ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    ส่วนภาพพระพิมพ์ชุดนี้ผมเคยนำไปให้ชมและศึกษากันแล้วเมื่องานทำบุญที่ผ่านมาครั้งก่อน ตอนนี้เลยนำมาให้ชมและศึกษาสำหรับท่านที่ไม่ได้ไปร่วมงานบุญด้วยกัน ไว้เป็นแนวทางในการเก็บสะสมบูชาต่อไปครับ

    พระสมเด็จปัญจสิริ รุ่นแรก
    นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในจำนวนเกือบๆร้อยองค์เท่านั้นที่นำไปให้ศึกษากัน จะเห็นว่ามีพิมพ์พระคะแนนร้อย(มนขอบด้านบน)รวมอยู่ด้วยเอาไว้วันหลังจะทยอยนำถ่ายรูปนำมาให้ชมกันอีก

    [​IMG]


    พระพิมพ์สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ด้านหลังเป็นพระประจำวัน

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101

    ผมเข้าใจว่าคงเป็นในวาระวันเกิดน๊ะ ในนามทุนนิธิฯ จึงขออวยพรให้ด้วยครับ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>
    และสำหรับการทำบุญช่วยสงฆ์อาพาธ ก็ขอโมทนาบุญด้วย ตอนเป็นเด็กต้องเป็นเด็กที่มีอารมณ์ดีใช่มั๊ยครับ โตขึ้นเลยชอบทำบุญ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>



     
  3. tg22070

    tg22070 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +601
    รู้สึกดีใจ ครับที่ได้มารวมสายบุญ กับทุกๆท่าน ที่เป็นสาย อ.ประถมครับ
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    "ส่วนพระปิดตาของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสูงนั้นท่านให้ความรู้ไว้ว่าเป็นพระที่มีพลังอิทธิคุณสูงกว่าพระที่สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)ท่านเสกเสียอีกแต่ก็ยังเป็นรองพระกรุพระโลกอุดรเท่านั้น"

    ข้อมูลตรงนี้ต้องขออ้างที่มาเสียหน่อยนะครับว่ามาจากหนังสือ บรมครูพระเทพโลกอุดร หน้ที่ 74 ครับซึ่งหนังสือนี้จัดพิมพ์เมื่องานวันเกิด ของท่านอ.ประถม อาจสาครเมื่อปีที่แล้ว(2550) ซึ่งหนังสือนี้เรียบเรียงข้อมูลและจัดพิมพ์ขึ้นใหม่จากหนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร เล่มเก่าที่ท่านอ.ประถม อาจสาคร ได้เขียนไว้นานมากแล้ว ดังนั้นข้อมูลที่ผมนำมาอ้างอิงตรงนี้จึงมาจากประสบการณ์ตรงของท่านอ.ประถม อาจสาคร ที่อยู่ในวงการพระเครื่องได้สัมผัสพระเครื่องมามากมายทั้งที่วงการนิยมและนอกวงการนิยม ท่านจึงนำความรู้ต่างๆที่ท่านได้ประสพมาเขียนไว้เพื่อเป็นความรู้ให้กับลูกหลานสืบต่อไปดังนั้นผมจึงต้องนำข้อมูลมาอ้างอิงเสียหน่อยนะครับเพื่อกันพวกที่รู้ไม่จริง(กำมะลอ)หรือไม่ชอบศึกษาหาความรู้จากข้อมูลที่มีแต่ทำเป็นว่ารู้มาก(ต้องอาศัยผู้อื่น)มาตีรวน


    ปล.ขอแจ้งให้ทุกท่านทราบด้วยนะครับว่าการที่ผมนำเอาความรู้จากที่ได้ไปศึกษากับท่านอ.ประถม อาจสาคร และพี่ใหญ่มาสอนหรือแนะนำเกี่ยวกับพระพิมพ์แก่ท่านที่ไปร่วมงานบุญกับทางทุนนิธิฯนั้น ผมได้ไปกราบเรียนขออนุญาตเพื่อนำความรู้ต่างๆเหล่านั้นมาเผยแพร่จากท่านอ.ประถม อาจสาคร และพี่ใหญ่ด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทั้งท่านอ.ประถม อาจสาคร และพี่ใหญ่ก็ได้อนุญาตเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ท่านอ.ประถม อาจสาคร ยังบอกว่า "ดีแล้วล่ะจะได้เป็นการเผยแพร่ความรู้ให้ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ได้รับความรู้ด้วย"

    [​IMG]


    หนังสือ บรมครูพระเทพโลกอุดร

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2008
  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    นำรูปพระมาให้ชมกันต่อครับพระเหล่านี้หาได้ในราคาหลักสิบหรือหลักร้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่จะได้มาจากสนามพระห้างพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วานและท่าพระจันทร์ข้างกำแพงธรรมศาสตร์ แถวๆต้นโพธิ์และธนาคารไทยพานิชย์ครับลองไปเสาะแสวงหากันดูก็จะได้ของดีราคาไม่แพง(หูฉี่)จนต้องเป็นหนี้เป็นสินเพราะเช่าบูชาพระ มาไว้บูชาและสะสมครับ



    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2008
  6. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    พระที่แท้แต่วงการไม่ยอมรับยังมีอีกมาก ใช่แต่พระวังหน้า พระที่สร้างไม่กี่สิบปีนี้ก็ยังสืบประวัติกันไม่หมดอย่างพระของหลวงพ่อกวย ท่านสร้างพระไว้มากจนเซียนยัดพระที่ไม่รู้ว่าที่ไหนสร้าง ว่าเป็นของท่านหมด แต่ก็มีพระที่ท่านสร้างหรือเสกแต่เซียนไม่ยอมรับเช่นกัน แหวกม่านองค์ในภาพนี้ ผมได้มาจากหลานหลวงพ่อพร้า วัดโคกดอกไม้ ผู้เป็นศิษย์น้องของหลวงพ่อกวย มีพระในวัดโคกดอกไม้เห็นหลวงพ่อท่านสามารถนำใบไม้โยนออกไปเป็นแมลงได้ และท่านบอกว่าพระแหวกม่านองค์นี้ของหลวงพ่อกวย นำไปให้พี่ใหญ่เช็คก็บอกว่าใช่ เช็คเองก็แรงดีจัง แต่วงการเซียนบอกผิดเนื้อ ผิดพิมพ์ไปซะ ดีเหมือนกันได้มาถูกๆถ้าวงการยอมรับก็หลายหมื่นอยู่

    [​IMG]



    ฉนั้นอย่าประมาทพระริมบาทวิถี หรือแผงลอยข้างวัดนะครับ ของดีก็มีของไม่แท้ก็มาก ตานอกดี ตาในดี ก็ได้เปรียบ เช็คไม่เป็นก็ค่อยๆเก็บนำไปให้ผู้รู้เช็คก่อน แต่อย่าเก็บจนต้องกู้หนี้ยืมสินจนเป็นทุกข์กลายเป็นบาปบริสุทธิ์ไปไม่รู้ตัวนะ พระวังหน้าวังหลวงมีมากจนไม่สามารถเก็บหมดครับ เศรษฐีหลายคนเก็บจนต้องถอยแล้วเพราะไม่ไหวมากมายจริงๆ มีพอเป็นพุทธานุสติ ไว้ศึกษา และคุ้มครองตน ครอบครัว ก็พอเพียงแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2008
  7. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    พระปิดตาหลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง รักแดงปิดทองประปราย ได้รับจากลุงที่เป็นศิษย์อาจารย์ประถม เช็คกันแล้วเช็คกันอีกก็แท้จากหลายท่านยกเว้นเซียนพระว่าปลอม นำมาให้ชมกันสวยๆครับ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กันยายน 2008
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เข้ามาในกระทู้มากเหมือนแต่ก่อน เพราะงานประจำมีมากขึ้น จะเข้ามาเฉพาะช่วงหัวค่ำเท่านั้น การโพสท์ในกระทู้อาจทำได้น้อย หากกระทู้ตกไปหน้า 2 หรือ 3 ก็ช่วยกันควานหาด้วยก็แล้วกัน ลืมบอกไป วันนี้ได้กริชมาอีก 2 ด้าม รวมเป็นของเก่าอีก 4 เป็น 6 ด้าม อยากได้ ก็รอไปบูชาที่ รพ. สงฆ์เลยครับ บูชาเสร็จก็ส่งเงินเข้าทุนนิธิฯ เห็นๆ กันตรงนั้นเลย ยังมีของพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ พระสมเด็จพิมพ์กลักไม้ขีดแบบ 2 หน้า ถ้าวันนั้นไม่มีอะไรติดขัด ก็จะนำมาให้บูชากันเลยเช่นกัน (ของดีนา..ของแท้หาไม่ได้ง่ายๆ นา จะบอกให้)
     
  9. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    พระที่ผมนำมาให้ชมนี้เป็นพระวังหน้านะครับลืมบอกไป ที่ผมบอกแหล่งที่ไปเช่าบูชาของพระที่ผมได้มาเพราะ อยากให้ท่านที่สนใจจะเก็บพระวังหน้าจะได้ของดีราคาไม่แพง(แค่หลักสิบหลักร้อย) ไม่ต้องไปเช่าหาบูชาในราคาหลักพันถึงหลักหมื่น แต่ แหล่งที่ท่าพระจันทร์ตามที่ผมบอกไปข้างต้นต้องรีบไปเก็บเช่าบูชากันหน่อยนะเพราะจะมีพวกที่ชอบใช้เวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์มาเดินเหมาเก็บพระในราคาถูก เหมาทีละเป็นร้อยเป็นพันองค์เพื่อเก็บตุนให้ของขาดจนคนอื่นไปตามเช่าหาไม่ได้เช่าเก็บไปเยอะๆทั้งที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าแท้หรือเปล่าต้องคอยวิ่งไปหาท่านผู้รู้ช่วยตรวจเช็คการันตี(ตรวจเองไม่เป็น)แล้วจึงกล้าที่นำออกไปคุยหรืออวดผู้อื่นๆ ของที่เก็บไปตุนไว้เยอะๆเจอของแท้มีของเก๊ก็เยอะ บางคนเช่าเก็บตุนไว้มากๆจนเป็นหนี้เป็นสินก็ยังไม่เลิกเก็บก็มีหรือเก็บของมากๆจนเต็มหลังรถมองไม่เห็นถอยรถไปชนเขาก็มี เชื่อเถอะครับพระวังหน้าของดีของแท้ราคาไม่แพงนะมีอยู่ตามริมถนนหรือแผงแบกะดินนี่แหละครับ(ตามที่คุณโสระบอกไว้จริงๆ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008
  10. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    แจกฟรี E-book (Electronics Book)

    รวมบทรายการโทรทัศน์ "พบหมอศิริราช"

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2008
  11. D จ้า

    D จ้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +42
    ถอยรถไปชนเค้าเลยหรือค่ะ อย่างงี้ก็มีด้วย อิอิ
     
  12. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886

    ทางพวกเรากำลังจะบอกว่า วันที่กรรมเก่าบวกกรรมใหม่วนมา ถึงมีพระเต็มหลังรถก็ไม่พ้น อาจผ่อนหนักให้เป็นเบาเท่านั้น

    พระวังหน้า พระวังหลวง พระหลวงปู่โลกอุดร ที่ทำไว้มากมายเจตนาของทั้งผู้สร้างและผู้เสก น่าจะมีไว้เพื่อ สืบชาติ ศาสนา และสถาบัน ท่านจึงให้มีราคาที่ไม่แพงเหมาะสำหรับทุกชนชั้น สมดังเจตนาท่านผู้เสกผู้สร้าง ถ้าท่านอธิษฐานให้พระมีราคาแพงๆ ป่านนี้คงไม่เหลือมาถึงพวกเรา

    ฉนั้นบุคคลพวกใดที่คิดทำราคาพระวังหน้า วังหลวง พระหลวงปู่โลกอุดร ให้แพง ไม่ว่าจะนำมาขายโดยตรง หรือ ให้ทำบุญ ควรเลิกเสียเพราะจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์สายโลกอุดรที่แท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กันยายน 2008
  13. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    พี่นายสติครับ เปิดรายการความจริงวันนี้ให้ท่านที่อยากรู้กันเลยดีไหมกำลังมันเลย ไว้ผมจะไปขอเบอร์โทรศัทพ์ของร้านที่มีพระวังหน้า หรือพระวังหลวง และพระหลวงปู่โลกอุดร มาให้กับท่านที่สนใจโทรไปคุยกันเองเลย เป็นการโฆษณาให้ทางร้านเค้าด้วย มีอยู่หลายร้านเลยนะ ทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด ไว้เก็บรวบรวมข้อมูลได้พอแล้วจะมาลงให้ทราบกันนะครับ
     
  14. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    สังคมตอนนี้ใครสังเกตุไหมครับ ว่ามีคนที่สติไม่สมประกอบเดินตามถนนมากกว่าสมัยที่เราเด็กๆ เพราะสังคมสมัยนี้บีบให้คนมีความเครียดสะสมมากขึ้น รวมถึงคนที่มีปมด้อยอยู่แต่เดิมแถมยังโดนสังคมบีบรัดจนเพี้ยนไปก็มาก บทความนี้ลองสังเกตุดูว่าเราท่านไปอยู่ในหมวดใดของโรคจิตหรือไม่
    ประเภทของโรคจิต

    โรคจิตแบ่งออกเป็น ๒ พวกใหญ่ๆ คือ
    ๑. โรคจิตที่มีสาเหตุเนื่องจากพยาธิสภาพทางกาย ผู้ป่วยจะมีอาการงุนงง สับสน สูญเสียความจำ อารมณ์ผันแปรง่าย สติปัญญาเสื่อม แบ่งออกได้เป็น ๕ ประเภท คือ
    ๑.๑ โรคสมองเสื่อมในวัยชราและใกล้ชรา (senile and presenile dementia) เริ่มเมื่ออายุ ๖๕ ปีขึ้นไป ผู้ป่วยจะมีอาการระแวง ซึมเศร้า หูแว่ว พฤติกรรมคล้ายเด็ก รักษาให้ทุเลาอาการทางจิตได้ด้วยยาทางจิตเวช แต่ไม่สามารถจะทำให้ความจำกลับคืนปกติได้ นอกจากนี้ โรคสมองเสื่อม อาจเนื่องมาจากหลอดเลือดในสมองแข็ง พบในผู้ป่วยที่มีความดันเลือดสูงเป็นเวลานาน โดยไม่ได้รับการรักษา
    ๑.๒ โรคจิตจากสุรา (alcoholic psychoses) องค์การอนามัยโลกได้วิจัยพบว่า คนดื่มสุรา ๕๐ คนจะมี ๑ คนเป็นโรคจิตจากสุรา โรคนี้มี ๗ ชนิดที่พบบ่อยในประเทศไทย คือ โรคสั่นและเพ้อ (delirium tremens) จะมีอาการมือสั่นหวาดกลัว เห็นภาพหลอนหลงผิด งุนงง สับสน โรคจิตจากสุรานั้นสามารถรักษาให้หายได้
    ๑.๓ โรคจิตจากยา (drug psychoses) ยาบางอย่าง เช่น ยาม้าหรือยาขยัน (แอมเฟตามีน) ยานอนหลับ (บาร์บิทุเรต) และฝิ่น เป็นต้น
    ๑.๔ โรคจิตชั่วคราวจากสาเหตุฝ่ายกาย (transient organic psychotic conditions) เกิดจากการป่วยด้วยโรคบางอย่าง เช่น มาลาเรียขึ้นสมอง ไทฟอยด์ โรคติดเชื้อ โรคต่อมไร้ท่อ และโรคระบบเมแทบอลิซึม มักมีอาการงุนงง สับสน เลอะเลือนพูดเพ้อ เห็นภาพลวงตา ประสาทหลอน เมื่อรักษาโรคทางกายทุเลาหรือหายจะไม่มีอาการร่องรอยของโรคจิตเหลืออยู่เลย
    ๑.๕ โรคจิตเรื้อรังจากสาเหตุฝ่ายกาย (chronic organic psychotic conditions) เกิดจากการป่วยด้วยโรคทางกาย ที่ทำให้เนื้อสมองเสียหรือเสื่อมไปเช่น โรคซิฟิลิสขึ้นสมอง โรคตับในระยะสุดท้ายเป็นต้น
    ๒. โรคจิตอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับพยาธิสภาพทางกาย ได้แก่
    ๒.๑ โรคจิตเภท (schizophrenia) มักเกิดในวัย ๑๕-๔๐ ปี สถิติโลกพบประมาณร้อยละ ๑ ของประชากร โรคจิตเภทเกิดจากสาเหตุร่วมกันหลายประการ อาการที่สำคัญ มีความผิดปกติทางความนึกคิดพูด หัวเราะ ร้องไห้คนเดียวโดยไม่มีเหตุผล ทำท่าแปลกๆ โรคจิตเภทแบ่งออกเป็นชนิดย่อย ๙ ชนิดแต่ที่พบบ่อยคือ
    ๒.๑.๑ โรคจิตเภทชนิดระแวงเป็นโรคจิตชนิดที่พบบ่อยที่สุด มีอาการสำคัญ คือ ระแวงว่า คนจะมาทำร้าย มาใส่ยาพิษ หรือคิดว่าตนเองใหญ่โตเกินความเป็นจริง เป็นต้น
    ๒.๑.๒ โรคจิตเภทชนิดคาทาโทนิก (catatonic type) เป็นชนิดที่พบรองลงมา ลักษณะสำคัญ คือ มีการเคลื่อนไหวมากขึ้นหรือน้อยลงผิดปกติอย่างชัดเจน เช่น พูดมากไม่หยุด เดินไปมา ก้าวร้าวหยาบคาย เอะอะอาละวาด หรือตรงกันข้าม ไม่พูด ไม่ขยับเขยื้อน ไม่กินอาหาร และไม่นอน เป็นต้น
    ๒.๑.๓ โรคจิตเภทชนิดธรรมดา เกิดอาการค่อยเป็นค่อยไป บุคคลภายนอกจะสังเกตเห็นความผิดปกติได้ต้องใช้เวลาแรมเดือนหรือแรมปี ลักษณะสำคัญ คือ แยกตัวเอง หลบไปอยู่คนเดียวในห้อง เฉื่อยชา เฉยเมย พูดคนเดียว ยืนคนเดียวเป็นต้น การรักษาส่วนมากใช้ยากลุ่มฟิโนไทอะซีนส์ (phenothiazines) ได้ผลดี บางรายรักษาด้วยการทำช็อกไฟฟ้า นอกจากการให้ยาแล้ว โรคพยาบาลจิตเวชทุกแห่งให้การรักษาแบบสิ่งแวดล้อม (milieu therapy) ร่วมด้วย เช่น การรักษาแบบกิจกรรมกลุ่ม การสังสรรค์อาชีวบำบัด นันทนาการบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยมีความเป็นอยู่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสังคมและชุมชนเดิม มีความเชื่อมั่น สามารถติดต่อกับบุคคลอื่นได้ และพร้อมที่จะเผชิญปัญหาได้ตามสมควร และเพื่อป้องกันมิให้อาการกลับอีก ผู้ป่วยจะต้องติดตามการรักษาเป็นเวลานาน หรือบางรายอาจต้องติดตามตลอดชีวิต
    ๒.๒ โรคจิตทางอารมณ์ (affective psychosesหรือ manicdepressive psychoses) เป็นโรคจิตที่มีความผิดปกติอย่างมากของอารมณ์ พบมากในประเทศทางซีกโลกตะวันตก ประมาณร้อยละ ๑-๒ ของประชากร ส่วนมากมักเกิดอาการระหว่างอายุ ๓๐-๕๐ ปี อาการจะเกิดเป็นพักๆ เมื่อหายป่วยจะเป็นปกติดีเหมือนธรรมดา สาเหตุใหญ่เนื่องจากกรรมพันธุ์เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีบางอย่างในสมอง ถ้าเด็กที่เกิดจากบิดามารดาป่วยด้วยโรคนี้ จะมีโอกาสเกิดโรคร้อยละ ๑๐-๒๕ อาการสำคัญคือมีอารมณ์ผิดปกติเศร้าหรือครึกครื้น กังวล หงุดหงิด โกรธง่าย งุนงงโรคจิตทางอารมณ์แบ่งเป็นชนิดต่างๆ ๗ ชนิด ที่พบบ่อยคือ
    ๒.๒.๑ โรคจิตทางอารมณ์ชนิดครึกครื้นหรือคลั่ง มีพลังกระตือรือร้นมากผิดธรรมดา ทำกิจกรรมมากขึ้นไม่เหน็ดเหนื่อย ขาดความยับยั้งชั่งใจมีกิจกรรมทางเพศเพิ่มขึ้น หลงผิดคิดว่าตนเป็นคนใหญ่โต หรือมีความระแวงร่วมด้วย นอกจากนี้ ยังมีลักษณะอารมณ์ครึกครื้นหรือโกรธง่าย หงุดหงิด พูดมากความคิดไหลบ่าท่วมท้นจนพูดไม่ทัน เป็นต้น
    ๒.๒.๒ โรคจิตทางอารมณ์ชนิดเศร้าพบในหญิงมากกว่าชาย ในวัยระหว่างอายุ ๔๕-๕๕ ปีมีอาการเศร้า สิ้นหวัง อยากร้องไห้เสมอๆ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า คิดอยากฆ่าตัวตาย ขาดพลัง ขาดความริเริ่ม รู้สึกว่างานธรรมดากลายเป็นงานยาก นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ความสนใจทางเพศลดลงมาก วิตกกังวล กระวนกระวายใจมาก
    ๒.๒.๓ โรคจิตทางอารมณ์ชนิดผสมมีอาการทั้งสองชนิดข้างต้นปนกันในเวลาเดียวกัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจทุเลาได้ในเวลา ๓-๖ เดือน ถ้ารักษา อาการจะทุเลาได้ภายใน ๒-๓ สัปดาห์ การรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดอาการอาจใช้ลิเทียม (lithium) หรือใช้ยาแก้เศร้าแล้วแต่กรณี
    ๓. โรคจิตภาวะระแวง มีอาการสำคัญเพียงอย่างเดียวคือ มีความหลงผิดชนิดระแวง บุคลิกภาพไม่เปลี่ยนแปลงให้เห็นชัดเจน โรคจิตชนิดนี้พบน้อยกว่าโรคจิตเภท และโรคจิตทางอารมณ์ ที่พบบ่อยในประเทศไทย ได้แก่ ภาวะระแวงในวัยต่อและวัยชราเช่น ระแวงว่าขโมยจะขึ้นบ้าน ระแวงว่าภรรยาจะมีชู้ส่วนมากสามารถรักษาให้ทุเลาได้ด้วยยารักษาโรคจิต
    ๔. โรคจิตอื่นๆ ที่มีอาการเกิดจากความเครียดทางอารมณ์ เช่น ตกงาน ไฟไหม้บ้าน เป็นต้นอาจมีอาการออกมาในรูปเศร้า อยากฆ่าตัวตาย งุนงงหวาดกลัว หลงผิด ระแวง อาการจะทุเลาได้เร็ว ถ้าได้รับการรักษา โดยเฉลี่ยเมื่อภาวะที่ทำให้ตึงเครียดนี้หมดไป โรคนี้จะเกิดกับคนบางคนเท่านั้น คนส่วนมากสามารถปรับตัวได้เมื่อเผชิญปัญหา

    http://guru.sanook.com/encyclopedia/โรคจิต/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กันยายน 2008
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ โสระ

    พี่นายสติครับ เปิดรายการความจริงวันนี้ให้ท่านที่อยากรู้กันเลยดีไหมกำลังมันเลย ไว้ผมจะไปขอเบอร์โทรศัทพ์ของร้านที่มีพระวังหน้า หรือพระวังหลวง และพระหลวงปู่โลกอุดร มาให้กับท่านที่สนใจโทรไปคุยกันเองเลย เป็นการโฆษณาให้ทางร้านเค้าด้วย มีอยู่หลายร้านเลยนะ ทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด ไว้เก็บรวบรวมข้อมูลได้พอแล้วจะมาลงให้ทราบกันนะครับ


    อย่าเลยครับผมเพียงต้องการให้ท่านที่สนใจเก็บสะสมพระวังหน้าได้รับทราบข้อมูลที่เป็นความจริงเท่านั้น อย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้(เห็นแก่ตัวชอบกักตุน)เพราะแม้แต่ครูบาอาจารย์หรือรุ่นพี่ยังเอ่ยปากเลยว่า "คนแบบนี้สอนสั่งอะไรไม่ได้พูดไปก็เหมือนเอาน้ำรดหัวตอ ติดยึดแต่วัตถุไม่สนใจการปฏิบัติสมาธิภาวนาบ้างเลย"

    เอาเป็นว่าผมเพียงแค่นำความเป็นจริง(ที่ปฏิเสธไม่ได้และกล้าท้าพิสูจน์)มาบอกกล่าวให้ทุกท่านที่สนใจเก็บสะสมพระวังหน้าได้รับทราบพฤติกรรมของคนบางกลุ่มที่ชอบทำแบบนี้ได้รู้ไว้เท่านั้น เอาเวลาที่มีค่าไปปฏิบัติสมาธิภาวนาดีกว่าครับ แต่ถ้าท่านใดอยากรู้ความจริงมากกว่านี้ก็PMมาได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008
  16. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ขอแจ้งมาเพื่อทราบ

    น้องตาดี ไม่สามารถมาร่วมบุญในวันที่ 28 กันยายน ได้ครับ
    ติดงาน

    จะฝากตังมาทำบุญกับแฟนของน้องตาดีครับ

    และน้องตาดีได้พบกับหลวงปู่องค์ที่ 5 ด้วยครับ
    ท่านช่วยน้องตาดีรักษาอาการปวดหัวด้วยครับ

    รายละเอียดถามน้องตาดี ในวันทำบุญเดือนตุลาคม ละกันครับ

    ผมรู้รายละเอียดไม่มากครับ


    ตอนนี้ผมมียอดบุญที่โต๊ะทำงานอยู่แล้ว 3,000 บาท

    ถีงวันทำบุญคงจะมากกว่านี้ครับ

    สาธุครับ
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    เพิ่งกลับจากทำงานที่ต่างจังหวัดมา เปิดกระทู้ เฮ่ย..???? เอาๆ เรื่องแฉ เรื่องท่าพระจันทร์คงน่าจะหยุดแค่นี้ละครับ มาตั้งหลักกันใหม่ มาดูเรื่องจิตตานุปัสนาของท่านหลวงตามหาบัวก่อนดีกว่า ว่าท่านมีวิธียกระดับจิต ยังไง?

    จิตตานุปัสสนา



    การแนะนำสั่งสอนบรรดาท่านผู้มาอบรมศึกษาไม่ว่าพระไม่ว่าฆราวาส มีความมุ่งหวังอย่างเต็มใจ อยากให้ได้อยากให้เห็น อยากให้รู้ในธรรมทั้งหลาย เพราะความรู้ความเห็นความได้ธรรม ผิดกับความรู้ความเห็นความได้สิ่งอื่นใดในโลก ฉะนั้นเวลาครูบาอาจารย์ท่านแสดงธรรม ยิ่งแสดงธรรมขั้นสูงเท่าไร ลักษณะสุ้มเสียงและเนื้อธรรมจะมีความเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับๆ จนถึงกับอาจคิดได้ว่าท่านอาจมีโทสะ หรือมีอะไรในทำนองนั้น ขณะได้ยินสุ้มเสียงและเนื้อธรรมเข้มข้นมากๆ ความจริงแล้วเพราะความอยากให้รู้อยากให้เห็นเป็นพลังอันหนึ่งเหมือนกัน ที่ให้แสดงออกมาด้วยความเข้มข้นนั้น ท่านแสดงออกมาจากจิตใจที่มีความมุ่งมั่น มีความหวังต่อบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย และถอดออกมาจากความจริงที่ได้รู้ได้เห็นอยู่แล้วประจักษ์ใจ ไม่ต้องไปคว้าเอามาจากที่ใด ไม่ว่าฝ่ายเหตุและฝ่ายผล เป็นสิ่งที่สมบูรณ์อยู่กับใจที่ได้รู้ได้เห็นจากการบำเพ็ญมาแล้วทั้งนั้น<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    การรู้การเห็นซึ่งเป็นผลของการปฏิบัติจากหลักธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เปิดเผยอยู่กับใจตลอดเวลา ไม่มีความปิดบังลี้ลับแม้แต่วินาทีหนึ่ง เป็นสิ่งเปิดเผยอยู่ตามความจริงของตนทุกๆ สภาวธรรม ไม่ว่าภายในร่างกายและจิตใจ ตลอดจนกิจการภายนอก เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามหลักธรรมชาติของตน และรู้ได้ตามหลักธรรมชาติของจิตที่ได้รับการอบรมมาจนพอตัวแล้ว<O:p></O:p>
    แต่ความลุ่มหลง ที่จะไปติดอยู่ในสิ่งต่างๆ ของผู้ไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาก่อน หรือเคยอบรมแต่ยังไม่สมบูรณ์ จึงมักหลงและติดได้ไม่เลือกกาลสถานที่ ที่ใจมีความคิดความปรุงได้ สำคัญมั่นหมายได้ รักได้ ชังได้ เกลียดได้ โกรธได้ ทุกกาลสถานที่และอิริยาบถต่างๆ เพราะสิ่งที่จิตไปคิดไปเกี่ยวข้อง ก็เป็นของที่มีอยู่ตามธรรมชาติของตน สิ่งที่คิดที่ปรุงขึ้นมาภายในจิตใจ ก็ปรุงออกจากสิ่งที่มีอยู่ ต่างอันต่างมีอยู่ด้วยกันจึงคิดได้ติดได้ด้วยกัน<O:p></O:p>
    ท่านว่า “ธรรม” นั้นเปิดเผยอยู่ตลอดเวลา นอกจากสติปัญญาของเรายังไม่สามารถที่จะทราบความจริงนั้นได้ แม้สิ่งนั้นๆ จะเปิดเผยความจริงนั้นออกมาตลอดเวลานาที สิ่งเหล่านั้นเราจะพึงทราบได้ด้วยอำนาจของสติปัญญานี้เท่านั้น ฉะนั้นใจของปุถุชนเราจึงมักเป็นลักษณะลุ่มๆ ดอนๆ อยู่เสมอ วันนี้ภาวนาเป็นอย่างนี้ แต่วันนั้นเป็นอย่างนั้นไม่สม่ำเสมอ บางวันไม่รู้เรื่องอะไรเลย บางวันใจมีความสว่างไสว บางวันมีความสงบเย็นใจ เพราะจิตขั้นนี้เป็นลุ่มๆ ดอนๆ ยังไม่สม่ำเสมอ เรียกว่า “ตั้งตัวยังไม่ได้” จึงต้องมีได้บ้างเสียบ้างเป็นธรรมดา<O:p></O:p>
    อย่างไรก็ตามเราไม่ต้องเสียอกเสียใจกับการได้การเสียเหล่านี้ เพราะเป็นการเริ่มแรก จิตของเรายังตั้งตัวไม่ได้แน่นอน หรือยังเกาะธรรมไม่ได้ถนัด ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน แม้ครูอาจารย์ที่สั่งสอนพวกเราท่านก็เคยเป็นอย่างนั้นมาแล้ว ไม่ใช่ปุบปับก็จะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ปัจจุบันทันที แล้วเป็นครูสอนโลกได้ดีเต็มภูมิจิตภูมิธรรมถ่ายเดียว ต้องผ่านความล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกันแทบทั้งนั้น<O:p></O:p>
    คิดดู พระพุทธเจ้าก็ทรงบำเพ็ญด้วยความลำบากอย่างยิ่งอยู่ถึง ๖ พรรษา ชนิดเอาจริงเอาจังเอาเป็นเอาตายเข้าว่า ที่เรียกว่า “ตกนรกทั้งเป็น” ด้วยความอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายทุกด้านทุกทาง ซึ่งล้วนแต่เป็นความทุกข์เพราะความเพียรทั้งนั้นตลอดเวลา ๖ ปี จะไม่เรียกว่าลำบากลำบนได้อย่างไร ขนาดสลบไสลไปก็มี พวกเราก็เป็นลูกศิษย์ท่าน มีความหนาบางต่างกันตามจริตนิสัยหรืออุปนิสัยของแต่ละคน เช่นเดียวกับน้ำในพื้นดิน<O:p></O:p>
    ในพื้นดินนี้น้ำมีอยู่ ขุดลงไปก็เจอ เป็นแต่ลึกตื้นต่างกัน บางแห่งขุดลงไปไม่กี่เมตรก็เจอน้ำ บางแห่งขุดลงไปเสียจนลึกแสนลึกถึงเจอน้ำก็มี เรื่องเจอน้ำนั้นต้องเจอเพราะแผ่นดินนี้เต็มไปด้วยน้ำทำไมจะไม่เจอ ถ้าขุดไม่หยุดก่อนที่จะถึงน้ำ !<O:p></O:p>
    ความเพียรเพื่อเจออรรถเจอธรรมก็เช่นเดียวกัน ต้องเจอโดยไม่ต้องสงสัย เพราะธรรมมีอยู่ตลอดเวลา “อกาลิโก” เรื่องความจริงมีอยู่ เป็นแต่สติปัญญาของเราอาจรู้ได้เพียงเท่านั้น ซึ่งต่างกันเกี่ยวกับ “อุปนิสัย” การปฏิบัติจึงมียากมีง่าย มีช้ามีเร็ว ต่างกัน ดังที่ท่านสอนไว้ว่า<O:p></O:p>
    “ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา” ทั้งปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า นี่ประเภทหนึ่ง<O:p></O:p>
    “ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา” ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว นี่ประเภทหนึ่ง<O:p></O:p>
    “สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา” ทั้งปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว นี่ประเภทหนึ่ง<O:p></O:p>
    “สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา” ปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้า นี่ประเภทหนึ่ง<O:p></O:p>
    นี่เป็นพื้นฐานแห่งอุปนิสัยของสัตว์โลกผู้จะควรบรรลุธรรมทั้งหลาย ซึ่งจะต้องเป็นไปตามธรรมสี่ประการนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นแต่เพียงไม่ทราบว่ารายใดจะเข้าในลักษณะใดแห่งการปฏิบัติและรู้ธรรมตามปฏิปทาสี่นี้ เราเองก็น่าจะอยู่ในข่ายแห่งปฏิปทาทั้ง ๔ นี้อย่างใดอย่างหนึ่ง<O:p></O:p>
    แต่จะเป็นประการใดก็ตาม ก็เป็นหน้าที่ของเราควรประพฤติปฏิบัติ ตะเกียกตะกายไปตามความสามารถและวาสนาของตน เพราะไม่ใช่ “อภัพบุคคล” ถ้าเราอยู่ประเภทที่ว่า “ตาน้ำอยู่ลึก”ก็ต้องขุดลงไปจนถึงน้ำ ถ้าอยู่ในประเภท “ตาน้ำตื้น” เราก็ขุดได้สะดวกและเจอน้ำเร็ว น่าน !<O:p></O:p>
    เรื่องสัจธรรมนั้นน่ะมีอยู่ตื้นๆ รู้ได้เห็นได้ด้วยตาด้วยใจธรรมดาอย่างชัดเจน แต่ความรู้ความเข้าใจ ความสามารถของสติปัญญา อาจมีกำลังยังไม่พอ ซึ่งกว่าจะพอให้ขุดค้นสัจธรรม คือความจริงนี้ขึ้นมาอย่างเปิดเผยและประจักษ์ภายในเวลาอันสมควร จึงต้องอาศัยความพยายาม แต่สำคัญที่ความพากเพียรพยายามเป็นเครื่องหนุน<O:p></O:p>
    เราอย่าท้อถอย นี่เป็นทางของนักปราชญ์ เป็นทางแห่งความพ้นทุกข์ไปโดยลำดับ ไม่ใช่ทางอับเฉาเบาปัญญาหรือตกนรก เป็นทางที่จะพยุงเราให้มีความเจริญรุ่งเรืองโดยลำดับ การปฏิบัติเราอย่าไปคาดวันนั้น เดือนนี้ ปีนั้น ซึ่งจะทำให้เรามีความท้อถอยอ่อนแอ ท้อใจ แล้วหมดกำลังใจไปด้วย<O:p></O:p>
    เมื่อหมดกำลังใจเสียอย่างเดียว ความพากเพียรโดยวิธีต่างๆ นั้นจะลดลงไปโดยลำดับ จนกระทั่งไม่มีความพากเพียรเอาเลยซึ่งไม่ใช่ของดี พึงระมัดระวังเรื่องความคิดที่จะเป็นภัยต่อการดำเนินของตน!<O:p></O:p>
    เราตั้งหน้าเข้าสู่แนวรบด้วยกันอยู่แล้ว ตั้งหน้าจะถอดถอนสิ่งที่เป็นข้าศึกอยู่แล้วด้วยกัน ทำไมเราจะเป็นคนนอกบัญชีไปได้ บัญชีมีอยู่กับการกระทำของเราอยู่แล้วเวลานี้ บัญชีเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง เพื่อความปลดเปลื้องทุกข์ไปโดยลำดับๆ อยู่กับการกระทำของเราซึ่งกระทำอยู่ทุกวันทุกเวลา เราเองจะเป็นผู้รับรอง หรือเป็นผู้ประกันตัวของเรา โดยอาศัยธรรมของพระพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องมือพิสูจน์หรือขุดค้น<O:p></O:p>
    ท่านได้มอบให้แล้ว เป็นหน้าที่ของเราจะเข้าสู่แนวรบ เมื่อได้อาวุธแล้วก็ไม่ใช่หน้าที่ของผู้อื่นใด ที่จะทำหน้าที่ในการรบด้วยเครื่องมือที่ได้รับมาแล้วนั้น ทุกข์เพียงไรก็ให้ทราบ ทุกข์เพราะความเพียรไม่ใช่ทุกข์ที่ไร้ประโยชน์ ไม่ใช่ทุกข์ที่ทรมานอย่างการเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับผู้ที่ไม่พิจารณาให้เป็นอรรถเป็นธรรม นี่เราพิจารณาเป็นอรรถเป็นธรรมอยู่แล้ว ทุกข์จะเกิดขึ้นมากน้อย ก็ให้ทราบไปในตัวว่านี้คือสัจธรรม ซึ่งเป็น “หินลับสติปัญญา” ให้คมกล้าไปกับความเพียรของเรา<O:p></O:p>
    คนมีความเพียร คนมีสติปัญญา ย่อมจะทราบเรื่องต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นกับตัวได้เป็นอย่างดีมีทุกขสัจ เป็นต้น เราอย่าไปท้อถอยในเรื่องความทุกข์ อย่าไปอ่อนใจในเรื่องความทุกข์ การอ่อนใจในเรื่องความทุกข์ คือการอ่อนใจต่อการประพฤติปฏิบัติ คือความอ่อนใจต่อทางดำเนินเพื่อความพ้นทุกข์ของตน ซึ่งไม่ใช่ของดีเลย<O:p></O:p>
    ทุกข์มากทุกข์น้อยในขณะปฏิบัติ เป็นหน้าที่ของสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร หรือกำลังวังชาของเราจะขุดค้น เพื่อเห็นความจริงของทุกข์ทุกด้าน จะเกิดในด้านใดส่วนใดของอวัยวะ หรือจะเกิดขึ้นภายในจิต ก็เรียกว่า “ทุกข์” เช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้จะเห็นจริงเห็นแจ้งกันด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเราเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นที่จะขุดค้นความจริงที่มีอยู่นี้ให้เห็นได้อย่างประจักษ์ใจจนกระทั่งปล่อยวางกันได้ เรียกว่า “หมดคดีเกี่ยวข้องกัน” ที่จะพาเราให้หมุนเวียนเกิดตาย ซึ่งเป็นเหมือนหลุมถ่านเพลิงเผามวลสัตว์<O:p></O:p>
    ครูบาอาจารย์ที่พาดำเนิน และที่ดำเนินมาแล้วมาสอนพวกเรา องค์ไหนที่ปรากฏชื่อลือนามว่าเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนพระเณรมากๆ รู้สึกว่าท่านจะเป็น “พระที่เดนตาย” มาแล้วด้วยกัน ไม่ใช่ค่อยๆ ทำความเพียรธรรมดา แล้วรู้ขึ้นมาเป็นครูเป็นอาจารย์ของบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ควรเรียกได้ว่า “เป็นอาจารย์เดนตายมาแล้ว” ด้วยกันแทบทั้งนั้น<O:p></O:p>
    องค์ท่านเองมีแต่บาตร บาตรก็มีแต่บาตรเปล่าๆ ผ้าสามผืนเป็นไตรจีวร คือ สบง จีวร สังฆาฏิ และผ้าอาบน้ำเท่านั้น ความที่ไม่มีอะไรเป็นของของตัว ต้องอาศัยคนอื่นทุกชิ้นทุกอันเช่นนี้ จะหาความสะดวกความสบายมาจากไหน เพราะเรื่องของพระจะต้องเป็นผู้สม่ำเสมอ เป็นผู้อดผู้ทน จะหิวกระหาย จะลำบากลำบนแค่ไหน ต้องอดต้องทนเต็มความสามารถ ด้วยความพากเพียรแห่งสมณะ หรือแห่ง ศากยบุตร”หรือลูกตถาคตเพื่ออรรถเพื่อธรรมที่ตนมุ่งหวังเป็นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด<O:p></O:p>
    เวลาทำความเพียรก็ไปทุกข์อยู่กับความเพียร การแก้กิเลส สู้กันกับกิเลสประเภทต่างๆ เพราะกิเลสบางประเภทนั้นผาดโผนมาก เนื่องจากเคยอยู่บนหัวใจของเรามานาน การที่จะกดเขาลงอยู่ใต้อำนาจนั้นย่อมเป็นของลำบากไม่ใช่น้อย แม้เราเองก็ยังไม่อยากจะปลดเปลื้องเขาอีกด้วย ความรู้สึกบางเวลาแทรกขึ้นมาว่า “เขาดีอยู่แล้ว” บ้างว่า“เขาก็คือเรานั่นเอง” บ้าง “ความขี้เกียจ” ก็คือเรานั่นเองบ้าง “เห็นจะไปไม่ไหว” ก็คือเรานั้นเองบ้าง “พักผ่อนนอนหลับให้สบาย” ก็คือเรานั่นเองบ้าง “ทอดธุระเสียบ้าง” “วาสนาน้อยค่อยเป็นค่อยไปเถอะ” ก็คือเราบ้าง หลายๆ อย่างบวกกันเข้า แทนที่จะเป็นความเพียรเพื่อแก้กิเลส เลยกลายเป็นเรื่อง “พอกพูนกิเลส” โดยเจ้าตัวไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นในการประกอบความเพียรในท่าต่างๆ เช่น ในท่ายืน ท่าเดิน ท่านั่ง หรือท่านอน จึงเป็นความลำบากไปตามกัน<O:p></O:p>
    คำว่า “ท่านอน”ไม่ใช่นอนหลับ ท่านอนคือท่าทำความเพียรของผู้ปฏิบัติธรรม เช่นเดียวกับท่ายืน ท่าเดิน ท่านั่ง นั่นเอง บางจริตนิสัยชอบนอนก็มี แต่ไม่หลับ นอนพิจารณาอยู่อย่างนั้นเช่นเดียวกับนั่งพิจารณา ท่านจึงเรียกว่า “จริตนิสัยต่างกัน” ชอบภาวนาดี เวลานอน เวลานั่ง เวลายืน เวลาเดิน ต่างกันอย่างนี้ตามจริตนิสัย และความพากเพียรทุกประเภทเป็นเรื่องที่จะถอดถอนกิเลส ขุดค้นกิเลสออกจากใจของตน จะเป็นเรื่องง่ายๆ เบาๆ สบายๆ ได้อย่างไร ต้องลำบาก เพราะความรักก็เหนียว ความเกลียดก็เหนียว ความโกรธก็เหนียว ขึ้นชื่อว่า “กิเลส” แล้วเหนียวแน่น และฝังหยั่งลึกลงถึงขั้วหัวใจนั่นแล<O:p></O:p>
    เราจะถอดถอนได้ง่ายๆ เมื่อไร และเคยฝังมากี่กัปกี่กัลป์ ฝังอยู่ที่หัวใจของสัตว์โลกน่ะ การถอดถอนสิ่งที่ฝังจมลึกอย่างนี้ต้องเป็นของยาก เป็นภาระอันหนักไม่ใช่น้อย เมื่อเป็นภาระอันหนัก ความทุกข์เพราะความเพียรก็ต้องมาก ไม่ว่าจะเป็นกิเลสประเภทใดก็ตาม มันออกมาจากรากเหง้าเค้ามูลของมันคือหัวใจ ฝังอย่างลึกด้วยกันทั้งนั้น เพราะฝังจมกันมานาน เราต้องใช้ความพยายามเต็มที่เพื่อถอดถอนตัวอุบาทว์เหล่านี้ออกให้ได้ จะได้เป็นบุคคลสิ้นเคราะห์สิ้นกรรมเสียที ไม่เป็นคนอุบาทว์โดนแต่ทุกข์ถ่ายเดียวตลอดไป<O:p></O:p>
    แต่การกล่าวดังนี้อย่าคาดคะเนหรือสำคัญเอาว่า “เรานี้ยิ่งลึกกว่าเพื่อน” นี่ก็จะยิ่งเป็นการจมลงไปอีกด้วยอุบายของกิเลสหลอกเรา<O:p></O:p>
    นี่เราพูดถึงความเพียร หรือความทุกข์ความลำบากของครูของอาจารย์ ที่ท่านมาแนะนำสั่งสอนให้เรา ท่านต้องใช้ความอุตส่าห์พยายาม จนกระทั่งได้เหตุได้ผลจากการประพฤติปฏิบัติ เรียกว่า “มีต้นทุนขึ้นมาภายในจิตใจ” ใจก็ตั้งหลักได้ สติปัญญาก็พอคิดอ่านไตร่ตรองได้<O:p></O:p>
    ตอนนั้นแหละเป็นตอนที่เพลิน เพลินต่อการถอดถอนกิเลสทุกประเภท ไม่มีการท้อถอยอ่อนใจ มุ่งหน้ามุ่งตาที่จะถอดถอนให้หมด จนไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในจิตใจเลย ทีนี้ความเพียรก็เก่ง ไม่ว่าท่าไหนเก่งทั้งนั้น อุตส่าห์พยายามพากเพียร ความคิดใคร่ครวญต่างๆ ละเอียดลออไปตามๆ กัน หรือ “สุขุมไปตามๆ กัน” เพราะธรรมรวมตัวเข้าแล้วมีกำลังด้วยกัน ศรัทธาก็รวม วิริยะก็รวม รวมไปในจุดเดียวกัน พละ ๕รวมอยู่ในนั้น อิทธิบาท ๔รวมลงไปภายในจิตที่เคยเต็มไปด้วยกิเลสทั้งหลาย<O:p></O:p>
    แม้จะยากก็เถิด ! อารมณ์คำว่า “ยาก” ก็ค่อยหมดไปเมื่อปรากฏผลขึ้นภายในที่เรียกว่า “ต้นทุน” นั้นแล้ว ยากก็เหมือนไม่ยาก แต่ก่อนเรายังไม่มีต้นทุน ค้าด้วยกำปั้นมันก็ลำบากอยู่บ้าง พอมีเครื่องมือมีต้นทุนบ้างแล้ว ถึงจะลำบากก็เหมือนไม่ลำบาก เพราะความพอใจ สติปัญญามีพอต่อสู้ ความพากเพียรไม่ถอยหลังไม่ลดละ จิตใจก็มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับๆ เป็นความสง่าผ่าเผยขึ้นที่ดวงใจดวงที่เคยอับเฉามาเป็นเวลานานนั้นแล นี่คือผลที่เกิดขึ้นกับการปฏิบัติด้วยความทุกข์ยากลำบาก ด้วยความเพียรท่าต่างๆ จิตโล่งด้วยความสงบเย็น พูดถึงความสงบก็สงบ คือสงบจิต ไม่ใช่สงบแบบคนสิ้นท่า สงบอย่างเยือกเย็น เวลาถึงกาลปัญญาจะออกพิจารณาค้นคว้าก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย สู้ไม่ถอย กลางคืนกลางวันเต็มไปด้วยความพากเพียร ความลำบากลำบนด้วยปัจจัยสี่ไม่สนใจ ขอให้ได้ประกอบความพากเพียรเต็มสติกำลังความสามารถ เป็นที่พอใจของนักปฏิบัติเพื่อหวังรู้ธรรม ผู้หวังรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมโดยถ่ายเดียวเท่านั้น<O:p></O:p>
    ผลสุดท้ายจิตที่เคยมืดดำก็เปิดเผยตัวออกมา ให้เห็นเป็นความสว่างกระจ่างแจ้งเป็นความอัศจรรย์ ! อุบายสติปัญญาที่เคยมืดมิดปิดตาคิดอะไรไม่ออก ก็กลายเป็นสติปัญญาที่หมุนตัวออกมาด้วยลวดลายแห่งความเฉลียวฉลาด ทันกับเหตุการณ์ของกิเลสที่แสดงตัวออกมาทุกแง่ทุกมุม<O:p></O:p>
    เมื่อสติปัญญาเข้าขั้นนี้แล้ว กิเลสที่เคยสั่งสมตัว สั่งสมกำลังมานั้น ก็ลดน้อยลงไปโดยลำดับๆ จนสามารถพูดได้ว่ากิเลสไม่มีทางสั่งสมตัวได้ แม้แต่กิเลสที่มีอยู่ก็ถูกทำลายไปโดยลำดับด้วยสติปัญญาขุดค้น ไม่มีวันมีคืน มีปีมีเดือน มีอิริยาบถใดๆ เป็นอุปสรรคกีดขวางความเพียร มีแต่ธาตุแห่งความเพียรไปทั้งวันทั้งคืน นี่หมายถึงสติปัญญาหมุนตัวอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าอิริยาบถใดๆ<O:p></O:p>
    ยิ่งเห็นชัดเจน จิตยิ่งเด่น เหนือกิเลสขึ้นมาเป็นลำดับๆ เพราะฉะนั้นคำว่า “ไม่ยอมแพ้กิเลสนี้” ทำไมจะพูดไม่ได้ ! เมื่อเห็นประจักษ์ใจในกำลังของตัวว่าเป็นผู้สามารถแค่ไหนอยู่แล้ว<O:p></O:p>
    สติปัญญาที่ออกตระเวนค้นคว้าหากิเลสนั้นหมุนรอบตัวอยู่ตลอดเวลา กิเลสตัวไหนจะสามารถออกมาเพ่นพ่านกล้าหาญต่อสติปัญญาประเภทนี้ก็ออกมา ต้องโดนดีกับสติปัญญาชนิดสะบั้นหั่นแหลกแตกกระจายไม่สงสัย นอกจากจะหลบซ่อนตัว แม้หลบซ่อนก็ต้องตามขุดค้นกันไม่หยุดหย่อนอยู่นั่นแล เพราะถึงคราวธรรมะได้ทีแล้ว นี่แหละที่ท่านว่า “สติปัญญาอัตโนมัติ” หรือ “มหาสติ มหาปัญญา” ต้องทำงานขุดค้นไม่หยุดไม่ถอยอย่างนี้แล<O:p></O:p>
    เวลาไปเจอกับกิเลสชนิดใดเข้าแล้ว นั่นถือว่าเจอข้าศึกเข้าแล้ว และพัลวันหรือตะลุมบอนกันเลยจนเห็นเหตุเห็นผล จนกระทั่งถึงความปล่อยวาง หรือละกิเลสประเภทนั้นได้ เมื่อหมดประเภทนี้แล้วก็เหมือนไม่มีอะไรปรากฏ แต่สติปัญญาขั้นนี้จะไม่มีหยุดไม่มีถอย จะคุ้ยเขี่ยขุดค้นอยู่อย่างนั้น มันอยู่ที่ตรงไหนขุดค้นหาสาเหตุ เสาะท่านั้นแสวงท่านี้ ขุดค้นไปมาจนเจอ พอปรากฏตัวกิเลสขึ้นมาปั๊บ จับเงื่อนนั้นปุ๊บ ตามเข้าไปค้นคว้าเข้าไปทันทีจนได้เหตุได้ผลแล้วปล่อยวาง<O:p></O:p>
    นี่การแก้กิเลสขั้นนี้ ต้องแก้ไปเป็นลำดับๆ เช่นนี้ก่อน จนกระทั่งกิเลสมันรวมตัว ที่เคยพูดเสมอว่า อวิชชานั่นน่ะรวมตัว ธรรมชาตินั้นต้องผ่านการขุดค้นภายในจิต ขุดค้นเฉพาะจิต เมื่อได้ที่แล้ว เวลาถอนก็ถอนพรวดเดียวไม่มีเหลือเลย ส่วนกิ่งก้านของมันนั้น ต้องได้ตัดก้านนั้นกิ่งนี้เรื่อยไป สาขาไหนที่ออกมากน้อย เล็กโตขนาดไหน ตัดด้วยปัญญา ๆ ขาดลงไป ๆ ผลสุดท้ายก็ยังเหลือ “หัวตอ” ถอดหัวตอถอนหัวตอนี้ยากแสนยาก แต่ถอนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คือพรวดเดียวหมด ! ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ! สิ้นวัฏจักรสิ้นที่จิต พ้นที่จิต บริสุทธิ์ที่จิต หมดปัญหาเกิดตายทั้งมวลที่จิตนี่แล<O:p></O:p>
    นี่แหละความทุกข์ความลำบากในการประกอบความเพียรมามากน้อย เราจะไม่เห็นคุณค่าอย่างไรเล่า เมื่อกองทุกข์ทั้งมวลมากน้อยซึ่งทับอยู่บนหัวใจ ได้ทลายลงไปหมดด้วยอำนาจแห่งความเพียรที่ว่า ทุกข์ๆ ยากๆ ลำบากของเรานั้นคุ้มค่า ! ตายก็ตายไปเถอะตายด้วยความทุกข์เพราะความเพียร ไม่เสียดายชีวิต เพราะได้เห็นคุณค่า หรือได้เห็นผลของความเพียรเป็นอย่างไรบ้างประจักษ์กับจิตของตนเองแล้ว<O:p></O:p>
    ฉะนั้นการบำเพ็ญเพียร ต้องเป็นผู้ไม่ท้อถอย มีอะไรพิจารณากันภายในจิตใจ มืดเราก็ทราบว่ามืด จิตไม่เคยมืด ความรู้จริงๆ ไม่ปิดตัวเอง ทุกข์ขนาดไหนก็ทราบว่าทุกข์ สุขขนาดไหนก็ทราบ มืดก็ทราบว่ามืด สว่างก็ทราบว่าสว่าง หนักเบาแค่ไหน ผู้รับรู้ รับรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมอาภัพกับสิ่งใดทั้งหมด ไม่ปิดกั้นตัวเองเลย ผู้นี้คือผู้รับรู้อยู่ตลอดเวลา แม้จะถูกกิเลสรุมล้อมอยู่ขนาดไหน ความรู้อันนี้จะรู้เด่นอยู่เสมอ รู้ตัวเองอยู่เสมอ สมกับชื่อว่าผู้รู้คือจิต<O:p></O:p>
    นี่แหละจะเอาผู้นี้แหละให้พ้นจากสิ่งเกี่ยวข้องหรือสิ่งพัวพันทั้งหลาย มาเป็นอิสระภายในตนเอง เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ นี้ จึงต้องได้พิจารณาแก้ไขกันเต็มกำลัง ยากง่ายลำบากเพียงไรก็ต้องทำ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นภัยต่อเรา ไม่มีชิ้นส่วนที่ปราชญ์ทั้งหลายน่าจะยกย่องกันบ้างเลย! เรารู้เห็นมันว่าเป็นตัวทุกข์ประจักษ์ใจ ถ้าไม่ถอดถอนพิษภัยออกจากจิตใจแล้ว เราก็ไม่มีทางก้าวเดินออกจากทุกข์ได้เลย เช่นเดียวกับการถอนหัวหนามออกจากเท้าเรานั่นแล<O:p></O:p>
    การถอดถอนหัวหนามออกจากเท้า ถ้าเราถือว่าเจ็บปวดมากไม่กล้าถอน นั่นแหละคือเท้าจะเสียหมด เพราะหนามฝังจมอยู่ที่นั่น เป็นต้นเหตุสำคัญที่จะทำให้เท้าเรากำเริบมากถึงกับเสียไปหมด เพราะฉะนั้นโดยทางเหตุผลแล้ว จะทุกข์ลำบากขนาดไหน ต้องถอนหัวหนามออกจากเท้าจนได้ ไม่ถอนหนามนั้นออกเสียเป็นไปไม่ได้ เท้าจะกำเริบใหญ่ และจะทำให้อวัยวะส่วนอื่นเสียไปด้วยมากมาย ฉะนั้นแม้จะทุกข์ขนาดไหน ก็ต้องถอนออกให้ได้โดยถ่ายเดียว<O:p></O:p>
    การบำเพ็ญเพียรเพื่อถอดถอนหนาม คือกิเลสเป็นเครื่องเสียดแทงจิตใจอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ถอนมันเสียจะเป็นอย่างไร?การถอนหัวหนามคือกิเลสด้วยความเพียร จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ต้องทำโดยเหตุผล ตายก็ต้องยอม เพื่อให้หนามนี้ออกจากจิตใจ จะไม่ต้องเสียดแทงกันไปนานตลอดกัปนับไม่จบสิ้นได้!<O:p></O:p>
    พูดถึงกิเลส มีอยู่ทุกแห่งหนในบรรดาสัตว์บุคคล มีอยู่รอบตัวของเรามากมายไม่มีเวลาบกพร่องเบาบางลงบ้างเลย แต่หาได้ทราบไม่ว่านั่นคือกิเลสทั้งมวล เวลาพิจารณาแล้วถึงได้รู้ว่ามันมีอยู่รอบตัวเรา และกวาดเข้ามาหาตัวเราทุกวันเวลา ไม่มีคำว่า “หนัก” ว่า “พอแล้ว” เลย มันติดรูป ติดเสียง ติดกลิ่น ติดรส ติดสมบัติพัสถานต่างๆ มากต่อมากจนกลายเป็นกิเลสไปหมด เพราะจิตพาให้เป็น สิ่งเหล่านั้นเขาไม่เป็นกิเลส แต่จิตไปติดกับสิ่งใด เราก็ถือว่าสิ่งนั้นเป็นกิเลส จำต้องพิจารณาให้เห็นชัดเจนตามสิ่งนั้น เพื่อจิตจะได้หายสงสัยและถอนตัวเข้ามาส่วนแคบ และพิจารณาง่ายเข้า จนสุดท้ายก็มาอยู่ที่ในธาตุขันธ์ของเรานี่แหละ!<O:p></O:p>
    กิเลสคือความรักความสงวนตัวนี่สำคัญมาก ไม่มีอันใดจะเหนือความรักตัวสงวนตัวไปได้ เมื่อกิเลสประเภทนี้ไม่มีที่เกาะแล้ว จึงต้องย้อนกลับเข้ามารวมตัวอยู่ในใจดวงเดียว มันต้องได้ใช้สติปัญญาขับไล่กันที่ตรงนี้ ไล่ตรงนี้ไล่ยากหน่อย ยากก็ไล่ เพราะแม้ตัวจัญไรเข้ามารวมที่นี่ ก็มาเป็นกิเลสอยู่ที่นี่เหมือนกันกับเวลาซ่านอยู่ข้างนอก เป็นเสี้ยนเป็นหนามทิ่มแทงเหมือนกัน เป็นพิษเป็นภัยเหมือนกัน ต้องไล่ให้ออกด้วยการพิจารณาเรื่องธาตุขันธ์ แยกแยะออกดูให้เห็นตามความเป็นจริงทุกแง่ทุกมุม พิจารณาแล้วพิจารณาอีก จนเป็นพื้นเพของจิตได้อย่างมั่นคงและชัดเจนว่า “สักแต่ว่าธาตุ สักแต่ว่าขันธ์ เท่านั้น”!<O:p></O:p>
    เมื่อพิจารณาเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วมันเป็นเช่นนั้น “มันสักแต่ว่า.ๆ” เมื่อพิจารณาถึงขั้น “สักแต่ว่าแล้ว” จะไปยึดมั่นถือมั่นได้อย่างไร! เพราะปัญญาหว่านล้อมไปหมด ปัญญาชำระไปหมด ชะล้างไปหมด มลทินคือกิเลสที่ไปติดพันอยู่กับใจ ความสำคัญมั่นหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องติดพันอยู่ที่ตรงไหน สติปัญญาชะล้างไปหมด ปลดเปลื้องไปโดยลำดับๆ สุดท้ายก็รู้ขึ้นมาอย่างชัดเจน สวากขาตธรรมทั้งปวง ก็เป็นธรรมที่ซึ้งใจสุดส่วน ใจไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมและสิ่งใด<O:p></O:p>
    รูปก็สักแต่ว่ารูป ไม่ว่าอาการใดที่เป็นอยู่ในร่างกายเราที่ให้นามว่า “รูป” ก็สักแต่ว่าเท่านั้น ไม่ยิ่งกว่านั้นไป จะยิ่งไปได้อย่างไรเมื่อจิตไม่ส่งเสริมให้มันยิ่ง ความจริงจิตเป็นผู้ส่งเสริม จิตเป็นผู้กดถ่วงตัวเองต่างหาก เมื่อสติปัญญาพิจารณารู้ตามหลักความจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จริงของมันเอง “สักแต่ว่า” นั่น! เมื่อ “สักแต่ว่า” แล้ว จิตไม่เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้มีคุณค่ามีราคายิ่งกว่าตนพอจะไปหลงยึดถือ จิตก็หายกังวล รูปก็สักแต่ว่า ถึงยังเป็นอยู่ก็สักแต่ว่า ตายไปแล้วก็สักแต่ว่าความเปลี่ยนแปรสภาพของมันเท่านั้น<O:p></O:p>
    เวทนาเกิดขึ้นมาก็สักแต่ว่า เมื่อสลายลงไปก็สักแต่ว่า ตามสภาพของมันและตามสภาพของทุกอาการ ๆ ปัญหาทั้งปวงในขันธ์ในจิตก็หมดไปโดยลำดับ<O:p></O:p>
    สุดท้ายจิตที่มีความรักความสงวนด้วยอำนาจแห่งกิเลสประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เกาะอยู่ในนั้น ก็พิจารณาลงไป ซึ่งเรียกว่า จิตตานุปัสสนาคือความเห็นแจ้งในจิตและอาการของจิตทุกอาการว่า สักแต่ว่าจิตคือเป็นสภาพหนึ่งๆ เช่นเดียวกับสภาวธรรมทั้งหลาย ไม่ถือจิตเป็นตน ไม่สำคัญจิตว่าเป็นตน ถ้าถือจิตว่าเป็นตนเป็นของตนจะพิจารณาไม่ได้ เพราะความรักความสงวนความหึงหวง กลัวว่าจิตจะเป็นอะไรต่ออะไรไปเสีย แล้วกลายเป็นกำแพงกั้นไว้ จึงต้องพิจารณาตามที่ท่านว่า “จิตตานุปัสสนา” พิจารณาลงไปให้เห็น สักแต่ว่าจิตคิดก็สักแต่ว่าคิด ปรุงขึ้นมาดีชั่วก็สักแต่ว่าปรุง แล้วก็ดับไป ๆ สักแต่ว่า ๆ จนถึงรากฐานของ จิตอวิชชา<O:p></O:p>
    รากฐานของ จิตอวิชชาคืออะไร? คือกิเลสชนิดละเอียดสุดอยู่ภายในจิต ไม่พิจารณาจิตนั้นไม่ได้ จิตจะสงวนจิตไว้ แล้วพิจารณากิเลสประเภทนี้ต่างหากนั้น ย่อมหาทางไม่ได้! เพราะกิเลสประเภทสงวนตัวมันหลบอยู่ในอุโมงค์ คือจิตนี้แหละ! จะเสียดายอุโมงค์อยู่ไม่ได้ ถ้าโจรเข้าไปอาศัยอยู่ในอุโมงค์นี้เราจะเสียดายอุโมงค์ไม่ได้ ต้องระเบิดหมดทั้งอุโมงค์นั่นน่ะ ให้มันแตกทลายกลายเป็นชิ้นส่วนไปหมด นี่ก็เหมือนกัน ระเบิดด้วยสติปัญญาให้หมดเลยที่ตรง “อุโมงค์ คือจิตอวิชชา” นี้ให้สิ้นซากไป<O:p></O:p>
    เอ้า ถ้าจิตเป็นจิตจริง ทนต่อการพิสูจน์ ทนต่อความจริงจริงๆ จิตจะไม่ฉิบหาย จะฉิบหายไปแต่สิ่งที่เป็นสมมุติเท่านั้น! ธรรมชาติตัวจริงของจิตแท้ๆ จะไม่ฉิบหาย และอะไรจะเป็น “วิมุตติ”? ถ้าจิตสามารถเป็นวิมุตติได้ ทนต่อการพิสูจน์ ทนต่อการพิจารณาทุกอย่างได้ ก็ให้จิตรู้ตัวเอง จิตนั้นจะยังคงเหลืออยู่<O:p></O:p>
    อันใดที่ไม่ทนต่อการพิจารณา อันใดที่เป็นสิ่งจอมปลอม ก็จะสลายตัวของมันไป จงพิจารณาลงที่จิต ดีชั่วเกิดขึ้นก็แต่เพียงแย็บๆๆ อยู่ภายในจิต ดับไปก็ดับที่จิต ค้นลงไปพิจารณาลงไป เอาจิตเป็นสนามรบ<O:p></O:p>
    เราเอาเสียง เอากลิ่น เอารส เป็นสนามรบ พิจารณาด้วยปัญญา ผ่านเข้ามาถึงขั้นเอารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสนามรบ พิจารณาจนรู้แจ้งเห็นจริงแล้วปล่อยวาง ๆ ปล่อยวางไปตามเป็นจริง<O:p></O:p>
    อ้าว!ที่นี่กิเลสมันไม่มีที่ซ่อนก็วิ่งเข้าไปอยู่ในจิต ต้องเอาจิตเป็นสนามรบอีก ฟาดฟันกันด้วยปัญญาสะบั้นหั่นแหลกลงไปเป็นลำดับๆ โดยไม่มีข้อแม้ข้อยกเว้นว่าจะควรสงวนอะไรไว้เลย อันใดที่ปรากฏจะพิจารณาฟาดฟันให้อันนั้นแหลกไปหมด ให้รู้เข้าใจไปหมด นั่น!<O:p></O:p>
    สุดท้ายกิเลสก็ทนตัวอยู่ไม่ได้ กระจายออกไป นั่น ! ของจอมปลอมต้องสลายตัวไป ของจริงอันดั้งเดิมแท้ได้แก่จิต ก็เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ขึ้นมาแทนที่ที่กิเลสหายไป หาความสลายหาความฉิบหายไปไม่มีเลย นี้แลคือความประเสริฐแท้ เราชนะเพื่ออันนี้ ธรรมชาติแท้ไม่ตายไม่ฉิบหาย ถึงจะถูกพิจารณาขนาดไหนก็ตาม แต่สติปัญญาจะฟาดฟันจิตให้แหลกละเอียดจนฉิบหายไปหมดนั้นเป็นไปไม่ได้ นั่น<O:p></O:p>
    สุดท้ายจิตก็บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา พอจิตบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ปัญญาก็หมดหน้าที่ไปเอง หรือหมดภาระหน้าที่ของตนไปเองตามหลักธรรมชาติของสติปัญญา พอจิตบริสุทธิ์เต็มที่แล้วปัญญาก็หมดหน้าที่ไปเอง หน้าที่ของตนไปเอง ตามหลักธรรมชาติของสติปัญญาที่เป็นสมมุติฝ่ายแก้กิเลสทั้งมวล นอกจากเราจะนำไปใช้บางกาลบางเวลาในแง่ธรรมต่างๆ หรือธุระหน้าที่ต่างๆ เท่านั้น<O:p></O:p>
    ที่จะนำมาแก้ มาทำลายกิเลส ถอดถอนกิเลสด้วยปัญญาดังที่ได้ทำมาแล้วนั้น ไม่มีกิเลสจะให้แก้ให้ถอน สติปัญญาจะถอนอะไร ต่างอันต่างหมดหน้าที่ของตัวไปเองโดยอัตโนมัติหรือธรรมชาติ<O:p></O:p>
    สิ่งที่ยังเหลืออยู่ เหนือสัจธรรมทั้งสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็ได้แก่ความบริสุทธิ์ คือผู้รู้ล้วนๆ ผู้นี้แลเป็นผู้พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวง พ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ทรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ที่ท่านเรียกว่าวิมุตติเราจะไปหา “วิมุตติ”ที่ไหน?ความหลุดพ้นอยู่ที่ไหน?ก็มันติดข้องอยู่ที่ไหน?เมื่อพ้นจากความติดข้องแล้ว มันก็เป็นความหลุดพ้นที่เรียกว่า “วิมุตติ” เท่านั้นเอง การแสดงธรรมจึงยุติเพียงเท่านี้ ไม่มีความรู้ความสามารถแสดงให้ยิ่งกว่านี้ได้

    ขอขอบคุณ
    http://www.naiyanit.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538703150&Ntype=2




    ก็คงต้องเลือกเอาระหว่าง




    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>
    กับอย่างนี้​





    <CENTER>[​IMG]</CENTER>



    เลือกเอาเองก็แล้วกันครับ แต่สำหรับผมเลือก อยู่เย็นกับน้ำแข็งครับ เย็นสบายใจจริงๆ....ไม่เร่าร้อน ทำจิตให้สบายๆ กลางๆ ช่วยกันทำบุญให้สงฆ์อาพาธกันครับ เป็นการทำหน้าที่ของพุทธบริษัทที่แท้จริง และเป็นการยกระดับจิตให้ห่างจาก สิ่งที่หลวงตาฯ บอกด้วย




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2008
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    พระสมเด็จพิมพ์กลักไม้ขีด 2 หน้า (อย่างหนา) ด้านหน้า

    [​IMG]

    ด้านหลัง


    [​IMG]


    ทั้ง 3 องค์ผ่านการตรวจทางนามเรียบร้อยแล้ว เป็นพระนอกพิมพ์มาตรฐาน สำหรับนำไปศึกษากันในกลุ่มผู้ร่วมกิจกรรมฝึกดูพระในวันอาทิตย์นี้ ที่ รพ.สงฆ์
    ร่วมกับพระพิมพ์อื่นๆ ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886

    พระสมเด็จกลักไม้ขีดนี้บางแห่งนำไปปั่นราคาจนแพงแบบน่าตกใจเป็นตัวเลขหลายหลัก แต่วันอาทิตย์นี้พี่พันวฤทธิ์จะนำไปให้ชมและอาจให้ทำบุญบ้างในราคาไม่คุ้มค่ารถครับ

    และมีพระขรรค์ที่หลวงปู่โลกอุดรเสกแท้ๆ ให้ร่วมทำบุญในราคาเหมือนได้ฟรีเอาเป็นว่าราคาไม่คุ้มค่ารถเช่นกันครับ

    ส่วนท่านใดต้องการพระแจกฟรี ก็มีของดีๆทั้งนั้น ไม่ว่า พระซุ้มไทรย้อย พระสมเด็จผงยา พระสมเด็จปัญจสิริ

     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    สวัสดียามเช้าด้วยคำเทศนาประโลมใจของหลวงตามหาบัวกันครับ


    [​IMG]



    ธรรมะ สุดๆ ร้อนๆ


    ธรรมะจึงเป็นของราบเรียบ ที่ลึกซึ้งเหลือประมาณ สมมุติกับวิมุตติที่อยู่ติดกันจนแยกไม่ออกถ้าขาด ซึ่งสติปัญญาที่จะเข้าไปเห็น แต่ทั้งนี้การยึดมั่นในระดับนึงของความรู้ความเห็น ก็ยังเป็นความยึดถือ ยังเป็นเรา ผู้รู้ผู้เห้นผู้เข้าใจ ทั้งๆ ที่ธรรมะมีแต่เกิดขึ้น และดับไปเท่านั้น

    ความละเอียดละออในข้อธรรม การแจกแจงธรรมนำมาเล่า ล้วนเป็นจริต นิสัย วาสนา ของแต่ละท่าน ที่มี ที่เป็น ซึ่งเป็นปรมัติธรรมอย่างนึงเช่นกัน

    จิตที่เคลื่อนออกเป็นสังขารทั้งสิ้น

    แต่จิตสังขารที่ทำงานอยู่ตลอดเวลานั้น เรามีหน้าที่ ที่จะรู้ด้วยความ
    เป็นกลาง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์นั้นถ้ารู้อย่างไม่เป็นกลาง ก็จะโดนตำหนิทันที แต่เมื่อใดที่แม้จะมีกิเลสรุงรังอยู่ แต่เราสามารถรู้ได้อย่างเป็นกลาง วันนั้นท่านก็จะบอกว่า เราภาวนาได้ดีแล้ว

    นับวันความทุกข์ที่เหมือนเดิม ก็ไม่เหมือนเดิม

    ขันธ์มันมีอยู่แล้ว เป็นวิบากให้เราต้องชดใช้ เราจึงได้ยิน ได้เห็น ได้รับรู้ รับทุกข์และเวทนานั้น ขณะเดียวกัน สิ่งเหล่านั้นเป็นไปสมเหตุสมผลของมัน เพราะกรรมย่อมให้ผลเที่ยงธรรมเสมอ เรารับรู้วิบากให้เป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้เช่นเดียวกับสภาวะธรรมอื่นๆ ได้เช่นเดียวกัน เราจะเห็นได้ว่า เมื่อเรายอมรับและรู้อย่างถูกต้อง เป็นกลาง ตรงต่อความเป็นจริง เที่ยงตรงกับมันนั้นความทุกข์ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

    การมีชีวิตเพียงราตรีนึงก็คุ้มค่าแล้ว สำหรับตรงนี้

    แม้ว่าชาตินี้เราจะไม่ได้อะไรเลย นอกจากได้ปฏิบัติ เราก็พอใจเพราะเห็นแล้ว ทางที่ถูกเป็นอย่างไร ทางที่ตรงเป็นอย่างไร จริต นิสัย วาสนา นั้นละไม่ได้ แต่เป็นไปเช่นนั้น การเข้าใจในเรื่องนี้ทำให้เรา เข้าใจเรื่องทิฏฐิของตนเอง และผู้อื่นไปด้วยไม่เคยมีอะไรที่ผิดหรือถูก มีแต่สิ่งที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นกรรม วิบาก และกิเลสที่ยังย้อมจิตอยู่นั่นเอง

    เราเพียงอดทนต่อกิเลส อดทนต่อการเข้าไปรู้เห็นกิเลสตรงๆ อย่างที่เรียกว่า อาตาปี นั้นเอง และอาศัยจาคะ ความสละออกยอมที่จะไม่ได้อะไรเลย มีแต่ "รู้" เท่านั้น

    ความสุขเพียงเท่านี้ เป็นผลรองรับได้แล้วว่า นี้คือทาง


    ขอขอบคุณ
    http://www.naiyanit.com/
     

แชร์หน้านี้

Loading...