สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    4oh7_sxnjyvt3jxdfuqa50rubjws8-_nc_ohc-k9ovoeel674ax9dv-yt-_nc_zt-23-_nc_ht-scontent-fbkk22-3-jpg.jpg
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    5Wow7wW5-JzqDJ&_nc_ohc=neHoTxpIX4IAX9OVgWQ&tn=ECAlnjB_F5X8SX7u&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-3.jpg

    MdovLaHG-FC7llbuQwJyFSR4FP2SIjWbM5&_nc_ohc=F3wGJYsYjukAX8h6sE-&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-5.jpg

    Hgz-j9oQEzQQJak0N1s_cXnVNMhp1jBlAV&_nc_ohc=hpUrU0lccowAX8kgSc1&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg

    vEFT-zEGlGAP78Hy9jTwIqPX95jnioP99D&_nc_ohc=JuX4jejl55cAX8E5s66&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-4.jpg
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    . 1fa80.png "... ติดขัดเข้าแล้ว อย่าเที่ยวใช้เรื่องเลอะ ๆ เหลว ๆ บนผีบนเจ้า นั่นไม่ได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์เลย
    1fa80.png พวกนั้นไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษเลย ความเห็นจึงได้เลอะเทอะเหลวไหลเช่นนั้น ไม่ถูกหลักถูกฐาน ถูกทางพุทธศาสนา ถ้าว่ารู้จักหลักทางพุทธศาสนาแล้ว ต้องยกความขึ้นพูดความสัตย์ความจริง นั่นเป็นข้อสำคัญ
    1f4cc.png ถ้าความบริสุทธิ์ของศีลมีอยู่ ก็ต้องยกความบริสุทธิ์นั่นแหละขึ้นพูด หรือความบริสุทธิ์ของสมาธิมีอยู่ ก็ยกความบริสุทธิ์ของสมาธิขึ้นพูดขึ้นอธิษฐาน #พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    #หลวงพ่อวัดปากน้ำ
    PLe8XQBYvL_Z4jz6OHxwh2tv5If-RbIAU&_nc_ohc=deMYXrKMqQ0AX_SDtn_&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-8.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ภาพโครงการอบรมพระกัมมัฏฐาน รุ่นที่ ๘๔ และปฏิบัติธรรมวันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย(๑) ปีขาล วันพฤหัสบดี ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๕ ณ สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรี แห่งที่ ๑ (โดยมติมหาเถรสมาคม) วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ระหว่าง วันที่ ๑ - ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ 1f64f.png
    2728.png ศีล เป็นรากฐานของบุญกุศลขั้นสูง คือการเจริญภาวนา ที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะว่า คนที่จะเจริญภาวนาหรือปฏิบัติกรรมฐาน จนสามารถได้ฌานได้สมาบัติ หรือได้บรรลุมรรคผลนิพพานได้นั้น #สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรีแห่งที่๑
    #ติดต่อทำบุญ #ทำบุญ 1f64f.png 1f64f.png 1f64f.png
    Line ID: @info.wat06
    https://line.me/ti/p/~@info.wat06
    260e.png 090-595-5164
    #ศาลาสมเด็จชั้น๓ #ปฏิบัติธรรม #วิหารกลางน้ำ
    #ศาลาสมเด็จชั้น๓ #อุโบสถ
    #ธันวาคม #นั่งสมาธิ #วิชชาธรรมกาย
    #พระมหาเจดีย์สมเด็จฯ #สัมมาอะระหัง
    #เจ้าคณะจังหวัดราชบุรี #พระปิฎกโกศล
    #วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    #สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรี
    #หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ #เจริญภาวนา
    #สวดมนต์ #ภัตตาหาร
    #งานบุญ #เจ้าภาพ #รักษาศีล
    #โรงทาน #ปล่อยปลา
    #วันพฤหัสบดี #ทาน
    #วันธัมมัสสวนะ #วันนี้วันพระ
    IqYT-MRtWSJxEaGyvTqJFsG4BBrBanly5&_nc_ohc=98YD0nyPEuMAX_orzf3&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-5.jpg

    0CvF4T-kfmg_sClbcUvzZMfu56UiBEnKo&_nc_ohc=DptM1Ab8IcoAX8HqAV6&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-1.jpg

    rIeW83sB0vaKRiIIuOuW_KakU-xO1U3Dk&_nc_ohc=5zKxMr4cqW4AX-7xd_4&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-4.jpg

    jkbF4JGYFWa6UieXhmrPn23IHqeZE0TPK&_nc_ohc=ieZSzwgID6UAX89l_8E&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-4.jpg
    xPF_Y0ZUi2_T4_uCL-o-YGTELF8u5CFCT&_nc_ohc=LKoxm7Lo73YAX_GjICg&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-1.jpg
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    วิธีภาวนาสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่
    #อาโลกกสิณ #สมาธิ #อานาปานสติ
    เจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน
    ตามแนววิชชาธรรมกายที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ปฏิบัติและสอนถึงธรรมกายของพระพุทธเจ้า
    https://www.youtube.com/watch?v=X1Sp8YLXHNU




    --------------------------

    ศิษย์พระต้นธาตุ
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    wdVncqm9C7d_42zjdEDYRusydFp8MNzYQ&_nc_ohc=ug7Sb5n87_EAX9wIyOy&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-8.jpg



    #เมื่อทำวิชชาได้ละเอียดเข้าไป
    จนถึง “ปราสาททำวิชชาของหลวงพ่อ” ก็จะพบธาตุธรรมของ หลวงพ่อ และ “กลางธาตุ” ทั้งหลายของหลวงพ่อ กำลังทำวิชชาสะสางธาตุธรรม และพระนิพพาน เพื่อช่วยสัตว์โลกทั้งหลายอยู่มิได้หยุดเลย
    และเมื่อทำวิชชาละเอียดเข้าไป ก็จะทราบว่า หลวงพ่อ(สด) คือ “ต้นธาตุต้นธรรมภาคพระ” ซึ่งได้ถอยพืดกำเนิดธาตุธรรมเดิมมาสร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก ช่วยรื้อสัตว์ ขนสัตว์ที่ยังหลงติดอยู่ในไตรวัฏฏ์ให้เข้านิพพานเป็นอีกต่อไปนั้นเอง
    ส่วนผู้ที่ช่วยเหลือทำวิชชาอยู่กับหลวงพ่อ ซึ่งจะเห็นอยู่โดยรอบ ๆ หลวงพ่อนั้น ชื่อว่า “กลางธาตุ” ของท่าน
    บางรายก็ยังเป็น “กลางธาตุกายมนุษย์” (คือยังมีชีวิตเป็นมนุษย์) สร้างบารมี และทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างพระศาสนาอยู่ บางท่านก็ล่วงลับไปแล้ว และว่าโดยที่จริงแล้ว
    ผู้มีบารมีระดับกลางธาตุนั้นมีมาก แต่ปฏิบัติพระศาสนาไม่ตรงตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า
    ก็เพราะว่า ภาคมารเขาพยายามปัดบังวิชชานี้
    และภาคมารจะปัดเข้านิพพานถอดกาย (ถ้าเขาต้านทานบารมีไม่อยู่) เพื่อให้สิ้นฤทธิ์ ที่จะช่วยเหลือสัตว์โลก
    บรรดากลางธาตุทั้งหลายเหล่านั้น จึงไม่ปรากฏอยู่ในผังปราสาทที่ทำวิชชาของหลวงพ่อ
    อนึ่ง “กลางธาตุกายมนุษย์” บรรดาที่สร้างบารมี และทำหน้าที่อยู่ในปัจจุบันนี้ หากปฏิบัติตรง และเจริญวิชชาชั้นสูงนี้ ก็จะพบอยู่ในปราสาทที่ทำวิชชาของหลวงพ่อ ตามฐานะของอำนาจ สิทธิ และสิทธิเฉียบขาด ในการปกครองธาตุธรรมของแต่ละท่าน
    แต่ถ้าผู้ใดปฏิบัติไม่ตรง หลงกลทำประโยชน์ หรือเป็นฐานให้แก่ภาคมาร (เป็น “ฐานทัพ”ให้ฝ่ายมาร)
    “ต้นธาตุต้นธรรม” ก็จะเก็บวิชชา อำนาจสิทธิของผู้นั้นเสีย แล้วอำนาจสิทธินั้นก็จะเปลี่ยนไปเป็นของ “ผู้ที่ปฏิบัติตรง” และสร้างบารมีสูงขึ้นมาแทนที่ใหม่ต่อไป.

    #หลักสำคัญอยู่ว่าเมื่อรู้เห็นแล้วก็อย่าคะนองใจ
    ว่าตนเก่งกล้าแล้วพยากรณ์ให้แก่ผู้อื่นฟัง หรือโอ้อวดในคุณธรรมของตน อันจะเป็นทางเสื่อมอย่างยิ่ง

    เพราะจริง ๆ แล้ว ปฏิบัติเพื่อละวางอุปาทานนะ
    คำว่า“ หยุด” นี่ เขาให้ปฏิบัติเพื่อให้หยุดทำชั่ว
    ให้หยุดปรุงแต่ง ไม่ต้องติดอะไร
    เพื่อละวาง ละวางกิเลสในใจเรา ปล่อยความยึดติดอย่าให้มี

    เอา ๑๘ กายนี้ให้มันตลอดปลอดภัย ให้ถึงธรรมกาย แล้วก็ให้เป็นธรรมกายดับหยาบไปหาละเอียดให้บริสุทธิ์ใสสว่างอยู่เสมอ รับรองไม่มีโทษ

    1f449.png ดังเช่นที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ได้เคยกล่าวว่า.....

    “ ต่อแต่นี้ไป เราจะต้องเข้าให้ถึงที่สุด
    เข้าไปในกายที่สุดของเราให้ได้ เป็นกาย ๆ ออกไป
    เมื่อเป็นกาย ๆ เข้าไปแล้ว ถ้าทำเป็นแล้ว ไม่ใช่เดินท่านี้
    เดินในไส้ทั้งนั้น ในไส้เห็น ไส้จำ ไส้คิด ไส้รู้
    ในกำเนิดดวงธรรมที่ทำให้เป็นสุดหยาบสุดละเอียด
    (เถา – ชุด – ชั้น – ตอน – ภาค – พืด .....ฯลฯ)

    เดินในไส้ (หยุดในหยุด กลางของหยุดในหยุด)
    ไม่ใช่เดินทางอื่น เดินในกลางดวงปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา
    เดินไปในกลางดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา ดวงวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    นั่นเป็นทางเดินของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์

    เดินไปในไส้ ไม่ใช่เดินไปในไส้เพียงเท่านั้น
    ในกลางว่างของดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
    ของดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    ว่างในว่างเข้าไป เหตุว่างในเหตุว่าง เหตุเปล่าในเหตุเปล่า
    เหตุดับในเหตุดับ เหตุลับในเหตุลับ เหตุหายในเหตุหาย
    เหตุสูญในเหตุสูญ เหตุสิ้นเชื้อในเหตุสิ้นเชื้อ
    เหตุไม่เหลือเศษในเหตุไม่เหลือเศษ ...ฯลฯ

    หนักเข้าไปไม่ถอยหลังกลับ
    นับอสงไขยไม่ถ้วน นับชาติอายุไม่ถ้วน
    ไม่มีถอยกลับกัน เดินเข้าไปอย่างนี้นะ

    พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่ใช่เดินโลเลเหลวไหล
    ที่เรากราบ ที่เราไหว้ เรานับถือนะ ท่านวิเศษวิโสอย่างนี้
    นี่แหละเป็นผู้วิเศษแท้ ๆ นี่แหละเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกแท้ ๆ
    ถ้าเป็นผู้รู้จริง เห็นจริง ได้จริง เราจึงเอาเป็นตำรับตำราได้...”

    การเดินตามรอยบาทของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์
    เราจะต้องทำวิชชา...เข้าไปถึงขนาดนั้น
    ก็เพราะเหตุผลที่หลวงพ่อว่า ...

    “ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านก็ไปถึงที่สุดเหมือนกัน
    ถ้าใครยังไปไม่ถึงที่สุด ก็ยังไม่ฉลาดเต็มที่
    ต่อเมื่อเข้าไปถึงที่สุดกายของตัวต่อไปแล้วละก็ ฉลาดเต็มที่แน่

    ต้องไปให้ถึงที่สุดให้ได้
    เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละก็
    รักษาตัวได้เป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับบัญชา

    ที่บังคับเรา ให้เกิด ให้แก่ ให้เจ็บ และให้ตายอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
    พวกมาร บังคับให้เป็นไปตามนั้น
    ส่วนพวกพระ บังคับไม่ให้เกิด ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ และไม่ให้ตาย
    นี่พวกพระ พวกมาร บังคับกันอย่างนี้

    เวลานี้พวกพระ บังคับไม่ให้รบกัน
    แต่พวกมาร บังคับให้รบกันหนักขึ้น ”


    ------------------------------------

     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    #ภาพกิจกรรมแบ่งกลุ่มเจริญภาวนา โครงการอบรมพระกัมมัฏฐาน รุ่นที่ ๘๔ วันศุกร์ ที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
    ณ สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรี แห่งที่ ๑
    (โดยมติมหาเถรสมาคม)
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
    ระหว่าง วันที่ ๑ - ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
    #สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรีแห่งที่๑
    #ติดต่อทำบุญ #ทำบุญ 1f64f.png 1f64f.png 1f64f.png
    Line ID: @info.wat06
    https://line.me/ti/p/~@info.wat06
    260e.png 090-595-5164
    #ปฏิบัติธรรม #วันศุกร์
    #ธันวาคม #นั่งสมาธิ #วิชชาธรรมกาย
    #พระมหาเจดีย์สมเด็จฯ #สัมมาอะระหัง
    #เจ้าคณะจังหวัดราชบุรี #พระปิฎกโกศล
    #วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    #สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรีแห่งที่๑
    #หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ #เจริญภาวนา
    #สวดมนต์ #ภัตตาหาร #ทำบุญ
    #งานบุญ #เจ้าภาพ #ธรรมะ
    #ทาน #รักษาศีล
    Kz-lEg6h1R08M&_nc_ohc=BevXJBmu8BwAX_zVNFE&tn=iNdwwKaZ6rwHh03z&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
    P7aIlDCfkp9kvRGn81c_V4pLB5fwaG-kV&_nc_ohc=uxBrR1XHD_QAX8XHSoM&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    - พระเทวทัต
    1f52e.png มีความปรากฏในพระธรรมบทว่า พระพุทธองค์ได้ทรงเป็นผู้มีอภัยทานเป็นเยี่ยม ด้วยทานปรมัตถบารมี ตลอดถึงเมตตาและอุเบกขาปรมัตถบารมี อันได้อบรมมาดีแล้ว เป็นเวลาถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์
    #พระองค์ทรงได้รับการก่อกวน ล่วงเกิน เบียดเบียน จากพระเทวทัต ในระหว่างที่ทรงบำเพ็ญบารมีอยู่นับครั้งไม่ถ้วน จนมาถึงสมัยพุทธกาล ที่ทรงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ขณะเมื่อพระพุทธองค์ยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ ก็ทรงรับพระเทวทัตให้เข้ามาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา แม้จะทรงทราบเหตุแห่งพระเทวทัต #จึงทรงรับพระเทวทัตให้บวช และเมื่อบวชมาแล้วก็ก่อกรรมทำเข็ญ ล่วงเกิน เบียดเบียนพระพุทธองค์อีกมากจนได้ ทั้งๆที่ในอดีตชาตินั้นได้กระทำผิดต่อพระพุทธเจ้า ถึงต้องธรณีสูบลงสู่อเวจีมหานรกมามากแล้ว ก็ยังกระทำผิดต่อพระพุทธเจ้าอีกมากมายหลายประการ
    เช่น กลิ้งก้อนหินใส่พระพุทธเจ้า หมายจะฆ่าพระพุทธองค์ แต่ไม่สำเร็จ เพียงแต่พระบาทห้อพระโลหิต ให้คนปล่อยช้างนาฬาคีรีที่กำลังตกมันให้ฆ่าพระพุทธองค์ แต่ไม่สำเร็จ เพราะช้างนาฬาคีรีกลับคุกเข่าถวายบังคมพระองค์
    #สุดท้ายจึงขออำนาจในการปกครองสงฆ์เองแทนพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต #จึงคิดอุบายที่จะทำสังฆเภท โดยแกล้งขอวัตถุ ๕ ประการ ได้แก่
    ๑. ขอให้พระภิกษุทั้งหลาย จงเป็นผู้อยู่ป่าตลอดชีวิต
    ๒. ขอให้พระภิกษุทั้งหลาย จงเป็นผู้เที่ยวไปเพื่อบิณฑบาตตลอดชีวิต
    ๓. ขอให้พระภิกษุทั้งหลาย จงเป็นผู้ทรงผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต
    ๔. ขอให้พระภิกษุทั้งหลาย จงเป็นผู้อยู่ ณ โคนต้นไม้ตลอดชีวิต
    ๕. ขอให้พระภิกษุทั้งหลาย จงไม่ฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต
    #ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต ก็ถือโอกาสชักชวนพระภิกษุผู้บวชใหม่ ผู้ยังไม่รู้พระธรรมวินัยอันพระพุทธองค์ตรัสและบัญญัติไว้ดีแล้วดีพอ ให้เห็นว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงเคร่งครัดในพระธรรมวินัย สู้พระเทวทัตไม่ได้ ถ้าใครต้องการพ้นจากทุกข์ก็จงไปกับพระเทวทัต
    พระภิกษุผู้บวชใหม่ ยังมิได้เรียนรู้พระธรรมวินัยดีพอประมาณ ๕๐๐ รูป ก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย เลยชักชวนกันไปกับพระเทวทัต พระเทวทัตได้ยังสงฆ์ คือ หมู่ภิกษุให้แตกแยกกันแล้ว #ชื่อว่าสังฆเภท
    เมื่อได้ภิกษุผู้เป็นบริวาร ๕๐๐ ไปแล้ว สู่คยาสีสะประเทศ พระเทวทัตและบริวารก็เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยการหลอกลวงชาวบ้าน ผู้มักศรัทธาแต่ในวัตถุอันเศร้าหมอง(ลูขัปปมาณิกา)ว่า พวกตนนี้แหละ เป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย คือ ในวัตถุ ๕ ประการ ที่เคยทูลขอกับพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาตนั้น
    แล้วยังแสดงตนประหนึ่งว่าเป็นพระพุทธเจ้าเสียเองอีก คือ นั่งบนอาสนะอันจัดไว้แบบพระพุทธ โดยให้มีพระอัครสาวกซ้ายขวา และแวดล้อมด้วยหมู่พระภิกษุเพื่อแสดงธรรม
    ด้วยการเยื้องกราย คือ ด้วยพุทธลีลาอย่างพระพุทธเจ้า
    #พระพุทธองค์ได้ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระเทวทัตนั้น มิใช่ว่าจะทำตามพระองค์ในคราวนี้ แต่ว่าได้ทำตามพระองค์มาแล้วแต่อดีตชาติ และได้ทรงเล่านทีจรกากชาดกว่า
    ในอดีตชาติ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงเสวยพระชาติเป็นกาน้ำ ชื่อว่า วีรกะ ผู้เที่ยวไปทั้งในน้ำและบนบก ผู้บริโภคปลาดิบเป็นปกติ มีกาตัวหนึ่งชื่อ สวิฏฐกะ เห็นกาน้ำวีรกะบริโภคปลาดิบอยู่เป็นประจำ อยากจะบริโภคเช่นนั้นบ้าง จึงทำตาม(ดำน้ำหาปลา)อย่างกาน้ำ จึงถูกสาหร่ายพันติดตัวตาย
    #ต่อมาพระพุทธเจ้าได้ส่งให้พระอัครสาวกทั้งสอง คือ พระสารีบุตร และ พระมหาโมคคัลลานะ ไปแสดงธรรมและสั่งสอนพระภิกษุ ๕๐๐ รูป ผู้บวชใหม่นั้น ผู้ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงไปอยู่กับพระเทวทัตที่คยาสีสะประเทศ ให้เข้าใจทั่ว แล้วพาเหาะกลับมาทางอากาศ สู่พระเชตวันวิหาร
    #พระภิกษุคู่หูของพระเทวทัตชื่อ โกกาลิกะ ไม่พอใจที่พระเทวทัตไปคบหาสมาคมกับพระอัครสาวกทั้งสองแต่ก่อน เป็นเหตุให้พระอัครสาวกทั้งสอง มานำภิกษุผู้บริวารกลับไปได้ จึงตีเขาที่ยอดอกของพระเทวทัต จนกระอักเลือดและป่วยหนัก
    #ภายหลังพระเทวทัตจึงสำนึกในความชั่วของตน และสำนึกในพระคุณของพระพุทธเจ้า ได้จึงขอให้ลูกศิษย์ยกตนขึ้นใส่เตียงน้อย และให้พาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า โดยสำนึกว่า พระพุทธองค์นั้น มิได้ทรงมีความอาฆาตแม้สักเท่าปลายผมในตน(พระเทวทัต) ผู้กระทำผิดแล้วในพระองค์มาตลอด และว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงมีพระทัยเสมอกันหมดในชนทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นพระเทวทัต หรือว่านายขมังธนูผู้พระเทวทัตให้ไปประทุษร้ายพระองค์ โจรองคุลีมาล ช้างนาฬาคีรี หรือว่าพระราหุลผู้เป็นพระราชโอรส
    #แต่พระเทวทัตก็ไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะผลแห่งกรรมชั่วอันหนัก ที่กระทำผิดในพระพุทธองค์หลายประการ ชื่อว่า #กระทำอนันตริยกรรม จึงถูกธรณีสูบที่สระโบกขรณี ก่อนที่จะถึงพระวิหารเชตวันเพียง ๑ คาวุต (ประมาณ ๑๐๐ เส้น)
    #ขณะเมื่อถูกธรณีสูบเข้าสู่แผ่นดินลงจนถึงคาง แล้วก็พอมีสติ จึงตั้งจิตอธิษฐานขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และขอบูชาพระพุทธเจ้าด้วยกระดูกคางของตน แล้วได้ไปบังเกิดในอเวจีมหานรก อันมีเหล็กแหลมขนาดเท่าต้นตาล แทงทะลุตลอดซ้าย-ขวา หน้า-หลัง ล่าง-บน ตรึงอยู่ เสวยผลกรรมชั่วอันทารุณ แสบร้อน จากไฟนรกอันร้อนแรง เผาไหม้(แต่ไม่ตาย) อยู่ชั่วกาลนาน
    #แม้ว่าพระเทวทัตจะได้กระทำผิดในพระพุทธเจ้ามาตลอด พระพุทธองค์ก็มิได้ทรงถือเป็นข้อโกรธพยาบาท แม้แต่สักเท่าปลายแห่งเส้นผม ทรงมีพระทัยสม่ำเสมอ เปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรม และอภัยทานอันเยี่ยม ไม่ยินดียินร้ายแม้พระเทวทัตถึงซึ่งความวิบัติฉิบหาย เพราะผลแห่งกรรมชั่วของตน
    __________________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    ___________________
    ที่มา
    บางตอนจากหนังสือ
    บุญ-ทานกุศล
    สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    ____________________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
    3GrkSi6CqkS0FFe7SQ89lnvoIOgrsg9NlN&_nc_ohc=AgMUHJ_o9z0AX_Xlldr&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-3.jpg
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ถาม :: กำหนดบริกรรมนิมิตไม่ได้ จะบริกรรมภาวนาอย่างเดียวจะเกิดผลหรือไม่ ?
    ตอบ :: ภาวนาอย่างเดียวก็ได้ แต่ว่า ถึงอย่างไร "ใจ" ต้องมีที่ตั้ง
    เพราะใจเรานั้น เห็นด้วยใจ เห็นที่ไหน ใจก็อยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้น ต้องให้เห็นอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ใจจึงจะอยู่ที่นั่น
    #นึกให้เห็นเป็นอุบายเบื้องต้น ใจประกอบด้วยความเห็นด้วยใจ ความจำ ความคิด ความรู้ มารวมกันเป็นจุดเดียวกันตรงเห็นนั้น
    เพราะฉะนั้น ความจำเป็นในเบื้องต้นที่นึกให้เห็น จึงต้องทำแต่อุบายวิธีที่เราจะให้เห็น ตรงนั้นก็ต้องปล้ำกันหลายเพลง เช่นว่า นึกดวงไม่เห็น อาจจะนึกองค์พระก็ได้ #นึกง่ายๆคือ #นึกว่าในท้องมีลูกแก้วลูกหนึ่ง ประมาณเอา คือใจ จะค่อยปรับตัวจนหยุดนิ่ง นี่เป็นอุบายอย่างหนึ่ง ซึ่งอาตมาใช้อุบายหลายอย่างเช่นกัน กว่าจะได้เห็น
    แม้กระทั่งดวงไฟตรงไหน ที่ไหน ที่เห็นกลมๆ ก็นึกดวงให้สว่างอยู่ข้างในท้อง ซึ่งใช้ได้เช่นกัน ถ้านึกอย่างนั้นไม่ได้ก็ให้ท่อง "สัมมาอะระหังๆๆ" ไป ตรงกลางจุดศูนย์กลาง นึกให้เห็นจุดเล็กใสนิ่งๆไว้ พอนึกเห็นตามสบาย #อย่าอยากเห็นจนเกินไป จนไม่ได้เห็น เพราะเพ่งแรงเกินไป จิตที่จะเห็นต้องพอดีๆ เหมือนกับที่ท่านทั้งหลายลองเอาปิงปองวางอยู่ในน้ำ จะกดปิงปองให้จมในน้ำ ได้โดยวิธีไหน อุปมาอย่างนั้นฉันใด การเลี้ยงใจให้หยุดให้นิ่ง และจะได้เห็นเอง ก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน
    แต่ถ้าจะนึกให้เห็น พอไม่เห็นก็อึดอัด โมโห หรือหงุดหงิด อย่างนี้ไม่มีทางเห็น ทำให้เป็นธรรมดา เห็นก็ช่าง ไม่เห็นก็ช่าง
    ความจะเห็น ต้องประกอบด้วยใจสบาย ละวางให้หมด เรื่องในอดีต ปัจจุบัน อนาคต แม้ตัวเราก็ต้องละให้หมด วางใจนิ่งๆ พอดีๆ ใจสบายๆ ก็จะเห็นได้ง่าย
    อีกวิธีหนึ่ง ก่อนนอนจะหลับให้ท่อง "สัมมาอะระหังๆๆ" นึกเบาๆ ท่องไป พอใจจะหลับ สภาพของใจจะตกศูนย์ ความรู้สึกภายนอกจะหมดไป จะเหลืออยู่แต่ข้างใน พอจิตตกศูนย์ ดวงธรรมดวงใหม่จะลอยขึ้นมาที่ศูนย์กลางกาย ใสสว่างอยู่ตรงนั้นก่อนหลับ แล้วก็เผลอสติหลับไป เห็นตรงนั้นจับให้ดี พอเห็นดวงก็เข้ากลางของกลาง หยุดในหยุดนิ่งก็จะสว่าง นี่ จะเห็นของจริงก็จะไม่หลับ จะรู้เลยว่า เมื่อวิตก วิจาร คือ เห็นดวงสว่างระดับ "อุคคหนิมิต" หรือ "ปฏิภาคนิมิต" แล้วนั้น ความง่วงเหงาซึมเซาจะหมดไป กิเลสนิวรณ์หมดไปในขณะนั้น ช่วงจะหลับสามารถจะเห็นได้ง่าย
    ช่วงจะตื่น ถ้าเคยตื่น ๖ โมงเช้า ลองตื่นตี ๕ ครึ่ง พอตื่นแล้ว ไม่ตื่นเลย คือไม่ลุกขึ้น ตายังหลับอยู่ แต่ใจเราตื่น ดูไปที่ศูนย์กลางกายจะเห็นดวง ทำไมจึงเห็น? เพราะใจคนเพิ่งตื่นใหม่ๆ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายลอยเด่น ยังเห็นได้อยู่ พอเห็นแล้วเราเอาอารมณ์นั้นมาสู่ใจเรา ทำบ่อยๆก็จะเป็น เมื่อถึงเวลาก็เป็นเอง บางทีอาจจะเห็นธรรมกายใหญ่มาก ขณะเดิน นั่ง ปกติธรรมดา
    อารมณ์สบาย ใจเป็นบุญเป็นกุศล ใจก็สบาย พอใจสบายก็จะเห็น ใจสบายด้วยบุญกุศล แตกต่างกับสบายด้วยกามคุณ คือ ได้นั่นได้นี่ตามที่เราอยากได้ อันนั้นไม่สบายอย่างที่เราสบายอย่างนี้ การสบายด้วยบุญคือสบายเฉยๆ และลองกำหนดเห็นศูนย์กลาง ก็จะเห็นเป็นดวงใสได้โดยง่าย ต้องทำบ่อยๆเนืองๆ แม้อาตมาเองถ้าไม่ทำบ่อยๆเนืองๆ ก็จะจาง ต้องทำบ่อยๆจึงดี
    ________________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _________________
    ที่มา
    ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
    __________________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
    qW_gDcW29QjpT_qfLqJ1Xe4nzbav-AjWq&_nc_ohc=Koz6n-xjk5MAX_P-fDQ&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-4.jpg
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    - บรรดาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูง เมื่อท่านเจริญอานาปานสติ ใจหยุดลมหยุดที่ศูนย์กลางกาย ก็เห็นเป็นดวงใสเหมือนกันหมด.
    1f48e.png อาการของคนจะหลับ กับอาการของคนมีสมาธิ คล้ายกันมาก ต่างกันอย่างเดียว อาการของคนจะหลับนั้นสติสัมปชัญญะมันลดลงๆๆหายไปเลย แต่คนมีสมาธิสติสัมปชัญญะอยู่คู่กับใจที่ใสปลั่งอยู่เท่านั้นเอง
    ที่นี่ ในอาการ ๒ อย่างไปร่วมกันอยู่นั่นแหละ ถ้ากำลังจะเผลอสติ ดวงธรรมดวงเดิมจะตกศูนย์ไป แล้วดวงใหม่ลอยเด่นขึ้นมาตรงศูนย์กลางกาย #ดวงพุทโธ"นะ ท่านเรียกว่า"ดวงพุทโธ" ได้เคยอ่านประวัติท่าน ตอนที่ท่านไปอยู่ป่าเขา ชาวเขาถามท่าน(หลวงปู่มั่น)ว่า ตุ๊เจ้าเดินหาอันหยัง ? เพราะตุเจ้าเดินจงกรมอยู่เรื่อยๆ ท่านตอบว่า"#หาดวงพุทโธ"
    ความจริงท่านก็เดินจงกรม ใจท่านหยุดท่านก็รู้ พิจารณาไปข้างใน ที่นี้ พวกชาวเขาก็ถามท่านว่า แล้วก็อย่างพวกเขานี่ เขาจะหาดวงพุทโธได้ไหม ท่านก็บอกว่า"ได้ มาสิ" แล้วท่านก็แนะนำกัมมัฏฐานให้ แต่จะได้เท่าไหร่ ได้ผลเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง นี้เป็นประวัติของท่าน มีอยู่ในหนังสือ ท่านเรียกดวงธรรม ณ ภายในนั้นว่า "ดวงพุทโธ"
    เพราะฉะนั้น บรรดาระดับอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูง เมื่อท่านเจริญอานาปานสติ ใจหยุดลมหยุดที่ศูนย์กลางกาย ก็เห็นเป็นดวงใสเหมือนกันหมดไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นท่านจะสอนลูกศิษย์ลูกหาต่อไปว่า ให้เอามาพิจารณา ณ ภายใน อย่าให้อยู่ข้างนอก เหมือนกันหมด ท่านให้เอานิมิตมาพิจารณาข้างในทั้งนั้นนั่นแหละ แล้วผู้ปฏิบัติก็จะรู้ทางสายกลางไปเอง แต่สำหรับพระอริยเจ้าท่านไม่เอามาพูดมาก
    ก็ขอเจริญพรไว้เพียงเท่านี้ว่า ไม่ได้แตกต่างกันหรอก เหมือนกันแหละ ทำไปเถอะ แล้วก็จะไปที่เดียวกันนั้นแหละ ไม่ไปไหนหรอก เพราะทุกคนก็มุ่งนิพพาน ซึ่งในทางปฏิบัติจักต้องผ่านทางสายเอก และทางสายกลาง ตรงกลางของกลางธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้คือ"ใจ" ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของแต่ละกาย จากสุดหยาบไปจนสุดละเอียดทั้งสิ้น ไปไหนไม่รอด เพราะถึงจุดหนึ่งก็ไปทางเดียวกันนั่นแหละ
    แต่ทีนี้ลูกศิษย์ลูกหาบางท่านนี่แหละ ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียด ตรงที่ว่านิมิต(ลวง)ไม่ให้ถือ และยิ่งเมื่อเห็นอะไรเป็นนิมิตไปหมด ก็เลยปฏิเสธหมด เมื่อปฏิเสธหมดก็ไม่มีฐาน ปฏิเสธนิมิตจิตก็ไม่มีฐานที่ตั้ง เหมือนยิงจรวด ไม่มีฐานที่มั่นคงจะไปได้สักเท่าไร
    #พระพุทธเจ้าได้ตรัส อยู่ในฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย
    ว่า....
    "เมื่อภิกษุไม่เป็นผู้โดดเดี่ยว ยินดียิ่งในความสงัดเงียบแล้ว จักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตวิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
    เมื่อไม่ถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตวิปัสสนาจิตแล้ว จะยังสัมมาทิฏฐิ(คือความเห็นชอบ)แห่งวิปัสสนา ให้บริบูรณ์ได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
    เมื่อไม่ยังสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์แล้ว จะยังสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์ได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
    เมื่อไม่ยังสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์แล้ว จักละสังโยชน์ทั้งหลาย(คือหมดกิเลสโดยสิ้นเชิง)ได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้
    เมื่อไม่ละสังโยชน์ทั้งหลายแล้ว จักทำนิพพานให้แจ้งนั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้เลย"
    ( พระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๒๒, อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต, ข้อ ๓๓๙, หน้า ๔๗๒-๔๗๓. [ คำแปลจากหนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ ของกองตำราคณะธรรมทานไชยา พ.ศ. ๒๕๑๔, หน้า ๒๘๕-๒๘๖.])
    ที่นี้ อาจจะสงสัยนิดหนึ่งตรงที่ว่า ตรงนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ทำนิพพานให้แจ้งจะต้องละสังโยชน์ได้ทั้งหมด นั่นหมายถึงคุณธรรมพระอรหันต์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมบอกว่าคนนั่งภาวนาถึงธรรมกายถึงนิพพาน เห็นนิพพานได้ ??
    #ตรงนี้เป็นวิกขัมภนวิมุตติ หลุดพ้นด้วยการข่มกิเลสชั่วคราว และคำว่า"#รู้แจ้ง"นั้น ถ้ายังไม่เป็นพระอริยเจ้าก็แจ้งน้อยกว่าพระอริยเจ้า แต่ก็ถึงประตู รู้เส้นทางจะไปแล้ว ได้สัมผัสทั้งสังขารและวิสังขารแล้ว ว่ามีลักษณะหรือสามัญญลักษณะแตกต่างกันอย่างไร ก็เพียรปฏิบัติไป เมื่อบารมีเต็มก็หลุดพ้นโดยสิ้นเชิงได้ เรื่องก็เป็นอย่างนี้
    การเจริญภาวนาได้ถึงธรรมกายและอายตนะนิพพาน แม้จะยังไม่หมดกิเลสโดยสิ้นเชิง ก็หลุดพ้นได้ชั่วคราว ด้วยวิกขัมภนวิมุตติ การหลุดพ้นมีตั้งหลายระดับ ระดับด้วยการข่มกิเลส ทำได้ มีได้
    แต่ว่าอวิชชาจะหมดหรือไม่หมดโดยสิ้นเชิง อวิชาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะจิตไม่สังขาร และเมื่อปฏิบัติภาวนาดับหยาบไปหาละเอียดถูกเครื่องรู้เห็น คือทิพพจักษุ ทิพพโสตของกายทิพย์ ละเอียดยิ่งขึ้นไปจนถึงญาณทัศนะของธรรมกาย ซึ่งเชื่อมต่อถึงกัน พอให้รู้ พอให้เห็น พอให้ได้สัมผัส พอเข้าใจสภาวะพระนิพพานและอายตนะนิพพานได้ ด้วยอาการอย่างนี้
    แต่คำว่า"#รู้แจ้งหรือทำนิพพานให้แจ้ง"ได้จริงๆนั้น หมายเอาคุณธรรมพระอรหันต์ ท่านรู้แจ้ง ไม่มีอะไรปิดบังท่านในเรื่องของพระนิพพาน เรื่องเป็นอย่างนี้.
    _______________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _______________
    ที่มา
    "ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ"
    _______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    #ภาพโครงการอบรมพระกัมมัฏฐานนิสิต (ภาคเช้า) เจริญพุทธมนต์ เจริญภาวนา และบิณฑบาต วันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ณ สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรี แห่งที่ ๑ (โดยมติมหาเถรสมาคม)
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
    ระหว่างวันที่ ๑๔ - ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
    ********************************************
    วันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
    https://line.me/ti/p/~@info.wat06
    260e.png 090-595-5164
    พระของขวัญ มอบให้ผู้ทำบุญภัตตาหาร มี ๓ รายการ
    รายการที่ ๑ พระผง พระพุทธชัยมงคลกับพระพุทธจักรพรรดิชัยมงคล
    ( ๒ องค์ ) มอบให้ผู้ทำบุญ ๕๐๐ บาท
    รายการที่ ๒ เหรียญรูปไข่รูปเหมือนหลวงป๋า เนื้อวัชรธาตุ ตอกโค็ตตะกั่ว
    มอบให้ผู้ทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท
    รายการที่ ๓ เหรียญกลมรูปเหมือนหลวงป๋า เนื้อตะกั่ว ตอกโค๊ตตะกั่ว
    มอบให้ผู้ทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท
    #ธันวาคม #นั่งสมาธิ #วิชชาธรรมกาย
    #พระมหาเจดีย์สมเด็จฯ #สัมมาอะระหัง
    #เจ้าคณะจังหวัดราชบุรี #พระปิฎกโกศล
    #วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    #สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรีแห่งที่๑
    #หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ #เจริญภาวนา
    #สวดมนต์ #ภัตตาหาร #ทำบุญ
    #ทาน #วิทยาลัยสงฆ์ราชบุรี
    #มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    #ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ราชบุรี
    #นิสิตมจร. #พระกัมมัฏฐาน
    8EZT8rX2EBfQlFAtvBBjJguhveLJJXpQ5g&_nc_ohc=Yp2q4wK7plAAX_Jr9tF&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-6.jpg

    F33aO5OjDVvkEMF_NcODdORqobfJhBfyBc&_nc_ohc=OQE8b-JHx1QAX91eArl&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-7.jpg

    8OzE1fX0yvHHL-Ud40PE_OvH8cnNVNwuQ4&_nc_ohc=ALHlPCkpArkAX8paxYO&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-7.jpg

    gorLsy5SOFq4Nn5NdwHMgoqNUBqqZtv7KI&_nc_ohc=OrRKJvqaf7gAX9QqZBT&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-3.jpg
    FYjcr_EVNcUnDPVbbIrfpnDEI6vbknpMqN&_nc_ohc=tyl7qcc2xFgAX9TDfQQ&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-4.jpg
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    cX6aQ5YvHOD4k3p6HhIQWZFC_UlC-q9Cx&_nc_ohc=OBRuFFLlO-YAX--nffV&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    iJM2WW-9oj0K1pDew10_07-Zn9HBrnOnF&_nc_ohc=lTeZjKqL3cEAX9llBSi&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    - #มงคลจักรวาล #จักรวาลเดียวที่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น.


    Etd_FDwrmbO5bNKLgEN3v1UshbE3Rc5sH&_nc_ohc=Wa1BL0q50dsAX_9PrnE&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-4.jpg




    ความเป็นอยู่หรือสภาวะของสัตว์โลกทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภพภูมิต่างๆ และในจักรวาลนี้ซึ่งนับเป็นมงคลจักรวาล ในทั้งแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาลไม่มีประมาณนั้น จักรวาลนี้ ที่โลกมนุษย์เราตั้งอยู่ในปัจจุบันนี้ ชื่อว่า"มงคลจักรวาล" เป็นจักรวาลเดียวที่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เป็นระยะๆ แล้วก็ทิ้งช่วงห่างหายไปเป็นระยะเวลายาวนาน กว่าจะมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาสักองค์หนึ่ง เป็นเรื่องยาก
    ได้มีปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ที่พระมหาเถระแต่ปางก่อนก็ได้รจนาหรือแปลมา อย่างเช่นคัมภีร์พระปฐมโพธิกถา นี่ก็ได้แสดงไว้ แม้เป็นเนื้อความส่วนหนึ่งก็น่าสนใจ ว่า"สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งสัตว์โลกมีได้ด้วยยาก" นี่ท่านพึงเข้าใจความหมาย "บัดนี้ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก" โลกมนุษย์นี่ "ความเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลกมีเป็น ๒" คือ...
    ๑.ด้วยรูปกายอุบัติ
    ๒.ด้วยธรรมกายอุบัติ
    #ด้วยรูปกายอุบัติ นั้นคือ "โอกกันติกสมัย" เมื่อหยั่งลงสู่พระครรภ์มารดา และ"นิกขมนสมัย" เมื่อประสูติจากพระครรภ์มารดา
    #ส่วนการเสด็จอุบัติด้วยธรรมกายอุบัติ นั้นคือ เมื่อ"อภิสัมโพธิสมัย" ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า
    นี้ มีอยู่ในคัมภีร์ปฐมสมโภชน์ หรือปฐมสมโพธิกถา ซึ่งพระมหาเถระแต่ปางก่อนก็แปลมา แล้วก็รจนาเอาไว้ เพียงแค่นี้ก็พึงทราบว่า ในจักรวาลเป็นที่สถิตอยู่ของสัตว์โลกทั้งหลาย มีกามภพ รูปภพ อรูปภพ นั้น ก็มีภพภูมิของสัตว์โลกต่างๆตั้งอยู่ ตั้งอยู่อย่างไรเดี๋ยวเราไปดูกัน
    สำหรับผู้ปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปฏิบัติได้เข้าถึงรู้เห็นและเป็นธรรมกาย ยิ่งถึงธรรมกายที่บริสุทธิ์ผ่องใสที่ละเอียดไปมากเพียงไร จนถึงสามารถชำระสะสางธาตุธรรม ชำระกิเลสเหตุแห่งทุกข์ ถึงละอุปทานในเบญจขันธ์ของกายในภพสาม ปล่อยความยินดีในฌานสมาบัติได้ ธรรมกายที่บริสุทธิ์ก็จะปรากฏในอายตนะคือพระนิพพาน เป็นที่ประทับอยู่ของพระนิพพานธาตุ ของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า #ผู้ดับขันธ์ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
    เมื่อเข้าไปรู้ ไปเห็น ก็เป็นกำไรชีวิตอย่างยิ่ง ได้เข้าใจคุณธรรมของพระอริยสงฆ์พระอริยเจ้า และได้เข้าใจผลการปฏิบัติที่ให้สามารถเจริญปัญญา จากการที่ได้ทั้งเห็นและทั้งรู้สภาวะของธรรมชาติและความจริงแท้ เรียกว่า"พระอริยสัจตามความเป็นจริง" ได้อย่างชัดเจนขึ้น เป็นทางไปสู่มรรคผลนิพพาน ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ และเป็นบรมสุขอย่างถาวรตลอดไป ตามรอยบาทพระพุทธองค์
    สำหรับท่านที่มีวาสนาบารมี บำเพ็ญบุญบารมีมาเต็มส่วนในแต่ละระดับชั้น ของผู้ปรารถนาความบรรลุความเป็นพระอรหันต์สาวก อสีติมหาสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัพพัญญูพุทธเจ้า เมื่อบุญบารมีเต็ม ได้ตั้งใจศึกษาสัมมาปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน๔ ถึงธรรมกาย ถึงพระนิพพานของพระพุทธเจ้า อย่างนี้ แนวทางปฏิบัตินี้ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านปฏิบัติได้เข้าถึงรู้เห็นและเป็นธรรมกาย ถึงพระนิพพานของพระพุทธเจ้า อย่างนี้ ก็มีโอกาสศึกษาสัมมาปฏิบัติให้ถึงความพ้นทุกข์อย่างถาวรได้ ตามพระพุทธดำรัสที่ตรัสเอาไว้ถึงอานิสงส์ของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ว่า อย่างน้อย ๗ วัน อย่างมากไม่เกิน ๗ ปี เป็นอันว่ามีโอกาสบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์บุคคลได้ อย่างต่ำบรรลุคุณธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล
    นี่ ในจักรวาลของเรานี้ มีโอกาสที่จะได้ศึกษาสัมมาปฏิบัติ ตามพระสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งสัตว์โลกมีได้ด้วยยาก แล้วก็ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในยุคที่แม้เราเกิดมาไม่ทันพระองค์ท่าน ไม่แน่ อดีตชาติเคยทันก็ได้ แล้วก็มาถึงภพชาตินี้ เราก็ได้รับทราบ และได้เรียนรู้ แล้วก็ได้ทำความเข้าใจ แล้วก็ปฏิบัติ แล้วก็ได้แนะนำสั่งสอนไปตามที่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติได้ผลดี ก็แนะนำสั่งสอนต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบัน
    #มีข้อที่น่าทำความเข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง
    คือว่า ในมงคลจักรวาลนี้ เป็นเสมือนแกนกลางนะ ญาติโยมทั้งหลาย แล้วก็ยังมีจักรวาลอื่นๆ ที่ล้อมรอบอยู่โดยรอบเลย เรียกว่า"#แสนโกฏิจักรวาล" แสนโกฏิจักรวาลนี่นับจากศูนย์กลางของมงคลจักรวาลนี้ โดยรัศมีออกไปนี่แสนโกฏิจักรวาล นี่ส่วนหนึ่ง แล้วเลยไปเรียกว่า"#อนันตจักรวาล"
    สองส่วนนี้มีความแตกต่างกัน คือ มีความแตกต่างกันในข้อที่ว่า เมื่อเกิดกัปวินาศ ด้วยธาตุน้ำ ไฟ ลม ในยุคที่เรียกว่า"#สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป" โลกถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นกามภพ ขึ้นไปถึงรูปภพน่ะ ถึงพรหม แต่พรหมชั้นไหนประเดี๋ยวคอยดูกัน ถูกทำลายด้วยกันทั้งแสนโกฏิจักรวาล แต่อาจจะไม่เลยไปถึงอนันตจักรวาล คือนับไม่ถ้วนแล้ว แต่ในเขตแสนโกฏิจักรวาลโดนไปด้วยกันแน่
    แล้วในแสนโกฏิจักรวาลนี้ มีสภาวะความเป็นไปของสัตว์โลกที่คล้ายๆกัน คือ มีครบทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ เหมือนกัน มีมนุษย์ มีเทวดา มีพรหม มีอรูปพรหม เหมือนกัน แต่..พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติเฉพาะที่มงคลจักรวาลนี้ เพราะฉะนั้น พวกเราทั้งหลายนี่ ก็นับว่ามีบุญบารมีพอสมควร ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาในมงคลจักรวาลนี้ เพราะฉะนั้น อันนี้เรื่องสำคัญ
    อันนี้ก็ ขอเล่าสักนิดนึง
    ในสังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป ในกัปนั่นน่ะ โลกจะถูกทำลายด้วยธรรมชาติ ธาตุน้ำ ดิน ไฟ ลม ซึ่งเกิดแต่กิเลส ตัณหา อุปทาน ของสัตว์โลกนั้นเองเป็นเหตุเป็นปัจจัย
    #ก่อนอื่นขอให้เข้าใจอายุขัย
    อายุขัยของสัตว์โลก เอาว่ามนุษย์ มนุษย์โลกเรานี้ เอาแค่นี้ก่อน ให้ทำความเข้าใจว่า เมื่อโลกเกิดใหม่ๆ มนุษย์ที่เกิดมามีอายุถึงอสงไขยปี นี้เพราะว่า พรหมที่ยังไม่ถูกทำลายด้วยกัปวินาศ นานๆไปก็มองดูโลกเกิดขึ้น เอ้ะ!! ดูมันสวยงาม มีง้วนดิน พรหมบางพรหมก็เกิดตัณหาอ่อนๆ พรหมที่เหลืออยู่นะ ประเดี๋ยวดูว่าพรหมที่ถูกกัปวินาศเป็นยังไง แต่พรหมที่เหลืออยู่เนี่ยมองไปเห็นดินอ่อนๆ กิเลสตัณหามันเริ่มเกิดขึ้นมา ไปดูหน่อยนึง พอไปดู ไปเห็นง้วนดิน เอ้ะ!! มันน่ากินนะ ลองกินหน่อย เมื่อกินง้วนดินเข้า ก็เกิดความ คือ ก็จะต้องมีการย่อย มีการสลาย ตัวก็เจริญขึ้น มีน้ำหนัก เหาะไม่ได้แล้ว เหาะไม่ได้ นี่..เป็นต้นกำเนิดของคนนะ มีอย่างนี้ก่อน นี่เบื้องต้นนะที่โลกถูกกัปวินาศไปแล้ว แล้วเมื่อมีฝนตกลงมาเรื่อยๆ ก็พลอยให้น้ำฝนนั้นตกตะกอน มีพื้นแผ่นดินสืบต่อมา เป็นเวลานานนะ สืบต่อมา จนกลายเป็นมีโลกมนุษย์นี่
    ทีนี้ อันนี้ได้โปรดเข้าใจสักนิดนึง เวลาเจริญภาวนา เวลาตรวจภพ ตรวจจักรวาล จะได้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะบอกกันอย่างนี้
    #สำหรับโลกมนุษย์นี่_มีอยู่ที่ไหน ?
    ญาติโยมทั้งหลายพึงนึกเสียก่อนว่า จักรวาลหนึ่งๆนั่น โดยเฉพาะมงคลจักรวาลนี้ มีเขาพระสุเมรุ หรือเรียกว่าเขาพระสุ-เม-รุ ตั้งอยู่เป็นแกนกลาง ทั้งหมดนี้เป็นของทิพย์นะ ภพภูมิเนี่ยเป็นของทิพย์ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านะ มีเขาสุเนรุหรือเขาพระสุเมรุ มีความกว้าง ความลึก เรียกว่ากว้าง-ยาว-ลึก ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ ตั้งอยู่เป็นแกนกลางจักรวาล แล้วก็จมลงไปในมหาสมุทรสีทันดรที่ล้อมรอบอยู่ครึ่งหนึ่ง นะ เหลือ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ท่านมองวาดภาพให้ดี เดี๋ยวจะได้ถึงเวลาเจริญภาวนาจะได้ง่ายหน่อย
    ทีนี้ แม่น้ำสีทันดรเนี่ย ก็กินเขตไปแล้ว ห่างออกไปครึ่งหนึ่ง คือ ๘๔,๐๐๐ โยชน์นั่น ก็จะเป็นภูเขาล้อมรอบอีกชั้นหนึ่งชื่อภูเขายุคันธร แล้วก็มีน้ำล้อมรอบลดหลั่นลงไป แล้วก็มีเทือกเขานะ เทือกเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุ ล้อมเป็นชั้นๆไป
    ชั้นแรกก็ภูเขายุคันธร ห่างออกจากภูเขาพระสุเมรุ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ แล้วก็จมลงไปในมหาสมุทรสีทันดรอีกครึ่งหนึ่ง แล้วต่อไป ก็มีมหาสมุทรสีทันดรนี่ ก็ล้อมรอบอีกชั้นหนึ่งไปอีกครึ่งหนึ่ง ก็จะมีภูเขาต่อๆไป มี อิสินธร กรวิก สุทัศนะ เนมินธร วิตกะ และ อัสกัณ ไปเจ็ดชั้นนะ
    ภูเขาเป็นเทือกเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุในจักรวาล ลดหลั่นกันไปครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่ง และในแต่ละเทือกเขานั้น จมลงไปในแม่น้ำสีทันดรอีกครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่ง จะเห็นว่าแม้แต่ระดับน้ำในมหาสมุทรก็ลดลงนะ ในแต่ส่วนของเทือกเขา
    ไปจนถึงภูเขาอัสกัณสุดท้าย ใกล้กับขอบจักรวาล ตรงนี้เป็นผืนแผ่นดิน เป็นผืนแผ่นดินซึ่งมีอยู่รอบ โดยรอบ ทางด้านทิศใต้ชื่อว่า"#ชมพูทวีป" คือ โลกมนุษย์ของเรานี่ ทั้งใบเลย
    แล้วทางด้านทิศตะวันออก นี่"#ปุพพวิเทหทวีป"
    ทางด้านทิศเหนือ เป็น"#อุตรกุรุทวีป"
    ทางด้านทิศตะวันตก ก็เป็น"#อปรโคยานทวีป"
    ทวีปทั้ง ๔ ก็มีน้ำล้อมรอบ มีทะเลเหมือนกัน ทะเลน้ำเค็มนี่แหละ มีเหมือนกัน
    #อายุขัยของมนุษย์ที่อยู่ในทวีปต่างๆ
    นี้อย่างในชมพูทวีปของเรานี่ อายุขัยมันเริ่มตั้งแต่ว่า เมื่อกี้ กล่าวถึงอายุขัยสูงสุด ที่เริ่มมีมนุษย์เนี่ย หนึ่งอสงไขย แต่ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน ของมนุษย์เนี่ย กิเลสเหล่านี้ทำให้มีการรบราฆ่าฟันกัน เบียดเบียนกันต่อๆมาเนี่ย ด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทานนั้น แล้วก็เกิดกรรมชั่ว กระทำปาณาติบาตต่างๆ แล้วก็ผิดศีลต่างๆ มันทำให้อายุขัยของมนุษย์นี่ลดลง ...๑๐๐ ปี ลดลง ๑ ปีๆๆๆๆๆ จนมายุคสมัยกาลของพระพุทธเจ้าของเราเสด็จอุบัติขึ้น เป็นกาลหรือยุคสมัยที่มนุษย์มีอายุ ๑๐๐ ปี อายุขัยโดยเฉลี่ย
    แต่..พระพุทธเจ้าของเราทรงพระชนม์ชีพอยู่เพียง ๘๐ ปี เพราะว่าทรงใช้สังขารร่างกายมาก ตรากตรำ ตั้งแต่บำเพ็ญสมณธรรมทุกรกิริยา ตามแบบที่ไปหลงผิดน่ะ ตามแบบลัทธิของผู้ที่บำเพ็ญสมณธรรมในยุคนั้น ซึ่งมันไม่ใช่ทางสายกลาง ก็พากันทำแบบสุดโต่ง เรียกว่า"ย่างกิเลส" ถึงกับทรมานร่างกายด้วยประการต่างๆ
    พระพุทธเจ้าของเรานี่ เกือบจะสิ้นชีวิตเลยทีเดียวนะ ถ้าไม่ใช่ด้วยอำนาจบารมีของพระองค์ ที่บำเพ็ญมาตั้งมากมาย นี่ เสร็จแน่ ไม่อยู่หรอก เพราะว่าทรมานถึงขนาดว่า ตบไปตรงท้องนี่สะเทือนไปถึงหลัง เพราะลำไส้ไม่มีอาหาร จนลำไส้ติดกันน่ะ นี้ จึงเป็นโรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้ ลงพระโลหิตตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เพราะฉะนั้น สังขารร่างกายนี่กรอบเลย แล้วพระองค์ทรงอยู่ได้ด้วยธรรมปิติ ธรรมสุข อยู่สุขโดยธรรม ไม่อย่างนั้นทนไม่ได้หรอก แต่ก็อยู่ได้เพียง ๘๐ ปีนะ
    ทีนี้...
    ลดลงไปๆๆๆนี่ อายุขัยของมนุษย์มันจะลดลงไปเรื่อยๆ ขณะนี้ก็เหลืออายุขัยเฉลี่ย ๗๕ ปีนะ ๒๕๐๐ ปีผ่านมานี่ มันลดไป ๒๕ ปี ปัจจุบันเหลือ ๗๕ โดยเฉลี่ย แล้วก็ต่อๆไปมันจะลดลงไปจนถึงมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี
    เกิด..เค้าเรียกว่า"#มิคสัญญี" รบราฆ่าฟันกัน เดี๋ยวนี้ก็เริ่มแล้วนะ นี่ เดี๋ยวนี้เริ่มแล้ว มนุษย์มันหลงผิดน่ะ รบราฆ่าฟันกันด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน โลภจัด ตัณหาราคะจัด เห็นแก่ตัวจัด โกรธ พยาบาท อาฆาต จองเวร และ หลง ไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามที่เป็นจริง อย่างปัจจุบันนี่มันเริ่มเข้าเขตแล้ว แล้วมันจะรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ ไปจนถึงอายุมนุษย์น่ะเหลือ ๑๐ ปี
    เมื่อรู้สึกตัว บรรดาที่พอจะมีคุณธรรมบ้าง ก็จะหลบลี้หนีภัยไปอยู่ตามป่าตามเขา แล้วบำเพ็ญคุณความดี แล้วอายุขัยของมนุษย์จึงค่อยๆเริ่มเพิ่มมากขึ้น ไปจนถึงอสงไขยปี นี่เรียกว่า อายุขัยของมนุษย์ตลอดกัปป์นี่ มันเป็นอย่างนี้ ในชมพูทวีป
    เพราะฉะนั้น อายุขัยของมนุษย์ในชมพูทวีปนี่ สูงสุด ๑ อสงไขย ต่ำสุด ๑๐ ปี ขึ้นอยู่ที่ในยุคในสมัยใด ที่ผู้คนมีกิเลส ตัณหา อุปทาน เพียงไร และกระทำบุญกุศลคุณความดีเพียงไร อายุขัยก็จะเป็นไปตามระดับนั้น
    แต่ในส่วนของ"อปรโคยานทวีป" อยู่ทางด้านทิศตะวันตก เป็นผู้มีศีลมีธรรม อายุเฉลี่ย ๕๐๐ ปีนะ เสมอกันหมด ไม่มีสูงไม่มีต่ำ โดยประมาณ ๕๐๐ ปี โดยเฉลี่ย
    ส่วน"อุตรกุรุทวีป" อายุเฉลี่ยนั่น ๑,๐๐๐ ปีนะ มนุษย์ที่อยู่ที่โน้นอายุเฉลี่ย ๑,๐๐๐ ปี เป็นผู้มีศีลมีธรรม
    ส่วน"ปุพพวิเทหทวีป" นี่อายุเฉลี่ยก็ตก ๗๐๐ ปี เพราะว่าเขาเป็นคนมีศีลมีธรรม รูปร่างลักษณะเขาก็ มันก็มีเป็นรูปคนนั่นแหละ แต่ว่าลักษณะรูปร่างหน้าตาก็จะแปลกออกไปจากมนุษย์โลกของเรา
    นี่..ให้ทราบว่า
    ในจักรวาลหนึ่งๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจักรวาลของเรานี้ มีมนุษย์อยู่ในโลก ๔ ทิศ รอบเขาพระสุเมรุนะ อันนี้พึงเข้าใจตรงนี้ด้วย มนุษย์น่ะ
    แล้วสูงภูมิ ภูมิจิตของสัตว์โลกที่สูงกว่ามนุษย์ได้กระทำคุณความดี มนุษย์นี่ด้วยมนุษยธรรมนี่ ก็เกิดขึ้นโดยคุณธรรมกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต หรือกล่าวย่อๆว่ามีศีลมีธรรม มีศีล มีทานกุศล มีศีลกุศล มีภาวนากุศลบ้าง แต่ถ้ามีความละอายเกรงกลัวต่อบาปอกุศล ไม่ค่อยกล้าทำบาปอกุศลมาก แล้วก็เจริญหรือบำเพ็ญคุณความดีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ทานกุศลก็เพิ่มขึ้น อย่างนี้ก็เป็นภูมิธรรมของผู้ที่จะไปเกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดา เป็นภพภูมิของเทวโลก นี่..ภพภูมิของมนุษย์
    แล้วก็ ภพภูมิของเทวโลกนี้ ก็อยู่โดยรอบเขาพระสุเมรุ จรดขอบจักรวาล แล้วบางส่วนก็อยู่ในภพภูมิเดียวกันกับมนุษย์ เรียกว่าภพซ้อนภพ พวกเทวดาน่ะ เช่นว่า เทวดาที่อยู่ตามต้นไม้ก็เรียกว่ารุกขเทวดา อยู่ตามอากาศก็เรียกว่าอากาสเทวดา เป็นต้น สูงขึ้นไปก็อยู่ตามภูเขา หรืออยู่ตามมหาสมุทร..ก็มี
    แต่ว่า ที่สูงขึ้นไปในอันดับแรกก็คือว่า #ชั้นจตุมหาราชิกา จตุมหาราชิกานี่ ก็ระดับภูเขายุคนธร สูงขึ้นไปนะ เพราะว่า มหาราชทั้ง ๔ ผู้ปกครองเทวดาและปกครองมาถึงมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วย...
    ท้าวเวสสวรรณ
    ที่อยู่ทางทิศเหนือ มีอาณาจักรอยู่ทางเหนือ
    ท้าวธตรฐ
    ก็อยู่ทางทิศตะวันออก
    ท้าววิรุฬหก
    อยู่ทางทิศเหนือ
    ท้าววิรุฬปักษ์
    อยู่ทางทิศตะวันตก
    ดังนี้ และต่างก็มีบริวารนะ ท้าวเวสสวรรณก็ บริวารเป็นยักษ์ มีทั้งมิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิ พระเจ้าพิมพิสารของเรานี่ ไม่ใช่ของเราหรอก เกิดในสมัยพระพุทธเจ้า เมื่อสิ้นชีวิตไป ด้วยเคยอดีตชาติ เคยรับใช้ท้าวเวสสวรรณ ก็อยากจะไปเกิดที่นั่น ก็ไปอยู่ที่นั่นน่ะ ชื่อว่า"ชนวสภะ ยักโข เทวปุตโต" อยู่นั่นแหละ ไปไหนก็ตามยังกะเลขาเลยล่ะขณะนี้ ด้วยความคุ้นเคย ไปอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้น นี่เทวโลก เพราะเทวโลกนี่ก็เป็นของละเอียดนะ ก็ซ้อนอยู่ในภพมนุษย์ก็มี แต่ว่าในชั้นจตุมหาราชิกานั่น นับตั้งแต่ประมาณยอดเขายุคนธร ซึ่งเป็นที่สถิตอยู่ของมหาราชทั้ง ๔ อยู่โดยรอบจรดขอบจักรวาล
    แล้วสูงขึ้นไปเป็น #ชั้นดาวดึงส์ ดาวดึงส์นี่ สูงขึ้นไปถึงระดับยอดเขาพระสุเมรุซึ่งมีขนาดกว้างยาวลึก ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ ใหญ่นะ แต่ว่ารูปร่างเหมือนตะโพน ท่านเปรียบว่าเหมือนตะโพน ตะโพนคือว่า หน้ามันแคบแล้วมันอ้วนๆอย่างนี้หน่อย แล้วลงไปในน้ำครึ่งหนึ่ง ทีนี้ ท้าวสักกะเทวราช จอมเทพในชั้นดาวดึงส์ ก็เป็นภุมมัฏฐเทวดา วิมานน่ะอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ มีบริวารอยู่มากมายอยู่ที่นั่น นี่ชั้นดาวดึงส์ นี่ในส่วนของเทวโลกนะ
    ที่สูงขึ้นไป #ชั้นยามา ยามานี่เป็นอากาสเทวดา จรดขอบจักรวาลเลย อยู่ทั่วนะ
    แล้วต่อไปก็ #ดุสิตเทวโลก อันนี้ เป็นชั้นภูมิของผู้ที่บำเพ็ญบารมีค่อนข้างจะมาก แล้วก็เตรียมรอที่จะเสด็จอุบัติในโลกแล้วบรรลุคุณธรรม เพราะฉะนั้น ภพภูมินี้จึงเป็นภพภูมิที่บริสุทธิ์มาก บริสุทธิ์มาก ก็แปลว่าไม่มีผู้หญิงน่ะ มีแต่ผู้บำเพ็ญบารมี มีเพศเหมือนไม่มีเพศ และบริวารก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่มีผู้หญิงในชั้นนี้ ไม่เกี่ยวข้องด้วยกาม
    สูงขึ้นไปก็เป็น #ชั้นนิมมานรดี และ #ปรนิมมิตวสวัตดี ก็คือชั้นสูงสุดนะ นิมมานรดีนี่ก็เนรมิตตนเป็นช้างทรงของท้าวปรนิมมิตวสวัตตี คือ"วสวัตตีมาร" แต่ก่อนที่เคยผจญพระพุทธเจ้าน่ะ เป็นของจริงนะ ไม่ใช่ของเล่นนะ บางคนก็ นักปริยัตินี่ ก็ไม่รู้ไม่เห็นน่ะ ก็เลยว่านี่เป็นการเปรียบเทียบเฉยๆ ที่แท้ตัวเองพูดเพราะความไม่รู้คืออวิชชา ไม่มีวิชชา ไม่รู้ ไม่เห็น แค่สักแต่รู้ภาษา
    ทีนี้ บอกคร่าวๆ เวลาเจริญภาวนามันจะได้เร็วหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวจะไปอธิบายกันตรงนั้นจิตมันหยาบ
    แล้วก็พ้นจากชั้นเทวโลกไป
    ก็มี..พรหมโลก
    พรหมโลกนี่ ก็มีสัณฐานกลมนะ แล้วก็ละเอียดปราณีต บริสุทธิ์ สว่างไสวกว่าเทวโลก เพราะว่า ผู้ที่เจริญฌานสมาบัติแล้วยังไม่เสื่อมจากฌานใด ก็ไปเกิดในชั้นนั้นๆของพรหมโลก
    ไล่ไปตั้งแต่พรหมปาริสัชชา ปฐมฌานนะ ผู้ที่ติดอยู่ในปฐมฌาน แล้วก่อนตายยังไม่เสื่อมจากปฐมฌาน ไปเกิดเป็น"พรหมปาริสัชชา" "พรหมปุโรหิตา" แล้วก็"มหาพรหม" นี่..ชั้นปฐมฌาน
    ชั้นทุติยฌาน ก็"ปริตตาภา" "อัปปมาณาภา" แล้วก็"อาภัสรา"
    ตติยฌาน ก็"ปริตตสุภา" "อัปปมาณสุภา" "สุภกิณหา"
    ส่วนฌานที่ ๔ ก็มี"อสัญญีสัตว์" กับ"เวหับผลา" อสัญญีสัตว์นี่เจริญรูปฌานโดยไม่อาศัย ปฏิเสธสัญญาว่างั้นเถอะ อาศัยแต่รูป เพราะฉะนั้น การกำหนดบริกรรมนิมิตนี่อาศัยแต่รูป แต่ไม่อาศัยสัญญา ปฏิเสธสัญญา ทีนี้ เมื่อเจริญฌานสมาบัติถึงรูปฌานที่ ๔ ได้ พอก่อนตายยังทรงอยู่ในฌานสมาบัตินี้ ตายไป ไปเกิดเป็นอสัญญีสัตว์ ก็คือ เหมือนกะคนไปเสวยสุขนอนหลับอยู่อย่างนั้นน่ะ เมื่อหมดบุญก็กลับมาเกิดใหม่ ไม่ได้ทำคุณประโยชน์อะไรแก่ตัวเองเลย เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า "เกิดชาติใดหนใดระหว่างบำเพ็ญบารมี ขออย่าได้ไปเกิดในชั้นอสัญญีสัตว์เลย" ไม่ได้เพิ่มพูนบุญบารมีคุณความดีอะไรเลย
    อีกชั้นหนึ่ง จตุตถฌาน นั่นคือ"เวหับผลา" เวหับผลานี่มีทั้งพรหมปุถุชน มีทั้งพรหมอริยบุคคล แม้อนาคามีบุคคลที่บรรลุคุณธรรมคือจตุตถฌาน ก็อยู่ชั้นนี้เหมือนกัน ยังไม่เสื่อมจากฌาน ก็อยู่ในชั้นเวหับผลา เป็นชั้นจตุตถฌานที่ดี ดีกว่าเพื่อนนะ
    แล้วสูงกว่านั้นไปอีก ๕ ชั้น มี"อวิหา" "อตัปปา" "สุทัสสา" "สุทัสสี" และ"อกนิฏฐภพ" หรือ"อกนิฏฐพรหม" นั้นเป็นพรหมที่บริสุทธิ์ คือ เป็นผู้ที่บรรลุคุณธรรมระดับอนาคามีบุคคล แล้วเจริญฌานสมาบัติโดยปัญจกนัย รูปฌานที่ ๔ แต่เพิ่มอีก ๑ เป็นสมาบัติที่ ๕ เรียกว่า"ปัญจกนัย"
    บรรลุคุณธรรมสมาบัติที่ ๕ เนี่ย มันนิ่งมากๆ ผู้ใดบรรลุแล้ว ก็จะสามารถทรงฌานนั้นอยู่ได้ตลอด เมื่อแตกกายทำลายขันธ์คือตาย ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใดนะ อาจจะอยู่ในเทวโลกก็มีนะ แม้ในพรหมโลกก็มี เป็นไปได้ แล้วก็เลื่อนภูมิของตนไป เมื่อแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ก็ไปเกิดในภพภูมินั้น ตามลำดับแห่งอินทรีย์
    ผู้ที่มี "สัทธินทรีย์"แก่กล้า ก็ไปเกิดชั้นที่ ๑ คือ ชั้นอวิหา
    แล้วก็ "วิริยินทรีย์"แก่กล้า ก็ไปเกิดในชั้นอตัปปา
    แล้วก็ "สตินทรีย์"แก่กล้า ไปเกิดในชั้นสุทัสสา
    แล้วก็ "สมาธินทรีย์"แก่กล้า คือสมาธิแก่กล้า ไปเกิดในชั้นสุทัสสี
    แล้วก็ "ทั้งปัญญาครอบงำทั้งหมดด้วยนั้น" ก็เกิดในชั้นอกนิฏฐภพ สูงกว่าเพื่อน
    นี่คือ"พรหม" นะ พรหมที่สูง
    ทีนี้...
    #เวลาเกิดกัปวินาศ ให้เข้าใจนิดหน่อยนะ
    ถ้าสัตว์โลก กิเลส ตัณหา อุปทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเภทโกรธ พยาบาท อาฆาต จองเวร มาก #ความที่จะเกิดกัปวินาศด้วยธาตุไฟ มีโอกาสสูง เมื่อถึงคราวเกิดกัปวินาศด้วยธาตุไฟ เรียกว่า"#สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป" นั้นจะ ธาตุไฟเนี่ยจะไหม้หมดเลย โลก ตั้งแต่มนุษย์โลก และสัตว์โลกทั้งหลาย ขึ้นไปถึงพรหมชั้นอัปปมาณาภา กินเขตหมดเลย แต่จะไม่ถึงชั้นอาภัสสรา ซึ่งเป็นชั้นที่สามสูงสุด
    ทีนี้ แต่เมื่อไหร่ที่บุคคลสัตว์โลกที่เป็นไปด้วยกิเลส ตัณหา ราคะ มาก #เกิดกัปวินาศด้วยธาตุน้ำ ก็จะไหม้สูงขึ้นไปถึงชั้นอัปปมาณสุภา ก็ยังเหลือชั้นสุภกิณหา ซึ่งเป็นชั้นฌานที่ ๓ หรือตติยฌานชั้นสูงสุด ก็ยังเหลืออยู่ นอกนั้นไหม้หมดตลอด อ้อ! น้ำท่วมขออภัย น้ำท่วมตายหมด
    ทีนี้ ถ้าว่า โมหะมาก หลง หลงนี่หมายถึง ไม่ใช่หลงลืมนะ หลงไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามที่เป็นจริง ก่อให้เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทาน มาก #ก็จะเกิดกัปวินาศด้วยธาตุลม กินเขต ธาตุลมนี่ กินเขตตั้งแต่ชั้นสุภกิณหา เป็นพรหมสูงสุดของตติยฌาน ลงมาทั้งหมด แต่ไม่กินเขตถึงอสัญญัสัตว์กับเวหับผลา เวหับผลานี่เป็นชั้นของพระอริยเจ้า ที่ทรงฌานจตุตถฌาน จะไม่กินเขตถึง ทีนี้ เหล่านั้นทั้งหมดก็ยังอยู่นะ ทั้งหมด
    ทีนี้...
    ในชั้นต่างๆเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชั้นเวหับผลา ก็มีพรหมที่ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า นั่นแหละ เมื่อกลับมาว่า โลกมนุษย์ก่อตัวขึ้นมาใหม่ พรหมเหล่านี้ พวกพรหมปุถุชนเนี่ย ฌานเสื่อมด้วย แล้วกิเลสมันก็เกิดเมื่อฌานเสื่อม แล้วก็พอเห็นง้วนดิน เอ้ะ! มันดีนี่ เข้าท่านี่ ก็ลง ลงมาดูซะหน่อย เอ้ะ! ลองไปกินง้วนดิน นี่มันอร่อยนี่ นี่ง้วนดินที่มันเกิดขึ้น นี่..เรื่องของกัปวินาศ
    แล้วกัปวินาศเวลามันเกิดนี่ มันกินเขตตลอดไปทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล แต่ไม่เลยไปถึงอนันตจักรวาล กินเขตทั่ว นี่ดังนี้ ประเด็นนี้พึงเข้าใจ
    แล้วก็ที่นี้..กล่าวถึงพรหมแล้วนะ
    สูงสุดคุณความดีสูงสุดของชาวโลก ก็คือ "อรูปพรหม"
    อรูปพรหมนี่ เจริญฌานสมาบัติถึงจตุตถฌาน แล้วเพิกหรือละฌานนั้น ยังเห็นว่าฌานนี้ก็ยังหยาบอยู่ ปรารถนาฌานที่ละเอียด ปฏิเสธรูป ตรงกันข้ามกับอสัญญีสัตว์นะ นี่ปฏิเสธรูป
    "รูป"คืออย่างไร ที่พูดนี่ เป็นต้นว่า เราอาศัยดวงแก้ว นี่เรียกว่าเอารูปเป็นกสิณน่ะ นี่เราอาศัยรูปเป็นสื่อ แต่ท่านปฏิเสธ เพราะว่าให้ระดับสมาบัติหรือระดับสมาธิที่ยังหยาบอยู่ แม้จะถึงจตุตถฌาน ปัญจมฌาน ก็ยังถือว่าหยาบอยู่ ท่านปรารถนาฌานที่ละเอียดปราณีตยิ่งกว่านั้นอีก โดยกำหนดเบื้องต้น เอาอากาศว่างเป็นอารมณ์ไม่มีที่สิ้นสุด เพ่งดูอากาศว่างนั้นแหละ จนกระทั่งบรรลุฌาน"อากาสานัญจายตนฌาน" อันนี้ ถ้าใครตายไป ยังทรงฌานนี้อยู่ ก็ไปเกิดชั้นนั้นแหละ ไปเกิดเป็นอรูปพรหมชั้นที่ ๑ นั้นแหละ
    ทีนี้ ยังบอกว่า นี่ก็ยังหยาบอยู่ เอาใหม่ บางท่านนะเอาวิญญาณ วิญญาณธาตุเป็นอารมณ์ นั่นละเอียดมาก ก็เจริญอีก วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด นั่นก็ บรรลุคุณธรรมตรงนี้ก็เป็น"วิญญาณัญจายตนฌาน"
    แม้นั้น ก็ยังหยาบอีก บางท่านเนี่ย บอกเอาชนิดที่ไม่มีอะไรน่ะ เป็น"อากิญจัญญายตนฌาน"
    ลงท้าย สุดท้ายสูงสุด บอกนี่ก็ยังหยาบอยู่ นี่"อาฬารดาบส แค่"อากิญจัญญายตนฌาน"นะ ที่เคยสอนพระพุทธเจ้า "อุทกดาบส"ปรารภสูงไปกว่านั้น ว่ามีสัญญาก็ใช่ ไม่มีก็ใช่ คือ เหมือนกับไม่มี เหมือนไม่รู้ตัวเลย เพียงรู้นิดหน่อย นั่นบรรลุคุณธรรมเป็น"เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน" แตกกายทำลายขันธ์ มันก็ ติดอยู่ในฌานไหน ก็ไปเกิดอยู่ในภพภูมินั้น
    นี่..เป็นชั้นของ"อรูปพรหม"
    เพราะฉะนั้น...
    นี่คือ ญาณตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่ทรงเห็นแจ้งโลก ในภพในจักรวาล ทั้งแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ไม่มีประมาณ นะ เพราะฉะนั้นจะสังเกตุว่า ญาณตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า"#พุทธญาณ" มันไปทั่ว ทรงเห็นแจ้งแทงตลอด นอกจากจักรวาลนี้ ต่อไปอีกแสนโกฏิจักรวาล และแม้อนันตจักรวาล พระองค์ก็ทรงเห็นไปได้ ดังนี้เป็นต้น
    เพราะฉะนั้น อันนี้พึงเข้าใจว่า เป็นการบำเพ็ญบารมีอย่างสูง นี่เฉพาะ"ปัญญาธิกโพธิสัตว์"นะ
    แต่ถ้า"ศรัทธาธิกโพธิสัตว์" ก็มีอานุภาพมากกว่านั้น
    "วิริยาธิกโพธิสัตว์" เมื่อบรรลุคุณธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ก็มีอานุภาพมากกว่านั้น
    เอาล่ะ...
    ทีนี้ เมื่อเข้าใจว่า กัปวินาศเกิดขึ้นเพราะกิเลส ตัณหา อุปาทาน ของสัตว์โลกทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์นะ เมื่อแรงไปทางด้านไหน ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดกัปวินาศ ด้วยธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุลม ไปเป็นลำดับ
    แล้วก็ไหม้ เวลาเกิด ไหม้หรือน้ำท่วม หรือลมพัดอย่างรุนแรง จนสัตว์โลกนี้ตายกระจัดกระจายไปหมด สูงสุดทำลายได้ไปถึงชั้นสุภกิณหา ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของพรหมตติยฌาน แต่จตุตถฌานยังอยู่ คืออสัญญีสัตว์กับเวหับผลา
    แล้วเวหับผลานั่น มีทั้งพรหมปุถุชน และพรหมที่เป็นอริยบุคคล อริยบุคคลมีถึงชั้นอนาคามีบุคคล แต่ทรงเพียงจตุตถฌาน ถ้าเป็นปัญจมฌานก็จะขึ้นไปอยู่ชั้นสุทธาวาส ไปเกิดที่ชั้นนั้น มันเป็นไปเองโดยอัตโนมัตินะ...
    ________________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    ________________
    บางตอนจากเทศนาธรรมเรื่อง
    สัมมาปฏิบัติไตรสิกขา ตอน ๑๐

    ________________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
    ขอบพระคุณภาพประกอบธรรมะ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    - การให้พรและการรับพรในช่วงปีใหม่ เพื่อให้ได้ผลดี ควรปฏิบัติอย่างไร.
    1f48e.png ในตอนที่จะเปลี่ยนศักราช เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่ดีนะท่าน ต่อให้เธอไปเดินรับพรจากใครน่ะ ร้อยคนให้ยาวเหยียด หรือเป็นพันคนน่ะ ก็ไม่เท่าท่านมาปฏิบัตินี้เพียงกระพริบตาเดียว
    เพราะพรก็คือเจตนาดีต่อกัน ก็ลมปาก เจตนาดีต่อ แต่อ้ายคนรับพรเนี่ย อ้าว เอาตั้งแต่คนให้พรดีกว่า ถ้าคนให้พรเนี่ยกินเหล้าเมายา หรือว่าอะไรๆที่มันผิดศีลผิดธรรม ตัวเองก็ไม่มีพรอยู่แล้ว ไม่มีความประเสริฐ ให้อะไรใครก็ไม่ได้
    เพียงแต่เป็นกิริยาเท่านั้นเอง


    แต่คนให้พรแล้วก็มีผลดีเนี่ย ก็คือคนที่มีศีลมีธรรม เขามีคุณความดี มีความประเสริฐในตน แล้วก็ให้ ถ้าให้อย่างนี้มันถึง แต่ถึงแล้ว อ้ายคนรับ ก็จะต้องรู้จักรับเหมือนกัน รับคือรับไปปฏิบัติในคุณความดีมันถึงจะได้ผล
    เพราะฉะนั้น คนมีศีลมีธรรม มีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา อย่างโยมเนี่ย ให้พรใครไปน่ะ ใจก็เจตนาให้ไปปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วย แต่เห็นเขาปฏิบัติไม่ดีให้พรก็สอนไปในตัวเสร็จ เขารู้ตัวกลับตัวกลับใจมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จึงได้รับผลของพรนั้น
    แต่ถ้าให้พรไปแล้ว เดินสะบัดตูด ไม่รู้ล่ะ เดินสะบัดตัวพรึดออกไป ไม่มีอะไรล่ะ เออ รับ สวัสดี ก็อาจจะได้นิดนึง เส้นผมตัดหม่นๆ แต่แล้วไม่ได้ทำความดี จะไปเอาพรที่ไหนล่ะ เพราะพรมันเกิดจากตัวเอง คนอื่นเขาชี้ทางให้ ตัวปฏิบัติตามเขาเนี่ย เขาถึงจะมีพร แล้วก็ถึงให้พรเรา ปฏิบัติตามเขาอย่างน้อยก็เท่าตามสมควรที่เราพอปฏิบัติได้ พรถึงจะมีผล นี่ เป็นอย่างนี้
    เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายมาเนี่ย โอ้โห้! ดีที่สุดเลย ถึงใครไม่มาก็ตั้งใจศึกษาสัมมาปฏิบัติที่บ้านก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ถ้ามาอย่างนี้ถือศีล ๘ โอโห้! ดีประเสริฐเลย ใช่ไหม ถือศีล ๘ นี่มันปิดอบายภูมิเลย
    นี่ท่านปฏิบัตินี่ จิตท่านสงบไปๆ จิตใจผ่องใสด้วยบุญกุศลเนี่ย กาย เวทนา จิต ธรรม ของท่านนี่ผ่องใสกันหมด เห็นหรือไม่เห็นก็ผ่องใสตามระดับภูมิธรรม แต่การเห็นหรือไม่เห็นอยู่ที่ว่าใจสงบนิ่ง เป็นเอตคัตตา หนึ่งเดียว ผ่องใสยิ่งขึ้นจากกิเลสนิวรณ์ ธาตุ ๑๘ ณ ภายใน จะเปลี่ยนสภาพเป็นทิพจักษุ ทิพโสต ให้สามารถเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ในตัวเองได้ แล้วก็พัฒนาตัวเองให้สูงขึ้นๆ แล้วก็สามารถเห็นภพภูมิคนอื่นได้ด้วย
    แต่ว่าที่ดีสุดก็คือเห็นที่ตัวเรานี่แหละ ทำให้มันดีเข้าไว้ แล้วคุณความดีที่ท่านทำนี่แหละ มันจะแก่กล้าเป็นบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี ไปตามลำดับ นี่ เป็นอย่างนี้
    เพราะฉะนั้น ทานกุศล เป็นต้นนี่ หลวงตาหรือหลวงป๋าหรืออาตมาก็แล้วแต่ ให้ท่านใช้ปัญญา ไม่ชักนำอย่างอื่นล่ะ ให้ท่านใช้ปัญญา ถ้าชักนำอย่างเดียว อู้ววว!! เกิดชาติใดหนใดขอให้มันมโหราฬเลย รวยไม่รู้เรื่องเลยเอ้า มหาสาร เพียงเท่านี้นะ ถ้าปัญญาไม่เกิด อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตาไม่เกิด ไปหลงติดอยู่ในทรัพย์นั่นน่ะ โอโห! ไวเลยทีนี้ ตายแล้วก็ง่าย อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ ต่อให้รวยเท่าไหร่ มโหราฬเท่าไหร่ ถ้าขาดปัญญาปุ้บ หมดเลย หมดสภาพเลย ได้สุขแค่นั้นน่ะหน่อยเดียว
    ทีนี้ ถ้ามันมีปัญญาด้วย ประกอบกันนี่ มันอยู่ด้วยความสันติสุข ท่านเข้าใจไหม ไม่ใช่โลกียสุขหรือกามสุข ไม่ใช่
    สันติสุข สุขด้วยความสงบ ผ่องใส อ้ายนี่ล่ะไปไกลเลยทีเดียว นำไปสู่มรรคผลนิพพานเลย บารมีจะแก่กล้าไปเรื่อยๆ เข้าใจนะ
    นี่แหละ ที่มานี่ประเสริฐแล้ว นะ ใครก็ได้ ไปอยู่ปฏิบัติที่ไหน หรือแม้แต่ที่บ้าน ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ใช้ได้หมดเลย แต่ถ้ามาวัดนี่มันแน่นอน มาวัดที่เขาสอนให้ปฏิบัติ มันแน่นอน แต่ถ้าไปเฉยๆ ก็ไปนอนคร้อกฟี้ๆก็ไม่ได้เรื่องอีกเหมือนกันล่ะ ดีไม่ดีไปนั่งนินทากันอยู่อีกต่างหาก หรือแทนที่ใจจะสงบที่ไหนได้ ฟุ้งซ่านหนักเข้าไปกว่าเก่าอีกทีนี้
    เพราะฉะนั้น อันนี้ก็ต้อง ไอ้ครั้นบอกว่าจะให้เลือกที่ไป ก็จะบอกว่าเดี๋ยวยังงั้นก็เลือกไปวัดหลวงพ่อสดฯ ไม่ได้โฆษณานะ บอกตรงๆ มีปัญญาก็คิดเอาเองใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไม่เชื่อก็แล้วไป เพราะว่าเราแค่บอกทางเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านก็ทำได้เท่านี้แหละ แต่ท่านมีฤทธิ์มีอำนาจมากกว่าเราหลายร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า ใช่ไหม ของเราก็ได้บอกแค่นี้ นี่ เพราะฉะนั้น นี่จะต้องอนุโมทนากับญาติโยมทั้งหลาย.
    ______________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    ______________
    ที่มา
    เทศนาธรรมเรื่อง
    "การปฏิบัติธรรมคือพรอันประเสริฐ"
    ______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.

    tl54vbrJTS94RrTCrOYsix0AsOg1XQrqA2uOSp4wDowFgnZokIaFOd0XD6Uvg&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk29-4.jpg


    อมตวัชรวจีหลวงป๋า
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    การเก็บฝนและการเกณฑ์ฝนในวิชชาธรรมกาย โดย หลวงตาอู๋
    ในสมัยโบราณเราต้องพึ่งพิงฝนฟ้าอากาศมาก เพราะการชลประทานยังไม่ทั่วถึง ถ้าฝนไม่ตกเราก็ปลูกข้าวไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าวกินเพียงพอก็เป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศทีเดียว เมื่อฝนไม่ตกตามเวลาก็ถึงกับจะต้องตั้งพิธีบวงสรวงขอให้ฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตามาช่วยให้ฝนตก ครูบาอาจารย์สมัยก่อนจึงต้องรู้จักวิชาเกณฑ์ฝนและเก็บฝน เพื่อเอาไว้ช่วยชาวบ้าน

    สมัยนี้คนพูดเรื่องการเก็บฝนและเกณฑ์ฝนน้อยลง แต่ก็ยังเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชาวนาชาวสวน ตั้งแต่หลวงพ่อสดเผยแพร่วิชชาธรรมกายออกไป การเกณฑ์ฝนและเก็บฝนก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติไปเลย แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีการสอนในวิชชาอื่น

    อาตมายังนั่งสมาธิไม่เก่งแต่ก็อยู่ในแวดวงของคนเก่งๆ หลายคน ตอนหนุ่มๆ อาตมาเคยอยู่ในเหตุการณ์หนึ่ง วันนั้นอาตมา (ยังไม่ได้ออกบวช) ไปกับหมู่คณะที่มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งที่ได้ธรรมกายชั้นสูงอยู่ด้วย คณะของเราเดินทางไปดูความก้าวหน้าของการปั้นพระที่โรงงานแห่งหนึ่งแถวฝั่งธน ระหว่างตรวจงานอยู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ฝนตกหนักขนาดคุยกันแทบไม่รู้เรื่อง เพราะเม็ดฝนขนาดใหญ่ตกกระทบหลังคาโรงงานเสียงดังจนพูดกันแทบไม่ได้ยิน

    เมื่อเสร็จธุระ พระหนุ่มท่านนั้นจึงกระซิบกับอาตมาว่า “ฝนตกหนักขนาดนี้เราคงกลับวัดไม่ได้แน่ ขอเวลาอาตมาสัก 3 นาทีนะ” ท่านพูดเสร็จก็ยืนนิ่งหลับตาอึดใจเดียวเท่านั้น (ไม่ถึง 3 นาที) ฝนก็หยุดตกทันที จากที่ตกจนดังซ่าๆ ฝนขาดเม็ดกลายเป็นเงียบกริบ.... อะไรมันจะขนาดนั้น เก็บปุ๊บหยุดปั๊บ วิชชาธรรมกายศักดิ์สิทธิ์มากขนาดนี้เลยหรือ

    แล้วพระหนุ่มท่านนั้นก็พูดขึ้นเพื่อให้ได้ยินทั่วกันว่า “รีบกลับวัดกันเถอะ มีเวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้นนะ อั้นได้แค่นี้” พวกเราเลยรีบเดินทางกลับวัด พอถึงหน้าวัดเท่านั้นฝนก็ตกกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา สมดังคำที่ท่านพูดเอาไว้เลย สรุปวันนั้นน้ำท่วมพื้นวัดสูงขนาดครึ่งแข้ง ต้องเดินลุยน้ำกันออกมาเพื่อกลับบ้าน

    สมัยที่หลวงป๋าวัดหลวงพ่อสดยังอยู่ ท่านช่วยเหลือชาวอีสานอย่างมาก เพราะสมัยก่อนภาคอีสานถือว่าเป็นภาคที่แห้งแล้งที่สุด แล้งขนาดพื้นแตก พอมาถึงยุคหลวงป๋าท่านก็เกณฑ์ฝนช่วยภาคอีสานเป็นพิเศษ ดังนั้นในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ข่าวเรื่องอีสานแล้งจึงลดน้อยลงไปมาก อาตมาได้เห็นหลวงป๋าทำวิชชาเกณฑ์ฝนช่วยภาคอีสาน (บ้านเกิดของท่าน) จนถือเป็นเรื่องปกติ

    อาตมา “หลวงป๋าครับ หลวงป๋าเกณฑ์ฝนอย่างไรครับ”

    หลวงป๋า “เราก็ต้องเดินวิชชาเข้าไปในสุดละเอียด เข้าไปให้ถึงสุดเหตุที่ฝนไม่ตก แล้วเข้าไปเก็บเหตุเหล่านั้นให้หมดทั้งในสุดละเอียดและสุดหยาบ ตั้งผังความศักดิ์สิทธิ์ให้ฝนตก กำหนดเขตที่จะให้ฝนตก ระยะเวลาที่จะให้ฝนตก ตกหนักหรือตกเบา แล้วเดินวิชชาเป็นให้ใสทั้งสุดหยาบสุดละเอียด”

    อ๋อ หลักการก็คือ ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ทำเหตุอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้นนั่นเอง แต่ในช่วงท้ายของชีวิต หลวงป๋าท่านทำได้ง่ายกว่านั้น หลวงป๋าเคยบอกอาตมาว่า “ตอนนี้แค่แจ้งเรื่องไปให้ท้าววิรูปักษ์ทราบเท่านั้น แล้วขอให้ท่านทำให้เลย หลวงป๋าไม่ต้องเดินวิชชาเองแล้ว จะเกณฑ์ฝนหรือเก็บฝนท่านท้าววิรูปักษ์รับทำถวายให้เอง.... หลวงป๋าไม่อยู่แล้วเล่าได้

    ภาพท้าววิรูปักษ์ : ฝีมือศิลปิน ชัชวาล รอดคลองตัน ขออนุญาตใช้เพื่อการเผยแพร่ธรรมะ

    *************************************

     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    - ประเทศไทยเรา ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ แต่คนไม่รู้บาปบุญคุณโทษมากขึ้น.

    1f52e.png ในยามต้นแห่งราตรี พระมหาบุรุษของเรา ได้ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อย่างเราธรรมดาก็เรียกว่าอตีตังสญาณ ระลึกชาติดูไปในอดีต ทรงเห็นสัตว์โลกทั้งหลาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารจักรไม่มีที่สิ้นสุด

    ไปสุคคติภพบ้าง แต่น้อย เช่น ไปเกิดเป็นมนุษย์ ไปเกิดเป็นเทพยดา พรหม อรูปพรหม น้อยนัก แต่ไปทุคคติภพหรือภูมิ เป็นภูมิที่ไม่ดี ให้มีแต่ความทุกข์เดือดร้อน คือ ไปเกิดเป็นเปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง มากต่อมากนัก ทรงเห็นตลอดแล้วนรก-สวรรค์ตอนนี้

    และเห็นไปถึงอายตนะโลกันต์
    ซึ่งอยู่นอกจักรวาล สัตว์โลกันต์นั่นเกาะอยู่ตามขอบจักรวาล แล้วก็มืดมิด ระหว่างจักรวาลนั่นก็จะเป็นทะเลน้ำกรดเย็น อ้ายสัตว์พวกนี้น่ะ ก็ไต่อยู่ตามขอบจักรวาล มืด พบกัน ตะปบกัน กัดกัน กินกัน ยังไม่ทันได้กินกันได้เท่าไหร่หรอก ตกลงไปในทะเลน้ำกรด น้ำกรดก็กัดกินละลาย ซู่!! เกิดขึ้นมาใหม่ เป็นอย่างนี้ชั่วนาตาปี

    พึงเข้าใจว่า สัตว์โลกันต์เนี่ย พระญาณของพระพุทธเจ้าทรงหยั่งรู้หยั่งเห็นได้เลยว่า โอกาสที่สัตว์โลกันต์จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก..ไม่มี

    เพราะอะไร ? ตรงนี้ต้องชี้แจงนิดหน่อย

    เพราะเมื่อถูกทะเลกรดกินละลายน่ะ ธาตุธรรมทั้งหลายมันเสียสภาพไปแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุญกุศลที่เคยทำไว้นั้น ก็ถูกชำระสะสางไปตลอด เป็นอยู่อย่างนั้นแล้วๆเล่าๆ จนหมดเชื้อที่คุณธรรมในระดับมนุษยธรรมที่เคยทำไว้ จะนำกลับเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์อีกได้ เป็นอันหมดโอกาส

    และผู้ที่ไปเกิดในโลกันตนรกนี่ ต้องบอกซะก่อนว่า เป็นไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ ๓ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เช่น อเหตุกทิฏฐิ มีความเห็นว่าตัวเองทำอะไร ที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์เดือดร้อน หรืออะไร ไม่เป็น พูดอย่างง่ายๆว่า ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป ไม่เป็นเหตุปัจจัย เหมือนคนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือฆ่ามนุษย์ที่มีคุณธรรม ที่มีคุณประโยชน์มาก ไม่ว่าจะเป็นผู้สั่งโดยตรง ผู้สั่งโดยอ้อม แล้วก็ไปบังคับบัญชาให้มีการเกิดการฆ่ากัน ผู้ที่ไม่สำนึกว่าตนเองเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการฆ่า เชื่อว่าตนเองไม่ใช่เหตุปัจจัย แต่จริงๆเป็นผู้กระทำเหตุปัจจัยนั้น ผู้ที่เห็นผิดอย่างนี้ชื่อว่า"อเหตุกทิฏฐิ"

    และตัวเองนั่นแหละ เป็นผู้สั่งก็ดี ทางตรงก็ดี ทางอ้อมก็ดี และก็เป็นผู้บังคับ ผู้ปกครอง ให้เกิดการฆ่าอย่างนั้นก็ดี ในหมู่ชนทั้งหลายนั้น ก็ไม่สำนึกว่าตนเองเป็นคนก่ออกุศลกรรม ว่าเป็นบาปอกุศล ไม่สำนึก ไม่รู้ นี้..เรียกว่า"อกิริยทิฏฐิ"

    มันมี...
    อเหตุกทิฏฐิ ๑.

    อกิริยทิฏฐิ ๑. คือ ว่าตนเองไม่เป็นอันทำ หรือว่าทำแล้วเหมือนไม่ได้ทำ ไม่รับว่าเป็นการทำบาป ทำความชั่วร้าย

    และนัตถิกทิฏฐิ คือ เห็นว่าทำไปแล้วก็ไม่มีผลอะไร ไม่เกี่ยวกับตนเอง ไม่มีผลเป็นบุญเป็นบาป

    เหล่านี้ มิจฉาทิฏฐิ ๓ ประการ คือ
    อเหตุกทิฏฐิ
    อกิริยทิฏฐิ
    นัตถิกทิฏฐิ
    อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือสามอย่างนี้ รวมเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ ใครกระทำความผิดศีล ผิดธรรม ด้วยมิจฉาทิฐิอย่างนี้ แม้มีชีวิตอยู่ในภพชาตินั้น ก็ยังจะได้รับโทษเป็นความทุกข์เดือดร้อน จากผลของกรรมนั้น มีโอกาสสูงมากที่จะได้รับทั้งๆที่อยู่ในภพชาติปัจจุบันนี้ หนีกรรมไม่พ้น

    และแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ต้องรับโทษจากกรรมที่ทำ ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกในชั้นต่างๆตามกรรม ชั้นสุดท้ายก็คืออนันตริยกรรม ผู้มิจฉาทิฐิน่ะไปได้รับโทษตรงนั้นก่อน และพ้นจากนั้น พ้นนี่..ไม่ได้ว่าพ้นหมดนะ มิจฉาทิฏฐิยังอยู่ นั่นแหละ นำไปสู่ความบังเกิดขึ้นในอายตนะโลกันต์

    สัตว์โลกที่เป็นไปอย่างนี้ ด้วยมิจฉาทิฏฐินี่ เป็นกรรมหนักยิ่งกว่าอนันตริยกรรม รับผลก่อนทั้งหมด พอไปถึงโลกันตนรกดังที่ได้กล่าวแล้ว เมื่อเป็นสัตว์นรกนี่ ต้องตกลงไปในทะเลน้ำกรดแล้วๆเล่าๆ นานเท่านาน เพราะฉะนั้น เชื้อแห่งคุณความดีที่เคยทำในระดับมนุษยธรรม ถูกกัดกินละลายหายไปๆๆ จนไม่สามารถที่จะเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในภพสามอีก มนุษย์ก็คือในกามภพ ในโลกมนุษย์อีกไม่มี

    อย่างดีก็แค่มาเกิดเป็นสัตว์ชั้นต่ำ สัตว์เซลล์เดียว เช่น พวกไฮดรา อะมีบา พวกเชื้อโรค พวกไวรัสต่างๆ นี่..มาจากนี้ส่วนมาก

    และถ้าร้ายกาจไปกว่านั้น
    ก็จะไปเป็นธาตุธรรมของภาคมาร
    ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับภาคพระ คือพระนิพพาน อยู่ตรงกันข้ามกัน

    1f514.png อันนี้ให้เข้าใจ ที่อาตมายกตรงนี้มากล่าว เพื่อจะให้เข้าใจว่า ขณะนี้ในประเทศชาติของเรา ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ แต่คนไม่รู้บาปบุญคุณโทษมากขึ้น เพราะไปรับเอาความเจริญทางวัตถุมาบำบัด หรือมาสนองความต้องการของตน และก็หลงเพลิดเพลินติดอยู่ในทรัพย์สมบัติ ในอำนาจราชศักดิ์ต่างๆ จนมีผลให้ตนเองมีความเห็นผิด แล้วไปคิดทำลายล้างผู้อื่น ให้เกิดโทษ เกิดความทุกข์เดือดร้อน อยู่ในยุคปัจจุบันนี้มากมาย

    1f514.png ก็เพื่อให้ทราบว่า ให้ท่านระวัง ความเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ใช่เกิดอยู่กับเฉพาะคนนอกศาสนาที่หลงผิดไป คนนอกศาสนาที่พอจะเข้าใจถูกก็มีนะ แต่ที่หลงผิดไปก็มี แต่..ในพุทธของเราที่หลงผิดไปก็มี เป็นมิจฉาทิฐิได้ และก็เป็นไปอย่างนั้นด้วย

    1f514.png อย่าไปทนงว่า พอขึ้นชื่อว่าเป็นพุทธแล้ว เป็นมิจฉาทิฐิไม่ได้ ไม่จริง!! คิดอย่างนั้น ทําอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น เหมือนปลูกมะพร้าว ออกลูกมาเป็นมะพร้าวแน่นอน มันไม่ออกมาเป็นลูกหมาก หรือมาเป็นอะไรๆอย่างอื่น มะม่วงอะไรอย่างนี้ ไม่ได้!! ฉันใดฉันนั้น

    นี่..อาตมาเน้นไว้ตรงนี้ก่อน เพื่อให้ท่านทั้งหลายรู้บาปบุญคุณโทษ ว่าที่ท่านทั้งหลายกระทำความไม่ดี ผิดศีล ผิดธรรม ทุกข้อนั่นแหละ เรียกว่า อกุศลกรรมบท ๑๐

    1f56f.png ทำเองก็ดี
    1f56f.png สั่งให้คนอื่นทำก็ดี
    1f56f.png ยินดีที่คนอื่นทำก็ดี
    1f56f.png ยกย่องบุคคลที่กระทำอกุศลกรรมบท
    อย่างนั้นก็ดี

    ๔ ประการนี้ รวมเรียกว่า อกุศลกรรมบท ๔๐

    โอกาสที่จะไปบังเกิดในทุคคติภูมิ
    ไปเป็นเปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
    มีถึงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
    เพราะที่ว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะอะไร ?
    ไอ้ที่เบาก็เบาไปหน่อย เกิดช้าหน่อย
    แต่ที่หนักก็ไปเลย

    และถ้าเป็นมิจฉาทิฐิ มีนัตถิกทิฏฐิ อกิริยทิฏฐิ อเหตุกทิฏฐิ เหล่านี้เป็นต้น ท่านได้รับโทษทั้งในภพชาติปัจจุบันทันตาเห็นแน่นอน แต่ว่าจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของกรรมปรุงแต่ง แล้วไปได้รับโทษในทุคคติภูมิ แล้วผ่านจากทุคคติภูมิ พอเสร็จจากกรรมในอเวจีมหานรกแล้วก็จะผ่านไปสู่โลกันตนรก

    นี่แหละ ที่มีในพระบาลีว่า
    แม้พระญาณพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นแจ้งทรงรู้แจ้งแล้ว สัตว์โลกันต์ที่จะมีโอกาสได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้น กำหนดไม่ได้ ก็คือ..ไม่มี

    เพราะฉะนั้น อันนี้คืออันตรายอย่างใหญ่หลวง ที่ท่านทั้งหลายไม่รู้ เป็นพุทธแต่ไม่รู้ นี้..อันตรายอย่างใหญ่หลวง เพราะฉะนั้น นี่คืออันตรายในวัฏฏะ.

    _________________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _________________
    ที่มา
    บางตอนจากเทศนาธรรมเรื่อง
    "พุทธปาฏิหาริย์"
    _________________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า



    nR9w4Rev7GmfRliyV5JmdhkbvgvnjExzC&_nc_ohc=d6NMSMWe79EAX-n6IzT&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg




    **********************

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1f52e.png
      1f52e.png
      ขนาดไฟล์:
      741 bytes
      เปิดดู:
      78
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    o_-ib0xwzUBcM9NQio-P3V373Bt20D27o&_nc_ohc=uWI8TTJ3tv8AX9LM9G4&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...