การปฏิบัติธรรม ต้องรู้ได้เฉพาะตน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 1 เมษายน 2010.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การปฏิบัติธรรม ในทางศาสนาพุทธนั้น ก็เพื่อจะชำระ ความขุ่นมัว ความหลง ต่างๆ ออกไปจากจิตใจ
    มื่อจิตใจที่ถูกซักฟอก ชำระแล้ว ก็จะทำให้เกิดพลานุภาพมาก มีประสิทธิภาพมาก
    ก็จะเรียกว่า ทรัพย์ประเสริฐ ที่น่าหวงแหน น่ารักษาอย่างยิ่ง
    เรามีทรัพย์อะไรก็ตาม อยู่นอกกายหมด แต่ ทรัพย์ที่เป็นใจนี้ ถ้าฝึกให้ดีก็จะใช้ได้ร้อยแปดอย่าง จะเนรมิตวัตถุสิ่งของต่างๆ ขอเพียงใจนี้ฝึกมาดี การเนรมิตวัตถุ สิ่งของ ก็จะทำได้ อัศจรรย์ เป็นลำดับชั้นไป ตั้งแต่ การเนรมิตด้วยปัญญาก่อร่างสร้างมาจนเป็นวัตถุ ตึกราบ้านช่อง ตามที่เห็นกันมาทั่วไป ล้วนแล้วแต่เกิดจาก จิตที่ฝึกมาดีแล้วทั้งนั้น และ อัศจรรย์ ไปจนถึง การเนรมิตด้วย อิทธิฤทธิ์ อันเป็นธรรมอันยิ่งของมนุษย์

    การปฏิบัติธรรมจึงมีผลอัศจรรย์ตามที่กล่าวมา แต่ปัญหาคือ การปฏิบัิตธรรม นั้นเหมือนกับ เราอยู่ในที่มืด จะไปทางไหน หันหน้าวนได้ 360 องศาแหงนหน้า ก้มต่ำ ได้อีก ทิศทางที่เราจะพุ่งไป จึงไม่รู้จะไปทางไหนดี ไปทางหนึ่งก็อาจจะนำไปสู่ทางที่ผิด หรือเสียเวลา ซึ่งหากว่า เราไม่ได้เกิดมาใน ประเทศนี้ ไม่มีใครสอนเรื่องพุทธศาสนา การแหงนหน้าหันหน้า ก็คงจะไปตามกระแสแห่งสังคม จึงกล่าวได้ว่า เราโชคดีอย่างยิ่ง ที่ได้เกิดมาใน ประเทศนี้เมืองนี้ ยุคนี้

    เมื่อเราได้ตระหนักแล้วว่า เรามีโชคดีอย่างยิ่งเพียงใด เราก็ควรที่จะไม่ทิ้งโอกาสที่จะคว้า ทรัพย์ที่ใจนี้ให้ ได้ในชาตินี้ โดยการปฏิบัติธรรม

    ซึ่ง การปฏิบัติธรรม มีหลักคือ จะต้องรู้ได้ด้วยตนเอง ในผลของการกระทำทุกอย่าง ดุจดัง ช่างทอง รู้จักวิธีการและขั้นตอนในการทำทอง ให้สวยงาม
    ซึ่ง การปฏิบัติธรรมนี้ก็เช่นเดียวกัน จะต้องรู้ ผล และ วิธีในการเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา ตามลำดับ ขั้นไป จนถึง บริบูรณ์ ด้วยตนเองทุกลำดับ

    การ อ่าน คำสอน การฟังเทศ เป็นสิ่งที่ดี แต่ธรรมทั้งหลายที่ พระอริยะได้มอบให้เรามานั้น เป็นธรรมของท่าน ไม่ใช่ธรรมของเรา เมื่อเรารับมาแล้ว ก็ต้องนำมาฝึก ให้เกิดเป็นสมบัติของเราให้ได้ ไม่เช่นนั้น ทุกอย่างจะอยู่เพียง กองสัญญา เปรียบเทียบดังว่า จิตนี้ มี กองสมบัติอยู่ 5 กอง คือ รูป สัญญา เวทนา สังขาร และ วิญญาณ การรับข้อมูลต่างๆ มานั้น เอามากองไว้แค่ กองแห่งสัญญา เท่านั้น แล้ว เราจะบอกว่า เรามีสมบัติล้นฟ้า ไม่ได้เลยเพราะว่า

    เวทนา เราก็ไม่เคยฝึก เราก็ ไม่เท่าทัน มันก็กลายเป็นโทษ ผลาญกองสัญญาที่เรามีได้ ให้กองสัญญาที่ดี เสียหายไป
    สังขาร เราไม่เคยฝึกให้เท่าัทันมัน เราก็ปรุงขึ้นมา ปรุงสิ่งไม่ดีบ้าง ปรุงเรื่องราวต่างๆ บ้าง แล้วก็ทับถมลงไปในกอง สัญญา คือ ทรัพย์ของพระอริยะที่เราฟังมา
    มันก็จะกลาย เป็น ข้าวดีปนข้าวบูด กินไม่ได้เหมือนกัน
    วิญญาณ เราไม่เคยฝึกให้เท่าทันมัน เราก็รับรู้ เข้าใจ ตามสภาพความจริงไม่ได้ เพราะว่า สังขาร และ สัญญาของเรามันพาบิดเบือนไปหมด

    การฝึกปฏิบัติธรรม จึงต้องซักฟอกจิตใจ ต่อสู้ กิเลสตัณหา ไม่หลงเชื่อว่า สิ่งต่างๆ นั้นมาจากตนแต่ ต้องสันนิษฐานให้บ่อยว่า ความรู้ความเห็นต่างๆ มาจากกิเลสเสมอ เราจึงต้องยั้งคิดยั้งทำ พิจารณาและเดินจับตามราวแห่งธรรมเดินไปจนกว่าจะพ้นความมืด

    และ การเดินตามราวแห่งธรรมนั้นจะต้องเดินไปจริงๆ เรียกว่า ฝึก ทำ ให้ใจเราต้านทานต่ออำนาจกิเลส ได้จริง ไม่ใช่ รู้อยู่ในหัว แต่ทำไปคนละเรื่องกับสิ่งที่รู้
    จนมีแต่ คนพูดได้ เต็มไปทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เรารู้ว่าอะไรไม่ดี แต่เราก็ทำ
    เรารุ้ว่าอะไรดี แต่เราก็ไม่ทำ ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ขาดการปฏิบัติ ให้จิตใจนี้ คลุกคลีไปกับธรรม

    ขาดสติ ยั้งว่า อะไรดีอะไรไม่ดี

    เพราะฉะนั้น การมีสตินี้แหละจะทำให้เรา รู้ตัว เมื่อ จิตใจ ความคิด ผิดปกติ

    ขัดเกลาให้จิตใจ รู้จัก จิตใจที่ปกติ ความคิดที่ปกติ ก็เรียกว่า มีศีล ดังนั้น ศีล หรือ ความปกติ นี้เราจึงต้องดำเนินให้ดี ว่า จิตใจของคนปกตินี้มันเป็นแบบใด
    จนถึงปกติ ที่สุด เมื่ออะไร ไม่ปกติเข้ามาเราก็จะรู้ทันไปตามลำดับ

    สมาธิ คือ ความตั้งมั่น อันเราจะต้อง ฝึกความตั้งมั่นนี้ให้ดี เพราะตามธรรมดา สิ่งต่างๆ ยั่วยุให้เราไหลไปในทิศทางต่างๆ อำนาจแห่ง นิวรณ์ พาเราไปในทิศทางไหนต่อไหน เราก็จำเป็นต้อง ทราบว่า ความตั้งมั่นแห่งจิต ความปกติแห่งจิต นี้เป็นอย่างไร ตามลำดับ อันเป็นผลที่ตนทำได้เอง

    และ สุดท้ายคือ ปัญญา เมื่อจิตตั้งมั่น ดีแล้วก็พิจารณา หาเหตุหาผล สังเกตุด้วยสติ ว่าจิตนี้ ไหลไปทางไหน ผัสสะ เวทนา วิญญาณ สังขาร ไหลไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ จนถึงกับ เราสามารถเลือก เส้นทาง ของชีวิตของเราเองได้เหมาะสมกับ ตัว และ เส้นทางนั้นนำไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ พระนิพพาน หรือ ความบริสุทธิ์ของจิตได้อย่างหมดจรด นั่นแหละ คือ สิ่งที่เราต้องเลือกเฟ้น ด้วยตนเอง ปรับแต่งด้วยตนเอง โดยอาศัย คำสั่งสอน ทุกๆ อย่างของพระอริยะเจ้า และ พระพุทธเจ้า เป็น แบบอย่างให้เราฝึกตาม ทำตาม
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ความมี สติ ก็ไม่ใช่ เพียงว่า สักแต่ว่า รู้ สักแต่ว่า เห็น ใน กิริยา อาการ ที่เราทำ

    แต่ ความมีสติ นั้น จะต้องรู้ตัวว่า เรากำลังทำอะไร เราทำไปเพื่ออะไร และ ผลจะได้อะไร

    จึงเรียกว่า ตื่นอย่างเต็มตัว

    คนหลายๆ คน นั่งสมาธิ ทุกวันโดยเชื่อว่า จะได้ดี หรือว่า พอมีปัญหาก็ไปนั่งสมาธิ ให้ปัญหามันระงับดับไป แต่ ลืมตั้งคำถามว่า นี่เราทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร มันแก้ไขปัญหาได้จริงหรือ

    หรือ พูดง่ายๆ ว่า ทำอะไรต่างๆ ลงไป โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ว่าทำไปเพื่ออะไร ได้ผลอะไร

    ทั้งนี้ ก็เพราะว่า เราไม่ทำตามลำดับ ให้ได้ผลตามลำดับ และ สังเกตุผลตามลำดับ

    การกระทำเช่นนี้ ในทางปฏิบัติ นั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่จะต้องสังเกตุด้วยการเรียนรู้ไปในตัวว่า สิ่งที่เราทำนี้จะได้ผลหรือไม่ได้อย่างไร แล้ว สิ่งที่เราจะได้ปัญญา คือ เราเอาตัวไปขวางทำไม เราไปพิจารณาเรื่องไร้สาระทำไม นี่แหละ จะทำให้เราวางได้อย่างแท้จริง

    หากว่า ใครวิปัสสนา จะต้องดำเนินตามทุกขั้นตอนจน เกิดปัญญาว่า เราเอาตัวเอาใจไปอยู่กับ เรื่องแคบๆ เรื่องเล็กๆ อย่างนั้นทำไม

    องค์ สติ ที่เห็นนี้ แหละ จะเห็น จิตแคบ จิตกว้างขวาง จิตเป็นอิสระ จิตหลุดพ้น

    ก็ต้องดูตรงเรื่องราวต่างๆ ที่เราเอาใจไปผูกพัน แล้ว แก้ไขด้วยตนเอง พินิจพิจารณาจนเห็นว่า เรื่องราวต่างๆ เป็นสิ่งที่เราเอาใจเราไปผูกพัน ในสิ่งเล็กๆ กรอบเล็กๆ แคบๆ แล้วเราจะวางมันได้ ตั้งแต่ หยาบไปจนถึงละเอียด พิจารณาเช่นนี้เหมือนกันหมด จนถึง หลุดพ้น
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    มันสว่างจากข้างใน ให้ความรู้สึกที่สงบเย็น แก่ผู้พบเห็น เมื่อจิตใจนั้นถูกขัดเกลากิเลสลงบ้างแล้ว แต่ถึงยังไงใครไม่รู้เราก็รู้ จึงเป็นการปฏิบัติธรรมต้องรู้ได้ด้วยตนเอง
    อนุโมทนาด้วยครับ
     
  4. ็HISPEED

    ็HISPEED สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +8
    เอาเวลาที่ไหนมาปฏิบัติธรรมกันครับ เห็นวัน ๆเอาแต่เล่นเน็ตถกเถียงกันทำให้อารมณ์ขุ่นมัวเสียเปล่า ๆ ไอ้ตัวจิตมันก็เลยฟุ้งซ่านตลอดเวลา ผมว่าเข้ามาเล่นน้อย ๆปฏิบัติให้มาก ๆแล้วดูความแตกต่างสิน่าจะเปลียนไปกว่าเก่าเยอะ
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อนุโมทนาครับ เวลาเรามีเท่ากันทุกคนครับ เพียงแต่ว่าแต่ละคนนั้นใช้ได้อย่างคุ้มค่ามากน้อยกว่ากันนั้นสุดแล้วแต่ความสามารถ แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ทำเลยครับ เพราะส่วนใหญ่ก็โพสต์เฉพาะตอนที่ทำงานหน้าคอมพ์ พอไม่ใช่เวลานั้นก็ตามอัธยาศัยครับ ก็เห็นด้วยกับท่านเช่นกันครับ
     
  6. dansa

    dansa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    250
    ค่าพลัง:
    +490
    อนุโมทนากับข้อความที่เขียนด้วยนะครับเป็นกุศลยิ่งครับ:cool:
     
  7. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    นั้นจิ เอาเวลาไปปฏิบัติดีกว่านะ ว่าป่ะ:boo:
     
  8. kkookk

    kkookk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +1,326
    เห็นด้วยครับ..!!!
    ผมก็โพสต์เฉพาะตอนทำงานอยู่หน้าคอมเหมือนกัน...
    ส่วนเรื่องการเล่นเน็ตนั้นผมก็ใช้หลักการที่ว่า "ฟังในสิ่งที่ควรฟัง ดูในสิ่งที่ควรดู"ครับ...
    ถ้าเราคิดว่ากระทู้หรือข้อความใดจะส่งผลไม่ดีต่อเราก็งดหรือผ่านไปซะก็แค่นั้นเอง...
    อินเตอร์เน็ตยังมีอะไรดีๆ อยู่อีกเยอะนะครับ เช่นคำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆ...
    เพราะคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีโอกาสได้ไปฟังคำสอนดีๆ หรือข้อธรรมดีๆจากครูบาอาจารย์...
    อินเตอร์เน็ตก็อีกทางหนึ่งที่ทำให้ได้ใกล้ชิดกับธรรมดีๆ ของครูบาอาจารย์...
    ก่อนเราจะลงมือปฏิบัติก็ต้องมีแนวทาง หรือทราบวิธีการปฏิบัติก่อน ไม่เช่นนั้นการปฏิบัติที่ไม่มีแนวทางก็เหมือนกับ"งมเข็มในมหาสมุทร" นั้นเองครับ...

    คิดดี พูดดี ทำดี
    เป็นศรีเป็นพรสูงสุด
    ไม่มีพรเทพพรมนุษย์
    เปรียบประดุจความดีที่ทำเอง

    อนุโมทนากับทุกๆ ท่านด้วยครับ...
     
  9. มานะมานะ

    มานะมานะ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +13
    แล้วต้องแยกด้วยหรอครับ ว่าเวลาปฏิบัติธรรมกับไม่ปฏิบัติ
    ถือว่ายังไม่เข้าใจหลักปฏิบัติธรรมอย่างถ่องแท้นะ

    ให้ถือว่าปฏิบัติธรรมตอนไหนก็ได้ที่มีสติระลึกรู้เป็นปัจจุบัน
    ให้ถือว่าปฏิบัติธรรมที่ไหนก็ได้ทีมีสติระลึกรู้เป็นปัจจุบัน

    สติปัฏฐาน 4 มีฐานอยู่ที่กาย ที่ใจ ฐานไม่ได้อยู่ที่ที่ทำงาน หรือห้องนอน หรือห้องพระ หรือลานวัดหลังกุฏิ

    เจริญในธรรม
     
  10. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    <table id="post3140157" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"><!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_3140157", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Oct 2006
    สถานที่: หาไม่เจอว่าอยู่ตรงไหน
    ข้อความ: 6,482
    Groans: 395
    Groaned at 626 Times in 447 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 2,362
    ได้รับอนุโมทนา 15,086 ครั้ง ใน 4,262 โพส
    พลังการให้คะแนน: 1076 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_3140157" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- google_ad_section_start -->"ความมี สติ ก็ไม่ใช่ เพียงว่า สักแต่ว่า รู้ สักแต่ว่า เห็น ใน กิริยา อาการ ที่เราทำ

    แต่ ความมีสติ นั้น จะต้องรู้ตัวว่า เรากำลังทำอะไร เราทำไปเพื่ออะไร และ ผลจะได้อะไร

    จึงเรียกว่า ตื่นอย่างเต็มตัว..."

    แค่ประโยคตรงนี้ ทำให้เกิดอย่างถูกต้อง...ก็ไม่น้อยกว่าหลายร้อย-พัน ชาติแล้ว ไหนจะต้องนำมาใช้ให้ถูกต้องตรงเป็นสัมมาสติอีก ต้องตายยยยอีกกี่ชาติกันหนอ สาธุครับ ท่านขันธ์

    </td></tr></tbody></table>
     
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ทสกนิบาต - ทุติยปัณณาสก์ - ๑. สจิตตวรรค - สาริปุตตสูตร
    <dl><dd>พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน</dd></dl> <dl><dd>สาริปุตตสูตร</dd></dl><dl><dd>[๕๒] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย</dd></dl> ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
    ถ้าว่าภิกษุไม่เป็นผู้ฉลาดในวารจิตของผู้อื่นไซร้เมื่อเป็นอย่างนั้น ภิกษุนั้นพึงศึกษาว่า เราจักเป็น
    ผู้ฉลาดในวารจิตของตน ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
    <dl><dd>ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในวารจิตของตนอย่างไรดูกรท่านผู้มีอายุ</dd></dl> ทั้งหลาย เปรียบเหมือนสตรีหรือบุรุษที่เป็นหนุ่มสาว มีปรกติชอบแต่งตัว ส่องดูเงาหน้าของตน
    ในคันฉ่องอันบริสุทธิ์หมดจด หรือในภาชนะน้ำอันใส ถ้าเห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น ก็พยายาม
    เพื่อขจัดธุลีหรือจุดดำนั้นเสียหากว่าไม่เห็นธุลีหรือจุดดำที่หน้านั้น ก็ย่อมดีใจ มีความดำริอัน
    บริบูรณ์ด้วยเหตุนั้นแลว่า เป็นลาภของเราหนอ หน้าของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ แม้ฉันใด
    ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย การพิจารณาของภิกษุว่า เราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่โดยมากหรือหนอ หรือ
    ว่าเราเป็นผู้ไม่มีอภิชฌาอยู่โดยมาก เราเป็นผู้มีจิตพยาบาทอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มี
    จิตไม่พยาบาทอยู่โดยมาก เราเป็นผู้อันถีนมิทธะกลุ้มรุมอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้
    ปราศจากถีนมิทธะอยู่โดยมาก เราเป็นผู้ฟุ้งซ่านอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
    อยู่โดยมาก เราเป็นผู้มีความสงสัยอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ข้ามพ้นความสงสัยอยู่
    โดยมากเราเป็นผู้มีความโกรธอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ไม่มีความโกรธอยู่โดยมาก
    เราเป็นผู้มีจิตเศร้าหมองอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตไม่เศร้าหมองอยู่โดยมาก เรา
    เป็นผู้มีกายอันปรารภแรงกล้าอยู่โดยมากหรือหนอหรือว่าเราเป็นผู้มีกายอัน มิได้ปรารภแรงกล้าอยู่
    โดยมาก เราเป็นผู้เกียจคร้านอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ปรารภความเพียรอยู่โดยมาก
    เราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมากหรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ ย่อมเป็น
    อุปการะมากในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
    <dl><dd>ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าว่าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีอภิชฌา</dd></dl> อยู่โดยมาก ฯลฯ เป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ไซร้ ภิกษุนั้นควรทำความพอใจ ความ
    พยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณ
    ยิ่ง เพื่อละธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น ฯ
    <dl><dd>ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีผ้าอันไฟไหม้ หรือมีศีรษะอันไฟไหม้</dd></dl> พึงทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้นความไม่ท้อถอย สติและ
    สัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อดับไฟไหม้ผ้าหรือไฟไหม้ศีรษะนั้น ฉันใด ภิกษุพึงทำความ
    พอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ
    ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
    <dl><dd>ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าว่าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่ย่อมรู้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ไม่มีอภิชฌา</dd></dl> อยู่โดยมาก ฯลฯ เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ไซร้ภิกษุนั้นควรตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้น
    แล้ว พึงทำความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายให้ยิ่งขึ้นไป ฯ
    <dl><dd>จบสูตรที่ ๒</dd></dl>ทสกนิบาต - ทุติยปัณณาสก์ - ๑. สจิตตวรรค - สาริปุตตสูตร - วิกิซอร์ซ
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํคือ
    การชำระจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ปราศจากกิเลสต่างๆ ที่จะทำให้จิตเศร้าหมอง
    เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์.

    ;aa24


     
  13. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +3,381
    เมื่อวันก่อน เพิ่งคิดได้ว่า อริยสัจ 4 นั้นคือธรรมที่สำคัญยิ่ง ที่เราต้องศึกษาและทำความเข้าใจ และนำมาปฏิบัติ ขออนุโมทนา สาธุธรรมค่ะ
     
  14. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    แบบนี้ยังไม่เรียกว่าตื่นนะ ท่านขันธ์
    อย่าหลงผิด
    ตื่นจริง ๆ น่ะ มันคือตื่น ที่มันตื่นออกจากสติ ไม่ติดแม้สติ
    หรือสมาธิ เอง

    ไอที่ไม่ออกสติ
    คา สติอยู่
    นี่.....
    เค้าเรียกว่า ยังหลับในสติ

    สัมมาสติ
    หรือมหาสติ

    เป็นสติธรรมชาติ
    ที่ไม่คา ไม่สราง ไม่รักษาสติ
    นี้ จึงเป็นการตื่นอย่างเต็มตัว

    สติสราง สติรักษา สติที่ยังคาอยู่
    อันนี้ไม่ใช่สติพุทธ
    แต่เป็นสติพราหมณ์ หรือ สติพรหม

    รู้ไว้ซะ
    จักไม่เสียหลาย

    ตื่นจริง ๆ คือ ตื่นออกจากขันธ์
    ยังวนขันธ์อยู่เค้าเรียก หลับไหล อยู่ในขันธ์ แล้วไหลตามขันธ์
    เป็นทาส ขังอยู่ในขันธ์
    เพราะยังไม่ออกจากขันธ์

    สติ นี้ยังเป็น สังขารขันธ์
    ติดสติ
    คาสติ
    คือไม่ออก ยังคา ในขันธ์

    มันจึงไม่ตื่น
    ไม่ใช่ สัมมาสติ
    ไม่ใช่แม้องค์มรรค ใด ๆ เลย

    ดูท่าแล้ว ท่านชันธ์ คงยังหลับไม่ตื่นอยู่เลย
    ถึงได้ฝันดีฝันร้ายอยู่เรื่อย ๆ


    ยินดีด้วยจริง ๆ ได้มาเยี่ยมกระทู้ท่านขันธ์
    หลังจากท่านขันธ์ เยี่ยมกระทู้ ของเรามาหลายหนแล้ว

    อันนี้ถือว่าให้เกียรติมาเยี่มนะ อย่าคิดมาก

    ขันธ์ คือ กองแห่งทุกข์
    ใครที่ไหน หรือ พุทธะองค์ไหน ๆ ท่านก็ไม่ได้สอนนะ ว่าให้ยึดขันธ์
    หรือคาติดอยู่ในขันธ์
    ก็เพราะมันเป็นกองทุกข์ ท่านจึงให้สละเสีย และปลงเสียซึ่งขันธ์
    ไม่ทราบว่าท่านขันธ์ พอเข้าใจบ้างไหม

    ที่ตั้งชื่อว่าขันธ์ นี้
    ปลงขันธ์เองบ้างหรือเปล่า

    นี้เตือนกันในฐานะ สหายธรรมนะ
    อย่าคิดมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2010
  15. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    สติอันยังมีเพิ่มมีลด
    มีรักษา มีเสื่อมไป
    ทั้งยังต้องธำรง ดำรงรักษานี้
    ไม่เป็น สัมมาสติ
    ไม่ใช้แม้ มหาสติ

    ขอท่านทั้งหลาย อย่าเข้าใจผิด
    มหาสติ แท้จริง เป็นความธรรมชาติ
    ที่ไม่มีการเจริญ ไม่มีการเสื่อม

    หากยังเก๊ก สติ ยังกั๊ก สติอยู่ ยังไม่ใช่สัมมาสติ


    หากถามว่า มหาสติ ใช้สติมั๊ย
    ตอบว่า ใช้ แต่เป็นการใช้แบบไม่ใช้
    เพราะ ไม่ได้มาจากการ บังคับสติไปใช้งาน
    มหาสติ เป็นหมือน สติ Auto
    สติ ฉลาด ที่ทำงานเอง โดยเจ้าของไม่ต้องสั่งมันนี่หล่ะ

    มหาสติ หรือสัมมาสติ

    แต่กระนั้น
    หาใช่ว่า เราจะทิ้งสติ แล้วจะได้ มหาสติเลย
    สิ่งนี้ยังเกี่ยวเนื้องกับอินทรีย์พละ ของแต่ละบุคคลด้วย

    ดังนี้แล พระผู้มีพระภาค จึงทรง ตรัส ข้อธรรม ไว้ถึง
    84000 พระธรรมขันธ์ รวมทั้ง สติปัฏฐานสี่ ศีล สมาธิ ปัญญา

    ไว้เป็นเครื่องมือ ย้ำ เป็นเครื่องมือเท่านั้นนะ
    ไม่ใครหรอ เอาเครื่องมือ เลื่อย มีด กรรไกร คัตเตอร์ หรือ จอม เสียม มานอนกอด
    นอนยึดเอาไว้ ใช้แล้วทิ้ง

    แม้กระทั่งปัญญา ที่ว่าเปรียบดังอาวุธน่ะ
    ใครมั่งเอาอาวุธมานอนกอด
    เอาปัญญามายึด มาถือไว้ก็นั่นหล่ะ
    ไม่ต่างจากเครื่องมือ จากอาวุธเลย
    กอดกันซะ ไม่หลุดเลย
    รักกันจริง ยึดกันจริง สติปัญญาเนี่ย
    ปัญญา อันเฉยบแหลมน่ะ เค้าใช้จัดการ ความืด ความหลง อวิชชา
    ใช้เสร็จ จัดการเสร็จ ก็ปล่อย ไม่ถือแม้ปัญญา

    เครื่องมือ ของ พระเสขะบุคคล อาจต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือ อันใดอันนึงใน 84000 มาใช้บาง
    แล้วก็โยนมันทิ้งไป
    ไม่แบก ไม่หาม

    ถามว่าอาจารย์สอน วิปัสสนากรรมฐาน หรือกรรมฐานไหน ๆ ที่แท้จริง เค้าสอน กรรมฐานยังไง
    ท่านก็สอนเราใช้เครื่องมือนี่หล่ะ เครื่องไม้เครื่องมือ จาก 84000
    หยิบมาใช้
    สอนการใช้
    เหมือนสอนใช้ Photoshop แหล่ะ ยังไง ก็อย่างนั้น
    สอนใช้ Tool และ Feature หรือ fillter ชนิดต่าง ๆ
    ส่วนเรื่องการสรางภาพงาม ๆ สวย ๆ นักเรียนน่ะ จัดการเอง
    ตามจริต หยิบ อันใดอันนึง จาก 84000 มาใช้ ตามจริตไครจริตมัน
    อาจเป็น แบบปัญญาวิมุต (ที่ใช้ อนิจจะสัญญา อนัตตะสัญญา...ฯลฯ)
    หรือ แบบ เจโตวิมุตติ (กระบวนการ ให้จิตรู้แจ้งเอง จนมุมเอง ออกเอง )
    แบบนี้ก็แล้วแต่ 2 สายหลัก ๆ ...

    ถามว่า 84000 นี้ มาจากไหน
    ก็มาจากขันธ 5นี่เอง
    ไม่อื่นไปจากขันธ์ 5 เลย

    นี่ไง..
    แม้ 84000 ก็ยังต้องปลง



    เหตุนี้ พระผู้มีพระภาค ทรงตรัสว่า
    ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
    คือความไม่มีตัวตน
    มันยึดไม่ได้

    ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึด

    จึงต้องปลงธรรมทั้งหลาย
    นั่นก็คือ ปลง 84000 พระธรรมขันธ์ นี้ด้วยแล


    นะ..จะบอกให้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2010
  16. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    อันเหตุใด
    พระท๊อป ชินวโร จึงกล่าวว่า....
    พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอะไรเลย

    ขอตอบในนี้ นะ
    ก็เพราะพระองค์ คือทุกสรรพสิ่ง ยังไงล่ะ
    เป็นเนื้อเดียวกับทุกสรรพสิ่ง
    จึงเป็น ความกว้าง อย่างสุดมหาศาล ของพระองค์
    นี่เรียกว่า อนาวรญาณ (ญาณอันไม่มีเครื่องกั้น หรือเรียก ทศพลญาณก็ได้ เรื่องนี้หาอ่านได้ใน ปฏิสัมภิทามรรค อยู่ใน ญาณนิเทส เป็นเรื่องของชื่อญาณ ทั้ง
    73 ญาณ ...หน้าไหนจำไม่ได้ เพราะอ่านมานานแล้ว ขออภัยด้วย )

    เหตุหนึ่งที่ทรงกล่าวว่า
    พระองค์ คือผู้เป็นหนึ่งไม่มีไครจะชนะเราได้

    หาใช่การหมายว่า
    พระองค์ จะไม่แพ้ใคร หรือ ทุกคนจะต้องแพ้พระองค์

    แต่ก็เพราะพระองค์ คือ ทุกสรรพสิ่ง
    เนื้อเดียวกับสรรพสิ่ง
    เหตุนี้
    พระองค์ คือความจริง ของทุกสิ่ง

    ท่านทั้งหลาย จึง ใช้ว่า พระองค์ทรง ตรัส

    ตรัส ไม่ใช่หมายถึง การพูด การบอกกล่าว หรือการสั่ง การสอนอันใด
    แต่การตรัส หมายถึง การแจ้ง การทำให้แจ้ง

    การสื่อสารระหว่างพระองค์ กับ สาวก หรือ สรรพสัตว์
    จึงไม่ใช้ภาษามนุษย์ ไม่ใช่ภาษาที่สัตว์(หมายถึง Living being ไม่ใช่ Animal) ทั้งหลายใช้คุยกัน แต่เป็นภาษาที่คุยระหว่างจิต

    เมื่อความจริง พบความจริง
    เมื่อจิต พบ การสะท้อน (การตรัส) ในความจริง ของ พระองค์

    จิตจึงเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง เข้าถึงความจริง

    อาจเป็นความจริง ใน อนิจจังก็ได้ ความจริงในทุกขังก็ได้ ความจริงในอนัตตาก็ได้ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ภาวะการบรรลุธรรม (ไม่ต่างจากการ ระเบิดครั้ใหญ่ เหมือน ถูกต่อยหน้าแรง ๆ ครั้งนึง แล้วอะไรบางอย่างมันหลุดออกไป อย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ที่มาไม่รู้ที่ไปของมัน ระเบิด พลั๊วะ.....นี่แหล่ะ เซน เรียก ซาโตริ รึเปล่า ไม่แน่ใจ)

    นี่แหล่ะ การโปรดสรรพสัตว์ในแต่ละครั้ง
    หรือการประกาศธรรมของพระองค์
    จึง เป็นผลให้ มีผู้บรรลุธรรม คือเข้าถึงความเป็นจรึง อย่างจำนวนมมาย นักแล

    เพราะพระองค์ คือความจริง และคือสรรพสิ่ง
    ไม่มีสิ่งใดชนะความจริง
    พระองค์ผู้เป็นความจริง แห่งสรรพสิ่ง
    จึงชนะทุกอย่าง เพราะไม่มีอะไรจะชนะความจริงได้

    เหตุนี้ พระท๊อป ชินวโร
    จึงประกาศธรรม
    อันว่าด้วย
    พุทธธาตุธรรม
    ธรรมอันเป็นเนื้อเดียวของสรรพสิ่ง

    และจึงกล่าวว่า
    พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอะไรเลย

    การสนทนาธรรมจาก ท่านอาจารย์กร ทำให้พระท๊อปได้เรียนรู้อีกว่า.
    เพราะการประกาศธรรมของพระองค์
    มีทั้งความไพเราะ ในเบื้องต้น ก็คือ พระอรหันต์
    ความไพเราะในท่ามกลาง คือ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า
    และ ความไพเราะในที่สุด ก็คือ ความเป็นพระพุทธเจ้า
    ก็คือความ เป็นเนื้อเดียวกันของสรรพสิ่งนี่เอง

    เหตุนี้ พระท๊อป
    จึง ประกาศ
    พุทธธาตุธรรม
    เพื่อประโยชน์ ของท่านทั้งหลาย
    จะได้กลับสู่บ้านที่แท้จริง
     
  17. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    พระพุทธเจ้า ทรงตรัส กระจกเงาบานใหญ่
    อันสะท้อนให้จิต เห็นแจ้งในความเป็นจริง
    อันให้จิต สละออก เลิกทาส ออกจากจิตนั้น กายนั้นเอง
    และสละแม้ กระจกเงาบานนั้น เพื่อความเป็นเนื้อเดียวของสรรพสิ่ง ทั้งหลาย
    และเป็นเนื้อเดียวอันไม่แบ่งแยก จากพระองค์เอง
    พระองค์คือบ้าน ที่เราทั้งหลายจะกลับเข้าไปพบกับพระองค์ อีกครั้งนึงแล...

    นี้แล การตรัสรู้ธรรมแห่ง พระผู้มีพระภาค และ พุทธาตุธรรม


    ขอท่านทั้งหลาย
    โปรด มองธรรมที่เราประกาศนี้
    เป็นเครื่องสะท้อน
    แห่งจิตใจของท่านทั้งหลาย

    โปรดนำกระจกเงาบานนี้
    ไปสะท้อนความจริงให้เห็นซึ่งความจริงแห่งจิต
    และทิ้งกระจกเงา ไปพร้อมกันด้วยแล


     
  18. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    หรือคุณคิดว่า พระพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระองค์ไปไหนหล่ะ
    หรือสูญไปเลย ไม่เหลือเลย สูญสิ้นแล้ว

    แล้วที่พวกคุณกราบไหว้ พระพุทธรูปน่ะ
    ผีสางนางไม้ที่ไหนกัน


    แต่เพราะอำนาจของพระองค์คือสรรพสิ่ง
    เมื่อเข้าถึงความเป็นพุทธะ
    จึงเข้าเป็นเนื้อเดียวของสรรพสิ่ง

    พระพุทธเจ้า ยิ่งกว่าพระปัจเจกฯ และพระปัจเจก ยิ่งกว่า พระอรหันต์
    เพราะพระอรหันต์ เป็นเพียงก้าวแรก.........

    ท่านทั้งหลายจงยัง สมณภาพของท่าน
    ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวของสรรพสิ่ง และสรรพธรรมทั้ลปวงเถิดเถิด
    แล้วท่านจะพบ พุทธธาตุ ที่มีในท่าน และเรา และสรรพสิ่งเทอญ

    อันเหตุนี้
    พระผู้มีพระภาค จึงทรงตรัสว่า
    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต

    Back 2 Home
    มหกรรมการกลับบ้าน
    เริ่มขึ้นแล้ว
    ณ บัดนี้

    พุทธธาตุธรรม
     
  19. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    อ้อผมเข้าใจละ ท่านtop..มีทรรศนคติแบบนี้นี่เอง..? ถือว่ามีภูมิทีเดียวครับ แต่สมภูมิรึไม่ผมยังสงสัยเหตุเพราะ "ยกธรรมอันสูงส่ง" ถึงการปล่อยวาง สติ ปัญญาได้ แล้วท่าน..มาทำอะไร ที่บอร์ดนี้ ยังติดเนตอยู่รึไม่ขอรับ..อ่านๆแล้วยังจะออก ฮินดู การรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าอาตมันใช่รึไม่ครับ
     
  20. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    รับธรรมท่าน พระท๊อป ไปพิจารณา ....
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...