ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    พรุ่งนี้จะไปบริจาคเงินให้ รพ.สงฆ์ เป็นค่าเลือด 5,000.- และค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลางอีก 5,000.- ตามที่ได้แจ้งให้ทราบไว้แล้วก่อนหน้า ในเวลาประมาณ บ่าย 2 โมงครับที่ห้องบริจาคด้านล่าง โดยเดือนนี้งดกิจกรรมของทุนนิธิฯ อันเนื่องมาจาก งานกฐินเยอะ หลายคนต้องไปทอดกฐินกันที่ต่างจังหวัด ดังนั้นจึงเป็นภาระของกรรมการฯ 3 คน คือ ผม คุณเขมชาติ หรือชื่อในกระทู้คือนายสติ คุณโสระ หรือชื่อในกระทู้คือคุณหมู รวมถึงสักขีพยานคือคุณธนวัฒน์ หรือชื่อในกระทู้คือ chaipat ช่างกล้อง จะไปบริจาคกัน เสร็จแล้วจะได้นำรูปการบริจาคปัจจัยที่เบิกออกมาจากบัญชีให้เจ้าหน้าที่พร้อมหลักฐานการบริจาคมาลงให้ทราบ เช่นเดียวกัน ราวๆ วันจันทร์ ผมจะได้นำเงินอีก 5,000.- โอนไปให้ที่ รพ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อช่วยการรักษาให้พระสงฆ์จากพม่าที่ท่านอาพาธเป็นวัณโรคร้ายแรงที่ยังคงนอนอยู่ที่ รพ. ได้นำเงินที่บริจาคนี้ช่วยรักษาท่านไปก่อนด้วยครับ หนักจะได้เป็นเบา ก็ยังดีกว่า 30.-บาท รักษาทุกโรค ส่วนของ รพ.อื่นคงต้องรอเดือนหน้าทั้งหมดครับ ใครจะไปด้วยก็ได้เจอกันที่ห้องบริจาคก็แล้วกัน เสร็จแล้วก็ไปหาที่ประชุมต่อที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจจะเป็นตรงลานปรีดี ริมแม่น้ำหรือในซุ้มต่างๆ ในมหา'ลัย หลังจากนั้น ถ้าไม่มีอะไร ก็จะเตร็ดเตร่ตามซอกซอยร้านขายพระ เอามือแหย่โน่นจับนี่ไปเรื่อย รู้จักถาม รู้จักคลำ รู้จักดู เดี๋ยวก็ได้พบสิ่งมหัศจรรย์เอง ใครสนใจก็ไปเจอที่ มธ.เองครับ ดูในรูปที่เคยลงก็คงจะคุ้นหน้าคุ้นตากัน แต่ที่แน่ๆ ถ้าไปแล้ว เตรียมเงินไป 70.-บาทด้วย เดี๋ยวชี้ให้ดูของดีเอาไปใช้กันครับ (แต่ที่อยากให้นำไปเก็บไว้คือพระที่พระมหาธรรมราชาพระจักรพรรดิ์โบราณ (คนละองค์กับที่พิษณุโลก) ท่านทำไว้ให้ สวยมาก ราคาไม่ถึงร้อย สมกับเป็นจักรพรรดิคือชี้เอา ไม่ใช่ขอ จริงๆ ถามคุณโสระดู เพราะท่านมาบอกเองครับ)



    พันวฤทธิ์
    18/10/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2008
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ธรรมะวันอาทิตย์ ไว้เป็นภูมิคุ้มกันลูกหลานที่เรารักครับ



    สอนลูก
    ทำบุญ


    วิชาความรู้นั้นช่วยให้ลูกเป็นคนเก่ง แต่ถ้าต้องการให้ลูกเป็นคนดีและมีความสุข ก็ต้องสอนลูกให้รู้จัก “ บุญ ” ด้วยบุญนั้น ถ้ารู้จักและทำอย่างถูกต้อง จะเป็นทั้งภูมิคุ้มกันและรั้วป้องกันไม่ให้อันตรายล่วงล้ำเข้ามาได้ ช่วยให้ลูกแก้ปัญหาชีวิตของตนเองได้ (จัดการกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวได้) อีกทั้งยังเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจให้สงบเย็นและเป็นสุข
    [​IMG]
    บุญ แปลว่า เครื่องลำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ชำระอย่างแรกคือ ชำระพฤติกรรมให้งดงาม เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ชอบธรรมเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ชำระประการต่อมาก็คือลำระจิตใจ ให้หายเศร้าหมอง พ้นจากความเร่าร้อน เกิดความสว่างไสวในทางปัญญา คิดถูกคิดชอบ ไม่หลงไปตามอารมณ์ชั่วแล่น

    [​IMG]
    สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก

    พ่อแม่ ทุกคนไม่เพียงอยากให้ลูกเป็นคนเก่งเท่านั้น หากยังอยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีงามและเป็นสุขด้วย ลูกเรียนเก่งหรือร่ำรวย ย่อมไม่มีความหมายสำหรับพ่อแม่ ถ้าลูกเป็นทุกข์ ทุจริตหรือติดอบายมุข
    [​IMG]
    แต่การมีชีวิตที่ดีงามและเป็นสุขในโลกทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องมีสิ่งคุ้มตนให้อยู่รอดปลอดภัยจากอันตรายซึ่งมีอยู่รอบตัวไม่ถูกล่อลวงชักนำให้ถลำไปในทางที่ผิด ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักคิด ใฝ่เรียนรู้สิ่งดีงามและสร้างสรรค์คุณค่าให้แก่ชีวิต
    [​IMG]


    บุญยังแปลว่า ความอิ่มเอิบเบิกบานใจ เพราะได้ทำความดีและสร้างสรรค์ความเจริญงอกงามให้เกิดขึ้น คนเราทุกคนต้องการทำความดี อยากให้ความดีภายในได้เปล่งประกายออกมา เหมือนกับดอกไม้ที่อยากเบ่งบาน สยายกลีบ โดยไม่สนใจว่าจะมีคนเห็นหรือไม่ การทำความดีช่วยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ดุจเดียวกับดอกไม้ที่บรรลุความสมบูรณ์เมื่อได้สร้างความงดงามให้แก่โลก
    [​IMG]
    ผู้ให้ความสุขย่อมได้ความสุข

    บุญ นั้นเริ่มต้อนด้วยการรู้จักให้ (หรือทาง) ช่วยให้เราไม่คิดจะเอาเข้าตัวอยู่ร่ำไป ชีวิตที่ดีแต่จะเอาเป็นชีวิตที่ไม่สมดุล จิตที่คิดแต่จะเอาเป็นจิตที่คับแคบ เห็นแก่ตัว ทำให้เป็นคนไม่น่ารัก และมีความสุขยาก
    [​IMG]
    เด็กๆ เติบโตขึ้นมาได้เพราะเป็นฝ่ายรับจากผู้อื่นมาตั้งแต่เกิด ทั้งน้ำนม อาหาร ความอบอุ่น ตลอดจนความรู้ แต่ถ้าไม่รู้จักให้เสียเลย ก็จะเกิดความเข้าใจผิดว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อจะเป็นผู้รับฝ่ายเดียวเท่านั้น การสอนเด็กให้รู้จักให้ คือการสอนบทเรียนชีวิตข้อแรกว่า เมื่อรับแล้วต้องรู้จักให้ เหมือนกับต้นไม้ทุกต้นเติบโตเพราะดูดน้ำและอาหารจากพื้นดิน แต่เวลาเดียวกันกันเขาก็รู้จักคายน้ำและทิ้งกิ่งใบให้เป็นปุ๋ย เป็นการตอบแทนผืนดินที่หล่อเลี้ยงเขามา อีกทั้งยังให้อาหารและที่พักพิงแก่เพื่อนร่วมโลก เช่น นก กระรอก รวมทั้งมนุษย์
    [​IMG]
    [​IMG]แต่การให้มิได้หมายถึงการตอบแทนหรือเป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น การให้ยังช่วยให้เราได้รับความสุข การสอนลูกให้รู้จักให้คือการสอนให้เขารู้จักความสุขจากการให้ “ ผู้ให้คามสุขย่อมได้รับความสุข ” เป็นสัจธรรมที่เด็กควรรับรู้


    ด้วยเหตุนี้ ผู้ใหญ่สมัยก่อนจึงนิยมพาลูกหลานใส่บาตรตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ ทีแรกก็เป็นฝ่ายเฝ้าดูพ่อแม่หรือตายายเอาอาหารหวานคาวใส่บาตร ต่อมาก็ใส่บาตรด้วยตนเอง ใส่แล้วก็พนมมือจรดหัว
    [​IMG]
    การถวายของให้พระถือว่าเป็นบุญแต่บุญไม่ได้จำกัดอยู่แค่นั้น ให้ของแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่ยากลำบาก ก็ถือว่าเป็นบุญเช่นกัน ลูกๆ สามารถทำบุญได้ด้วยการสละของเล่นให้แก่เด็กยากจนหรือเด็กด้อยโอกาสในเมืองและในชนบท หรือให้เงินช่วยคนพิการ
    [​IMG]
    นอกจากให้เงินหรือสิ่งของแล้ว การให้ชีวิตแก่สัตว์ก็เป็นบุญเหมือนกัน เช่น ช่วยปลาที่ติดปลักให้กลับคืนสู่แม่น้ำลำคลองแม้แต่ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งใกล้ตาย ช่วยรดน้ำให้เขา ก็เป็นบุญเช่นกัน
    [​IMG]
    โลกสวยด้วยน้ำใจ

    จะให้อะไรราคาเท่าไร ไม่สำคัญเท่ากับน้ำใจที่คิดจะให้พ่อแม่จะช่วยลูกได้มาก หากสอนให้ลูกตระหนักว่า แม้เขาจะมีกำลังน้อย มีเงินไม่มาก แต่เขาก็สามารถทำบุญได้เท่าเทียมผู้ใหญ่ หากเขามีน้ำใจ คุณค่าของคนเรามิได้อยู่ที่วัยหรือชื่อเสียงเงินทอง แต่อยู่ที่คุณภาพของใจต่างหาก
    [​IMG]

    ถึงจะไม่มีเงินให้ แต่ถ้ามีน้ำใจเสียแล้ว ก็สามารถให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเงิน เช่น ด.ญ. เฟอร์รารี่ เมื่อพบว่าลูกพี่ลูกน้องวัย ๑๐ ขวบ [​IMG]ป่วยด้วยโรคมะเร็ง เธออยากจะช่วยมาก จึงวาดการ์ตูนเพื่อหาเงินไปเป็นค่ารักษาน้อง หนังสือการ์ตูนของเด็กหญิงวัย ๑๒ แม้จะไม่สวยงามเท่ากับของผู้ใหญ่ แต่น้ำใจอันยิ่งใหญ่ของเธอชักชวยให้ผู้อ่านพากันบริจาคช่วยน้องของเธอ จนบัดนี้เขาเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว

    ด.ญ. แก้วใจ เป็นอีกคนหนึ่งที่มีน้ำใจเสียสละ ทุกคืนหลังเลิกเรียน เธอจะติดรถไปกับพ่อแม่เพื่อช่วยผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน เธอจะช่วยจดชื่อที่อยู่และทะเบียนรถที่ประสบเหตุบางครั้งก็ตัองช่วยโบกรถและอุ้มคนเจ็บพาส่งโรงพยาบาล แม้จะอายุเพียง ๑๔ ปี แต่ความเสียสละของเธอนั้น ยากที่ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะทำได้
    [​IMG]
    การเสียสละเพื่อส่วนรวม หรือลงมือลงแรงเพื่อช่วยผู้อื่น เป็นบุญอีกอย่างหนึ่ง บุญอย่างนี้เด็กๆ สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน เช่น เก็บเศษแก้วหรือตะปูที่ขวางทาง เก็บขยะในละแวกบ้าน [​IMG]ช่วยเหลืองานของโรงเรียน ถือของให้คนแก่ จูงคนตาบอดข้ามถนน ปลูกต้นไม้ในที่สาธารณะ นิสัยเช่นนี้ปลูกฝังได้ด้วยการสอนให้ลูกรู้จักช่วยงานบ้าน แม้จะมีคนใช้ก็ตาม





    อยู่อย่างไม่เบียดเบียน

    การช่วยเหลือผู้อื่นจะเป็นไปได้ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักรักษาตนไม่ให้ก่อความเดือดร้อนแก่ใคร หรือเอาเปรียบส่วนรวม เช่น ฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ล่วงละเมิดของรักของสงวนของผู้อื่น โกหก หรือเข้าหาสิ่งเสพติด บุญประเภทนี้เราเรียกว่าศีล

    [​IMG]

    พ่อแม่ที่สอนลูกไม่ให้ไปเบียดเบียนใคร ไม่ว่าบุคคลหรือส่วนรวมเท่ากับสร้างรั้วป้องกันไม่ให้ความเดือดเนื้อร้อนใจเข้ามาใกล้ตัว ความชะล่าใจเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรนิ่งดูดายหากลูกขโมยปากกาของเพื่อน ลอกการบ้าน ทุจริตในห้องสอบ หรือฆ่ามดบี้ไส้เดือน
    [​IMG]
    พฤติกรรมที่ดีนั้นนอกจากจะช่วยให้ไม่ไปเบียดเบียนตนเองด้วย คนทำดีย่อมมีความสุข สุขทั้งตนเองและคนรอบตัว
    [​IMG]
    การกินอยู่ให้เป็นรู้จักใช้ของ ก็เป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมที่เรียกว่า ศีล เช่น กินง่ายอยู่ง่าย[​IMG] เลือกกินสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่ตามใจลิ้นจนเป็นแก่โทษร่างกาย

    ข้อนี้รวมถึงการใช้เทคโนโลยีต่างๆ อย่างเหมาะสม ไม่หมกมุ่นหรือสิ้นเปลือง เช่นใช้โทรศัพท์มือถืออย่างเป็นเวลา ดูโทรทัศน์เมื่อทำการบ้านหรืองานเสร็จแล้ว เล่นเกมคอมพิวเตอร์พอ ประมาณ เมื่อกินเป็นใช้เป็นแล้ว ขั้นต่อมาคือสอนให้ลูกจับจ่ายใช้สอยเป็น รู้จักประหยัด ไม่ติดนิสัยช็อปปิ้ง อวดร่ำอวดรวยแข่งกัน หรือหลงติดอบายมุข อาทิ การพนัน การเที่ยวสถานเริงรมย์
    [​IMG]

    สุดท้ายเหตุผลอยู่ตรงนี้

    การสอนลูกให้ทำความดีเป็นบุญอยู่แล้วในตัว ถ้าลูกนำไปปฏิบัติ ก็เท่ากับว่าลูกได้ร่วมทำบุญด้วย บุญที่ถูกต้องช่วยให้ชีวิตจิตใจเกิดความสะอาด สว่าง สงบและเป็นสุขอย่างแท้จริงไม่มีอะไรสำคัญสำหรับมนุษย์เท่ากับสิ่งนี้ พ่อแม่พร้อมให้อะไรมากมายแก่ลูก เช่น เงินบ้าน ที่ดิน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ลืมไม่ได้คือการสินลูกให้รู้จักบุญและมีชีวิตที่เปี่ยมบุญ มรดกใดเล่าจะสำคัญมากไปกว่านี้

    [​IMG]

    ที่เหลือไปดูเอาในข้างล่างนี้ครับ
    www.thaiedu.net/.../sonlungtambun6.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2008
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๖๖ | โปรดสหายภัททวัคคีย์
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๖๖ : โปรดสหายภัททวัคคีย์

    โปรดสหายภัททวัคคีย์


    ครั้นพระสาวกทั้ง ๖๐ องค์ ถวายบังคมลาพระบรมศาสดาออกจากป่าอิสิปปตนมิคทายวัน จาริกไปประกาศพระศาสนายังชนบทน้อยใหญ่ตามพระพุทธประสงค์แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ที่นครพาราณสีตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วจึงเสด็จจาริกมุ่งไปสู่ตำบลอุรุเวลา ครั้นถึงไร่ฝ้ายในระหว่างทาง เสด็จหยุดพักที่ร่มไม้ต้นหนึ่ง


    [​IMG]

    ขณะนั้น มีมานพ ๓๐ คน ซึ่งเป็นสหายที่รักใคร่กัน เรียกว่า
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ได้กล่าวถึงพระมหาธรรมราชาไว้ข้างต้น พอดีได้เจอพระพุทธรูปสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท แห่งสุโขทัยได้ให้ช่างทำไว้ พร้อมกับลวดลายปูนปั้นอื่นๆ สวยดีครับ เลยนำมาลงให้ดูความงามแห่งพุทธศิลปของบรรพชนที่ท่านวิจิตรบรรจงให้คงไว้คู่บ้านคู่เมืองในอดีต



    ลายปูนปั้นที่วัดนางพญาเป็นงานปูนที่แสดงออกถึงลวดลายอันวิจิตรและเชิงช่างสุโขทัย โบราณ วัดนี้สร้างราว พศ 1800 ในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหง เมื่อขึ้นเป็นกษัติรย์ในราชวงค์พระร่วงเพื่อเป็นเกียรติแด่พระมารดา ของพระองค์เอง
    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ครองราชสมบัติ ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๗๘๑ แต่ไม่ปรากฏปีที่สิ้นสุดการครองราชสมบัติ พระองค์ทรงนำชนชาติไทย ต่อสู้กับชนชาติขอมซึ่งเป็นใหญ่อยู่ในสุวรรณภูมิ อันเป็นที่ตั้งของ ประเทศไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงกรุงสุโขทัยด้วย ทรงได้ชัยชนะขอม และประกาศอิสรภาพ ตั้งราชอาณาจักรสุโขทัย ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์แรก และเป็นต้นราชวงศ์พระร่วง พ่อขุนบาลเมือง ครองราชสมบัติ พ.ศ.ใดไม่ปรากฏถึง พ.ศ. ๑๘๒๒ (ไม่มี รายละเอียด) สำหรับพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ เป็น พระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
    และพระนางเสือง และเป็นพระเชษฐาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พ่อขุนรามคำแหง
    พ่อขุนรามคำแหงนั้นครองราชสมบัติ ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๒๒ ถึง พ.ศ. ๑๘๔๒ รวม ๒๐ ปี เป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์และพระนางเสือง เป็นพระอนุชาของพ่อขุนบาลเมือง พระองค์ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่ราชอาณาจักรไทยมากที่สุดพระองค์หนึ่ง กล่าวคือขยายอาณาเขตประเทศไทยออกไปอย่างกว้างขวางทุกทิศทางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทรงประดิษฐ์อักษรไทยซึ่งเป็นรากฐานของหนังสือไทยที่ใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ส่งเสริมการค้าอย่างเสรี
    โดยไม่เก็บภาษีทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ส่งเสริมการเกษตร ทั้งการทำนา และการทำสวน ส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาที่เรียกว่า เครื่องสังคโลกโดยนำวิธีการมาจากประเทศจีน เครื่องสังคโลกนี้นอกจากผลิตขายภายในประเทศแล้ว ยังส่งไปขายยังต่างประเทศ ทางเรืออีกด้วย เช่น ฟิลิปปินส์และบอร์เนียวเป็นต้น ส่งเสริมพุทธศาสนา โดยนำพุทธศาสนา ลัทธิเถรวาท จากลังกา มาเผยแพร่ในราชอาณาจักรสุโขทัยจนเป็นปึกแผ่นก่อให้เกิดความสุขสงบ มีศีลธรรมอันดีในหมู่ พสกนิกรชาวไทยอย่างกว้างขวาง นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดศิลปวัตถุที่งดงาม อันเนื่องมาจากพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท เป็นมรดกล้ำค่า ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
    ต่อมาเป็นรัชสมัยของ พระเจ้าเลอไท ทรงครองราชสมบัติ ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๔๒ ถึง พ.ศ. ๑๘๙๑ รวม ๔๙ ปี



    (พระพุทธรูปศิลปแบบสุโขทัยก่อนยุคตะกวนสัญนิฐานว่าสร้างในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท)
    พระมหาธรรมราชาลิไทย
    ครองราชสมบัติตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๙๑ ถึง พ.ศ. ๑๙๑๒ รวม ๒๑ ปี เป็นโอรสของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงเป็นทั้งนักรบ และนักอักษรศาสตร์ รวมทั้งนักพัฒนาที่สำคัญพระองค์หนึ่ง ในด้านอักษรศาสตร์ ทรงนิพนธ์ หนังสือไตรภูมิพระร่วง ซึ่งนับว่าเป็น หนังสือทางพุทธศาสนาที่สำคัญมากเล่มหนึ่ง ด้านพุทธศาสนา และศิลปกรรม ทรงโปรดให้หล่อพระพุทธรูปสำคัญของไทยไว้ ถึง ๓ องค์ด้วยกัน คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และ พระศรีศาสดา ด้านการพัฒนา ทรงโปรดให้ตัดถนนเชื่อมเมืองสำคัญ ๆ ในสมัยนั้น ที่เรียกว่า ถนนพระร่วง เพื่อให้การสัญจรไปมาได้สะดวก และน่าจะเป็นประโยชน์ในการป้องกันราชอาณาจักรอีกด้วย
    พระเจ้าไสยลือไทย หรือ พระมหาธรรมราชาที่ ๒
    ครองราชสมบัติ ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๑๓ ถึง พ.ศ. ๑๙๓๑ รวม ๑๘ ปี พระมหาธรรมราชาที่ ๓ และพระมหาธรรมราชาที่ ๔ครองราชสมบัติตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๓๑ ถึง พ.ศ. ๑๙๖๒ และ พ.ศ. ๑๙๖๒ ถึง พ.ศ. ๑๙๘๑ รวม ๓๑ ปี และ ๑๙ ปี ตามลำดับ จากนั้นกรุงสุโขทัยก็เสื่อมลงและลดความสำคัญลงเรื่อยๆเนื่องจากศูนย์กลางการปกครองย้ายไปอยู่กรุงศรีอยุทธยาจากเมืองหลวงกลายมาเป็นมณฑลและจังหวัดตามลำดับ




    (พระพุทธรูปศิลปแบบสุโขทัยก่อนยุคตะกวนสัญนิฐานว่าสร้างในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท)

    ในห้วงเวลาดังกล่าว พุทธศาสนาในลังกาเจริญรุ่งเรืองมาก บรรดาพระสงฆ์ในสุวรรณภูมิอันได้แก่ ไทย พม่า มอญ พากันไปศึกษาพุทธศาสนาในลังกาเป็นอันมาก และได้มีพระสงฆ์ชาวลังกา เข้ามาเผยแพร่ พุทธศาสนาในดินแดนส่วนนี้ด้วย โดยในระยะแรกมาอยู่ที่นครศรีธรรมราช ต่อมาจึงขึ้นไปอยู่สุโขทัย และเชียงใหม่ ดังนั้นพระพุทธรูปในยุคนี้จึงได้แบบอย่างมาจากลังกา ลักษณะโดยทั่วไปมีดังนี้คือ รัศมียาว เส้นพระศกขมวดก้นหอย ส่วนมากไม่มีไรพระศก พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระหนุเสี้ยม หัวพระถันโปน ชายสังฆาฏิยาว ปลายมี ๒ แฉก และย่นเป็นเขี้ยวตะขาบ ฐานส่วนใหญ่เป็นแบบฐานเอียง ตอนกลางโค้งเข้าด้านใน ตรงข้ามกับสมัยเชียงแสน

    [SIZE=+1]พระพุทธรูปสมัยนี้ แบ่งออกเป็น ๓ รุ่น ด้วยกัน คือ[/SIZE]

    [SIZE=+1]รุ่นแรก มีวงพระพักตร์กลมแบบลังกา[/SIZE]
    [SIZE=+1]รุ่นที่สอง มีวงพระพักตร์ยาว และพระหนุเสี้ยม [/SIZE]
    [SIZE=+1]รุ่นที่สาม น่าจะสร้างในรัชสมัยพระมหาธรรมราชา หรือ พระเจ้าลิไท พระองค์ทรงหาหลักฐานต่าง ๆ จากพระไตรปิฎก มาประกอบการสร้างพระพุทธรูป จึงได้เกิดพระพุทธรูปแบบสุโขทัยขึ้นอีกแบบหนึ่ง ได้แก่ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ วงพระพักตร์ รูปไข่คล้ายแบบอินเดีย ปลายนิ้วพระหัตถ์เสมอกันทั้ง ๔ นิ้ว[/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2014
  5. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    การทำบุญ รพ.สงฆ์ วันที่ 19 ตุลาคม 2551 ครับ

    ซึ่งในเดือนนี้ไม่มีถวายฉันเช้าครับ

    เดือนหน้าจะเป็นก็จะใกล้เป็นวันทำบุญเช่นกันครับ รวมถึงมีการถวายฉันเช้าด้วยครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_0197 2.JPG
      DSC_0197 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      96.3 KB
      เปิดดู:
      4,896
    • DSC_0201 2.JPG
      DSC_0201 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      114.4 KB
      เปิดดู:
      4,877
    • DSC_0202 2.JPG
      DSC_0202 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      113.6 KB
      เปิดดู:
      4,790
    • DSC_0204 2.JPG
      DSC_0204 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      78.2 KB
      เปิดดู:
      4,819
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2008
  6. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ในวันนี้ขณะที่รอพี่ๆ ท่านมาร่วมบริจาคที่ โรงพยาบาลสงฆ์

    เห็นคนเขาพาลูกหลานมาทำบุญกันหลายคน เป็นที่น่ายินดีครับ

    ก็ทำให้ผมรู้ว่า ไม่ควรเสียเวลา เสียจิตกับอะไรก็ไม่รู้

    ตั้งหน้า ตั้งตา ทำดีๆ ดีกว่า

    สร้างบุญ สร้างกุศล สร้างจิตใจของตนให้ดีๆ

    สอนลูก สอนหลาน ให้เป็นคนที่รู้จักความพอดี ไม่โลภ ไม่โทสะ ไม่หลงไปกับที่ไม่ควร

    ไหว้พ่อไหว้แม่ รู้จักกตัญญู ทำบุญทำกุศล



    วันข้างหน้า ลูกหลานเราจะเป็นคนดี เพราะเราเป็นคนดีครับ

    สาธุครับ
     
  7. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เมื่อวันอาทิตย์ได้ฝากเงินจำนวน 7000 บาทให้พี่ปุ๊ไปเข้าบัญชีทุนนิธิฯ โดยมีผู้ทำบุญมาดังนี้
    คุณสงวนชัย อัครวิทยาภูมิและครอบครัว 5000 บาท มีความประสงค์ช่วยพระสงฆ์ที่อาพาธเป็นวัณโรคที่โรงพยาบาลชายแดนพม่า
    คุณธิติ 500 บาท
    คุณactive 300 บาท
    คุณชมพู ดิษฐประเสริฐ 200 บาท
    ผมโสระ 1000 บาท โดยเป็นเงินที่ได้เหลือจากค่าส่งพระและมีผู้มอบให้มาทำ

    โมทนากับทุกๆท่านครับ

     
  8. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,291
    ปัญญาเผาใจที่หลายๆคนเคยเป็นแต่ไม่รู้จะถามใคร???


    เนื้อความ : (Papongza)
    ผมจำได้ว่าผมเคยโพสกระทู้เกี่ยวกับความคิดอกุศลทั้งหลายแหล่ แต่ถึงวันนี้ผมยังไม่หายซักที

    ผมขอเล่าให้เลยนะคับ นอกจากการที่ผมมีโรคติดความคิดอกุศล ผมยังมีอาการย้ำคิดย้ำทำ ต้องทำต่อไปเรื่อยๆแล้วยังมีอีกหลายอย่างเป็นปัจจัยให้ทำสิ่งน่าเกลียดๆ

    อย่างวันนี้เนี่ย ผมชวนเพื่อนไปทำบุญที่อยุธยามา ก็ไปกราบพระ ฝึกกรรมฐานนิดหน่อย แต่ตลอดเวลาเลยใจคิดคำด่าอยู่ตลอด คิดถึงภาพลามก ตลอดเวลา พยายามหยุดเท่าไหร่ก็ไม่ได้
    บางทีกิริยาผมก็ตามความคิดไป ไม่ยอมหยุด พยายามหยุดมันก็ยิ่งด่า ไม่พยายามหยุดมันก็ไม่เลิก
    ใจผมเป็นคนกลัวบาปกรรมมากครับ ผมยอมรับ
    บางทีผมเห็นพระภิกษุ จิตผมมันก็เหมือนอัตโนมัติว่าต้องหาเรื่องแย่ๆมาคิด แล้วถึงพยายามหยุดตั้งแต่ต้นก็ยาก

    ผมจนปัญญาแล้วครับ จิตผมมันจินตนาการเรื่องแย่ๆมามากจนผมบางทีทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

    ขอคำแนะนำเถอะครับ

    ขอบคุณมากครับ
    จากคุณ : Papongza [ ตอบ: 05 เม.ย. 51 [​IMG]15:21 ] แนะนำตัวล่าสุด 11 ก.พ. 51 | สมาชิกลานธรรมทั่วไป | [​IMG]ตอบ: 9 | ฝากข้อความ | ip:58.8.3.8

    ที่มา , เวปลานธรรม


    "สำหรับวิธีที่วิมุตฺติยาใช้เมื่อคิดลบหลู่คือ ดูใจเราเวลาที่เกิดความไม่พอใจหรือความกลัวบาปกลัวกรรม เพราะคิดเรื่องไม่สมควร
    เมื่อสังเกตดูจะอาจจะพบว่า ที่เราทุกข์ เป็นเพราะเรา
    1. "อยาก" (ตัณหา) "อยากบังคับใจให้เป็นอย่างที่เราต้องการ" "อยากให้คิดดี"
    2. "ไม่อยาก" (วิภวตัณหา) "ไม่อยากมีความคิดแย่ๆ" "ไม่อยากบาป"
    สมดังที่พุทธองค์"ได้ทรงยกตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ว่าเป็นสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์"

    อาจารย์ได้เคยสอนว่า ที่กลัวกิเลสนั้น ก็เพราะยังยึดติดกับความเป็น "เรา" (อัตตา)
    กลัวว่าเราจะเป็นทุกข์ จะไม่ได้ดี
    แต่ถ้าไม่มี "เรา"
    คือไม่มีตัวตนเสียแล้ว
    ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก
    และอย่าไปอยากดี ติดดี อย่าพยายามแก้ไขนิสัยจากภายนอก

    สำหรับวิธีอื่นๆที่เห็นว่าสามารถใช้ประกอบได้คือ
    - สำรวจตัวเองว่าเรารักษาศีลดีแล้วหรือยัง เพราะหากยังรักษาศีลไม่ดี ก็เป็นเหตุให้เกิดความคิดฟุ้งซ่านได้
    - ถ้าคิดเรื่องลามก อาจจะลองเจริญอสุภะกรรมฐานดูจนใจเกิดความเบื่อหน่ายไม่สนใจจะคิด
    - ทำกิจกรรมอื่นที่ใจเป็นสุข เช่น ปล่อยสัตว์ ให้ธรรมะเป็นทาน (ทั้งด้วยคำแนะนำโดยตรง หรือโดยอ้อมจากการแจกหนังสือซีดี ฯลฯ)
    จากเวปลานธรรม

    การล้างความคิดลบหลู่พระรัตนตรัย

    ปัญหานี้ค่อนข้างหนักหน่วง และเป็นที่ทรมานใจพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก สาเหตุจะเกิดจากอะไรก็ตามที ขอให้ทราบว่ามีเพื่อนพุทธศาสนิกชนมากมายร่วมเคราะห์อยู่ด้วยไม่น้อยเลย
    ทางแก้อันดับแรกคือระลึกไว้ว่าอย่าหลงกลความคิด หากคิดแล้วไปห้ามตัวเอง ฝืนตัวเอง ด่าว่าตัวเอง อะไรจะยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่ ความคิดด้านลบไม่อาจล้างด้วยความคิดด้านลบ ขอให้เบี่ยงเบนจากความคิดที่กำลังเกิดขึ้นเสีย เช่นทำเหมือนคำแนะนำในข้อก่อน คือแปรความสนใจจากเรื่องที่กำลังคิดมาเป็นความใส่ใจอาการฟุ้งของจิตหรืออาการของกายแทน เมื่อเห็นแล้วก็จะแก้ฟุ้งแบบผิดๆได้ชั่วครั้งชั่วคราว เนื่องจากอาการของจิตหรืออาการของกายจะแสดงความไม่เที่ยงให้เห็นทันทีที่ถูกรู้
    แต่หากยังช่วยไม่ได้ ก็ขอให้ลองตั้งสัจจะคิดอธิษฐานอย่างนี้ดู ว่าแก่นแท้ของใจเราไม่ได้คิดลบหลู่พระรัตนตรัยเลย เป็นเรื่องของกระแสความคิดอันเป็นอนัตตาเท่านั้น และในเมื่อกระแสความคิดเป็นอนัตตา ก็ขอให้เราจงมีความรู้แจ้งเห็นจริงที่ไม่หลงติดกับดักของอนัตตา
    คิดเช่นนี้แล้วให้ยกมือไหว้ขอขมา หรือถ้าอยู่ใกล้โต๊ะหมู่บูชาก็อาจน้อมกายลงกราบทีเดียว การไหว้หรือการกราบครั้งต่อครั้งจะเป็นสัญลักษณ์แทนใจจริง อาจนึกในใจว่า "นี่คือใจจริงของผม" หรือ "นี่คือใจจริงของหนู" นั่นคือใจจริงของเรามีความปรารถนาจะกราบไหว้ด้วยความเคารพอย่างนี้ต่างหาก พลังความอ่อนน้อมนั้น ยิ่งมากยิ่งหนุนความคิดด้านดีให้ทวีตัวขึ้นท่วมทับกระแสความคิดด้านร้ายจนไม่อาจต้านทาน
    อีกประการหนึ่ง ขอให้พิจารณาว่าการตั้งใจพูดดี ไม่โป้ปดมดเท็จ ไม่ส่อเสียด ไม่กล่าวคำหยาบ และไม่พล่ามเพ้อเจ้อ ก็จะทำให้กระบวนการคิดตั้งมั่นบนพื้นการปรุงแต่งอันเป็นกุศล เราพูดอย่างไรก็เป็นคนอย่างนั้น จิตวิญญาณเราจะถูกตกแต่งให้โน้มเอียงไปในทางนั้น นับเป็นนโยบายปิดกั้นทางเข้าของความคิดอันชั่วร้ายได้ประการหนึ่ง


     
  9. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,291
    ให้ทานด้วยใจที่เศร้าหมองย่อมได้บาป


    หลวงปู่มั่นโปรดพี่น้องสร้างเจดีย์ที่กลายเป็นเปรต แทนเป็นเทวดา
    [​IMG][​IMG]


    บุญนั้นเกิดจากใจ หากให้ทานด้วยใจที่เศร้าหมองย่อมได้บาป


    มีพี่กับน้องช่วยกันสร้างเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา สร้างยังไม่ทันเสร็จทั้งพี่ทั้งน้องตายก่อน ทั้งพี่ทั้งน้องเกิดความโศกเศร้าเสียใจ ใจเศร้าหมองว่าเราสร้างเจดีย์ไม่ทันเสร็จมาตายเสียก่อน เมื่อตายแล้ววิญญาณก็ไปเกิดเป็นเปรตเฝ้าเจดีย์นั่งร้องไห้ทุกวัน มีความทุกข์โศกเศร้าติดจิตไป นี่ตายแล้วไม่ได้พ้นทุกข์นะ ถ้าในขณะก่อนตายมีทุกข์ ตายแล้วก็ยังเป็นทุกข์ ผู้ที่คิดฆ่าตัวตายฟังให้ดี ถ้าในขณะก่อนตายมีทุกข์ ตายแล้วก็ยังไปเป็นทุกข์อีก เพราะความทุกข์นั้นติดจิตไป

    วิญญาณที่เกิดใหม่ของพี่กับน้องก็ร้องไห้โศกเศร้าเสียใจอยู่ข้างเจดีย์ทุกวัน ๆ ถึงคราวจะสิ้นกรรม บุญคงจะส่งผล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอาจารย์ใหญ่ มีลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์จำนวนมาก มีญาณใหญ่สามารถล่วงรู้ได้ ไปปักกลดอยู่ที่บริเวณเจดีย์ร้างนั้น เห็นพี่กับน้องนี้มาร้องไห้อยู่ทุกวัน จึงไต่ถามว่าทำไมจึงมามีความทุกข์โศกเศร้าเสียใจอย่างนี้ ทั้งพี่ทั้งน้องก็เลยเล่าให้หลวงปู่มั่นฟังว่า มีความเสียใจมากเพราะตั้งใจจะสร้างเจดีย์บูชาพระพุทธศาสนา แต่สร้างไม่เสร็จมาถึงแก่ความตายเสียก่อนทั้งพี่ทั้งน้อง

    หลวงปู่มั่นเลยถามว่า บุญนี่มันติดอยู่ที่ก้อนอิฐ หรือว่าบุญนั้นมันอยู่ที่ใจ ถ้าบุญอยู่ที่ใจ บุญมันสำเร็จแล้วตั้งแต่ตั้งใจสร้าง แต่ถ้าบุญนั้นมันอยู่ที่ก้อนอิฐ บุญนั้นยังไม่สำเร็จ เพราะว่ามันยังสร้างไม่เสร็จ อันความสุขนั้นใจเป็นสุขหรือว่าอิฐมันเป็นสุข ทั้งพี่ทั้งน้องได้คิดสะกิดใจขึ้นมา อ้าวก็เราได้บุญมาครบถ้วนแล้วนี่ ใจเป็นบุญตั้งแต่สร้างเจดีย์ เพราะว่าเราตั้งใจสร้างเจดีย์ให้เสร็จ ใครบ้างตั้งใจสร้างเจดีย์ไว้ครึ่งเดียวก็ไม่มี เวลาตั้งใจก็ตั้งใจสร้างให้เสร็จ มันก็เป็นบุญทันที บุญนั้นสำเร็จตั้งแต่ตั้งใจสร้างเจดีย์ให้เสร็จแล้ว

    พอพี่กับน้องคิดได้อย่างนั้นเท่านั้นแหละ ความเข้าใจผิดหายไปจากใจโดยสิ้นเชิง นึกถึงบุญที่ตัวเองได้ตั้งใจสร้างเจดีย์บูชาพระพุทธศาสนา บุญก็มาสวมพรึบทันทีเลย พ้นจากภพชาติที่เป็นเปรตเฝ้าเจดีย์นั้น ด้วยอำนาจแห่งบุญที่สร้างเจดีย์นั้นเข้ามาสวมแทนความเข้าใจผิดก็เป็นบุญทันที ได้ไปเกิดใหม่ที่สวรรค์มีรูปร่างและเครื่องทรงงดงามด้วยอำนาจแห่งบุญที่ตัวเองได้สร้างพระเจดีย์ถวายบูชาพระพุทธศาสนา ทั้งพี่ทั้งน้องก็เหาะลงมาจากสวรรค์มากราบขอบคุณหลวงปู่มั่นที่เมตตาชี้แนะให้เกิดปัญญาจากการที่เข้าใจผิดมาเป็นเข้าใจถูก

    นี่จะเห็นได้ว่า ถ้าเข้าใจผิดแม้แต่ท่านสร้างทานบารมี แต่กลับได้บาป เพราะความเข้าใจผิด การทำทานแล้วถ้าเข้าใจผิดก็เป็นโทษ ดูซิ แทนที่จะได้บุญกลับเป็นโทษติดอยู่ตรงนั้น...



    -------------------------------------------------------
    ที่มา: ชมรมผู้ปฏิบัติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม
     
  10. เอกณัฏฐ์

    เอกณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +367
    วันนี้ผมได้ร่วมบุญจำนวนเงิน 200 บาท ผ่านตู้ ATM TMB เมื่อเวลา 15.13 น.
    ขออนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยนะครับ
     
  11. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    วาทะธรรมท่านพ่อลี ธมฺมธโร

    บารมี เหมือนกับปุ๋ยที่ช่วยให้ต้นไม้งอกงาม
    แต่ถ้าใครคอยเฝ้าบารมีอยู่ต้องตายเปล่า
    บารมี นั้น เกิดมีอยู่ที่วิธีการ
    แขน ๒ ขา ๒ ปาก มือ ตา นี่แหละ
    เป็นตัวสร้างบารมีทั้งนั้น ทำดีลงไปสิ

    จาก หนังสือ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า หน้า ๔๒๐
    ที่มา :
    http://community.thaiware.com/
     
  12. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ธรรมะหลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง

    อารมณ์ทั้งหลายนั้น จะเป็นอารมณ์ที่พอใจก็ตาม หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจก็ตาม อารมณ์ทั้งสองอย่างนี้ มันเหมือนงูเห่า งูเห่ามันมีพิษมาก ถ้ามันฉกคนแล้วก็ทำให้ถึงแก่ความตายได้ อารมณ์นี้ก็เหมือนกับงูเห่าที่มีพิษร้าย อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมาก อารมณ์ที่ไม่พอใจก็มีพิษมาก มันทำให้จิตใจของเราไม่เป็นเสรี ทำให้จิตใจไขว้เขวจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

    ----------------------------------------------------------------------

    ที่มา
    www.pranipparn.com
     
  13. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    "สงบจากความสุข ความดีใจ ความเสียใจ นี้คือลักษณะปฎิบัติ...ถ้าใจเราเป็นอย่างนี้แล้ว หยุดได้ หยุดถามได้แล้ว ไม่ต้องไปถามใคร นี่แหละ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ไม่ต้องไปถามใคร รู้เฉพาะตน แน่นอนอย่างนั้น"

    หลวงปู่ชา สุภัทโท

    ที่มา
    www.pranipparn.com
     
  14. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ไขปัญหาเรื่องหนอเป็นสมถะหรือวิปัสสนา
    โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙)

    ถาม กำหนด พอง-ยุบ มีบางพวกเห็นว่าเป็นสมถะไม่ใช่วิปัสนา
    ตอบ ญาติโยมผู้ใจบุญทั้งหลาย ปัญหาที่ถามว่ากำหนดพองยุบไม่ใช่วิปัสสนาเป็นสมถะอันนี้ก็น่าคิดอยู่ ญาติโยมจะทำอย่างไรจะตอบอย่างไร ก่อนจะตัดสินเราควรทราบความต่างของวิปัสสนาและสมถะ ถ้าเราทราบอย่างนี้จะตอบได้ง่าย สมถะเอาอะไรเป็นอารมณ์ บัญญัติ 40 ข้อเป็นอารมณ์ เรียกว่าอารมณ์ 40 กสิน เพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ พอง-ยุบ เป็นเพ่งน้ำ ไฟ ลม มั้ยมันไม่เรียกว่าเพ่งน้ำใช่มั้ย ทีนี้พองยุบไม่ใช่ดูน้ำในขันใช่มั้ย ทีนี้มาเข้ากสิน 10 ได้มั้ยปัญหาที่เค้าว่าต้องตัดสินอย่างนี้ก่อน เราต้องไล่อารมณ์สมถะทั้งหมดมีอะไรบ้าง กสิน 10 ในพองยุบไม่มีใช่มั้ย แล้ว อสุภ 10 พองยุบมีมั้ย เอาซากศพไม่ได้เอาตัวเราใช่มั้ย อนุสติ 10 ล่ะ พุทธานุสติ ธรรมมานุสติ สังฆานุสติ ไม่มีเลย พองยุบก็ไม่มีแล้ว แล้วพรหมวิหาร 4ล่ะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาล่ะถูกมั้ยกำหนดพองยุบเนี่ย กรรมฐาน 4 ล่ะถูกมั้ย 38 ข้อไม่มีเลยไม่ถูกซักข้อนึง อาหาเรปฎิกูลล่ะ อาหาร ปฏิกูล ความเป็นของปฏิกูลในอาหารเวลาฉันข้าวนี่เราก็ไม่ได้ฉันข้าวเวลากำหนดพองยุบใช่มั้ย เห็นมั้ยไม่ถูกอีกแล้ว ธาตุสี่ล่ะ ดิน น้ำ ไฟ ลม กำหนดมั้ยก็ไม่ได้กำหนดธาตุ แล้วทำไมจะเป็นสมถะ เอ้านี่ข้อแรกนะ
     
  15. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    พุทธศาสนาในสายตาแม่ชีฝรั่ง

    ศาสนาพุทธในสายตาของฉันนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสนา แต่ยังเป็นปรัชญาชีวิต เราไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ชีวิตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าดลบันดาลให้เป็นไป แต่ชีวิตเป็นของเรา เราสามารถที่จะมีชีวิตที่ดีได้ หรือไม่ดีก็ได้อยู่ที่การทำตัวของเราเองเราเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตัวเรา พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงตรัสว่าให้เชื่อ แต่ท่านสอนให้เราหาความจริงด้วยการปฎิบัติเอง พิสูจน์ทดสอบธรรมะที่ท่านตรัสไว้ ด้วยการปฎิบัติให้รู้จริงด้วยตัวเอง คำนี้เองที่ทำให้ฉันสนใจพุทธศาสนา ที่ฉันไม่ต้องทำตัวเหมือนเป็นลูกแกะ ที่เอาแต่เดินตามคนเลี้ยง

    ด้วยคำสอนของครูบาอาจารย์เราก็สามารถนำมาเป็นวิถีทางแห่งการปฎิบัติ แต่ทุกคนก็ยังคงต้องปฎิบัติ ด้วยตนเอง ไม่มีใครมาทำแทนให้ได้ เราควรดีใจที่วันนี้ ยังมีครูบาอาจารย์ที่พอจะมีความรู้จากประสบการณ์มาถ่ายทอดให้ด้วยตัวเอง สอนในวิถีทางที่ถูกต้องซึ่งสำคัญมาก เราไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าเราฟังธรรมะแต่เพียงอย่างเดียว เราจะได้ความรู้จากการอ่าน แต่ถ้าเราต้องการจะรู้จริงให้ลึกซึ้ง ต้องปฎิบัติด้วยตนเอง เป็นทางเดียวที่จะรู้ได้ บางครั้งมีคนมาถามฉันเกี่ยวกับพระเจ้าว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่ ฉันก็ตอบว่า "พระเจ้ามีจริง แต่ ฉันเชื่อในแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างในโลกนี้ รู้ทั้งจักรวาล พระองค์ยังคงรู้เรื่อง พระเจ้าด้วย และท่านยังคงรู้ว่าใครสร้างเรา นั่นก็คือตัวเราสร้างตัวเราเอง"

    บริจิต สล็อตเทนเบเชอร์

    http://www.vimokkha.com/nunbrigittet.htm
    http://www.komchadluek.net/column/pra/2004/06/29/02.php
     
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,291
    คนฉลาด"ตักบาตรเป็น" ได้"กุศล"มากกว่าธรรมดา


    การตักบาตร


    การตักบาตร เป็นการทำบุญที่ชาวพุทธทั่วไปรู้จักและปฏิบัติมากกว่าการทำบุญประเภทอื่น ๆ การตักบาตรนั้นยังถือว่าเป็นการทำบุญประจำวันของชาวพุทธ และชาวพุทธไทยเชื่อว่า การออกบิณฑบาตของพระสงฆ์เป็นการช่วยโปรดสัตว์ที่อยู่ในอบายภูมิ เช่น เปรตวิสัย ให้ได้รับส่วนบุญ ด้วยเหตุผลทางจิรยธรรม ในการทำบุญตักบาตรนั้น พอสรุปได้ดังนี้
    ๑.เป็นการสั่งสมบุญในแต่ละวัน เพราะการสั่งสมเป็นเหตุนำความสุขมาให้
    ๒.เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการทำบุญทำให้จิตใจแจ่มใส เพื่อให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพราะผู้ที่ไม่มีบุญเกื้อหนุนอยู่ในใจ ย่อมพ่ายแพ้ต่อบาปได้ง่าย
    ๓.เป็นการทำที่พึ่งคือบุญให้แก่ตนเองในอนาคต
    ๔.เป็นการช่วยรักษาพุทธประเพณี เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตและที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตล้วนแต่ดำรงพระชนม์ชีพด้วยอาหารบิณฑบาต
    ๕.เป็นการช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนา เพราะพระสงฆ์เป็นผู้ศึกษา ปฏิบัติพระธรรมวินัย
    แล้วนำมาสั่งสอนให้ประชาชนไดรับรสแห่งพระธรรมด้วย อีกทั้งยังดำรงตนเป็นตัวอย่างด้านความประพฤติดีงามของสังคม ฉะนั้น ชาวพุทธควรทำบุญตักบาตรเป็นประจำทุกวัน เพื่อเป็นการสั่งสมบุญให้แก่ตนเองที่จะต้องนำไปดุจเสบียงเดินทางในการท่องเที่ยวเวียนเกิดและเวียนตายอยู่ในวัฏฏสงสาร อันไม่ปรากฏเบื้องต้นและที่สุด และบุญที่สั่งสมไว้นี้ จะช่วยเกื้อกูลให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

    อนึ่ง ประโยชน์ส่วนรวมที่จะเกิดขึ้น คือ เป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา เพระพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำของพุทธบริษัท ที่เป็นฐานกำลังสำคัญแห่งกองทัพธรรมนั้น ท่านดำรงชีพอยู่ได้ด้วยปัจจัยที่คฤหัสถ์จัดถวาย ท่านจึงสามารถมีกำลังกาย กำลังใจที่จะศึกษาพระพุทธพจน์ คือ พระไตรปิฎก ให้เข้าใจ ทรงจำ นำมาประพฤติปฏิบัติ และกล่าวสอนมวลมนุษย์ได้

    การทำบุญตักบาตรจะสมบูรณ์ได้ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้

    ๑.ต้องเตรียมใจให้พร้อม ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะบุญที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจของผู้ถวาย ท่านแนะนำให้รักษาเจตนาให้บริสุทธิ์ทั้ง ๓ ขณะ คือ
    ๑.๑ ก่อนถวาย ตั้งใจเสียสละอย่างแท้จริง
    ๑.๒ ขณะถวาย ก็มีใจเลื่อมใส ถวายด้วยความเคารพ
    ๑.๓ หลังจากถวายแล้ว ต้องยินดีในทานของตัวเองจิตใจเบิกบานเมื่อนึกถึงทานที่ตนเองได้ถวายไปแล้ว
    การทำใจให้ได้ทั้ง ๓ ขณะดังกล่าวนี้ นับว่ายากมาก เพราะมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้จิตใจของเราเศร้าหมองในขณะใดขณะหนึ่งได้
    ๒.ผู้รับ คือ พระภิกษุสามเณร เป็นผู้สำรวมระวัง มีข้อวัตรปฏิบัติที่ดีงามตามพระธรรมวินัย ใฝ่ศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์ ทรงจำ นำมาบอกกล่าว สั่งสอนได้ และเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรเทาราคะ โทสะ โมหะจนสามารถละขาดได้อย่างสิ้นเชิง
    ๓.สิ่งของที่ถวาย จะต้องได้มาด้วยวิธีที่สุจริต ไม่เบีดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน และที่สำคัญคือสิ่งนั้นต้องเหมาะสมแก่พระภิกษุสามเณรด้วย

    ทำบุญตักบาตรให้หมั่นอธิษฐาน
    เมื่อองค์ประกอบ ๓ อย่างข้างต้นบริบูรณ์ สิ่งที่จะต้องทำก่อนตักบาตร คือ "การอธิษฐาน" การอธิษฐานนี้นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพราะจะทำให้บุญของเราหนักแน่น ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นมากขี้น และยังทำให้เราทราบเป้าหมายในการทำบุญด้วย นอกจากนี้ การอธิษฐานยังสามารภสร้างพลังขึ้นในจิตใจให้มากขึ้น เป็นการสั่งสมกำลังแห่งความบากบั่น อดทน เพื่อเป็นพื้นฐานที่สำคัญให้เราก้าวไปสู่สิ่งที่ปรารถนาได้ การอธิษฐานในขณะที่บำเพ็ญบุญนั้น ผลบุญย่อมหนุนส่งให้สำเร็จตามที่ปรารถนาไว้ ถึงแม้จะขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาสบ้างก็ตาม แต่ความดีที่ทำไว้ย่อมไม่เสียหายไปแน่นอน
    ฉะนั้น ก่อนตักบาตร ควรอธิษฐานโดยนั่งหรือยืนก็ได้ แล้วแต่สถานที่จะอำนวย ยกสี่งของที่จะถวายขึ้นเสมอหน้าผาก แล้วอธิษฐานตามที่ต้องการที่ชอบธรรมเป็นภาษาใดก็ได้ จะว่าในใจหรือออกเสียงเบา ๆ ก็ได้ จากนั้นจึงถวายอาหารบิณฑบาตด้วยความเคารพ ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนให้ถวายหลังจากที่ถวายอาหารบิณฑบาตเสร็จแล้ว ถ้าเป็นสตรีให้วางดอกไม้ธูปเทียนไว้บนฝาบาตร เมื่อพระท่านปิดบาตรแล้ว

    คำอธิษฐานก่อนตักบาตร
    ตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา มีเป็นหมายเพื่อให้มนุษย์ปลดเปลื้องตนเองจากทุกข์ มีจิตใจเป็นอิสระเหนือทุกข์ทุกอย่าง (พระนิพพาน) หลักการดำเนินชีวีตของชาวพุทธนั้นต้องสอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งพระโบราณาจารย์ท่านจึงบัญญัติคำ อธิษฐานที่เป็นสากลนิยมไว้ว่า

    อิทัง ทานัง สีละวันตานัง ภิกขูนัง นิยยาเทมิ สุทินนัง วะตะ เม ทานัง นิพพานะปัจจะโย โหตุ อะนาคะเต กาเล ฯ
    ข้าพเจ้าขอน้อมถวายทานนี้แด่พระสงฆ์ผู้มีศีล ขอท่านที่ข้าพเจ้าถวายดีแล้ว จงเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน ในอนาคตกาล เบื้องหน้าโน้นเทอญ ฯ
    อีกบทหนึ่งเป็นคำอธิษฐานถึงพระสังฆรัตนะ ว่า
    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง, สังโฆ เม สะระณัง วะรัง, เอเตนะ สังจะวัชเชนะ, โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา ฯ
    ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยคำสัตย์ นี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อ เทอญ ฯ

    แต่เพราะ"การทำใจให้ได้ทั้ง ๓ ขณะทั้งที่ก่อนถวาย,กำลังถวายและถวายไปแล้วให้ดำรงอยู่ได้ด้วยดี เพื่ออานิสงส์อันไพบูลย์นั้น นับว่ายากมาก เพราะมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้จิตใจของเราเศร้าหมองในขณะใดขณะหนึ่งได้" (คงไม่ต้องบอกนะครับว่า เหตุการณ์ที่ชวนให้ตักบาตรแล้ว"จิตตก"นั้น มีอะไรบ้าง???)
    หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ เคยบอกเป็นนัยถึงวิธีการ"ทำใจ"ตักบาตรให้ได้บุญบริบูรณ์ ไม่ว่า"ผู้รับ"จะเป็น"พระแท้"หรือ"พระเทียม"ก็ตามว่า
    "ให้กำหนดจิตเจตนาตักบาตรเป็นสังฆทาน(ถวายแด่สงฆ์โดยองค์รวม ไม่นึกถวายเจาะจงพระองค์ใดๆ)ไปเลย ถ้าตั้งใจได้อย่างนี้แล้ว เจอพระที่ไหนมาก็ตักบาตรได้หมด และได้บุญเต็มที่..!!!!"
    [​IMG][​IMG]


    ก็หาก"ทำใจเป็น"ดังกล่าวนี้ ก็ไม่น่าจะมีข้อกังวลใดๆในการตักบาตรอีกต่อไป เพราะการณ์ก็จะเป็นอย่างที่หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา เคยว่าเอาไว้ครั้งหนึ่งที่ว่า
    "....หากเราตั้งใจเป็น เราก็ได้บุญเต็มที่ แต่หากผู้รับไม่บริสุทธิ์(ทุศีล)จริง ก็ลงนรกไปเอง...!!!!!"
    [​IMG][​IMG]



    อนึ่ง จากการที่เคยไปทำบุญตักบาตรกับองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนในหลายวาระแต่กาลก่อน ทำให้ได้เห็นกับตาว่า หลวงตาท่านจะเข้มงวดสำหรับญาติโยมที่"ใส่รองเท้าตักบาตร"มาก!?!?
    ที่สุด...แม้แต่พวกที่ถอดรองเท้าตักบาตรแล้ว ก็ยังอุตส่าห์ยืนเหยียบบนรองเท้าตักบาตรเพราะกลัวเท้าหรือถุงเท้าเปื้อนอยู่นั่นแล้ว หลวงตามหาบัวเมื่อพบเห็น ท่านก็จะ"ดุ" แล้วสั่งให้"ถอดรองเท้า"ในทันทีเหมือนกัน?!?!​

    [​IMG][​IMG]


    "ต่อไปนี้ เราจะต้องได้ถือไม้(เรียว)ติดตัวไปด้วย ไปบิณฑบาตรต้องถือไม้(เรียว)ติดตัวไปด้วย เราบอกให้ถอดรองเท้า พอถอดปั๊บ-ปุ๊บขึ้นเหยียบแล้ว ขึ้นเหยียบอยู่บนรองเท้านะ...ไม่ยอมลงนะ (อย่างนี้ก็ต้อง)ตีขานะซี..!!!"
    [​IMG][​IMG]


    "ตรงนั้นน่ะ มันพิลึกกึกกือ กลัวเท้าสกปรกมากกว่าหัวใจสกปรก หัวใจสกปรกมอมแมม(ไม่ห่วง ห่วงแต่)เท้าสะอาด (อย่างนี้)ใช้ไม่ได้..!!!!!!"
    (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    หมายเหตุ , 1.เกี่ยวกับเรื่องนี้ เคยมีพระบางองค์ซึ่งมีจิตสัมผัสดีเคยปรารภกับ"พุทธวงศ์"ไว้ครั้งหนึ่งเหมือนกันว่า
    "การรับบาตรจากโยมที่ใส่รองเท้าตักบาตรนั้น มีโทษด้วยกันทั้งสองฝ่าย พระก็ต้องอาบัติ โยมก็มีบาป การใส่รองเท้าตักบาตรนี้ จะก่อให้เกิดวิบาก ซึ่งจะให้เกิดอุปสรรคลึกลับบางอย่างขึ้นมาขัดขวางวิถีชีวิตอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว !!!!!"

    หมายเหตุ ,2. "กฏแห่งกรรม" ไม่เคยยกเว้นให้กับใครๆ..ทำถูกคือถูก...ทำผิดคือผิด...ไม่มีข้อแม้ข้อแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น ทุกคนมีหน้าที่ต้อง"รู้แจ้ง"และต้องระมัดระวังตนเองให้ดีๆ เพราะคำว่า"ผู้ไม่รู้ ไม่ผิด" ไม่เคยมีอยู่ในสารบบเว้นโทษของกฏแห่งกรรมใดๆด้วยประการทั้งปวงนั่นแลฯ

    หมายเหตุ ,3. ด้วยเหตุนี้ ผู้ปรารถนาที่จะ"ตักบาตร" แล้วได้อานิสงส์อันสูงและบริสุทธิ์สุดส่วนเต็มที่ในทุกสถาน ไม่มีข้อตำหนิหรือบาปกรรมใดๆมาปะปนให้เกิดทุกข์โทษใดๆมาตัดรอนในภายหลัง ก็ต้อง"ฉลาด"ในการทำ"กาย"และ"ใจ"ให้พร้อมมูลดังกล่าวมาจงทั่วกันเทอญฯ


    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์พุทธวงศ์
    http://phuttawong.net/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2008
  17. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    2 - 3 กระทู้ที่ผ่านมา

    ได้อ่านเปิดความรู้ เปิดใจดีครับ

    ทำบุญด้วยใจที่เป็นสุข เป็นสุขใจจริงๆ ครับ

    สาธุครับ
     
  18. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    สวัสดีครับวันนี้ครอบครัวผมได้ใอนเงิน 500 บาทร่วมทำบุญสงฆ์อาพาธ 21/10/51
    เวลา17:20 น.ขออนุโทนาบุญกับทุกๆๆท่านที่ร่วมทำบุญครับ
     
  19. โอลีฟ

    โอลีฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +257
    ประมาณต้นเดือนได้ใอนเงิน 1,200 บาทร่วมทำบุญสงฆ์อาพาธ เข้าบัญชีทุนนิธิฯ โดยผ่าน internet จากบุรีรัมย์ค่ะ ขอโทษด้วยค่ะที่แจ้งช้า รายชื่อจะแจ้งให้คุณโสระทราบทาง PM อีกทีค่ะ ขออนุโมทนากับคณะกรรมการฯ ทุกท่านด้วยค่ะ
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,291
    กราบขอบพระคุณและโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ช่วยกันเสียสละทรัพย์เพื่อช่วยเหลือสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธ กราบขอบพระคุณด้วยความจริงใจครับ
    ผมขอรายงานยอดเงินที่ถอนไปทำบุญในเดือนนี้และใบขอบคุณและโมทนาบัตรของโรงพยาบาลต่างๆที่ส่งมาให้กับทางทุนนิธิฯดังนี้ครับ
    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    ยอดเงินที่ถอนออกมาทำบุญ

    [​IMG]


    ยอดเงินคงเหลือในบัญชี

    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...