ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    เรียนท่านประธาน/คณะทำงาน....วันนี้ได้ส่งปัจจัยร่วมทำบุญไป 2000 บาท ในนามของ
    ครอบครัว วงศ์กาฬสินธุ์ 1350 บาท
    พี่น้อง Engineering 650 บาท
    ขออนุโมทนาบุญกับ ปู่ประถม พี่ใหญ่ ท่านประธาน คุณโสระ คุณนายสติ คุณchaipat คณะทำงานทั้งหมด รวมทั้งท่านที่อยู่ เบื้องหน้า เบื้องหลัง ตลอดจนเบื้องบน และผู้ร่วมบุญทุกๆท่าน...ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,291
    กราบขอบพระคุณทุกๆท่านและโมทนาบุญในงานบุญเมื่อวันอาทิตย์(9 พ.ย. 2551)ที่ผ่านมา ผมได้นำเงินบริจาคไปเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้วครับดังมีรายนามท่านที่บริจาคเมื่อวันที่
    9 พ.ย. 2551 ดังนี้ครับ
    1. คุณ ดิเรก ศรีเจริญและครอบครัว 500 บาท
    2. ร.ต.อ. ศิรณวิชญ์ อินทร และครอบครัว 500 บาท
    3. คุณ ณรงค์เวทย์(narongwate)+รำไพ ชัยช่วย 500 บาท
    4. คุณ กรกนก ทรัพย์เจริญและครอบครัว 300 บาท
    5. คุณ เทพารักษ์ 300 บาท
    6. คุณ วิรัตน์ 200 บาท
    7. คุณ สุปราณี คัมภีราวัฒน์ 100 บาท
    8. คุณ ประวิทย์ อนันตบุรี (Onimaru_u) 200 บาท
    9. คุณ สุภาพันธ์ นามเมือง 200 บาท
    10. คุณ ณรงค์ นามคงชื่น 100 บาท
    11. คุณ บุหลัน ชุสี 100 บาท
    12. นางแจ้ แซ่โค้ว,สมคิด ศรีสกุลพานิชย์ 300 บาท
    13. คุณ อรสา บุญจันทร์,ทินวรรณ ศรีสกุลพานิชย์ 300 บาท
    14. คุณแม่จุไร จันทโส 500 บาท
    15. คุณโมรีรัตน์ บุญญาศิริและครอบครัว 3000 บาท
    16. คุณทิพย์วัลย์ พิมพ์กันย์และครอบครัว 1000 บาท
    17. คุณดวงสมร หมั่นเพียร 200 บาท
    18. คุณธนวัฒน์+ศิริวรรณ์+ด.ช. พิชาภพ วิเชียรดี 200 บาท
    19. คุณพ่อสำราญ+คุณแม่อ่อน วิเชียรดี 100 บาท
    20. คุณพ่อสมร,คุณประไพ(แม่หวี ร่วมสุข) เดชเดิม 100 บาท
    21. คุณซู่เป้ง แซ่เล็ก 100 บาท
    22. คุณซกเตียง แซ่กัง 100 บาท
    23.คุณพันวฤทธิ์และครอบครัว 400 บาท
    23.เงินจากค่าภัตตาหารเหลือคืนทุนนิธิฯ 900 บาท
    24. คุณหรรษา เรืองสุวรรณ 100 บาท
    25. คุณจารุนารถ เรืองสุวรรณ 100 บาท
    26. คุณมงคลวิทย์ ธนันท์ปพัฒน์ 100 บาท
    27. คุณธนัยนันท์ ธนันท์ปพัฒน์ 100 บาท
    28. เงินบูชาวัตถุมงคลสมทบเข้าทุนนิธิฯ 3600 บาท

    รวมเงินทั้งสิ้น 14,200 บาท

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ



    ยอดเงินบริจาคที่เหลือในบัญชีล่าสุด

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  3. khongbeng

    khongbeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +657
    ร.ต.อ.ศิรณวิชญ์ อินทร ครับผม...
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ต้องขอขอบคุณหลายๆ ท่านที่ได้บริจาคเงินเข้าทุนนิธิฯ ทำให้ บริจาคออกไป เงินก็ไหลกลับเข้ามาเพิ่มอีก ดีครับ จะได้ช่วยพระได้เยอะๆ เพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อวันก่อนก็เพิ่งส่งเงินทางธนาณัติไปที่ รพ.สมเด็จฯ ที่ อ.ปัว จ.น่าน เรียบร้อยแล้วพร้อมโทร.แจ้งพยาบาลประจำหอสงฆ์เรื่องโอนเงินให้ทราบแล้วเช่นกัน

    สำหรับหนังสือ "ปู่เล่าให้ฟัง ฉบับสมบูรณ์นั้น" เงินทุนส่วนหนึ่งก็มาจากลูกศิษย์รุ่นใหญ่ของ ท่าน อ.ประถมฯ หลายท่าน บวกกับของคณะกรรมการทุนนิธิฯ บางส่วน การจัดทำหนังสือเล่มนี้ ทั้งรูปแบบ เนื้อเรื่อง ได้รับความกรุณาจากทั้งท่าน อ.ประถมฯ และพี่ใหญ่ที่ให้คำแนะนำเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากข้อมูลในหนังสือบางส่วน บางเรื่อง รวมถึงรูปภาพบางรูปภาพ ยังไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน คณะกรรมการฯ จึงได้ปรึกษาพี่ใหญ่เพื่อขออนุญาตจาก อ.ประถมฯ เป็นทางการเรียบร้อยก่อนหน้าที่จะพิมพ์หนังสือนี้แล้ว โดยขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ในนามของทุนนิธิฯ โดยจะมีพี่ใหญ่ร่วมลงนามเป็นพยานต่อหน้าลูกศิษย์ทุกท่าน (ในวันที่ 16/11 นี้) เพือใช้เป็นข้อมูลในการจดเป็นลิขสิทธิ์ที่ได้รับมอบอย่างถูกต้องต่อไป ทั้งนี้ลิขสิทธิ์ดังกล่าวเป็นของ อ.ประถมฯ ทุนนิธิฯ ขออนุญาตในการจัดพิมพ์เป็นหนังสือสำหรับแจกในงานวันเกิดของท่านที่ลูกศิษย์รุ่นใหญ่จัดขึ้นในวันที่ 16/11/51 เพียงอย่างเดียว ข้อมูลเรื่องอื่นใดนอกเหนือจากนี้ หากไม่ได้รับขออนุญาตเป็นทางการจากท่าน หากมีผู้ที่คัดลอกไปไม่ว่าจะนำไปเผยแพร่ในลักษณะใด ก็ถือว่าเป็นข้อมูลที่คัดลอกจากต้นฉบับในหนังสือและเป็นลิขสิทธิ์ ของ อ.ประถมฯ ซึ่งอาจจะมีความผิดทางกฏหมาย เพราะทุนนิธิฯ กำลังศึกษาเรื่องข้อกฏหมายเพื่อจดเป็นลิขสิทธิ์ให้ท่านแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งหากจดทะเบียนเสร็จสิ้น จะได้นำมาแจ้งให้ทราบต่อไป และหากจะนำไปเผยแพร่ก็คงต้องได้รับการยินยอมจากท่านเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นเดียวกันกับที่ทุนนิธิฯ ได้ทำไว้แล้ว

    สำหรับหนังสือเล่มนี้จำนวนพิมพ์ครั้งที่ 1 มีจำนวนไม่มาก และหากมีการพิมพ์ครั้งต่อไป ก็คงต้องขออนุญาตต่อ อ.ประถมฯ เป็นครั้งต่อครั้งเช่นกัน


    พันวฤทธิ์
    14/11/51

    ในนามประธานทุนนิธิฯ สงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร


    แต่สำหรับผู้ที่สนใจที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้นั้น คงต้องไปอ่านในเวบ "pratheplokudon" ของนายสติ หรือ อ.ปุ๊ ตามที่ได้แจ้งให้ทราบไว้ล่วงหน้านี้แล้ว โดยเป็น pdf.file และจะลงมาให้ทราบ เป็นตอนๆ ไปครับ
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    พุทธประวัติ ตอนที่ ๗๔ | เสด็จพระนครราชคฤห์
    <!-- Main -->

    เสด็จพระนครราชคฤห์
    เพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสารและโปรดชาวเมือง

    เมื่อทรงโปรดเหล่าชฎิล จนบรรลุพระอรหัตแล้ว พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่อุรุเวลาเสนานิคม โดยสำราญพอควรแก่กาล ทรงมีพระประสงค์จะประดิษฐานพระศาสนาให้มั่นคงที่พระนครราชคฤห์ และทรงพระประสงค์จะเปลื้องปฏิญญาที่ทรงประทานพระเจ้าพิมพิสารไว้แต่แรก จึงชวนพระอริยสาวก ๑,๐๐๐ องค์ ที่เคยเป็นชฏิล มีพระอุรุเวลกัสสปเป็นประธาน เสด็จไปยังมคธรัฐ ประทับอยู่ที่ลัฏฐิวันใกล้พระนครราชคฤห์

    [​IMG]


    ครั้นนายอุทยานบาลได้เห็นพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระขีณาสพ ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร ก็มีใจชื่นบานเลื่อมใส รีบนำเรื่องเข้ากราบทูลพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ทรงทราบแล้ว ก็ทรงโสมนัสเสด็จออกจากพระนคร พร้อมด้วยพราหมณ์และคหบดี ๑๒ หมื่นเป็นราชบริพาร เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังลิฏฐิวันสถาน ถวายความเคารพในพระรัตนตรัยด้วยพระราชศรัทธา

    ส่วนพราหมณ์และคหบดีทั้งหลายนั้น มีอัธยาศัยต่างกัน บางพวกถวายนมัสการแล้วก็นั่ง บางพวกก็กล่าวสัมโมทนียคาถาถวายความยินดีในการที่พระบรมศาสดาเสด็จมาสู่พระนครราชคฤห์ บางพวกถวายความยินดีที่มีโอกาสมาเข้าเฝ้า ได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางพวกก็ประกาศชื่อและโคตรของตน บางพวกก็นั่งเฉยอยู่ บางพวกบางหมู่ก็ปริวิตกจิตคิดไปต่างๆ ว่าพระสมณโคดมบวชในสำนักท่านอุรุเวลกัสสป หรือท่านอุรุเวลกัสสปบวชในสำนักพระสมณโคดม หรือใครเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันแน่
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    "ยามใจสงบไยต้องถือศีลให้วุ่นวาย
    ยามประพฤติเที่ยงตรงมิคลาย
    ไฉนต้องบำเพ็ญฌาน ?
    รู้พระคุณ ก็จักกตัญญูอุปัฏฐากบุพพการี
    รู้มโนธรรม ก็จักดำรงใจอารีต่อผู้เฒ่าผู้เยาว์
    รู้อภัย ก็จักใฝ่ใจเคารพปรองดอง
    รู้ขันติ บาปวิถีจักไม่บังเกิด
    หากสามารถสีไม้ให้เกิดไฟ
    บัวแดงอำไพจักผุดขึ้นจากโคลนตม
    ที่ขมปากคือยาดี คำวจีที่เสียดหูแท้คือคำทัดทาน
    รู้แก้ผิดจักเกิดปัญญาญาณ ป้องผิดพาลดวงมานปราศเมธี
    กิจวัตรหมั่นยังประโยชน์แก่ชาวประชา
    วิมุตินั้นหนาหาใช่เกิดจากทักษิณา
    อันโพธิเพียงค้นได้จากจิตตา
    ไยต้องค้นหาใฝ่แยบยลที่ภายนอก
    หากสดับรับบำเพ็ญเพียรตามนี้
    สุขาวดีจักปรากฏเพียงเบื้องตา"


    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=18297&sid=c383da0e0d3826fc2889f7c9d401e0c4

     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=right width="70%">
    </TD><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top> ปั ญ ญ า ชั้ น สู ง : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR>
    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    [​IMG]
    [พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฐ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย]

    ปั ญ ญ า ชั้ น สู ง
    พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฐ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    ทำกุศลอย่างไรจึงจะไม่อดอยาก


    ถาม ทำกุศลอย่างไร จึงจะทำให้มีโภคทรัพย์ ไม่อดอยาก

    ตอบ ปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่สุภมาณพ บุตรของโตเทยยพราหมณ์ในจูฬกัมมวิภังคสูตร ม.อุปริ. ว่า

    บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม เป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะพราหมณ์ เขาตายไปจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพรากรรมคือการให้ข้าวน้ำเป็นต้นนั้น หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นผู้มีโภคะมาก นี้เป็นผลของทานคือการให้ข้าวให้น้ำเป็นต้นนั้น

    สรุปได้จากพระพุทธดำรัสนี้ว่า ทานคือการให้ปันสิ่งของที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ มีข้าวน้ำเป็นต้นนั่นเอง ทำให้เขาเป็นคนมีโภคะมากในชาติต่อไป ความจริงในชาตินี้ ถ้าเราเป็นผู้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่มิตรสหาย หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียง มีอะไรแบ่งปันให้กัน มิตรสหายหรือคนบ้านใกล้เรือนเคียงนั้น เขาก็แบ่งปันของของเขาให้แก่เราเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เวลาให้เราก็ไม่เคยหวังผลตอบแทนเลย คือให้ด้วยน้ำใจ ให้ด้วยความนับถือ มิได้คิดที่จะได้สิ่งตอบแทน แต่เพราะความมีน้ำใจของเรา เราก็ได้รับความมีน้ำใจจากผู้อื่นเช่นกัน ทั้งนี้เพราะการให้เป็นการผูกไมตรีต่อกัน ทั้งผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับเสมอ

    ในทางตรงข้าม ถ้าเรามีแต่ความตระหนี่ ให้อะไรใครก็ไม่ได้ เสียดายหวงแหนไปหมด ผลที่ได้รับก็คือความอดอยากยากจน ไม่มีใครต้องการคบหาสมาคมด้วย เราไม่เคยมีของไปให้ใครเลยแล้วจะมีใครเขาเอาของมาให้เราเล่า ในเมื่อเราไม่เคยผูกมิตรไมตรีกับใครเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่ตระหนี่หวงแหน ตายไปแล้วจะมักเกิดเป็นเปรตได้รับความลำบาก อดอยาก หิวโหยอยู่เสมอ ต้องรอเวลาที่มีผู้ทำบุญอุทิศไปให้จากโลกมนุษย์นี้เท่านั้น จึงจะบรรเทาความหิวโหย ได้อิ่มหนำกันทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ต้องการอดอยาก ก็ไม่ควรตระหนี่หวงแหน

    อีกประการหนึ่ง นอกจากทานจะให้ผลทำให้เป็นผู้มีโภคะมากแล้ว แม้ศีลคือการรักษาศีลก็สามารถให้โภคสมบัติเช่นเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ การรักษาศีลด้วยความสำรวมระวังไม่ล่วงละเมิด ชื่อว่ารักษาศีลด้วยความไม่ประมาท การรักษาศีลด้วยความไม่ประมาท นี่แหละเป็นเหตุให้ได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ ทั้งนี้เพราะผู้มีศีลตายแล้วย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ก็สมบัติในสวรรค์นั้นเมื่อเทียบกับสมบัติในเมืองมนุษย์แล้ว ย่อมเทียบกันไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ ซึ่งหมายถึงสมบัติอันมโหฬารในสวรรค์นั่นเอง นั่นเป็นเรื่องของการได้รับผลในชาติหน้า ส่วนผลในชาตินี้ของผู้มีศีลในข้อนี้ก็มีอยู่ แต่ไม่อาจเทียบกับผลที่ได้รับในชาติหน้าได้เท่านั้นเอง


    ไม่ต้องดูอื่นไกล ลองสังเกตุดูพระภิกษุทั้งหลายที่ท่านมีลาภสักการะมาก แล้วจะเห็นว่า ท่านเป็นผู้มีศีลทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ต้องการทำบุญกับพระทุศีล

    สรุปว่า ทั้งทานและศีลเป็นเหตุให้ร่ำรวยไม่อดอยาก


    ________________________________________
    http://84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=14
    </TD></TR><TR><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    [​IMG]

    มูลของศาสนาเบื้องต้นเกิดจากจิตจากใจ จิตใจเป็นบ่อเกิดของพุทธศาสนา

    โลกอันนี้เป็นของวุ่นวี่วุ่นวายแต่ไหนแต่ไรมา พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาที่ใจ พุทธะเกิดที่ใจ ใจมันเข้าถึงผู้รู้แล้วก็เข้าถึงพุทธะ พุทธะ คือผู้รู้คือผู้เห็น เห็นเหตุเห็นผลเห็นเรื่องราวต่างๆ เห็นสิ่งแวดล้อมเรื่องใจนั้น เช่น เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดจากใจนั้น


    เมื่อความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดขึ้นมาแล้ว พระพุทธเจ้าก็เกิดขึ้นมาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง อันนั้นละ เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง จึงค่อยเป็นพุทธะกิเลสมันเกิดจากนั้น ไม่ใช่เกิดที่อื่น ​

    เราปฏิบัติฝึกหัดตามพระองค์ ครั้นไปเห็นเรื่องใจ คือบ่อเกิดแห่งพุทธศาสนา คือคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ละความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ไม่มีอะไร กิเลสทั้งหลาย อายตนะ ขันธ์ห้า ทั้งปวงหมด มันออกไปจากนั่นทั้งนั้น ​

    ไม่มีใจแล้วไม่มีขันธ์ห้าที่จะต้องชำระหรอก กิเลสทั้งหลายร้อยแปดพันประการมันเกิดจากใจอันเดียว กิเลสมันเกิดที่ใจ พระพุทธเจ้าก็ชี้ลงที่ใจน่ะซี ที่พระองค์ทรงรู้ก็รู้ที่ใจ ครั้นรู้ใจแล้วก็รู้กิเลสทั้งปวงหมด ของพรรค์นั้นจะไปถืออะไรของภายนอกถือภูตผีปีศาจ เชื่อมนต์คาถาอาคมทั้งปวง ครั้นถ้าเกิดจากใจแล้วมันจะไปถืออะไรนอกจากใจนั่น จับเอาที่ใจนั่นให้มันแน่นแฟ้น มันก็รู้ขึ้นมาน่ะซี

    อันนี้ใจก็ยังไม่รู้จัก ไม่ทราบว่าอะไร ไปค้นคว้าหาที่ไหนก็ไม่ทราบ ไม่เห็นตัวใจสักที ไม่เห็นตัวใจก็ไม่เห็นพุทธศาสนา เหตุนั้นศาสนาอย่าเข้าใจว่าอยู่ในที่อื่น ตัวพระสงฆ์ ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ครั้นถ้าไม่มีใจแล้วมันก็ไม่มีทั้งนั้นแหละ ​

    มีใจมันจึงค่อยแต่งให้เป็นรูป กรรมตกแต่งขึ้นมาให้เป็นรูปหญิง รูปชาย รูปพระรูปเจ้าตกแต่งให้เป็นภิกษุสามเณร กรรมมันตกแต่งให้เป็นต่างๆ นานา ก็เพราะใจมันเข้าไปครอบครองในรูปอันนั้น เมื่อกิเลสมันครอบงำแล้วก็ไม่เห็นใจน่ะซี จึงต้องบุกเบิกเข้าไปหาใจ เห็นใจแล้วก็เห็นของพวกนั้น ​

    แต่ว่าศาสนาตั้งอยู่ที่ใด ? ตั้งอยู่ที่ใจ ถ้าหากไม่มีกิเลสก็ไม่มีพระพุทธเจ้าหรอก เมื่อมีกิเลสจึงค่อยมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา จึงควรเพิกถอนกิเลสนั้นออกจากใจพระพุทธเจ้าเกิดที่นั่น พุทธะ ความเป็นจริง ไม่ใช่พุทธะ เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร ​

    เมื่อเกิดความรู้ขึ้นมาทีแรกเขาถึงเรียกว่า พุทธะ ชาวโลกเขาเรียกว่า พุทธะ มันมีหลายเรื่องหลายชื่อพระชินสีห์ พระศากยมุนี พระโคดมบรมครูฯ อะไรต่างๆ หลายเรื่อง เรื่องพระเจ้าสิทธัตถะเดิมก็เลยหายไป เพราะความตรัสรู้อันนั้นนั่นเอง เบิกบานขึ้นมาจากใจแล้วก็ให้นามสมัญญาไปต่างๆ นานา ​

    แต่พระพุทธะเจ้าท่านทรงเรียกว่า เราคถาคต ไม่ได้เรียกอื่นไกลตามสมมติบัญญัติที่โลกเขาเรียกพระองค์ ​

    แท้ที่จริงพุทธะ ก็เกิดที่ใจ เกิดจากใจ เพราะการปฏิบัติบำบัดเรื่องต่างๆ ออกจากใจ ทำให้ผ่องใสสะอาด ชำระให้หมดจดจากใจ เหตุนั้น ใจจึงเป็นของสำคัญที่สุด ถ้าปฏิบัติเข้าถึงใจเมื่อไรจึงจะเห็นใจเมื่อนั้น เป็นพุทธะเมื่อนั้น ถ้าไม่ถึงใจแล้วยังไม่ถึงพุทธะหรอก เอาละ ​

    : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101

    คนนี้ใช้เลย ผู้กองท๊อป ผู้นิยมทำบุญ และพระพิมพ์ต่างๆ

    [​IMG]
     
  11. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099

    ผมขออนุโมทนาสาธุครับ

    เพราะทุกท่านที่ผมเข้าใจ คือ ประสงค์ผลที่ดีแก่ชีวิต และจิตนี้

    ก็คือเอาความดี ไปช่วยเหลือ พระ ท่านผู้อื่นๆ

    และก็เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูก ทางสายกลาง
    ที่จะเป็นแนวทางในการพัฒนาจิตใจ

    ยกจิตยกใจตน และคนรอบข้างให้สูงขึ้นครับ

    ก็จะพบกับหลายสิ่งหลายอย่าง + ความอดทนที่เพิ่มสูงขึ้นครับ

    ใครๆ เห็นก็จะปราบปลื้มใจ เพราะเราได้ให้ความดี บรรเทาทุกข์ร้อน

    ของร่างกาย สร้างจิตใจแห่งความสุข


    อย่าได้ไปเที่ยวตำหนิ ติเตียน หากเราไม่ได้ทำอันใดที่ส่งเสริม
    ให้เกิดสุขสงบ บรรเทาความเดือดร้อนแก่ใครๆ เลยครับ


    หากเราเจ็บป่วยบ้างแล้วมีคนช่วย มีคนใส่ใจ ให้ข้าว น้ำ ยา สิ่งต่างๆ นี้
    เราแทบจะขอบคุณ และขอบคุณในน้ำใจไมตรี อันจิตกุศลนี้

    ใจเราก็จะดีด้วย สงบด้วย นิ่งๆ ไม่ร้อนรน

    ทั้งผู้ให้ และผู้รับ


    เห็นคนทำดี ก็อนุโมทนาสาธุกับทุกท่านกันครับ

    สาธุครับ
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>: มีด</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22>โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellPadding=5 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    การฝึกจิตให้มีกำลัง กับ การฝึกกายให้มีกำลัง มีลักษณะอันเดียวกัน แต่มีวิธีต่างกัน การฝึกกาย ให้มีกำลัง เราต้องเคลื่อนไหวอวัยวะ แต่ การฝึกจิตให้มีกำลัง คือ ทำจิตให้ " ห ยุ ด " ให้พักผ่อนเช่น ทำสมาธิ พยายามล่อยวางสิ่งทั้งหลาย ไม่ปล่อยจิตให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้สารพัด ให้มีอยู่อารมณ์เดียว จิตก็จะมีกำลัง ปัญญาก็จะเกิด เช่นเดียวกับ มี มีด เล่มหนึ่ง เราลับไว้แล้วมัวแต่ฟันหิน ฟันอิฐ ฟันหญ้าทั่วไป ฟันไม่เลือก มีด ก็จะหมดความคม



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>: เปรียบไปก็คล้ายน้ำ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22>โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellPadding=5 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    ใจของเรามันเป็นปกติอยู่ เปรียบเหมือนน้ำฝน เป็นน้ำที่ใสสะอาด มีความใสสะอาดบริสุทธิ์เป็นปกติ ถ้าเราเอาสีเขียวใส่ลงไป เอาสีเหลืองใส่เข้าไป น้ำก็จะกลายเป็นสีเขียว สีเหลืองไปจิตของเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อไปถูกอารมณ์ที่ชอบใจ ใจก็ดี ใจก็สบายเมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจแล้วใจนั้นก็ขุ่นมัว ไม่สบาย เหมือนกันกับน้ำที่ถูกสีเขียว ก็เขียวไปถูกสีเหลืองก็เหลืองไป เปลี่ยนสีไปเรื่อย

    จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าถูกอารมณ์มาถูก มันก็กวัดแกว่งไปตามอารมณ์ ยิ่งมันไม่รู้เรื่องธรรมะแล้ว ก็ยิ่งปล่อยไปตามอารมณ์ของเจ้าของเรื่อยไป อารมณ์สุขก็ปล่อยไปตามไป วุ่นวายไปเรื่อยๆ จนมนุษย์ทั้งหลายเป็นโรคประสาท




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>: ตัวหนังสือกับของจริง</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22>โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellPadding=5 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    หยุดเอาความรู้ปริยัติใส่หีบใส่ห่อไว้เสีย อย่าเอามาพูด ไม่ใช่ความรู้พวกนั้นจะเข้ามาอยู่นี่หรอกมันพวกใหม่ เวลาเป็นขึ้นมามันไม่เป็นอย่างนั้น
    เหมือนกับเราเขียนหนังสือว่า ความโลภ เวลามันเกิดขึ้นในใจ ไม่เหมือนตัวหนังสือเวลาโกรธก็เหมือนกัน เขียนใส่กระดานดำก็เป็นอย่างหนึ่ง มันเป็นตัวอักษร เวลามันเกิดในใจอ่านอะไรไม่ทันหรอกมันเป็นขึ้นมาที่ใจเลย สำคัญนัก สำคัญมาก



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>: กล้วย - มะพร้าว</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22>โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellPadding=5 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    เปรียบง่ายๆให้ฟัง เราไปซื้อกล้วยหรือซื้อมะพร้าวใบหนึ่งจากตลาด แล้วก็เดินหิ้วมา

    อีกคนหนึ่งก็ถาม "ท่านซื้อกล้วยมาทำไม ?"
    "ซื้อไปรับประทาน"
    "เปลือกมันต้องรับประทานด้วยหรือ ?"
    "เปล่า"
    "ไม่เชื่อหรอก ไม่รับประทานแล้วเอาไปทำไมเปลือกมัน ?"
    หรือเอามะพร้าวใบหนึ่งมาก็เหมือนกัน
    "เอามะพร้าวไปทำไม ?"
    "จะเอาไปแกง"
    "เปลือกมันแกงด้วยหรือ ?"
    "เปล่า"
    "จะเอาไปทำไมล่ะ ?"

    เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไรด้วยความอยาก ถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ได้ทำให้มันมีปัญญานะ การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการปล่อยวาง อย่างกล้วย อย่างมะพร้าว เอาไปทำไมเปลือกมัน ? ก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น ยังไม่ถึง เวลาจะทิ้ง ก็ถือมันไว้ก่อนการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น เหมือนมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือก ทั้งกะลา ทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ เขาจะหาว่า เรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขา เรารู้จักของเราอยู่


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    สาธุพระอาจารย์ อย่างน้อย ข้าน้อยก็ได้เคยเป็นหลานศิษย์ท่านมาแล้วชาติหนึ่งที่ ณ วัดสุภัทบรรพต (มาบจันทร์) จ.ระยอง พระธรรมคำสอนที่พระอาจารย์ อบรมสั่งสอนต่อกันมา นับว่าเป็นประโยชน์ให้แก่ข้าน้อยได้พอเป็นนิสัยได้บ้างแล้วในชาตินี้ นับเป็นวาสนายิ่งต่อข้าน้อย จึงขออนุญาตนำคำสอนของพระอาจารย์ออกเผยแพร่ต่อไป ตามกาลและโอกาสต่างๆ ต่อไป

    พันวฤทธิ์
    15/11/51


    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammathai.org/store/talk/talk32.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2008
  13. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    พระเปิม พระที่สร้างขึ้นในสมัยพระนางจามเทวี วันนี้นำภาพที่วงการยอมรับมาเปรียบเทียบกับพระที่ทางทุนนิธิฯจะให้ทำบุญกับท่านที่มา ณ โรงพยาบาลสงฆ์ ในโอกาสต่อไป

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    รูปพระเปิมนี้ได้มาจากในเวปที่สอนดูพระกรุลำพูน ให้สังเกตที่ชายจีวรจะมีลักษณะคล้ายขอบสตางค์ มีขีดอยู่ 7 ขีด ถ้ามีเกินหรือขาดก็มักจะปลอมครับ
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    ภาพพระที่จะให้ทำบุญในโอกาสต่อไป อาจไม่ชัดเพราะความเก่าและการพิมพ์พระในอดีตใช้มือครับไม่มีเครื่องจักร
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    ที่บอกไว้ว่าเหมือนขอบสตางค์มี7ขีด และมีราตามผิวพระ มีเนื้อดินที่ละเอียดแกร่งตามแบบฉบับของพระสกุลลำพูนครับ​
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=right width="70%">
    </TD><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top> วิธีอันแยบคาย : สำเหนียกจิต (พระอาจารย์สุเมโธ)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <HR>
    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    [​IMG]

    วิธีอันแยบคาย : สำ เ ห นี ย ก จิ ต
    พระราชสุเมธาจารย์ (โรเบิร์ต สุเมโธ)
    วัดอมราวดี (Amaravati Buddhist Monastery)
    เมืองฮาร์ดฟอร์ด ประเทศอังกฤษ


    สมาธิภาวนาตามแบบที่เราปฏิบัติอยู่นี้
    มุ่งให้เราสำเหนียกเข้าไปข้างในด้วยความระมัดระวัง
    และที่จะเข้าไปฟังข้างในให้ได้นั้น
    เราต้องถือว่า สิ่งภายนอกทั้งหลายทั้งปวงล้วนไร้สาระ
    ให้ลบความเชื่อ ความคิดเห็นต่างๆ ไปเสีย
    สิ่งเหล่านี้มิใช่ตัวตนของท่าน

    จงฟังสิ่งที่อยู่รอบๆ คำพูด
    คือฟังความเงียบและความว่างนั่นเอง


    ทีนี้เมื่อฟังแล้ว ท่านยินอะไรบ้าง
    ได้ยินคำพูดที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา คำบ่นรำพันว่า

     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101

    จุ๊ๆๆๆ มียังไม่ถึงร้อยองค์ ยังแจกฟรีไม่ได้วุ้ย!!!!!
    [​IMG]
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ก็คงต้องรอมาให้ได้พร้อมกับพระคง พระรอด ก่อน ตอนนี้แดดดี ปั้นแป๊บเดียว รออีกสัก 2 อาทิตย์ ตอนนี้กำลังตากแดดอยู่ จุ๊ๆๆๆ แต่เดือนหน้าไม่ต้องกลัว งานครบรอบปี ทุนนิธิฯ มีของแจกเยอะ หลายอย่างครับ อยากได้พระที่มีแล้วรวย มีแล้วเฮง รอวันที่ 21 เดือนหน้า งานกิจกรรมทุนนิธิฯ ที่ รพ. สงฆ์ มีให้ท่านแน่ ท่านที่อยู่ไกล สิ้นเดือนส่งรายชื่อมาที่คุณโสระได้เลยครับ อ้อ..ลืมไป แจกฟรี ครับ แจกฟรี มีเป็นร้อย
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=right width="70%">
    </TD><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top> แนวปฏิบัติของท่านพระอาจารย์เสาร์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <HR>
    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    [​IMG]
    พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล วัดเลียบ จ.อุบลราชธานี


    แ น ว ป ฏิ บั ติ ข อ ง ท่ า น พ ร ะ อ า จ า ร ย์ เ ส า ร์

    พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)*
    วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


     
  18. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    เดือนหน้านี้ผมจะชักชวนครูอาจารย์มาหลายท่านนะครับ

    ทั้งคนที่ชวนประจำๆ ก็จะมาครับ

    เครื่องดูดสเลดคราวนี้ ขอทางผมและพี่ๆ ท่านหลายคนที่รู้จัก รวมทั้งท่านอาจารย์

    ผมเดาๆ นะครับ น่าจะได้ 2 เครื่องครับ ขอ confirm ก่อน 1 เครื่องครับ


    สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2008
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=right width="70%">
    </TD><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top>ความสงบ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR>
    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    [​IMG]

    พากันตั้งใจฝึกหัดปฏิบัติตามความสามารถของตน ถ้าหากคนเราไม่ปฏิบัติธรรมะ ก็จะไม่รู้จักธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ความสุขอันใดจะเสมอเหมือนความสงบไม่มี คำนั้นเป็นคำจริง

    ถ้าหากปฏิบัติไม่ถึง พอจะเดาๆ คิดนึกเอาเฉยๆ ก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อันความที่จะเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ จัง นี่เป็นของยากมาก ถึงหากเราเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ถ้าหากปฏิบัติลงไปถึงตรงนั้นแล้วจะเชื่อขึ้นมา อ๋อ! ตรงนี้หรอกคำที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้นั้นว่ามีความสุข ความสงบ อย่างนี้เป็นต้น

    ความสงบนั้นมันมีจากไหน คนเราโดยส่วนมากมันยุ่งมันวุ่นวายสารพัดทุกสิ่งทุกอย่าง แส่ส่ายไปในที่ต่างๆ มันหาความสงบไม่ได้

    เหตุนั้นคนที่เชื่อว่า ความสงบเป็นความสุข จึงค่อยมีน้อยนัก เพียงแต่เดาๆ คิดๆ นึกๆ ไปเฉยๆ ที่จะให้ถึงความสงบจริงๆ จังๆ มันต้องละทุกสิ่งทุกประการ อารมณ์ทั้งปวงวุ่นวี่วุ่นวายอยู่ในใจของตนหายหมด ไม่มีเกี่ยวข้อง ถึงซึ่งความสงบจริงๆ จังๆ

    ถ้ายังไปเกี่ยวข้องเรื่องต่างๆ อยู่มันยังไม่ถึงความสงบขึ้นมาได้
    ความตรงนี้ละที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าไม่เชื่ออย่างจริงๆ จัง
    เราฝึกหัดนี้ฝึกหัดหาความสงบ
    ทุกอย่างทุกประการที่อบรมมาก็เข้าหาความสงบอย่างเดียว
    ความไม่สงบมันมีมาก อย่างเราตั้งแต่เกิดขึ้นมาก็หาความสงบไม่ได้

    จนกระทั่งวันหนึ่งๆ ๒๔ ชั่วโมงจะเอาความสงบจริงๆ จังๆ สัก ๕ นาทีก็ยังดี ๑๐ นาทีก็ยังดี นั่นล่ะเห็นแจ้งความจริงของพระพุทธเจ้าที่ทรงเทศนาไว้จริงในใจของเราเลย

    : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    http://www.thewayofdhamma.org/page3_1_2/7.html

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=right width="70%">
    </TD><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top> เราเคยทำเขาไว้ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR>
    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    [​IMG]

    ตอนเด็กๆ หลวงปู่เคยตกปลา ขณะปลาติดเบ็ด
    หลวงปู่สงสารจึงได้แกะปลาออกจากเบ็ดแล้วปล่อยมันไป

    ต่อมาภายหลังเมื่อหลวงปู่บวชแล้ว ขณะที่นั่งอยู่ในศาลา เผอิญมีแมวตัวหนึ่งมองเห็นเงาของมันในตาของหลวงปู่ จึงใช้หน้าขาของมันข่วนใต้ตาของหลวงปู่อย่างแรง เลือดไหลอาบหน้า แล้วแมวก็มาหลบอยู่ขางหลังหลวงปู่ ทำให้ชาวบ้านหาแมวไม่เจอ

    หลวงปู่บอกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...