เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 กุมภาพันธ์ 2025 at 17:07.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,647
    ค่าพลัง:
    +26,509
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,647
    ค่าพลัง:
    +26,509
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพต้องทำหน้าที่แทนพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.,ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน ซึ่งหนีไป "มู" ที่ฮ่องกง ด้วยการทำบวงสรวงขออนุญาตจัดงานภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ความจริง กระผม/อาตมภาพขอยกเลิกงานครั้งนี้ แต่ว่า ผศ.,ดร.พระครูโรจน์ของเราไม่ยอม ส่งทีมงานมาจัดการงานทุกอย่างเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว

    ในส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้กระผม/อาตมภาพ หลวงพ่อนิล (พระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม) ประธานที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จังหวัดสกลนคร และพระครูโก้ (พระครูสังฆรักษ์ฬัสวัชร์ ฐิตสีโล) ประธานสำนักปฏิบัติธรรมอนันต์บูรพาราม จังหวัดชลบุรี รับภาระหน้าที่ในการนำญาติโยมทั้งหลายภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ

    โดยที่กระผม/อาตมภาพนั้นมาลาเรียขึ้นสมองเสียตั้งแต่เช้า เนื่องเพราะว่าอากาศเปลี่ยนรุนแรงมาก มีฝนตกด้วย หลายท่านบอกว่าเป็นฝนเทียมที่รัฐบาลทำเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วก็ "ใคร่หัว" ตามภาษาอีสาน เนื่องเพราะว่ารัฐบาลมัวแต่ห่วงว่าจะรักษาเก้าอี้ของตัวเองอย่างไร ไหนเลยจะมีอารมณ์มาทำฝนเทียมเพื่อที่จะลดฝุ่น PM 2.5 แบบนี้..!

    โดยเฉพาะบรรยากาศที่มืดมัวไปหมดแบบนี้ ก็คือพายุฝนเกิดจากธรรมชาติ ไม่ใช่ฝนเทียมซึ่งฟ้าใส ๆ ก็ตกลงมาได้ ดังนั้น..ถ้าหากจะ "คอมเม้นท์" อะไรก็กรุณาศึกษาให้ดีก่อน กระผม/อาตมภาพเองทำบวงสรวงเสร็จก็แทบจะมองหน้าใครไม่เห็น หูตาลายไปหมดแล้ว จำได้ว่ามีบุคคลผู้คุ้นเคยก็คือหมอเพชร (ทันตแพทย์เพชรไพฑูรย์ จันทร์ชูเชิด) เพราะว่าจำเสียงได้ ระหว่างที่มาลาเรียขึ้นสมองนี่ไม่ต้องไปจำหน้าใคร..!

    เมื่อเข้าไปจุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัยและกราบอัฐิของหลวงพ่อศรี (พระครูนนทมงคลวิศิษฐ์, ดร.) อดีตเจ้าอาวาสวัดอุทยานแล้ว
    กระผม/อาตมภาพก็นำทุกคนสมาทานศีล ๕ แล้วก็เข้าสู่การภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ โดยที่กระผม/อาตมภาพกราบขอบารมีพระปลุกเสกวัตถุมงคลไปด้วย

    ปรากฏว่าใช้เวลานานมาก ด้วยความอยากรู้ว่าของอะไรถึงปลุกเสกยากเย็นขนาดนี้ ปรากฏว่าเป็นตัวนับจำนวน ซึ่งปกติแล้วในปัจจุบันนี้มีญาติโยมส่วนหนึ่งใช้แทนลูกประคำ เพราะว่าง่ายดี ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็เห็นว่า
    เป็นความมักง่ายที่ทำให้เสื่อมสมรรถภาพไปด้วย..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,647
    ค่าพลัง:
    +26,509
    เนื่องเพราะว่าการนับลูกประคำนั้น อันดับแรกเลย เป็นการปฏิบัติในอิริยาบถและสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตร ก็คือไม่ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรก็มีสติกำหนดรู้ไปด้วย

    ลำดับต่อไปก็คือเราภาวนาพระคาถาไปกี่จบ ก็กำหนดนับลูกประคำไปด้วย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สติมากกว่าปกติ เพื่อจดจำในจำนวนพระคาถาที่เราภาวนาไปแล้ว

    และถ้าหากว่าแยกจิต แยกกาย ทำหน้าที่ได้หลายอย่าง ก็กำหนดภาพพระไปด้วย หรือว่าขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานอย่างที่กระผม/อาตมภาพทำไปด้วยก็ได้


    แต่เมื่อมาใช้เครื่องนับแบบสมัยใหม่ ทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องจดจำ ทำให้ขาดสติในการภาวนาไปมาก พูดง่าย ๆ ว่าคุณภาพในการภาวนาลดลงไปมากเหลือเกิน เท่านั้นยังไม่พอ หลายคนยังห่วงการไลฟ์สด ห่วงการถ่ายรูป ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายกระผม/อาตมภาพ หรือว่าเซลฟี่ตัวเองว่ากำลังภาวนาพระคาถาเงินล้าน ซึ่งกระผม/อาตมภาพแม้ว่าจะป่วยจนหูตาลาย แต่ว่าการกำหนดดูกำหนดรู้ผู้คนจำนวนแค่นี้นั้น เป็นเรื่องที่เล็กมาก ดังนั้น..เห็นแล้วก็ได้แต่เวทนาสงสารว่า ญาติโยมอีกกี่ปีกี่ชาติ ถึงจะสามารถภาวนาพระคาถาเงินล้านให้เกิดผลอย่างจริง ๆ จัง ๆ ได้หนอ ?

    เนื่องเพราะว่าการใช้พระคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ก็ดี พระคาถาเงินล้านก็ดี อันดับแรกเลย ต้องมีทานเป็นเครื่องรองรับ เนื่องเพราะว่าผลของพระคาถาเงินล้านนั้น มาจากทานเป็นส่วนใหญ่ หลังจากนั้นก็ต้องมีศีลบริสุทธิ์ในระหว่างที่ภาวนาอยู่ เพื่อที่จะเสริมในส่วนของสมาธิให้มั่นคงยิ่งขึ้น แล้วสมาธิยิ่งสูงเท่าไร ผลของคาถาก็มีมากเท่านั้น เนื่องเพราะว่าสภาพจิตของเราจะปล่อยวางความอยากรวยลงไปได้

    การภาวนาพระคาถาเงินล้าน ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมก็หวังที่จะร่ำรวย แต่คราวนี้การที่ไปตั้งกำลังใจแบบนั้น บรรดาผู้เรียนอภิธรรมเขาใช้คำว่า "จิตประกอบไปด้วยโลภเจตนา" ทำให้มาตัดผลที่จะพึงได้ไปเสียหมด..!

    เนื่องเพราะว่าผลที่จะได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องมีกำลังใจที่เป็นกลาง ๆ ถ้าใช้ภาษาอภิธรรมก็คือเป็น "อัพยากฤต" แต่คราวนี้เราไปภาวนาเพราะอยากรวย ซ้ำยังวางกำลังใจไม่ถูกอีกด้วย ก็คือไปมุ่งมั่นจะเอาความรวยเป็นใหญ่ ผลที่จะพึงเกิดจึงเกิดน้อยมาก หรือว่าไม่เกิดเลย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,647
    ค่าพลัง:
    +26,509
    หากแต่ว่าบุคคลใด ถ้าตอนก่อนจะภาวนาตั้งใจว่าเราทำเพื่อโภคทรัพย์ก็ดี หรือว่าทำเพื่อผลของพระคาถาจะเกิดอย่างไรก็ตาม แล้วตอนภาวนา เราสามารถที่จะลืมความต้องการนั้นได้ ก็จะทำให้ผลของพระคาถานั้นเกิดได้เร็วกว่า เพราะว่าท่านวางกำลังใจได้ถูกต้อง

    คราวนี้การที่ผลของพระคาถาจะเกิดจากการวางกำลังใจที่ถูกต้องก็คือ ท่านจะต้องทรงสมาธิให้เป็นอัปปนาสมาธิ เมื่อถึงตอนนั้น กำลังของ รัก โลภ โกรธ หลง จะโดนสมาธิกดดับลงชั่วคราว สภาพจิตของท่านก็จะผ่องใสจากกิเลส ไม่ได้โลภ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้หลง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผลของพระคาถาจะเกิดได้ง่าย

    กระผม/อาตมภาพที่เคยเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเราก็ดี บอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายก็ตาม ว่าให้ภาวนาพระคาถาเงินล้านในช่วงนี้ให้ได้วันละ ๑๐๘ จบ ก็เพื่อหวังที่กำลังใจของท่านทั้งหลายก้าวเข้าสู่สมาธิในระดับนี้ ถ้าหากว่าท่านสามารถก้าวสู่สมาธิในระดับนี้ ก็คือจะมีอุเบกขาในอัปปนาสมาธิ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปจนถึงฌาน ๔ หรือว่าสมาบัติ ๘ ถ้าหากว่าไม่มีอุเบกขา ท่านไม่สามารถจะเข้าถึงตรงจุดนี้ได้..!

    คำว่า "อุเบกขา" ในที่นี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เอกัคคตารมณ์" คือ อารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว อยู่ในสมาธิระดับนั้น ๆ ตั้งแต่ระดับปฐมฌานขึ้นไป

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็จะถึงพร้อมด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนา ก็แปลว่าท่านเป็นผู้ที่มีปัญญาในการปฏิบัติธรรม ก็คือธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สามารถที่จะวางกำลังใจเป็นกลางในมัชฌิปมาปฏิปทาได้ ก็คือ ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แล้วในขณะเดียวกัน
    ถ้าหากว่ามองเห็นทุกข์เห็นโทษของ รัก โลภ โกรธ หลง ได้อย่างแท้จริงแล้วปล่อยวางได้ นั่นจึงจะเป็นผลที่แท้จริง ที่กระผม/อาตมภาพต้องการจากการนำทุกท่านภาวนาพระคาถาเงินล้าน

    เนื่องเพราะว่าถ้าถึงในระดับนั้นแล้ว ท่านทั้งหลายก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตของตนออกมาจากการยึดมั่นถือมั่น ก้าวเข้าสู่ความเป็นกลางอย่างแท้จริง ก็คือมีชีวิตอยู่กับโลก แต่ไม่ติดในโลก ในขณะเดียวกัน สภาพจิตทั้งหมดอยู่กับธรรม แต่ไม่ได้ทิ้งโลก ทุกอย่างทำไปตามภาระตามหน้าที่ของตนเอง ไม่มีกำลังใจปรุงแต่งไปใน รัก โลภ โกรธ หลง นี่จึงจะเป็นทางสายกลางอย่างแท้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางสายกลางตรงนี้แหละ..ที่จะนำท่านทั้งหลายเข้าสู่ความบริสุทธิ์ พ้นจากกองทุกข์อย่างสิ้นเชิง

    แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายยังทำถึงตรงนี้ไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ให้มีอุเบกขาในเบื้องต้น ลืมรัก ลืมโลภ ลืมโกรธ ลืมหลง ได้ชั่วคราวก็ยังดี อานิสงส์ที่จะพึงมีพึงได้ของพระคาถาเงินล้าน ก็ยังบังเกิดความสะดวกสบายแก่ท่านทั้งหลายในการดำรงชีวิตปัจจุบัน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,715
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,647
    ค่าพลัง:
    +26,509
    หลังจากเสร็จจากการภาวนาพระคาถาเงินล้าน และได้รับปัจจัยจากการถวายสังฆทานของญาติโยมทุกท่าน ยอดน่าจะอยู่ที่ ๙๓,๒๔๐ บาท โดยประมาณ กระผม/อาตมภาพมอบให้กับทางวัดอุทยาน ร่วมในการสร้างอาคารริมน้ำหลังใหม่ แล้วตนเองก็เตรียมเดินทางไปยังวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) จังหวัดกาญจนบุรี

    ได้ยินเสียงบุคคลที่คุ้นเคยก็คือหมอหนุ่ม ซึ่งมาขอกราบเพราะว่าไปผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ หรือว่าไปทำบอลลูนมาก็ไม่ทราบ ? น้ำหนักตัวแค่ประมาณ ๑๐๐ กิโลกรัมเท่านั้น ทำเอาเส้นเลือดหัวใจตีบตันไปหมด บอกว่าเจ็บจนกระทั่งอยากจะฆ่าตัวตาย ขอกราบหลวงพ่อหน่อย เพราะว่าตอนที่หมอให้ดมยาสลบนั้น หลวงพ่อมานั่งอยู่บนอก ก็เลยรอดมาได้..!

    กระผม/อาตมภาพเองปล่อยให้กราบเสร็จ ตนเองคลายกำลังใจออกมาก็แทบจะสลบไสล กว่าจะเดินทางไปยังวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) แล้วประกอบร่างสวมวิญญาณกลับเข้ามาใหม่ ก็เกือบที่จะสิ้นชีวิตไปแล้ว..! ได้ทำหน้าที่ของตนเองในการเปิดสอบบาลีสนามหลวงสนามจังหวัดกาญจนบุรีวันที่สอง ซึ่งมีทั้งการสวดมนต์ไหว้พระ การภาวนาเพื่อที่จะอุทิศส่วนกุศลถวายสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผู้ให้กำเนิดการสอบบาลีและนักธรรมด้วยข้อเขียน แล้วก็ร่วมกับคณะกรรมการเซ็นเปิดข้อสอบของวันนี้

    เสร็จสรรพเรียบร้อย เมื่อบรรดาเจ้าหน้าที่ประจำห้องสอบทำการแจกข้อสอบให้กับผู้เข้าสอบแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ขอตัวเดินทางไปพักที่วัดท่ามะขาม ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเดินทางกลับไปยังวัดอุทยาน ทั้งที่นัดกับไอ้ตัวเล็กไว้ว่าจะไปลงโปรแกรมในแล็ปท็อปหรือว่าโน้ตบุ๊กตัวใหม่ ที่ญาติโยมร่วมใจซื้อมาถวาย

    เนื่องเพราะว่าตัวเก่านั้นเฒ่าชะแรแก่ชรา อายุ ๖ ปีเข้าไปแล้ว ซึ่งหลายคนก็บอกว่ากระผม/อาตมภาพใช้ของเหมือนกับเป็น "ของเสีย" ก็คือเป็นของที่ทนเกินกว่าคนปกติเขาใช้กัน แต่ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ ท่านก็คอยบอกคอยกล่าวว่า
    ให้ทำอย่างไร ถึงจะรักษาสิ่งของที่ญาติโยมให้มาให้เกิดคุณค่าได้มากที่สุด สามารถใช้งานได้นานที่สุด

    เมื่อมีครูบาอาจารย์คอยบอกคอยกล่าว แม้แต่ว่า "คาถาจบนี้จะเป็นจบสุดท้าย ให้เตรียมนำญาติโยมอุทิศส่วนกุศลได้แล้ว" กระผม/อาตมภาพทำตามก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ทั้งที่ตนเองลุกจากที่ภาวนาไปพรมน้ำมนต์ที่วัตถุมงคล พรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมในศาลาทั้งชั้นบนชั้นล่าง ไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมาภาวนา ก็ยังคงแม่น "เป๊ะเว่อร์" เหมือนเดิม..!

    กระผม/อาตมภาพยังบอกกับลูกศิษย์ว่า "ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย กับเรื่องของความสามารถพิเศษเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เนื่องเพราะว่ายิ่งร่างกายป่วยหนัก สภาพจิตก็ต้องยิ่งทรงสติระมัดระวังรอบคอบ ยิ่งมีครูบาอาจารย์ หรือว่าพรหม เทวดา หรือพระคอยให้การสงเคราะห์อยู่ เรื่องที่จะพลาดหน้าแตกนั้นเป็นไปได้ยากมาก" ดังนั้น..จึงสามารถที่จะทำเรื่องราวหลาย ๆ อย่างพร้อมกับการภาวนา แล้วยังสามารถจบได้ตรงเวลาเหมือนเดิม

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...