></tr> <tr><td> [​IMG]</td><td> 19. หลวงปู่เพียร วิริโย - วัดป่าหนองกอง ต.บ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี </td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 20. หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต- วัดอุดมคงคาคีรีเขต ตำบลนางาม อำเภอมัญจาคีรี จังหวัด ขอนแก่น</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 21. หลวงปู่แบน ธนากโร - วัดดอยธรรมเจดีย์ ม. 3 ตำบลตองโขบ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ สกลนคร</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 22. หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต - วัด ถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู </td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 23. หลวงปู่สุพัฒน์ สุขกาโม - วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี ต.บ้านต้าย อ.สว่างแดนดิน จ. สกลนคร</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 24. หลวงปู่ลี กุสลธโร -วัดเกษรศิลคุณธรรมเจดีย์ (วัดภูผาแดง) ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ. อุดรธานี</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 25. หลวงปู่คำตัน ฐิตธมฺโม - วัดป่าดานศรีสำราญ หนองคาย</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 26. หลวงพ่ออุทัย สิริธโร -วัดเขาใหญ่เจริญธรรม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 27. หลวงปู่ฟัก สนฺติธมฺโม -วัดพิชัยพัฒนาราม(เขาน้อยสามผาน ) ต.สองพี่น้อง อ.ท่าใหม่ จันทบุรี</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 28. หลวงปู่ประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร - วัดป่าหมู่ใหม่ ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 29. หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธมฺโม -วัดป่าแก้วชุมพล ต.บ้านชุม อ. สว่างแดนดิน จ.สกลนคร</td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 30. หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร - วัดถ้ำสหายธรรม จ.อุดรธานี
    </td></tr> <tr><td> [​IMG]</td><td> 31. หลวงพ่ออินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโล - วัดป่านาคำน้อย บ้านนาคำน้อย ต.บ้านก้อง อ.นายูง จ .อุดรธานี
    </td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 32. หลวงพ่อปัญญา วฑฺโฒ - วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จังหวัดอุดรธานี</td></tr><tr> <td> [​IMG]</td><td> 33. หลวงปู่มี ปมุตฺโต - วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย) บ้านหนองแซง ต.หนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี </td></tr><tr><td> [​IMG]</td><td> 34. หลวงปู่วันชัย วิจิตฺโต - วัดภูสังโฆ จ.อุดรธานี</td></tr></tbody></table> ที่มารูป - ศาลาวัดป่าบ้านตาด จ.อุดร


    ที่มาBlogGang.com : : Kat_kine
     

แชร์หน้านี้

Loading...