เรื่องเด่น เรื่ืองเล่าในพระธรรมบท ตอน นายพรานกุกกุฏมิตรนายพรานบรรลุธรรม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 8 พฤศจิกายน 2017.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่ืองเล่าในพระธรรมบท ตอน นายพรานกุกกุฏมิตรนายพรานบรรลุธรรม
    22904658_515369792152805_3073112851386569785_o.jpg
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภนายพรานชื่อกุกกุฏมิตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
    ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส เป็นต้น

    ที่กรุงราชคฤห์ มีบุตรสาวเศรษฐีผู้หนึ่งได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ยังอยู่ในวัยสาวรุ่น อยู่มาวันหนึ่ง นายพรานผู้หนึ่งชื่อกุกกุฏมิตร ได้ขับเกวียนบรรทุกเนื้อสัตว์มาขายในเมือง บุตรสาวของเศรษฐียืนอยู่บนปราสาท 7 ชั้น แลเห็นนายพรานกุกกุมิตรก็เกิดนึกรักขึ้นมาในฉับพลันในลักษณะรักแรกพบเพราะเคยทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน นางได้หอบผ้าหอบผ่อนลงจากปราสาทเดินติดตามไปอยู่กับนายพรานที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง จากการอยู่กินกันทำให้เกิดผลิตผลของความรักเป็นบุตรชายถึง 7 คน เมื่อบุตรทั้ง 7 คนเจริญวัยก็ได้แต่งงานกับหญิงที่มีฐานะเท่าเทียมกัน

    อยู่มาวันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลกเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นพรานกุกกุฏมิตรกับบุตรและสะใภ้ เข้าไปในข่ายคือพระญาณของพระองค์ ทรงใคร่ครวญแล้วก็ทรงทราบว่า คนเหล่านั้นจะได้บรรลุโสดาปัตติผล จึงทรงถือบาตรและจีวรเสด็จไปยังที่ดักบ่วงของนายพรานนั้นแต่เช้าตรู่ ปรากฏว่าวันนั้นไม่มีสัตว์ตัวใดติดบ่วงเลย พระศาสดาได้ทรงเหยียบรอยพระบาทไว้ที่ใกล้บ่วงของนายพราน แล้วประทับนั่งใต้ร่มพุ่มไม้พุ่มหนึ่งไม่ไกลจากนั้น นายพรานกุกกุฏมิตรถือธนูไปยังที่ดักบ่วงแต่เช้า ตรวจดูบ่วงที่ดักไว้ ไม่เห็นสัตว์แม้แต่ตัวเดียวติดบ่วง เห็นแต่รอยพระบาทที่พระศาสดาประทับไว้นั้น ก็เข้าใจว่าเจ้าของรอยเท้าคือคนที่ปล่อยสัตว์ออกจากบ่วง จึงเดินตามไปพบพระศาสดาประทับนั่งอยู่ที่โคนพุ่มไม้ คิดว่า สมณะองค์นี้ปล่อยเนื้อของเรา เราจะฆ่าสมณะนั้นเสีย ก็นำลูกธนูใส่แล่งโก่งธนูจะยิง พระศาสดาได้ทรงแสดงพุทธานุภาพเกิดเป็นปาฏิหาริย์ โดยทรงยอมให้นายพรานกุกกุมิตรโก่งธนูได้ แต่ไม่ทรงยอมให้ลูกธนูแล่นออกมาจากแล่ง (ภาษาบาลีที่ใช้บรรยายเหตุการณ์ช่วงนี้ใช้ว่า “สัตถา ธะนุง อากัฑฒิตุง ทัตวา วิสัชเชสุง นาทาสิ” ซึ่งประโยคบาลีนี้ พวกนักคาถาอาคมได้นำไปใช้พร่ำภาวนาเพื่อเป็นคาถาคงกระพันชาตรีป้องกันอาวุธทุกชนิดจวบจนกระทั่งปัจจุบัน) นายพรานพบกับปาฏิหาริย์ของพุทธ่นุภาพถึงกับตัวแข็งทื่ออยู่ในอิริยาบถยืนน้าวธนูไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ พวกบุตรทั้ง 7 คนเห็นบิดาไม่กลับบ้านก็เที่ยวตามหา ก็ได้ไปพบบิดายืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นและเห็นพระศาสดาก็เข้าใจว่าเป็นศัตรูของบิดาแน่ๆ แต่ละคนจึงนำลูกธนูสอดเข้าแล่งแล้วโก่งธนูจะยิง แต่ก็เกิดปาฏิหาริย์ด้วยพุทธานุภาพทำให้ทุกคนเกิดการจังงังอยู่ในอิริยาบถตัวแข็งทื่อเคลื่อนไหวไม่ได้เหมือนกับบิดา เมื่อภรรยาของนายพรานไม่เห็นสามีและบุตรชายกลับบ้านก็ได้เดินตามหาพร้อมด้วยสะใภ้ทั้ง 7 มาพบคนทั้งแปดคนตัวแข็งทื่อยืนน้าวธนูเล็งเป้าไปที่พระศาสดาเช่นนั้น ก็ร้องขึ้นว่า “พวกท่านอย่าฆ่าบิดาของเรา ๆ” พอนายพรานกุกกุฏมิตรได้ยินเช่นนั้น ก็เข้าใจว่า คนที่เขาจะยิงนั้นคือพ่อตาของเขาเอง ส่วนพวกลูกชายทั้งเจ็ดคนก็เข้าใจว่าผู้ที่เขาจะยิงคือตาของพวกเขา ดังนั้นเมตตาจิตจึงบังเกิดแก่นายพรานและบุตรทั้งเจ็ดคนนั้น ภรรยานายพรานจึงกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าจงทิ้งธนูเสียโดยเร็วแล้วขอโทษบิดาของฉัน” เมื่อคนเหล่านั้นวางธนูและเข้าไปถวายบังคมขอขมาลาโทษแล้ว พระศาสดาได้แสดงอนุปุพพิกถาโปรด เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นายพรานกุกกุฎมิตรพร้อมทั้งบุตรและสะใภ้ซึ่งมีจำนวนรวมกัน 15 คนก็ได้สำเร็จพระโสดาปัตติผล

    จากนั้น พระศาสดาได้เสด็จพุทธดำเนินกลับพระเวฬุวัน และได้ตรัสบอกพระอานนท์และพระภิกษุอื่นๆว่า พระองค์เพิ่งกลับมาจากการเสด็จไปโปรดนายพรานกุกกุฏมิตรและครอบครัวจนทำให้ทุกคนได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พวกภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามว่า “ภรรยาของนายพรานกุกกุฏมิตร เป็นพระโสดาบัน แม้ว่าจะไม่มีเจตนาฆ่าสัตว์ด้วยตัวเองก็จริง แต่ก็เป็นผู้ส่งข่าย คันธนู และลูกธนูให้แก่สามีที่จะออกไปล่าสัตว์ อย่างนี้จะมิถือว่าพระโสดาบันกระทำปาณาติบาตละหรือ?” พระศาสดาตรัสตอบว่า “ภิกษุทั้งหลาย พระโสดาบันย่อมไม่ทำปาณาติบาต ที่นางทำอย่างนั้น ด้วยแค่คิดว่า เราจักทำตามคำของสามี จิตของนางไม่มีเลยว่า สามีนั้นจงถือเอาเครื่องประหารนี้ไปทำปาณาติบาต จริงอยู่ เมื่อแผลในฝ่ามือไม่มี ยาพิษนั้นก็ไม่อาจจะให้โทษแก่ผู้ถือยาพิษได้ ฉันใด ชื่อว่าบาปบ่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลายมีธนูเป็นต้นออกให้ เพราะไม่มีอกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน”

    จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า

    ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส
    หเรยฺย ปาณินา วิสํ
    นาพฺพณํ วิสมนฺเวติ
    นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโตฯ

    ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้
    บุคคลพึงนำยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้
    เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าไปสู่ฝ่ามือที่มีมีแผล ฉันใด
    บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำอยู่ ฉันนั้น.


    เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
     

แชร์หน้านี้

Loading...