เรื่องเด่น เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 13 พฤษภาคม 2017.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน ปฐมบทชาติกำเนิด
    18342568_10213043333107687_3343058625783415665_n.jpg
    ท่านพระอาจารย์จันทาเป็นชาวร้อยเอ็ด เกิดที่บ้านแดง หมู่ที่ ๘ ตำบลเหนือเมือง อำเภอเมืองจังหวัดร้อยเอ็ด อยู่ห่างจากวัดในเมืองไปประมาณ ๔ กม. ไม่ไกล วัดบูรพานี้สังเกตง่าย เพราะมีพระพุทธรูปยืนสูงที่สุดในประเทศไทย

    ท่านเกิด พ.ศ.๒๔๖๕ (สองพันที่ร้อยหกสิบห้า) วันเสาร์ เดือน ๓ เป็นปีกระต่ายอดหญ้า เหตุเพราะว่าเป็นหน้าร้อนแห้งแล้งมากหญ้าตายหมด กระต่ายเลยอดอยากไม่มีหญ้ากิน

    โยมพ่อชื่อ นานสังข์ ไชยนิตย์

    โยมมารดาชื่อ นางเหลี่ยม ชมภูวิเศษ

    มีบุตรธิดา ๖ คน เป็นหญิง ๑ ท่านพระอาจารย์จันทาเป็นบุตรคนที่ ๔

    อาชีพของครอบครัวทำนา เมื่อถึงหน้าแล้งก็ปลูกแตง ปลูกผักสวนครัว ปลูกยาสูบ และออกทอดแหหาปลาในแม่น้ำชี พวกเด็ก ๆ ส่วนมากเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเป็นงานหลัก

    สมัยนั้นเมื่อ ๖๐ กว่าปีมาแล้ว บ้านเมืองยังไม่เจริญ การเรียนหนังสือตามบ้านนอกชนบทหัวเมืองไกล อาศัยเรียนตามวัดกับพระสงฆ์องค์เจ้า โรงเรียนประถมศึกษามีน้อย และทางราชการก็ไม่ค่อยบังคับเข้มงวดให้เรียนหนังสือเท่าไรนัก

    จึงปรากฏต่อมาว่า คนเฒ่าคนแก่ส่วนมากอ่านหนังสือไม่ได้ เพราะตอนเป็นเด็กไม่ได้เข้าเรียนหนังสือนั่นเอง

    ตอนเป็นเด็กท่านพระอาจารย์จันทา ไม่ได้เรียนหนังสือเหมือนกัน มัวแต่ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ เลี้ยงวัวเลี้ยงควายอยู่ตามทุ่งนา จึงอ่าน ภ. ข. ก.กา ไม่กระดิกหูเอาเสียเลย โทษของการที่ไม่ได้เรียนหนังสือ

    ต่อมาพอเป็นผู้ใหญ่จะบวชพระก็แทบบ้าตาย เพราะต้องท่องคำขานนาค ต้องท่องเจ็ดตำนาน ท่องคำไหว้พระสวดมนต์และอาราธนาศีล คนอ่านหนังสือบ่ได้จะท่องได้ยังไง

    แล้วทำยังไงถึงได้บวช ?

    ยังไม่ตอบข้อนี้ เล่าถึงการเจริญวัยของท่านต่อไปเสียก่อน

    ชีวิตลูกทุ่งที่ราบสูงผ่านไปตามฤดูกาล ปีแล้วปีเล่า ร้อน ฝนและหนาว ได้ปั้นท่านให้เป็นชายหนุ่มร่างบึกบึนคนหนึ่ง ไม่หล่อ แต่ก็ไม่ขี้ริ้ว รูปร่างหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ ทำงานเข้มแข็งขยัน

    ทำงานได้ทั้งวันขุดดินทำคันนา แบกพร้าเข้าป่าตัดฟืนเลื่อยไม้ไม่มีเหนื่อย จนเป็นที่เล่าลือไปทั่วหมู่บ้านในเรื่องความขยันขันแข็งของท่าน
     
  2. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน ฤทธิ์แม่ม่าย
    18403108_10213043382348918_6023918926959340529_n.jpg
    อายุได้ ๒๓ ปี เป็นหนุ่มฉกรรจ์กำยำเต็มตัว ปีนั้น พ.ศ. ๒๔๘๘ กามเทพเล่นกลเอากับชีวิตเข้าให้ เกิดไปรักไปชอบแม่ม่ายผัวตาย มีลูกติด ๓ คน !

    เป็นแม่ม่ายอายุมากกวาก็จริง แต่ก็มีฐานะร่ำรวย ได้สมบัติจากพ่อแม่ไว้มากมายแต่ผู้เดียว !

    “เราเป็นผู้บ่าวหรือพ่อหนุ่มบ้านนอก ความรู้บ่มี อ่านหนังสือบ่ออก ไม่ได้เป็นคนฉลาดอะไร ก็คิดว่าได้แม่ม่ายเป็นเมียแล้ว สมบัติของนางต้องตกมาเป็นของเราวันยังค่ำ

    ไอ้เรามันคิดอยากจะได้ครองสมบัติเขา ก็เลยตัดสินใจแต่งงานกับแม่ม่ายลูกสาม”

    ท่านพระอาจารย์จันทาเล่าถึงตอนนี้พลางหัวเราะน้อย ๆ ท่านพระอาจารย์เพ็ง พุทธธัมโม วัดเทิง (เสาหิน) ที่นั่งรวมอยู่ด้วยได้เอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ ว่า

    “ผู้บ่าวหนุ่มลูกทุ่ง คิดหวังรวยทางลัด”

    ท่านพระอาจารย์จันทาหัวเราะตอบว่า

    “แม่นแล้ว ! เป็นผู้บ่าวจ้อย ๆ ได้แม่ม่ายเป็นเมีย สงสัยชาติก่อนผมจะเคยเป็นญาติกับนางอมิตดา เมียของพราหมณ์เฒ่าชูชก ตามตำนานว่านางอมิตดาเคยเอาดอกไม้เหี่ยว ๆ ไปบูชาพระในชาติก่อน พอมาเกิดในชาติต่อมานางอมิตดาเลยได้ผัวแก่ คือเฒ่าชูชก ! ชาติก่อนโน้นผมอาจจะเคยบูชาพระด้วยดอกไม้เหี่ยว ๆ ก็ได้ ชาตินี้เลยมาได้แม่ม่ายอายุแก่กว่าเป็นเมีย"

    แต่งงานอยู่กินมีความสุขกับแม่ม่ายแล้ว หนุ่มจันทาวัย ๒๓ ไม่ได้ลดละความขยันขันแข็งในการทำมาหากิน ตอนนั้นเมียมีท้องตั้งครรภ์ได้ ๓ เดือน ท่านได้ไปทอดแหที่แม่น้ำชีกับชาวบ้านจำนวน ๒๐ คน ใช้แหขนาด ๑๐ ศอก จำนวน ๒๐ ปาก ลอยเรือหลายลำออกไปที่วังน้ำปลาชกชุม

    “พวกเราหว่านแหลงไป ๒๐ปากเป็นวงกว้าง ฝูงปลาใหญ่น้อยวิ่งชนแหดังตึ้กตั้กมากมาย ต่างก็ร้องไชโยโห่ฮิ้วดีไจกันใหญ่ว่า รวยปลาแน่แล้ววันนี้ แต่เมื่อลากเอาแหขึ้นมา น่าอัศจรรย์ ไม่ได้ปลาสักตัว ปลาหนีออกจากร่างแหไปได้หมด ไม่น่าเป็นไปได้เลย ทั้งๆ ที่แหก็ไม่ได้ขาดแต่อย่างใด”

    ท่านพระอาจารย์จันทาเล่า ได้ทำการทอดแหอยู่ตลอดวันยังค่ำ ปลาติดแหทุกครั้ง ดิ้นพล่าน ส่งเสียงร้องเหมือนฝูงอึ่ง แปลกมาก ครั้นลากแหขึ้นทีไร ปลาหายหมด จนเพื่อนบางคนเข้าใจว่าผีน้ำพรายน้ำกลั่นแกล้งเอา ทำให้ไม่ได้ปลาสักตัว

    ค่ำมืดแล้วพากันกลับบ้านหน้าเหี่ยวผิดหวังไม่ได้ปลา เมื่อมาถึงบ้าน เมียแม่ม่ายเห็นไม่ได้ปลาสักตัว ก็ร้องด่าหนุ่มจันทาเสีย ๆ หาย ๆ เป็นการใหญ่ หาว่าทอดแหไม่เป็น ทำมาหากินไม่เจริญ เป็นผัวเฮงซวย โง่เซอะเป็นกระบือ เป็นหมู เป็นอะไรต่ออะไร เรียกว่า ด่าไม่เลี้ยง

    “โอ ! นี่คือทุกข์ครั้งแรก ทุกข์ทางใจอันแสบเผ็ด ที่ได้รับจากเมียรัก เราทั้งเหนื่อยทั้งหิวข้าว เพราะที่ทำงานหนักทอดแหมาทั้งวัน เมื่อมาโดนเมียด่าสาดเสียเทเสียเช่นนี้ มันชอกช้ำ หัวใจเหี่ยวเหมือนใบตองกล้วยถูกน้ำร้อนลวก”

    ท่านพระอาจารย์จันทาเล่าถึงความหลังในอดีตยิ้ม ๆ

    แต่แล้วเราก็ต้องตกตะลึง เมื่อแม่เมียรักเอาข้องสำหรับใส่ปลาของเราไปวางลง แล้วนางก็ขึ้นยืนคร่อม ถลกผ้าซิ่นขึ้น แล้วปัสสาวะลงใส่ข้องใส่ปลาเสียงปัสสาวะของนางดังซ่า ๆ นางก็แผดเสียงร้องว่า มันต้องอย่างนี้ถึงจะได้มีโชคได้ปลาเต็มข้อง กูปัสสาวะใส่ให้มึงเอาโชคเอาชัยนะยะ ต่อไปนี้ปลาในแม่น้ำชีจะต้องกระโดดเข้าใส่ข้องเพราะหลงเสน่ห์ของกู !

    การกระทำของเมียแม่ม่ายอายุแก่กว่าครั้งนี้ ทำให้หนุ่มจันทาทั้งตื่นตระหนกตกใจ และเศร้าเสียใจอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ก็ไม่กล้าปริปากโต้เถียงเพราะตนอายุน้อยกว่า และยังเกรงศักดิ์ศรีของเมียอีกด้วย

    ก็ได้แต่เฝ้ากล้ำกลืนฝืนใจข่มความเศร้าโศกไว้ในอก พูดไม่ออกเหมือนคนใบ้ ร้องไห้ก็ไม่ได้เพราะตนเป็นลูกผู้ชาย !

    วันรุ่งขึ้นก็ไปทอดแหที่แม่น้ำชีอีกกับเพื่อนบ้าน ปลาติดแหมากมายดิ้นพล่านส่งเสียงร้องเหมือนฝูงอึ่ง แต่พอลากแหขึ้นมาปลาก็หนีหายหมดเหมือนเมื่อวานนี้ เป็นอยู่อย่างนี้ทั้งวันจนค่ำ

    กลับถึงบ้านไม่ได้ปลาเลยสักตัว เมียก็ด่าอีกอย่างสาดเสียเทเสียและยังลากเอาของใส่ปลาไปปัสสาวะใส่อีก !

    หนุ่มจันทาแสนจะช้ำใจ แต่ก็พูดไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้

    ต่อมาวันที่ ๓ ไปทอดแหที่แม่น้ำชีอีก เหตุการณ์เหมือนวันก่อน คือไม่ได้ปลาอีก เหมือนมีอาถรรพณ์อะไรเช่นนั้น ! เมื่อกลับถึงบ้านก็โดนเมียด่าไม่เลี้ยงอีกเช่นเคย และปัสสาวะรดข้องปลาอีก !

    คราวนี้หนุ่มลูกทุ่งจันทาเหลืออดเหลือทน สุดที่จะอดกลั้นต่อไป ขันติก็กลายเป็นขันแตก ศักดิ์ศรีความเป็นชายชาตรีก็ระเบิดตูมหมดสิ้นความกลัวเมียอีกต่อไปแล้ว จึงกระโดดเข้าถีบข้องใส่ปลาปลิวกระเด็นไป พร้อมกับร้องด้วยโมโหโทโสว่า

    “ทำบัดสีบัดเถลิงแบบนี้ ผีสางเทวดาต้องสาปแช่งแน่ ๆ แกกับฉันอยู่กินกันต่อไปก็ไม่มีทางเจริญดอก เลิกรากันเสียเถอะ !"

    ฝ่ายเมียแม่ม่ายกำลังมีโทสะแรงกล้าก็สวนตอบมาทันที

    “ดีแล้ว ! เลิกกันก็เลิก ไม่เป็นไร ผัวก็เหมือนเสื้อผ้า กูหาเอาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ เชิญแกไปจากบ้านกูเร็ว ๆ !”

    ก็เป็นอันว่า ชีวิตความรักและการแต่งงานก็พังพินาศลงเพียงเท่านี้ อยู่กินกันได้ปีเดียวเท่านั้น ตอนเลิกกันนี้เมียกำลังตั้งครรภ์ได้ ๓ เดือน เรียกว่าทิ้งลูกฝากไว้ในท้องเมียให้นางเลี้ยงดูเอาเอง

    "ตอนเลิกกับเมียเราอายุได้ ๒๔ พออายุ ๒๕ เราก็ออกบวชเลย ชีวิตนี้พอแล้วสำหรับความรัก ไม่ขอรักใครอีกแล้ว ไม่อยากมีเมียอีกแล้วในชาตินี้ เราบอกตัวเองตอนนั้นนะ”

    ท่านพระอาจารย์จันทาเล่ายิ้ม ๆ ท่านพระอาจารย์เพ็ง พุทธธัมโม ได้กล่าวแทรกขึ้นเสียงดัง ๆ ว่า

    “ถ้าเมียไม่ปัสสาวะใส่ตะกร้าข้องปลาท่านก็ไม่ได้บวช ควรถือว่าเมียมีส่วนช่วยส่งเสริมบารมีธรรมให้เจริญในชาตินี้ !”

    ท่านพระอาจารย์จันทายิ้มน้อย ๆ

    “เมื่อบวชแล้วก็สบาย มันเบาโหวงโล่งอกโล่งใจไปหมดเลย

    คนเรานี่นะ ขอให้กล้าตัดสินใจเลิกละเรื่องกามราคะให้มันเด็ดขาดลงไปจริง ๆ เถอะ เมื่อเลิกได้แล้ว มันหมดห่วงหมดความเร่าร้อนทุรนทรายไปหมดสิ้นเลย สบาย สบายจริง ๆ ถ้าไม่เชื่อจะทดลองดูก็ได้นะโยม”
     
  3. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอนอุปสรรคสำคัญในวันบวช
    18422442_10213048989209086_2274077153866468020_o.jpg 18422442_10213048989209086_2274077153866468020_o.jpg
    ตอนนี้มาเล่าถึงเวลาจะบวช

    ปีนั้นหนุ่มจันทาอายุได้ ๒๕ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๙๐ เมื่อจะบรรพชาอุปสมบทก็เอาขันดอกไม้ใส่ธูปเทียนไปเที่ยวขอขมาลาโทษผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านตามธรรมเนียม

    จากนั้นโยมพ่อโยมแม่ก็พาหนุ่มจันทาไปที่วัดบ้านแดง มอบตัวให้กับหลวงพ่อนัน ตาปโส เจ้าอาวาสเพื่อฝึกขานนาค ถือศีล ๘ อยู่วัดหัดท่องหนังสือสวดมนต์เจ็ดตำนาน ตลอดจนพิธีสงฆ์ต่าง ๆ

    “ถ้าท่องไม่ได้หมด ก็บวชไม่ได้ !”

    หลวงพ่อนันบอกอย่างนี้ เพราะเป็นธรรมเนียมการบรรพชาอุปมบททางอีสานถือเคร่งครัดมาก

    กรรมละซีทีนี้ !

    จะทำยังไง อ่านหนังสือไม่ออกสักตัว เพราะไม่ได้เข้าเรียนหนังสือที่ไหนมาก่อน จะท่องบ่นคำสวดมนต์ไหว้พระ คำขานนาคได้อย่างไรกัน ?

    ร้อนถึงพระเณรในวัด ที่อ่านหนังสือได้ท่องสวดมนต์ได้คล่องแล้ว ต้องมาช่วยหนุ่มจันทาด้วยการสอนด้วยปากเปล่า ให้หนุ่มจันทาท่องปากเปล่า

    คนไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่เคยท่องบ่นจดจำอะไรมาก่อนเลย ตั้งแต่เกิดมา จนอายุได้ ๒๕ เข้าเกณฑ์เบุญจเพส อยู่ ๆ ให้ท่องหนังสือ มันจะไหวหรือ ?

    “ตอนนั้นอาตมากลุ้มใจมาก ทุกข์มาก ท่องหนังสือแล้วมันจำไม่ได้เอาเสียเลย นี้คือวิบากกรรมหรือโทษที่ไม่ได้เรียนหนังสือแท้ๆ ”

    ท่านพระอาจารย์เพ็ง พุทธธัมโม ได้กล่าวแทรกขึ้นว่า

    “หลวงปู่บัว สิรินปุณโณ บิดาของอาตมา ตอนที่หลวงปู่บัวจะบวซนั้นท่านอ่านหนังสือบ่ได้เหมือนกัน เพราะไม่เคยเรียนหนังสือ อาตมาเป็นพระแล้ว ตอนนั้นต้องสอนท่านให้หัดอ่านหนังสือ หัดท่องขานนาค สอนยังไงหลวงปู่บัวก็จำไม่ได้ อาตมาสอนจนอ่อนใจ จนเผลอหลับไปทุกครั้ง”

    “หลวงปู่บัวท่องอยู่นานไหมขอรับถึงได้บวช ?”

    ผู้เขียนเรียนถาม ท่านพระอาจารย์เพ็งตอบว่า

    “หลวงปู่บัวต้องไปเรียนไปฝึกอยู่กับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่เขาสะแกราช จังหวัดนครราชสีมาอยู่ถึง ๓ ปี จึงสามารถอ่านหนังสือได้ ท่องขานนาคได้ ท่องสวดมนต์ได้จึงได้บรรพชาอุปสมบท”

    “กว่าจะได้บวชถึง ๓ ปี นับว่าหลวงปู่บัวมีความเพียรมาก”

    "หลวงปู่บัวเล่าให้อาตมาฟังในภายหลังว่า ชาติก่อนโน้นหลวงปู่บัวเคยเกิดเป็นหมู เอาแต่กินแต่นอน มันสมองมีน้อย โง่มาก ครั้นพอมาเกิดเป็นคนชาตินี้ก็เลยโง่อีก ไม่ได้เรียนหนังสือ กว่าจะเรียนเขียนอ่านออกได้แทบแย่”

    หนุ่มจันทาถึงแม้จะหัวสมองทึบ แต่ก็มีความตั้งใจแรงกล้า ศรัทธาที่จะบวชเรียนให้ได้ จึงพากเพียรฝึกหัดท่องจำคำขานนาค และสวดมนต์ไหว้พระอย่างหามรุ่งหามค่ำ อยู่เป็นเวลานานพอสมควร ในที่สุดก็สามารถท่องจำได้สำเร็จ

    จากนั้นได้เดินทางไปบรรพชาอุปสมบทที่วัดบ้านปลาฝา อยู่ใกล้ ๆ กับวัดบ้านแดง

    หลวงพ่อเภา เป็นพระอุปัชฌาย์ จำฉายาของท่านไม่ได้ พระอนุสาวนาจารย์และกรรมวาจาจารย์ก็จำชื่อไม่ได้

    “อาตมาบวชสมัยนั้น บวชบ้านนอก เป็นพระบ้านนอก อุปัชฌาย์ก็เป็นพระโบราณ ไม่ได้ถือเคร่งทางภาคปฏิบัติธรรม ท่านก็ไม่ค่อยจะสนใจอาตมา ฝ่ายอาตมาก็จำฉายาท่านไม่ได้ แม้แต่เวลาอาตมาไปขอเอาใบสุทธิ ท่านก็ไม่ยอมให้ เพราะกลัวอาตมาจะหนีไปอยู่วัดอื่น ต่อมาอาตมาก็ต้องแอบหนีไปจริง ๆ จึงได้ไปธุดงค์
     
  4. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอนหลวงปู่ทับ ผู้เกรียงไกร
    18424213_10213049004729474_960112484577785454_n.jpg 18424213_10213049004729474_960112484577785454_n.jpg
    ท่านพระอาจารย์จันทา จำพรรษาอยู่วัดบ้านแดง บ้านเกิด ๒ ปี ได้พยายามหัดเขียนเขียนอ่านหนังสืออย่างเต็มความสามารถ โดยมีพระเณรในวัดช่วยเป็นครูสอน แต่ก็เขียนอ่านไม่ได้เลย จำได้แต่คำสวดมนต์ไหว้พระเท่านั้น

    ปีต่อมา ได้ย้ายไปอยู่วัดบ้านขมิ้นใกล้ ๆ กัน ๑ พรรษา

    ที่วัดบ้านขมิ้นนี้มีผู้เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ทับ วัดป่าแพงศรี อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีฤทธิ์เดชเก่งกล้ามาก อยู่สายปฏิบัติกรรมฐานสำเร็จลุน แต่ตอนหลังยอมลดทิฐิมานะลง ยอมรับนับถือเอาหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเป็นครูกรรมฐานสายโลกุตระ สมควรที่พระอาจารย์จันทาจะได้ไปฝากตัวอยู่กับหลวงปู่ทับ เพื่อศึกษาเล่าเรียนเป็นพระธรรมกรรมฐาน จึงจะเจริญ อย่ามัวมาเป็นพระบ้านนอกไร้การศึกษาอยู่อย่างนี้เลย จะขาดทุนสูญโญหมด บวชแล้วก็ตายเปล่า ๆ ไม่ได้ประโยชน์ตน และไม่ได้ประโยชน์ทางเผยแผ่สืบทอดพระศาสนาเลย

    พระอาจารย์จันทาได้ฟังแล้วก็เห็นจริงด้วยทุกประการ เห็นจะเป็นด้วยบุพวาสนาแต่หนหลังดลบันดาล ทำให้เกิดความร้อนใจ ใคร่จะได้เดินทางไปนมัสการหลวงปู่ทับเป็นที่สุด !

    วันต่อมา เมื่อเตรียมเครื่องบริขารพร้อมแล้ว ก็รีบออกเดินทางจากวัดบ้านขมิ้นไปยังอำเกอกมลาไสย ข้ามทุ่งนาป่าดอนไป ด้วยจิตใจอันปลื้มปีติยินดี ที่จะได้พบกับครูบาอาจารย์ ผู้เป็นนักปราชญ์บัณฑิตคงแก่เรียน และทรงคุณวิเศษมีฤทธิ์เดช

    เมื่อไปถึงวัดป่าแพงศรี ก็เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ทับด้วยความเคารพเลื่อมใส ปลาบปลื้มใจจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก ดูคล้ายกับว่าหลวงปู่ทับจะรู้ล่วงหน้าแล้ว ท่านให้การต้อนรับแสดงความเมตตากรุณารับไว้เป็นลูกศิษย์ โดยไม่มีข้อแม้แต่ประการใดเลย

    ตอนที่ท่านพระอาจารย์จันทาไปอยู่ด้วยนั้น ท่านหลวงปู่ทับอายุได้ ๗๐ เศษแล้ว อายุอ่อนกว่าท่านหลวงปู่มั่น ท่านพระอาจารย์จันทาเล่าว่า

    “หลวงปู่ทับมีเมตตากรุณามาก ท่านสอนกรรมฐานให้อาตมาตามแนวของท่านหลวงปู่มั่นทุกอย่าง ท่านสอนอย่างละเอียดลออจริง ๆ สอนคนบ้านนอก พระบ้านนอกอย่างอาตมา ให้เกิดใหม่ เป็นคนใหม่ เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่อาตมาไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
     
  5. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน เจ้ากรรมนายเวรมาอนุโมทนาบุญการบวช
    18425401_10213062855155726_3715928156478448641_n.jpg
    หลวงปู่จันทา ท่านเล่าเองว่า ทีนี้ก่อนอื่นที่จะออกบวชในศาสนานั้น แต่ก่อนมาโน้น ก็ยังไม่ได้ใฝ่ฝันในการบวชหรอก ให้เห็นพระตามสถานที่ต่าง ๆ นั้น ก็มีใจยินดีอยู่ แต่ยังไม่คิดว่าอยากจะบวช ต่อเมื่อได้สร้างโลก (มีครอบครัว) จบสิ้นลงไปแล้วทีนี้ก็เลยคิดอยากจะออกบวช ทั้งนี้เพราะมีความคิดถึงผู้บังเกิดเกล้าเหล่ามารดาบิดาผู้มีพระคุณอย่างสุดยิ่ง คิดว่าจะบวชบำเพ็ญบุญอุทิศไปให้ท่าน เพราะนักปราชญ์ทั้งหลายท่านพูดว่า จะทำอะไรเพื่อทดแทนบุญคุณของบิดามารดานั้นทำได้แสนยากนัก จะไปทำไร่ทำนาค้าขายหารายได้จากสิ่งเหล่านั้นมาตอบแทนก็ไม่สมดุลกับบุญคุณนั้นจะเอาบิดามารดาขึ้นมานั่งบนบ่าถ่ายราดหนักเบา ให้ท่านอยู่เย็นสบายทั้งวันคืนก็ยังไม่สมดุลกับบุญคุณของท่าน

    บุญคุณของมารดาเท่ากับแผ่นดิน บุญคุณของบิดาเท่ากับแผ่นฟ้าอากาศกว้างกลางหาว จะหาสิ่งใดมาตอบแทนได้ไม่เสมอเหมือน

    ปี ๒๔๙๐ ก็เลยได้ออกบวช ครั้นเมื่อออกบวชแล้วก็ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมด้วยการเดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนบุญไปให้ทุกวันว่า “แม่ข้าพเจ้าชื่อว่า นางเลี่ยม ชมพูวิเศษ ตายแล้วไปตกอยู่สถานที่ใดหนอ เป็นสุขหรือทุกข์ประการใด ขอบุญกุศลส่วนนี้จงไปถึง และช่วยเหลือให้พ้นจากสถานที่ทุกข์ร้อนด้วยเกิด”

    นั่นแหละ กระทำอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ มาเป็นระยะ ๆ จนอายุพรรษาล่วงมาได้ ๘ พรรษา

    ในสมัยหนึ่งได้ไปภาวนาอยู่ที่ วัดป่าหนองแซง อ หนองวัวซอ จ อุดรธานี กับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น วันนั้นทำความเพียรอย่างหนัก ไม่ฉันอาหาร เดินจงกรมวันยังค่ำ พอค่ำมาก็เข้าที่นั่งสมาธิ ตลอดทั้งคืน ไม่ยอมนอน พอล่วงไปถึง ๔ ทุ่มความทุกข์เกิดขึ้น ความร้อนเกิดขึ้น จนถึงเที่ยงคืนจึงดับพอตี ๑ ความร้อนแสบเย็นเกิดขึ้นอีกเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งแจ้งเป็นวันใหม่ นั่งอยู่อย่างนั้น ไม่กระดุกกระดิก

    มาวันหลังเข้าที่นั่งสมาธิอีก จิตก็สงบ พอจิตสงบลงไปก็เกิดนิมิตเห็นสัตว์ทั้งหลาย มีกบเขียดปูหอยนกหนูปูปีกที่ตนได้ฆ่าเขามาแล้วนั้น ทั้งวัวและหมูก็ได้ทำมาแล้วแต่ควายไม่ได้ทำ และมนุษย์ก็ไม่ได้ทำ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นหลั่งไหลมาเต็มสถานที่นั้น จึงกำหนดจิตถามไปว่า

    “มาทำอะไรกันมากมายเช่นนี้ ?”

    เขาก็ตอบว่า “ได้ทราบข่าวว่าท่านมาบวชในศาสนาแล้ว จึงมาขอรับส่วนบุญ ขอท่านจงแบ่งส่วนบุญให้ด้วย เพราะท่านเมื่อสมัยที่เป็นฆราวาสนั้นได้ฆ่าพวกข้าพเจ้ากินเป็นอาหาร ฉะนั้น ถ้าไม่แบ่งส่วนบุญให้ จะขอจองเวรจองกรรมนะ ขอให้เป็นผู้ได้ประสบพบปะแต่เหตุเภทร้าย อายุสั้นพลันตาย ประกอบด้วยโรคภัยนานาชนิด ไม่มีวันจบสิ้น”

    เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น ก็เลยตั้งจิตอุทิศแบ่งส่วนบุญไปให้และให้เขารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ แล้วก็บอกให้เขามารับทุกวัน

    เขาก็ว่า “ดีแล้ว นับว่าเป็นโชคลาภอันดี จะได้มีโอกาสไปเกิดเป็นมนุษย์ เพราะภพชาติของพวกข้าพเจ้านี้ต่ำช้าลามก ไม่มีอิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น”

    ก็เลยอุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้นไม่ลดละ จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๐ พรรษา ไม่พบเห็นสัตว์เหล่านั้นมาหาอีกเลย จึงได้ไปกราบเรียนถามหลวงปู่บัว

    ท่านก็ว่า “ผมเองก็เหมือนกัน เมื่อภาวนาจนจิตสงบลงไปแล้ว จะเห็นฝูงสัตว์ทั้งหลายมากันสนั่นหวั่นไหวหลั่งไหลมาขอรับส่วนบุญ เมื่ออุทิศให้แล้ว เขาก็รับ แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ เขาไม่มาจองเวรจองกรรมอีกต่อไปเพราะเขาเห็นว่า ภพชาติสังขารของเขานั้นมันต่ำช้าลามก ไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ มนุษย์เป็นภพชาติสูงส่งยิ่งกว่าใด ๆ ทั้งหมด สามารถทำคุณงามความดีได้ยิ่งเลิศประเสริฐทุกอย่าง”

    นั่นแหละ ที่เรียกว่า การบวชบำเพ็ญบุญล้างบาป เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นแล้วก็สิ้นสงสัย
     
  6. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน แผ่บุญให้โยมแม่กลับมาเกิดอีกครั้ง ทำบุญกับพระทุศีลอุทิศบุญไปไม่ถึง
    18485444_10213062884476459_1586771186633001319_n.jpg
    ทีนี้เรื่องการอุทิศส่วนบุญให้แม่นั้น พออายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุได้ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความ รู้เรื่อง

    แม่ยายเขาเรียกใช้ว่า “อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย”

    “มึงอย่ามาเรียกกูว่า อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ”

    “เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี”

    สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่า ใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน”

    นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน

    เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖ คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้หมด รวมทั้งสามีภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐาน เครื่องหมายต่าง ๆ ก็บอกได้ไม่ผิด แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยก้นนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า

    “หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”

    เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ?” เขาต่อว่ากลับมาอีก

    “โอ๋...ตอนเช้าหลวงพ่อทำบุญน้อย พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมาทุกวัน แล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็นเพราะตอนเย็น เดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่ม ทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้นได้บำเพ็ญบุญมาก

    เขาว่า “ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้เร็วกว่านี้”

    ก็เลยถามเขาต่อไปว่า “ไปอยู่ในนรกมืดนั้นเป็นอย่างไร ?”

    เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันคืน ไม่ได้เห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”

    “ในนรกมีคนมากเท่าไหร่ ?”

    “โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”

    ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า

    “นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”

    นั่นแหละฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืน ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็ปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้เสียงประตูดังสั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้า ก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า

    “พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อน”

    พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้ เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไป เพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม

    จากนั้น จ่ายมบาลก็ว่า “ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้วเพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”

    นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญ อุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้ว ได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น

    ทีนี้ก็ย้อนมาถามพี่สาวบ้างว่า “ไม่ได้ทำบุญอุทิศไปให้แม่บ้างหรือ ?”

    พี่สาวก็ว่า ทำ ๓ ครั้ง น้าสาว (น้องแม่) เขาคิดถึงพี่สาวเขาก็เลยพาหลานสาวทำบุญอุทิศไปให้แม่ ทำถึง ๓ ครั้ง

    “ทำอย่างไรเล่า ?”

    น้าสาวพาทำบุญใส่เหล้าลงไปครั้งละโหลนะ ครั้งละโหลไหใหญ่ ๆ ฝังไว้ในป่าสับปะรด ป่ากล้วย ฆ่าวัว ฆ่าควาย สมัยนั้นวัวควายราคาถูก ทำบุญแต่ละครั้งหมดวัวควายไป ๔ - ๕ ตัว ตัวละ ๑๐ สลึงก็มี ตัวละ ๖ สลึงก็มี บาทหนึ่งก็มี ๕๐ สตางค์มี สมัยนั้น วัวควายไม่มีราคา

    “แล้วพระที่ไปทำบุญด้วยนั้น มีการประพฤติปฏิบัติอย่างไร ?”

    “โอ๋...พระเหล่านั้น กินข้าวแลงแกงร้อน (กินข้าวมื้อเย็น) เล่นสีกงสีกานารี ขุดดิน ฟันไม้ ถือเงินบายทองใช้จ่ายเงินทองเยี่ยงฆราวาส ) และที่วัดนั้นมีหมาพรานอยู่คู่หนึ่ง เย็นค่ำขึ้นมาก็พาหมาเข้าป่าไปล่าสัตว์ อีเห็น กระต่าย ได้มาก็เอามาทำอาหารกิน กินเหล้า กินยาต่าง ๆ นานา”

    ถ้าทำบุญอย่างนั้นก็ไม่ได้บุญหรอก ถึงจะอุทิศไปให้ก็ไม้ได้รับหรอก เหตุที่อุทิศให้ไม่ถึงก็เพราะ

    ๑ ฆ่าวัว ฆ่าควาย กรรมของสัตว์นั่นไปขวางไว้

    ๒ ผู้รับทานนั้น เป็นพระทุศีล พระทุศีลอุทิศให้ไม่ถึงนะ เพราะเครื่องส่งคือศีลนั้นมันขาด ขาดศีลเป็นเครื่องส่งบุญ แม้ตัวพระเองก็ไม่ได้รับ เพราะมีแต่บาป จะรับไทยทานส่งไปให้ผู้อยู่โลกหน้าก็ไม่ถึงทั้งนั้น

    นั่นแหละเรื่องการบวชใช้หนี้แทนสินพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า ก็จบสิ้นบริบูรณ์ทุกอย่าง แล้ว ก็เบาใจ เบากาย นี่แหละ เรื่องการบวชก็ต้องมีเครื่องยึดเครื่องอยากได้ มันจึงจะบวชได้ ยึดอยากได้สวรรค์ นิพพาน มันจึงพอใจออกบวชได้ นอกนั้นไม่มี
     
  7. montri_p

    montri_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +467
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ กราบหลวงปู่จันทา ถาวโร ด้วยเศียรเกล้า
     
  8. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน ญัตติเป็นธรรมยุต
    18449543_10213072108387051_8403984895970375217_o.jpg
    ครั้นต่อมา ปี ๒๔๙๓ ได้ญัตติเป็นธรรมยุต แล้วไปอยู่กับหลวงปู่ทับ (เขมโก) เจ้าอาวาสวัดป่าแพงศรี อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ วัดนั้นเป็นวัดป่าช้า ปีนั้นก็ตั้งใจทำความเพียรอย่างเต็มที่ อยู่ด้วยอิริยาบถ ๓ คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น เพราะอยากรู้ธรรม เห็นธรรม ไปศึกษาหลวงปู่ทับ ท่านก็ว่า

    “ถ้าทำความเพียรอ่อน ก็ไม่เป็นไป เพราะกิเลสกับธาตุขันธ์นั้นมันเหนียวแน่น ผูกมัดรัดรึงดวงจิตไว้ พร้อมทั้งกรรมชั่วช้าลามกนั้น ฉะนั้นจึงต้องทำความเพียรชนิดเอาตายเข้าว่า อย่างอุกฤษฏ์ ไม่ห่วงใยในชีวิตสังขาร เห็นว่า สังขารร่างกายนี้นั้น เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นอสรพิษตัวร้ายกาจ ขบกัดให้เป็นทุกข์อยู่ทุกกาลสมัย นับตั้งแต่วันเกิดเป็นต้นมา”

    “อสรพิษใหญ่นั้นคือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นี่แหละอสรพิษใหญ่ตัวร้ายกาจ ทีนี้จงทำความเพียรเผาจิตให้เร่าร้อนทั้งวันคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เพื่อว่าจะเผากิเลสให้มันเร่าร้อน จะนำดวงจิตเข้าสู่สมาธิธรรมได้ เมื่อจิตเข้าสู่สมาธิธรรมได้แล้วนั้น แสงสว่างแห่งธรรมจะเกิดขึ้นแล้วจะได้เปลื้องตนออกจากอสรพิษใหญ่ และจิตจะได้บรรลุธรรม นอกนั้นไม่มี ไม่เป็นไป”

    เมื่อหลวงปู่ทับว่าอย่างนั้นแล้ว ก็พอใจ เร่งทำความเพียรในปีแรก (๒๔๙๓) ตลอดไตรมาส ๓ เดือน ไม่นอน เดิน ยืน นั่ง เอาอิริยาบถ ๓ เท่านั้นแหละ ข้าง ก็ ๒ - ๓ วัน ฉันครั้งหนึ่ง ฉันก็ฉันน้อย พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้น เดินจงกรม บางวันมันเหนื่อยล้า ก็ยืนภาวนา มันจะหลับ หรืออย่างไรไม่ทราบ ปัสสาวะไหลออกมาไม่รู้ตัวนะ นี่แหละ การทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ไม่หวั่นไหว พอออกเดินไป รู้สึกว่าผ้าเปียก กำผ้ามาดม จึงรู้ว่าเป็นกลิ่นปัสสาวะ นั่นแหละ การทำความเพียรเป็นอย่างนั้น

    เดือนที่ ๑ ผ่านไป เดือนที่ ๒ ก็ผ่านไป พอเดือนที่ ๓ จวนจะผ่านไป จิตจึงสงบ เพราะการทำความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน เผาร่างกายให้เร่าร้อนอ่อนเพลียละเหี่ยใจ อาหารของธาตุขันธ์ คือ กิน กับ นอน นั้นไม่มี มีแต่ทำความเพียรอย่างนั้น ทีนี้บางคืน เดินแล้วก็ยืน ยืนนั่น หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ ผ่อนลมหายใจเข้าออกให้น้อยลง กายสังขารคือลม (เครื่องปรุงกาย) อานาปานสติ คือ ลม (สติกำหนดลม) นั่นแหละ ต่อแต่นั้นมา จิตก็อ่อนลง ๆ ละเอียดลงไปทุกที สติกับจิต กับลมหายใจเข้าออกมันละเอียดเข้าทุกที บางทีจิตก็สงบ ก่อนที่จิตจะสงบนั้น จิตก็วงพุทโธ พอวางพับ จิตก็รวมพับลงถึงขั้น ขณิกสมาธิ (จิตสงบเล็กน้อย) พอถึงขั้นนั้น ความอ่อนเพลียละเหี่ยใจ หิวโหยเหนื่อยล้าของร่างกายก็หายไปหมด รู้สึกสดชื่นแข็งแรงขึ้น นั่นแหละ อำนาจของความสงบเป็นอย่างนั้น เป็นของอัศจรรย์เลิศประเสริฐสุด แล้วศรัทธาก็เกิดขึ้นพร้อม วิริยะเกิดขึ้นพร้อม สติปัญญาเกิดขึ้นพร้อม เกิดความเห็นชอบว่า

    “โอ๋..วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ นั้นจริงแท้ ผู้มีความเพียร จะต้องมีทุกข์ ทุกฺขมจฺเจติ ความทุกข์นั้นมันเผาธาตุขันธ์แล้วก็เผาใจด้วย นั่นแหละ จะล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร เห็นธรรมได้ก็เพราะความเพียร นอกนั้นไม่มี”

    นั่นแหละ แน่นอนเป็นของดีเลิศประเสริฐอย่างนั้น รสชาติของความสงบนั้นแสนอร่อยลึกซึ้ง จึงสมกับนามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

    “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ฯ ความสุขอื่น เสมอด้วยจิตสงบ ไม่มี”
     
  9. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน พบเปรตอำเภอกมลาไสย
    18451370_10213072117147270_2128952722964533074_o.jpg
    ต่อแต่นั้น จิตก็ไม่หวั่นไหวในโลก ธาตุขันธ์นี้จะแปรปรวนอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว เพราะอาหารของจิต เกิดขึ้นแล้ว ในขณะนั้นก็เพ่ง เพ่งกายนั้น เพ่งอนิจจตา ไม่เที่ยง มันเป็นอย่างไร คือ มันแก่ ทุกขตา เป็นทุกข์ มันเป็นอย่างไร คือมันเจ็บ อนัตตตา เป็นอย่างไร คือ มันตาย นี่เพ่งอนุโลม ปฏิโลม เดินหน้า ถอยหลัง กลับขึ้นกลับลงอยู่อย่างนั้น นั่นแหละ แต่แล้วก็ยังไม่เห็นมรณะ อสุภะ เพราอินทรีย์อ่อน ก็เร่งกันอยู่อย่างนั้น

    ทีนี้ก็ได้ยินเสียงพูดกัน เสียงร้องครางก็มี มองไปข้างหน้าโน้น เห็นผีทั้งหลายยืนอยู่เป็นกลุ่ม ๆ บางตัวก็คอขาด หัวไม่มี มีตาอยู่ที่หน้าอก บางตัวก็มีตาแหกขึ้นข้างบน น่ากลัวนะ แต่เห็นแล้วก็ไม่กลัวทั้งนั้น เพราะอำนาจจิตสงบ ไม่กลัวใครทั้งนั้น ร้อน หิว หนาว ไม่มี ไม่กลัวทั้งนั้น อยากให้ทุกข์เกิดขึ้น เพราะได้เห็นผลของความสงบเยือกเย็นนั้นเกิดจากทุกข์ ถ้าความเพียรมีทุกข์แล้ว ก็ต้องมีผล คือสุขนั้น จะนำธรรมแปลก ๆ มาให้รู้ให้เห็น ถ้าความเพียรอ่อน ติดสุขแล้ว ไม่เห็น ไม่เป็นไป นี่ข้อสำคัญนะ

    จากนั้น ก็กำหนดถามผีเหล่านั้นว่า “พวกท่าน ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ?”

    “โอ๋...ท่านเอ๋ย พวกข้าพเจ้าสมัยเมื่อเป็นมนุษย์นั้น วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่นบ (ไหว้) ทาน ศีล ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่มี ถือศาสนาก็ถือตามเพื่อนบ้านลอยลมไปอย่างนั้น หาขอบเขตความจริงไม่ได้ ข้องดเว้นอย่างจริงจังก็ไม่มี รับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ต่อหน้าพระ พอให้หลังก็กินเหล้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไปเลยตามธรรมดา อยู่กินหลับนอนเหมือนกับวัวกับควายนั่นแหละความดีไม่ห่วงใยอาลัยทั้งนั้น ก็ทำไปตามธรรมดาของโลกที่เขาทำกันอย่างนั้น อ๋อ...โทษที่ไม่มีคอนั้น ก็เพราะไปตัดคอเขา นั่นแหละเป็นเปรต ทั้งหญิงชายก็เป็นอย่างนั้น”

    ถามแล้วก็ได้ความว่า เป็นผี เป็นเปรต มาตั้งแต่เริ่มตั้ง อ.กมลาไสย อยากจะพ้นจากเวรกรรมทุกข์ยากนี้ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร

    นั้นแหละ เมื่อเป็นธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ก็เกิดความสังเวชสลดใจ แล้วก็น้อมมาเป็นเรื่องของตน เขาเป็นอย่างไรก็เพราะความไม่ดีด้วยกาย วาจา จิต นั่นแหละ จึงได้รับผลเป็นอย่างนั้น

    กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์

    กิเลส เป็นเหตุให้ทำกรรมชั่วช้าลามก ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อไป กรรมวัฏฏ์ ก็ได้กระทำกรรมชั่วช้านั้น และ วิปากวัฏฏ์ ก็ได้เสวยวิบากแห่งกรรมอย่างนั้น

    ก็น้อมมาเป็นเรื่องของเรา เขาเป็นฉันใด เราก็เป็นฉันนั้น เพราะเหตุใด เพราะแต่ชาติปางก่อนโน้น เราก็คงเป็นอย่างนี้ หรือในชาตินี้ เราประมาทอยู่อีกต่อไป ภพเบื้องหน้าของเราโน้น ถ้าเรายังตัดกระแสของวัฏฏสงสารไม่ได้เมื่อไร จะต้องเป็นเปรตในวัฏฏสงสารอย่างเขานี่

    เปโต แปลว่า เปรต หมายถึง เป็นผู้ต้องเวียนเกิดดับในภพน้อยภพใหญ่ และได้เสวยวิบากอย่างนี้ บางทีก็โชคไม่ดี ไปพบพาลสันดานหยาบ ชักพาให้ทำความชั่วช้าด้วยกาย วาจา ใจ ผิดศีลธรรม เป็นเปรตอย่างนี้ ไม่ได้ตามใจหวังทั้งนั้น อันนี้ข้อสำคัญ สอนตนอย่างนั้น ก็เลยเร่งรีบทำความดีอย่างไม่ลดละ

    พอรุ่งขึ้นตอนกลางวัน ก็ไปศึกษากับ หลวงปู่ทับว่า “ผมจิตสงบเมื่อคืนนี้ ผมทำความเพียรมา ๒ เดือน พอเดือนที่ ๓ นี่จวนจะหมดแล้ว จิตจึงสงบ เมื่อจิตสงบแล้ว เห็นฝูงเปรตทั้งหลาย หญิงชายเต็มไปหมด ผมเองก็ไม่กลัวนะ น้อมมาเป็นพี่เป็นน้องทั้งนั้น แล้วก็ศึกษาเป็นธรรมะสอนผมเองว่า ต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้ หรือที่ผ่านมา อาจจะเคยเป็นอย่างนี้มาแล้วนั่นแหละ เห็นอย่างนั้นแล้วจะให้ทำอย่างไร”

    หลวงปู่ท่านก็บอกว่า “เห็นแล้ว ก็ให้ซักไซ้ไต่ถามเขา ให้ได้ความสังเวชสลดใจ โอ้...หนอ อนิจจา น่าสังเวช สัตว์บก สัตว์น้ำทุกถ้วนหน้าที่อยู่ในโลกทั้งสาม (กามโลก รูปโลก อรูปโลก) นี่แหละ เพราะทำความชั่วช้าลามกใส่ตนแล้ว ก็ลงสู่อบาย หาความสุขความเจริญไม่มี ก็จะเกิดความสังเวชสลดใจ แล้วจะได้ไม่ประมาท เร่งรีบสะสมคุณงามความดีใส่ตน ให้รอดพ้นไปจากวัฏฏทุกข์เสีย ถึงแม้ไม่ได้ธรรมขั้นสูง ก็ขอให้ได้ตัดกระแสของวัฏฏสงสาร คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ตัดได้ ๓ อย่างนี้ก็พอแล้ว แปลว่าตัดสงสารได้แล้ว ตัดวัฏฏทุกข์ขั้นต้นได้แล้วแน่นอน อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จิตสูง จิตเด่น จิตเลิศประเสริฐแท้ในขั้นนี้” ท่านว่าอย่างนั้น

    นั่นแหละ เป็นเหตุจะได้เป้าหมาย คือ พระนิพพานต่อไปในเบื้องหน้า อบายอย่างเขาไม่มี

    จากนั้น ท่านก็บอกว่า “จงเมตตาเขา ให้เขามารับพระไตรสรณคมน์ และ ศีล ๕ แล้วก็แบ่งส่วนบุญให้เขา เขาจะได้พ้นจากกำเนิดเป็นเปรต แปลว่าเราเป็นผู้มีเมตตาธรรม สงสารให้ส่วนบุญเขา เราก็จะได้อีก คือ ได้สติปัญญา”

    นั่นแหละ ทำความเพียร ขยำกันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่นั้นมา จิตใจที่กล้าแข็ง ก็อ่อนโยนลง เพราะเห็นสัตว์อื่น มวลมนุษย์ นาค ครุฑ ที่ประพฤติไม่ดีแล้วได้รับผลอย่างนั้น นั่นแหละ จิตนั้นก็ใฝ่ฝันขยันในการทำความเพียร ไม่ลดละ จนกระทั่งออกพรรษา
     
  10. tharaphut

    tharaphut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,721
    ค่าพลัง:
    +5,211
    กราบสาธุครับ
     
  11. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน ร่วมทางกับพระอาจารย์จันทร์
    18556217_10213084819024809_7869636166100367768_n.jpg
    ฝึกกรรมฐานอยู่กับหลวงปู่ทับ ๑ ปี เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้กราบลาท่านไปแสวงวิเวก ผ่านทุ่งนาป่าดอน ขึ้นภูพานไปทางสกลนคร เดินเท้าเปล่าไปตามทางสัญจรของชาวบ้าน ยังไม่กล้าบุกเข้าป่าทึบดงเสือดงช้าง เพราะความรู้ทางจิตตภาวนายังอ่อนหัดไม่ประมาทในชีวิต

    แสวงวิเวกไปถึงบ้านม่วงไข่ผ้าขาว เขตอำเภอสว่างแดนดิน ได้พบปะทำความรู้จักกับพระอาจารย์จันทร์ ซึ่งจาริกธุดงค์มาจากจังหวัดยโสธร

    หลังจากได้สัมโมทนียกถาและแลกเปลี่ยนทัศนะความคิดเห็นในการปฏิบัติธรรม.จนเป็นที่ชอบใจสบอัธยาศัยซึ่งกันและกันแล้ว ก็ตกลงใจร่วมกันเดินธุดงค์ขึ้นไปทางเพชรบูรณ์

    พระอาจารย์จันทร์ เป็นชาวบ้านขั้นใดใหญ่ จังหวัดยโสธร บวชเรียนมาได้ ๑๑ พรรษา ส่วนท่านอาจารย์จันทา เพิ่งได้ ๔ พรรษา เมื่อเดินธุดงค์ไปด้วยกันหลายวันเข้า ได้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนม ก็ค่อยได้รู้จักนิสัยใจคอและภูมิจิตภูมิธรรมกันขึ้นเรื่อย ๆ เรียกว่าเริ่มได้เห็น “หน้าตาดั้งเดิม” ได้บ้างแล้ว

    ท่านพระอาจารย์จันทาติดขัดการเจริญกรรมฐานข้อใด ก็ได้สอบถามเอาจากพระอาจารย์จันทร์ แต่ปรากฏว่าพระอาจารย์จันทร์อธิบายให้ฟังไม่ได้ แถมยังแสดงความไม่พอใจอีกด้วย ลักษณะของพระอาจารย์จันทร์ดูจะเป็นพระ “นักท่องเที่ยว” มากกว่าที่จะเป็นพระปฏิบัติกรรมฐาน

    เมื่อไปถึงเพชรบูรณ์ ได้จำพรรษาอยู่ด้วยกันที่วัดบ้านเฉลียง เป็นสถานที่สัปปายะวิเวกดีพอสมควร เหมาะสำหรับบำเพ็ญกรรมฐาน ท่านพระอาจารย์จันทาได้เร่งความเพียรในพรรษานั้น เดินจงกรมและนั่งสมาธิอย่างมีมานะ เอาจริง

    แทนที่จะส่งเสริม การณ์กลับเป็นไปว่า พระอาจารย์จันทร์ชอบเบียดเบียนทางกายและทางวาจา ไม่เห็นด้วยกับการเจริญกรรมฐาน พูดตรง ๆ ก็คือกลั่นแกล้งนั่นแหละ เกรงว่าท่านพระอาจารย์จันทาจะได้ดี มีความรู้เกินหน้าตน !

    แต่ท่านพระอาจารย์จันทาก็วางเฉย ใช้ขันติดวามอดกลั้น ไม่แสดงปฏิกิริยาขัดเคืองแต่ประการใด คงให้การเคารพนับถือพระอาจารย์จันทร์เสมอต้นเสมอปลาย และให้อภัยในการเบียดเบียน ที่ท่านจงใจเจตนากระทำต่อตน
     
  12. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน เห็นทูตนรกที่บ้านเฉลียงลับ
    18556263_10213084835225214_5037529429350960518_n.jpg
    เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้กราบลา หลวงปู่ทับ ออกเที่ยววิเวกไปกับท่านพระอาจารย์จันทร์ ซึ่งเป็นคนบ้านกระไดใหญ่ จ.ยโสธร ท่านอาจารย์จันทร์ได้ ๑๑ พรรษา เป็นหัวหน้าพาไป ขณะนั้นเป็นฤดูแล้ง ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้ไปพักอยู่ที่ วัดบ้านเฉลียงลับ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์

    อยู่มาวันหนึ่ง ก็เลยตั้งใจ ฝึกจิตตามวิธีการที่หลวงปู่ทับสอนให้ มีหลายประเด็น ประเด็นหนึ่งก็ ตั้งสัตย์ไว้ว่า จะไม่นอน วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ข้างก็ไม่ฉัน ทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ ๓ คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น แล้วตั้งใจมั่น อธิษฐานว่า

    “ถ้านรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ก็ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงทรงบันดาลให้ได้เห็นในวันนี้ หรือ คืนนี้ จะได้สิ้นสงสัยว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นนายะโก ผู้นำโลก คือหมู่สัตว์ออกจากวัฏฏทุกข์ได้แท้จริง”

    จากนั้นก็ออก เดินจงกรม ก้าวขวาว่า พุทโธ ก้าวซ้ายว่า ธัมโม ก้าวขวาว่า สังโฆ เมื่อครบ ๓ รอบแล้ว ก็ย่อคำบริกรรมเป็น ก้าวขวาว่า พุท ก้าวซ้ายว่า โธ ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ได้กำหนดเวลา มีแต่เดินกับยืนวันยังค่ำ จนกระทั่งถึง ๖ โมงเย็นจึงหยุด ไปอาบน้ำชำระร่างกาย เสร็จแล้วก็ฉันน้ำร้อน

    จากนั้น เวลาเกือบ ๖ โมง ๓๐ นาที แสงอาทิตย์จวนจะหมดแล้ว ก็เอากลดไปกางบนศาลา แล้วเข้าที่อธิษฐาน ตั้งใจมั่นว่า

    “คืนนี้จะนั่งภาวนา เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ และฝึกจิตให้จิตรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมต่าง ๆ นรก สวรรค์ นิพพานมีไหม ขอให้รู้เห็นเป็นไป จะได้สิ้นสงสัย”

    อธิษฐานแล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วก็อุทิศส่วนบุญ จากนั้นเข้าที่ นั่งสมาธิ ชำระจิตใจให้ผ่องใส ปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงให้หมดเสียสิ้น นั่งเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ทำกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น เฉพาะหน้า บริกรรม พุทโธ เป็นอารมณ์ของสติ หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ

    พอจิตยึดมั่นกับ พุทโธ ได้ไม่นาน จิตก็ปล่อยวาง พุทโธ เหลือแต่ผู้รู้ อยู่กับสติ พอจิตรวมลงไปนั้น จะไปนึกฐานอะไรก็ไม่ทราบ มันเป็นฐานใหญ่กว่า ขณิกสมาธิ ที่เคยเป็นมาแล้ว จิตก็วางกาย วางลม วางขันธ์ ลงถึงฐานใหญ่แสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้น กลางคืน เหมือนกลางวัน สว่างรุ่งโรจน์

    ในขณะนั้น มีความสุขและความเยือกเย็นร่าเริงบันเทิงเกิดขึ้นกล้าแข็ง จนรู้สึกแปลกประหลาดใจ นั่นแหละพอลงไปถึงฐานนั้นแล้ว จิตก็เสวยสุขอยู่ในที่นั้นนานพอสมควร ทีนี้ผู้รู้พูดขึ้นมาในหัวใจว่า

    “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ฯ ความสุขอื่นเสมอด้วยจิตสงบ ไม่มี”

    นี่แหละ พูดขึ้นมาอย่างนั้น อันนี้เป็น ภวังคภพภวังคจรณะ ภวังค์ใหญ่กว่าเมื่อครั้งที่อยู่ อ.กมลาไสย อันนี้ใหญ่กว่านั้น จะเป็นอะไรเล่า ถ้าพูดตามหลักธรรมก็เรียกว่า อุปจารสมาธิ พูดขึ้นมาอย่างนั้นว่า นี่แหละคืออุปจารสมาธิ สมาธิธรรมอันมั่นคงหนาแน่นนะ ซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นจากการเจริญสมณธรรม

    ทีนี้ผู้รู้พูดขึ้นมาอีกว่า “ความสุขนี้ยังเป็นโลกียสุขอยู่ซึ่งไม่แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แสงสว่างนี่คือ แสงพระนิพพาน แต่ยังไม่ใช่ตัวจริง เป็นรูปเปรียบเทียบเฉย ๆฉะนั้นอย่าเพิ่งติดสุข นักปราชญ์ พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย ผู้ได้พบพระนิพพานนั้น เป็นผู้ทำความเพียรเวียนหาความพ้นทุกข์ ไม่ติดสุขทั้งนั้น”

    นั่นแหละ เมื่อตั้งมั่นพอสมควรแล้ว ก็มาพิจารณาธาตุขันธ์ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์

    อนิจจตา ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง แปรปรวน เปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ แปรปรวนเปลี่ยนแปลงยักย้ายกลายมาเป็นอื่น ตั้งแต่วันเกิดมาโน่น จนถึงวันนี้ จากวันนี้ก็จะแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปอีกข้างหน้าโน้น

    ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ ทุกถ้วนหน้า โลก คือหมู่สัตว์ไม่ได้ตามใจหมายทั้งนั้น เพราะเป็นทุกข์ เพราะใจห่วง ใจยึด

    อนัตตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เราเสียสิ้น นั่นแหละ พิจารณาน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์เสมอ มันจึงจะเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด ยึดธาตุขันธ์ว่า ขันธ์เป็นตน ตนเป็นขันธ์ ขันธ์มีในตน ตนมีในขันธ์ ไม่ใช่หรอก เป็นแต่เพียงสัมภาระปัจจัย เครื่องอาศัยชั่วคราว ไม่แน่นอน ไม่นานก็พลัดพรากจากกันไปเท่านั้น เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทอดทิ้งไว้ อย่าเพิ่งสงสัย ยึดมั่นอยู่เลย ยึดไว้พอเป็นปัจจัย เครื่องอาศัยชั่วคราว เพื่อให้มันได้ตน ได้ธรรม ได้บุญ ได้กุศล มรรคผลที่เกิดขึ้นจากสมบัติอันนี้ แล้วก็พิจารณาอย่างนั้น อนุโลม ปฏิโลม เดินหน้า ถอยหลัง ตัวเองก็แจ้งชัด คนอื่นภายนอกก็แจ้งชัด ก็สิ้นสงสัย

    อฑฺฒา เจว ทฬิทฺทา จ สพฺเพ มจฺจุปรายนา ฯ ทั้งจนและมี ดีและชั่ว นอกบ้าน ในบ้าน นอกเมือง ในเมือง ใต้น้ำ บนบก ใต้ดิน บนอากาศทุกถ้วนหน้า เกิดมาแล้วก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลง แก่เจ็บตายทอดทิ้งไว้ทุกถ้วนหน้าทั้งหมด นั่นแหละ ได้ยิน ได้ฟังได้เห็นอย่างนั้น จิตก็สังเวชสลดใจจนน้ำตาไหล เกิดความขนัน หมั่นในการทำความเพียรไม่ลดละ

    จนกระทั่ง ล่วงไปถึงตีสอง ๓๐ นาที มีนิมิตผ่านเข้ามา เป็น นายนิริยบาล ๘ คน เดินทางออกมาจากบ้านเฉลียงลับ รูปร่างสูงใหญ่มหึมา ขนาดมนุษย์เรา ๖ คน จึงจะเท่ากับเขา ๑ คนนะ ผิวเนื้อดำแดง สวมเสื้อผ้าสีแดง และมีผ้าแดงเคียนที่ศีรษะ มือถือง้าวปลายแหลม เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ห่างประมาณ ๒ - ๓ วาเท่านั้น
     
  13. ครูเรือง

    ครูเรือง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2010
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +686
    ขออนุโมทนา สาธุ ครับ
    (ควรอ่านให้จบในครั้งเดียว จะได้อรรถรสดีมาก ครับ)
     
  14. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน พบนายนิริยบาล
    18485714_10213088086266488_5786331133529622165_n.jpg
    คนที่เป็นหัวหน้าก็กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ พวกข้าพเจ้าทั้ง ๘ คนนี้เป็นนายนิริยบาล มาจากเมืองนรก มาเอาบุคคลผู้สิ้นอายุสังขาร ซึ่งเป็นหญิงสาวอายุ ๑๖ ปี หมดเกษียณภพชาติแล้ว พวกข้าพเจ้าได้ไปทำลายธาตุขันธ์ให้สิ้นลมแล้ว เดี๋ยวเขาจะตามมาภายหลัง”

    “พวกท่านเป็น นายนิริยบาล มาจากเมืองนรกจริงหรือ ?”

    “จริง ! ...ผู้ที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกเหมือนกับพวกข้าพเจ้านี้ เรียกว่า นายนิริยบาล นายนิริยบาลเปรียบเสมือนกับพลตำรวจก็มี และมี จ่ายมบาล ซึ่งเปรียบเสมือนอธิบดีกรมตำรวจ คอยควบคุมบัญชาการอีกที”

    ถามเขาไปอีกว่า “พวกท่านที่ได้ไปทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้น ทำคุณงามความดีหรือความชั่วอย่างไร ?”

    เขาก็บอกว่า “ความดีก็ทำ ความชั่วก็ทำ เอาหมดทั้งนั้น ไม่เลือก เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว กรรมดีและชั่วนั้นจึงพาไปอุบัติบังเกิดเป็นนายนิริยบาล ทำงานอยู่ในเมืองนรก”

    จากนั้นก็ถามเขาอีกว่า “นรกนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ?”

    เขาก็บอกว่า “นรกนั้นอยู่ใต้ภูเขาเทวดาลงไป เป็นอีกเมืองหนึ่งต่างหาก อยู่ระหว่างกึ่งกลางของ ๓ จังหวัด คือ เลย ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์”

    “นรกนั้น เป็นสุข หรือ เป็นทุกข์ ประการใด ?”

    “เป็นทุกข์ หาสุขไม่มี”

    “ทุกข์อย่างไร ?”

    “ทุกข์เพราะถูกต้มด้วยน้ำร้อน และถูกสังหารด้วยหอกด้ามกล้า พร้าด้ามคม ของนายนิริยบาล เป็นทุกข์อย่านั้น หาสุขไม่มี”

    “พวกท่านที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้นเล่า เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ ประการใด ?”

    “เป็นทุกข์ครึ่งหนึ่งของสัตว์นรกเหล่านั้น”

    “เป็นทุกข์อย่างไร ?”

    “เป็นทุกข์ในขณะที่ไปสังหารสัตว์นรก ตรวจตราสัตว์นรก ถูกไฟนรกปลิวขึ้นมาไหม้ ถูกน้ำร้อนกระเด็นขึ้นมา ลวกแทบจะตาย นี่เป็นเพราะกรรมชั่วที่สะสมไว้เมื่อครั้งยังชาติเป็นมนุษย์โน้น จึงให้ผลเป็นทุกข์อย่างนั้น ครั้นพอเลิกจากงาน ก็กลับมาอยู่ปราสาทราชมณเฑียร กินของทิพย์อยู่สุขสบาย เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ครั้งยังชาติเป็นมนุษย์ทั้งนั้น”

    “คนในเมืองไทยนี่ ก็คงจะไปนรก กันหมดทุกคนใช่ไหม ?”

    “เปล่า !... คนที่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และศีลธรรมนั้น ไม่ได้ไป ถึงไปแล้วก็ไม่ได้ลงนรก”

    “ฉะนั้น แสดงว่า คนในเมืองไทยนี้ ไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกล เมื่อตายแล้ว พวกท่านไปนำเขามาทั้งหมด ใช่หรือไม่ ?”

    “ใช่ !... คนในเมืองไทยนี้ ไม่ว่าชาติใด ภาษามด ทั้งนั้นมีรายชื่ออยู่ในบัญชีของจ่ายมบาลทั้งหมด เขาไปจดไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในที่ลี้ลับซับซ้อนอย่างไรก็ตามที จะโกหกพกลมไม่ได้ทั้งนั้น”

    ถามเขาไปอีกว่า “นรกนั้น มีมากน้อยเท่าไหร่ ?”

    เขาก็ตอบว่า “เฉพาะในเมืองไทยนี่ก็มีหลายขุม ๔ ภาค ก็คงจะ ๔ ขุมใหญ่ ๆ นั่นแหละ”

    อาตมาก็เคยเห็นใน มหาวิบากสูตร และใน พระมาลัยสูตร กล่าวว่า นรกในโลกมนุษย์นี้มีทั้งหมด๔๕๖ ขุม ทีนี้ก็เลยถามเขาต่อไปอีกว่า

    “เอาเฉพาะคนในเมืองไทยนี่แหละ เพราะต่างคนต่างอวดว่า ศาสนาของตัวนั้นเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ศาสนาพุทธ ก็ว่า ผู้ถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ ส่วนศาสนาอื่น ๆ เขาก็ว่า ฆ่าสัตว์ไม่บาป และไปสวรรค์ได้ เมื่อทำบาปหยาบช้าทั้งหลายทั้งปวงลงไป พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์นั้นจะเป็นผู้รับแทนทั้งหมด และว่า พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์เป็นผู้สร้างโลก มันจะเป็นจริงอย่างเขาว่านั้นหรือไม่ ?”

    “ไม่หรอกท่าน...พูดอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนหูหนวกตาบอดพูด พูดหลอกลวงโลก และคนอื่นให้หลงตามกันเท่านั้น เพราะเมื่อทำความชั่วลงไปแล้ว ก็ต้องได้รับผลของความชั่วนั้น และเมื่อทำความดีลงไปแล้ว ก็ต้องได้รับผลของความดีนั้น เรื่องของกรรมดีหรือบุญนั้น จะส่งผลให้เห็นว่า ทางไปมนุษย์และสวรรค์นั้น สะอาดเตียนดี เหมือนกับเขาถางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องของบาปหรือกรรมชั่วนั้น จะส่งผลให้เห็นว่า ทางไปนรกนั้น สะอาด เตียนดี เปลวไฟในในนรกที่ลุกรุ่งโรจน์ ก็สำคัญว่าเป็นกองดอกไม้ สัตว์ร้องครางร้องไห้คร่ำครวญเลือดอาบตัวอยู่ ก็สำคัญว่า เป็นสายสร้อยสังวาลสนุกสนาน นั่นก็เพราะบาปกรรมทำให้เห็นเป็นอย่างนั้น ส่วนทางไปมนุษย์หรือไปสวรรค์นั้น กลับมองเห็นเป็นป่ารกชัฏ เป็นขวากหนาม นั่นแหละเรื่องของบาป”

    ได้ซักถามเขาต่อไปอีกว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ต่างศาสนากัน เมื่อตายไป และถูกท่านนำไปสู่เมืองนรกแล้ว ทำอย่างไรต่อไป ?”

    เขาตอบว่า “เมื่อถึงสถานที่นั้นแล้ว จ่ายมบาล จะถามว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำกิจการงานใดเลี้ยงชีพ บางคนก็ตอบว่า ค้าขาย บ้างก็ว่า ทำไร่ ทำนา บ้างก็ว่า รับราชการ ต่าง ๆ กันไป”

    จากนั้น จ่ายมบาลจะถามต่อไปว่า “นับถือศาสนาอะไร ?” บางพวกก็ตอบว่า ศาสนาพุทธ บางพวกก็ว่า ศาสนาคริสต์ อิสลาม สิกข์ และฮินดู แตกต่างกันไป

    ทีนี้ จ่ายมบาลจะถามถึง เทวทูตทั้ง ๕ (ทูตะ แปลว่า เครื่องส่ง เครื่องรับรอง) คือ ๑. ชาติ ความเกิด ๒. ชรา ความแก่ ๓. พยาธิ ความปวดไข้ ๔. มรณะ ความตาย และ ๕. นักโทษในเรือนจำ นั้น ท่านพิจารณาเห็นเป็นอย่างไร โดยถามไปทีละศาสนา ตอนแรกก็ถามศาสนาพุทธก่อน

    ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธทั้งหญิงชาย ก็ตอบว่า “เป็นทุกข์” ทั้งนี้เพราะอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้น ฝังอยู่ที่ใจของเขา จึงดลบันดาลจิตใจให้เป็นปราชญ์ฉลาดรู้สิ่งทั้งปวงนั้น โดยไม่เก้อเขิน ไม่เดือดร้อนอาทรใจ องอาจกล้าหาญชาญชัยอย่างนั้น

    ต่อจากนั้น จ่ายมบาล ก็จะถามอีกว่า “วัตร ๖ กก ๕ และสีมาทั้ง ๘ นั้นเป็นอย่างไร ตลอดจนหลักของพุทธศาสนาอื่น ๆ อีก เช่น วัตร ๓ วัตร ๔ วัตร ๕ วัตร ๖ โพชฌงค์ ๗ สมถวิปัสสนากรรมฐาน และ ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น ท่านพิจารณาเห็นเป็นอย่างไร

    ด้วยอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฝังอยู่ในใจ ของผู้ที่นับถือ ศาสนาพุทธ เขาก็ตอบได้ว่า

    “วัตร ๓ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ”

    “วัตร ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา”

    “วัตร ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา”

    “วัตร ๓ คือ กาย (กายสุจริต)

    วาจา (วาจาสุจริต)

    ใจ (มโนสุจริต)”

    “วัตร ๔ คือ อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย สิโรธ มรรค”

    “วัตร ๕ คือ อินทรีย์ ๕ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา”

    “กก ๕ คือ หัว ๑ แขน ๒ ขา ๒”

    “กก ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ”

    ศาสนาพุทธสอนว่า เป็น อนิจจตา ไม่เที่ยง ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ อนัตตา ก็ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา

    วัตร ๖ คือ อินทรีย์ ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศาสนาพุทธสอนว่า ให้สำรวมให้ดี ตา เห็นรูป หู ฟังเสียง จมูก ดมกลิ่น ลิ้น ลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม กาย จับต้องสัมผัส เย็นร้อน อ่อน แข้ง มโน น้อมนึกในธรรมารมณ์นั้น ๆ ศาสนาพุทธสอนให้สำรวมให้ดี ไม่ให้ยินดียินร้ายในของเหล่านั้น ถ้ายินดียินร้าย ก็เป็นเหตุให้ใจเศร้าหมอง เป็นทุกข์

    วัตร ๗ คือ โพชฌงค์ ๗ เป็นองค์เครื่องตรัสรู้ ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และ อุเบกขาสัมโพชฌงค์

    วัตร ๗ คือ อริยทรัพย์ ๗ ได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ และ ปัญญา

    สีมา ๘ คือ มรรค ๘ เป็นเครื่องดำเนินให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ มรรค ๘ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ สัมมาวาจา กล่าววาจาชอบ สัมมากัมมันโต การงานชอบ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบเพียรละบาป บำเพ็ญบุญชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ และ สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบ มรรค ๘ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ใดดำเนินตาม จะนำให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ ไปถึงปรมัตถสุข คือ พระนิพพานเป็นที่แล้ว

    สมถวิปัสสนากรรมฐาน เป็นที่ตั้งสำหรับฝึกกาย และจิต ให้จิตมีสติ มีปัญญา ให้นำจิตเข้าสู่ความสงบได้ และเป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลสทั้งหมดออกจากดวงจิตได้

    นั่นแหละ ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ เขาก็ตอบได้ถูกต้องทุกอย่าง จากนั้น จ่ายมบาลจึงว่า

    พวกท่านเป็นนักปราชญ์ลาดรู้ รู้จักศาสนาที่ดี เป็นศาสนาที่ล้างบาป เป็นศาสนาที่กลั่นกรองกิเลส เป็นศาสนาที่บำเพ็ญบุญกุศล คุณงามความดีให้เกิดมีขึ้น เป็นศาสนาที่ป้องกันโลก คือหมู่สัตว์ไม่ให้ไปอบาย ถึงไปก็ไม่ได้เสวยทุกขวิบากในอบายนั้น ฉะนั้น พวกท่านจึงไม่ต้องตกนรก แต่จะได้กลับไปเกิดในเมืองมนุษย์อีก”

    นี่แหละ เพราะอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และศีลธรรมที่ได้ประพฤตินั้นติดตามรักษาอยู่เป็นนิจ จึงสมกับคำกล่าวที่ว่า

    ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษา ไม่ให้ตกไปในโบกที่ชั่ว

    ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะมีแต่สุคติเป็นที่ไปล้วน ๆ

    จากนั้น จ่ายมบาล ก็สั่งให้นายนิริยบาล นำผู้ที่นับถือศาสนาพุทธนั้นกลับไปเกิดยังเมืองมนุษย์อีก

    ต่อมา จ่ายมบาล ก็หันมาซักถามผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ว่า “ศาสนาของท่านสอนอย่างไร ?”

    ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นนั้นก็ตอบว่า “ไม่รู้”

    จ่ายมบาล ก็ถามเรื่อง วัตร ๖ กก ๕ สีมาทั้ง ๘ และหลักพระพุทธศาสนาทั้งหมด ก็ตอบเขาไม่ได้ ดังนั้น จ่ายมบาล จึงว่า

    “พวกท่านทั้งหลาย จะถูกหรือผิดก็เป็นเรื่องของพวกท่านนะ วันนี้จะได้ลงนรกแล้ว เพราะกรรมของพวกท่านทำเอง”

    อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ

    อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ

    ทำบาปเองย่อมเศร้าหมองเองนะ ไม่ทำบาปเองย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดและเศร้าหมองหาได้ไม่ ฉะนั้น บุญก็ดี บาปก็ดี ตนของตนเองนะ เป็นผู้สะสมใส่ตนไว้ เมื่อสะสมใส่ตนไว้แล้วนั่น บุญนั่นแหละจะนำพาไปสู่สุคติ คือ สวรรค์ ส่วนบาปนั้น จะพาดวงจิตของโลก คือหมู่สัตว์ไปสู่ทุคติ มีอบายภูมิเป็นที่ไปเบื้องหน้า คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ๔ สถานนี้ เป็นที่ไปของบุคคลผู้ทำบาป ไม่มีศีล ไม่มีธรรม

    ฉะนั้น พวกท่านวันนี้จะได้ลงนรกแน่นอน ไม่ได้กลับเมืองมนุษย์แล้ว เพราะเครื่องรับรองป้องกัน คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีในหัวใจของพวกท่าน ศีลธรรมคำสอนของนักปราชญ์ผู้ดีทั้งหลาย ไม่มีในหัวใจของท่าน พวกท่านเป็นโมฆมนุษย์ เพราะเมื่อไปเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไปพบกับคนพาลสันดานหยาบ ชักนำให้ทำความชั่วช้าลามาก ถือศาสนาผิด ศาสนามหาโจรใหญ่ นั่นแหละ หลอกลวงตนและบุคคลอื่น ทำความชั่วอยู่เป็นนิจ เพราะครูผู้สอนนั้น ก็ล้วนแต่เป็นคนมีกิเลสทั้งนั้น

    “เอ้า นายนิริยบาล คุมตัวไปลงนรก”

    นายนิริยบาล ก็ขับลงนรกหมดเสียสิ้น เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านดวงวิญญาณของโลก คือหมู่สัตว์ไปอยู่ในสถานที่นั้น นั่นแหละ พวกที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ที่ทำบาปหยาบช้า ก็ลงนรกหมดเสียสิ้น ไม่ได้กลับมาเมืองมนุษย์อีก หมดเพียงแค่นั้น

    นั่นแหละ ไปเสวยวิบากอยู่ในนรกขุมนั้นนานเท่าใด ก็แล้วแต่กรรมของสัตว์นั้นว่ามีมากน้อยเพียงใด บางจำพวกก็พันปี บางจำพวกก็หมื่นปี บางจำพวกก็แสนปี ถูกต้มด้วยน้ำร้อนและถูกสังหารด้วยหอกด้ามกล้าพร้าด้ามคม ของนายนิริยบาล เป็นทุกข์ไปจนกว่าจะพ้นจากสถานที่นั้น
     
  15. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน วิญญาณหญิงสาวขอความช่วยเหลือ
    18447679_10213088098186786_4130981281273521855_n.jpg
    เมื่อพ้นจากนรกแล้วไปไหนอีก

    พ้นจากนรกก็ไปเป็นเปรต พ้นจากเปรตแล้วไปเป็นอสุรกาย พ้นจากอสุรกายแล้วไปเป็นสัตว์เดรัจฉานต่าง ๆ นานา ท่องเที่ยวเกิดดับในภพน้อยภพใหญ่ ใช้กรรมใช้เวรอยู่อย่างนั้น ไม่มีวันจบสิ้นได้ เป็นทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ ไร้ทรัพย์อับปัญญา เพราะความดีไม่มี

    นั่นแหละ นายนิริยบาล ได้เล่าเรื่องเมืองนรกให้ฟังอย่างนั้น และก่อนจะจากไป เขาก็บอกว่า

    “ท่านอาจารย์บวชในศาสนาแล้ว ก็จงไปเทศน์แนะนำพร่ำสอนพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย ให้เขาทั้งหลายเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งเด๊อ บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา อย่าได้ลดละ พิจารณาธาตุขันธ์ว่าเป็น ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อยู่เสมอ จิตใจนั้นจึงจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ยินดีในโลกสงสารอีกต่อไป จิตใจนั้น จะเห็นว่าธาตุขันธ์ไม่พอกับความต้องการ ไม่นานก็จะพลัดพรากจากกันไปเท่านั้น แล้วให้เร่งรีบ ตุริตะ ตุริตัง สีฆะสีฆัง รีบด่วน เร็วพลัน อย่าผัดวันประกันพรุ่ง รีบสะสมแต่บุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ กอบโกย เอาบุญกุศลใส่ตนไว้ อันนั้นแหละ เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้”

    “สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ แม้เพียงน้อยนิดถึงไปแล้วก็ไม่ได้ตกนรก ส่วนผู้ที่นับถือมากนั้น ไม่ได้ไปนรก เพราะรายชื่อในบัญชีของ จ่ายมบาล ก็ถูกลบออกไปหมด เมื่อตายแล้ว เขาเหล่านั้นมีสวรรค์และพรหมโลกเป็นที่ไปเบื้องหน้า สำหรับผู้บุญพาวาสนาส่ง สะสมบุญกุศลไว้มาก ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้น และมาชาตินี้ ได้ประสบพบปะกับนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม แล้วก็ประพฤติวัตรปฏิบัติบำเพ็ญสมถะวิปัสสนากรรมฐาน ยังจิตใจเข้าสู่อุปจารธรรมได้ และวิปัสสนาญาณก็เกิดขึ้น พิจารณาเห็นทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่ ก็ล้วนมีแต่ตาย ตายแล้วก็เปื่อยเน่าสาบสูญ ไม่มีอะไรเป็นเขาเป็นเรา นั่นแหละ ก็รื้อถอนกิเลสออกจากดวงจิต หมดเหตุหมดปัจจัยเมื่อไร ก็จะได้บรรลุวิมุตติวิโมกขธรรมอันยิ่งใหญ่ ได้ชื่อว่าเป็น นิยโตมนุษย์ เป็นมนุษย์อันเยี่ยมเลิศประเสริฐแท้ เมื่อพวกเขาเหล่านั้นดับขันธ์แล้ว เข้าสู่พระนิพพาน พ้นทุกข์จากโลกสงสาร ไม่กลับมาเวียนเกิด เวียนตายอีก หมดเพียงแค่นั้น”

    จากนั้นพวกนายนิริยบาลก็ลาจากไป

    ต่อมาไม่นาน มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านเฉลียงลับ มาถึงก็กราบแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ดิฉันหมดเกษียณภพชาติมนุษย์ จะได้ไปสู่เมืองนรก ใจร้อนเหมือนไฟ ขออนุโมทนาส่วนบุญกับท่านบ้างเถอะ”

    ก็เลยอุทิศส่วนบุญให้ว่า “แม่หนูน้อย จงตั้งใจรับส่วนบุญกับหลวงพ่อนะ บุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมา ขอแบ่งครึ่งให้นะ แม่หนูน้อย จงรับเอาไปเถิด”

    “สาธุ ! ...” แล้วเขาก็ว่า

    “ใจร้อน ๆ เมื่อได้รับส่วนบุญจากหลวงพ่อแล้วใจก็เย็นสบายดี จะไปตกนรกไหมหนอ ?”

    “ไม่ตกหรอก แม่หนูน้อย จงบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปเสมอนะ อย่าได้ลดละ อย่าได้ประมาท เมื่อไปถึงนรกแล้ว จ่ายมบาล เขาจะซักไซ้ไต่ถามเรื่องเทวทูต ๕ นะ และอำนาจของ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ที่ฝังอยู่ที่ใจของแม่หนูน้อยนั้น จะตอบได้โดยเร็วพลัน สมบัติทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็เกิดขึ้นจากพุทโธ ธัมโม สังโฆ ทั้งนั้น”

    เขาก็ว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็กราบ ๓ ที แล้วขอลาออกเดินทางตามนายนิริยบาลไป

    ก็จดจำ รูปร่างลักษณะของแม่หนูน้อยคนนั้นไว้ เป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าขาวเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลวดลายที่ปลายทั้งสอง

    ขณะนั้นเป็นเวลาตี ๓ กว่าแล้ว จิตก็เลยถอน เมื่อจิตถอนออกแล้ว ได้ยินเสียงร้องไห้มาจากบ้านเฉลียงลับ วัดกับบ้านอยู่ไม่ไกลกันนะ

    พอตื่นเช้า ก็ออกภิกขาจารบิณฑบาต พอกลับมาถึงวัด ก็มีโยมทายกนำอาหารมาถวาย แล้วก็พูดว่า

    “ท่านอาจารย์ เมื่อคืนนี้ ลูกสาวของข้าพเจ้าขาดใจตายแล้ว เมื่อตอนตี ๓”

    ตอนที่หญิงสาวไปหาในนิมิตนั้น ก็เป็นเวลาตี ๓ พอดี ถูกต้องตรงกันนะ ก็เลยพูดกับโยมไปว่า

    “อาตมาเพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่เคยพบเห็นลูกสาวของโยม แต่ก็จะแถลงไขให้ทราบ ลูกของโยมคนนั้น หมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น เพราะบุญเก่าเขาเอามาน้อย มีนายนิริยบาล ๘ คน มาเอาตัวไป พวกนายนิริยบาลก็มาสนทนากับอาตมาอยู่ที่วัดนี่แหละ เขาบอกว่า หญิงสาว อายุ ๑๖ ปี หมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น ทีนี้ลูกสาวของโยมเป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อกลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลายคล้ายงูเหลือม ใช่ไหม ?”

    “ใช่แล้ว...ไม่ผิดหรอก”

    “ลูกของโยมเป็นคนมีกิริยามารยาทเรียบร้อย ท่าทางเป็นนักปราชญ์ ใช่ไหม?”

    “ใช่แล้ว...ลูกของข้าพเจ้า เมื่อเกิดมาพอรู้เดียงสา ถ้าไม่ได้ทำบุญแล้ว จะไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่ว่าจะมีงานบุญบวช บุญกฐิน หรือบุญอะไรที่ไหน ใกล้หรือไกล ที่บ้านน้อยเมืองใหญ่ เป็นต้องไปร่วมทั้งนั้น บางทีก็ไปนานเป็น ๑๐ วัน ๒๐ วัน แล้วกลับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แจ่มใส พ่อแม่ก็ไม่ว่าไร เคยถามเขาว่า ทำไมจึงทำอย่างนี้ ?”

    ลูกก็ตอบว่า “พ่อแม่ นี้เป็นสมบัติเบื้องหน้า สมบัติข้าวของเงินทองก็เป็นสมบัติมาหาได้ใหม่ ไม่ใช่เป็นสมบัติติดตามมาแต่ภพชาติปางก่อนโน้น ภพชาติปางก่อนโน้นของฉันเป็นเหตุ ถ้าฉันดีแล้ว อะไรก็ดีหมด พ่อแม่ก็ดี ถ้าฉันชั่วแล้ว อะไรก็ชั่วหมดทั้งนั้น ฉะนั้นฉันจึงไม่หวั่นไหว เห็นว่าบุญกุศลให้ผลเป็นสุขพาให้พ้นทุกข์ นั่นแหละ จะส่งผลมาให้ได้พ่อแม่ที่ดีไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน เพราะกรรมดีของฉันสะสมไว้แต่ปางก่อนโน้น มาชาตินี้ จึงมาได้พ่อแม่ที่ดี ส่วนสมบัติข้าวของเงินทองก็เป็นสมบัติมาหาได้ใหม่ ไม่นานก็จะจากกันไปเท่านั้น เมื่อจากกันแล้วก็ทอดทิ้งไว้ เอาไปด้วยไม่ได้ ทั้งสมบัติภายในและสมบัติภายนอก”

    นั่นแหละ พอฉันเช้าเสร็จแล้ว เขานิมนต์ไปทำพิธีเผาศพลูกสาวที่ป่าช้า ไปแต่เช้าเลยนะ ถามเขาว่า

    “ทำไมจึงรีบเผาแต่เช้า ?” เขาก็ว่า “ต้องรีบปลงภาระหนัก เจ้าของร่างเขาปลงภาระหนักไปแล้ว เราผู้ยังอยู่ ก็ต้องรีบปลงภาระหนัก เมื่อเสร็จแล้ว ต่างคนต่างหมดภาระหนัก”

    เมื่อไปถึงป่าช้า เปิดฝาโลงดู ก็เห็นศพมีรูปร่างเหมือนอย่างที่เขาไปหาในนิมิต เมื่อคืนนั่นแหละ พอทำกิจพิธีทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็เผาทิ้ง ไม่มีอะไร หมดเพียงแค่นั้น นั่นแหละ ดีหรือชั่ว ก็หมดเพียงแค่นั้น ถูกไฟเผาแล้วก็หมดทุกอย่าง

    นี่แหละ ไปเห็นเป็นอย่างนั้น ก็น่าอัศจรรย์ใจนะ เห็นว่านรกนั้นมีแท้แน่นอน เพราะได้เห็นทูตานุทูต คือ นายนิริยบาล เป็นผู้ส่งข่าวสารให้ทราบ พร้อมทั้งมีคนตายให้เห็นเป็นพยานอีก ก็สิ้นสงสัย
     
  16. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน สิ้นลมที่บ้านตะเบาะ
    18447494_10213094120257334_1564560042827217945_n.jpg
    พอใกล้เข้าพรรษา ได้แยกจากท่านอาจารย์จันทร์ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านตะเบาะ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ มีพระจำพรรษาอยู่ด้วยกัน ๓ รูป สามเณร ๑ รูป และผ้าขาวเฒ่า ๑ คน (ผ้าขาว คือ ฆราวาส ผู้รักษาศีล ๘ อยู่ที่วัด)

    อยู่มาวันหนึ่ง เป็นวันเพ็ญเดือน ๑๐ หลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว กลับมาที่กุฏิเอาผ้าคลุมจะไปฟังธรรมะ ก็พอดีไข้มาเลเรียมันกำเริบหนักขึ้นสมอง ล้มลงกับพื้นที่กุฏิซึ่งปูด้วยฟากไม้ไผ่ กุฏินั้นมี ๒ ห้อง พักอยู่กับเณรคนละห้อง เณรได้ยินเสียงล้มลง จึงออกมาดู แล้วถามว่า

    “ครูบาเป็นอะไร ?” (ครูบาเป็นคำเรียกพระที่พรรษาหย่อน ๑๐)

    “ไม่รู้! ... มันมืดตื๊บแล้วล้มลงเลย”

    เณรก็วิ่งไปบอกญาติโยมว่า “ครูบาจันทา ล้มลงนะ เป็นอะไรก็ไม่ทราบ ขี้แตก เยี่ยวออก พูดได้อยู่ แต่ไม่รู้อะไร”

    ทั้งพระและโยมเขาก็มาดู เอาหมอมาด้วย หมอบ้านนอก เป็นตำรวจเก่า เขาก็มาตรวจดูแล้วบอกว่า “เป็นไข้มาเลเรียขึ้นสมองอย่างหนัก อีก ๕ นาที ก็จะสิ้นลม”

    โยมทายกวัดเขาก็ว่า “จะสิ้นหรือไม่สิ้นก็ต้องฉีดยาช่วยเหลือไว้ก่อน”

    พอฉีดยาเสร็จแล้วไม่นานก็สิ้นลม เมื่อสิ้นลมแล้ว ดวงจิตนั้นยังไม่ยอมออกจากร่าง ยังห่วงใยเสียดายร่างกายอยู่ ไม่นาน มีเพื่อนคนหนึ่ง รูปร่างสวยงาม มายืนอยู่ข้าง ๆ ร้องบอกว่า

    “เพื่อน ๆ ...รีบออกจากเรือนเถอะ ไฟมันจะไหม้ทับหัว”

    ก็เลยออกมาจากร่างมายืนติดกับเพื่อน เพื่อนก็บอกว่า

    “นี่แหละ เพื่อนเอ๋ย ! ...สมบัติร่างกายนี้นั้นอาศัยกันมาตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้นั้น ก็ถูกไฟพยาธิเผาให้เร่าร้อนฉิบหายเสียแล้ว จะอาศัยกันอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ หมดเพียงแค่นี้นั่นแหละ ถึงจะเสียดายอย่างไร ก็หมดสิทธิอำนาจที่จะเข้าไปครอบครองได้อีกต่อไป”

    จากนั้นทั้งพระและโยมก็ช่วยกันเปลี่ยนผ้า ล้างผ้า อาบน้ำให้ แล้วก็หามศพไปไว้ที่ศาลา วางนอนไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใส่โลง และก็ไม่ได้ฉีดยา ก็ตามไปดูอีก เพราะความเสียดายนั่นแหละ เข้าไปนั่งลูบคลำร่างกายศพดู แล้วก็เฉย เขย่าดูก็เฉย เหมือนขอนไม้

    โอ้หนอ...ขึ้นชื่อว่าตายแล้ว ถึงจะคิดเสียดาย อาลัยอาวรณ์อย่างไร ก็เอากลับคืนมาไม่ได้ แล้วก็หมดความสงสัย ทีนี้ก็หันไปพูดกับพระเณร เขาก็ไม่พูดด้วย ไปถามญาติโยม เขาก็ไม่พูดด้วย เขามองไม่เห็น เพราะมีแต่นามธรรมคือ ดวงจิตนั้น

    จึงหันกลับมาถามเพื่อนว่า “เราจะไปไหนกันดี ?”

    เพื่อนก็ตอบว่า “จะพาไปเที่ยวดูภูมิประเทศ”

    ก็ออกเดินทางกันวันยังค่ำ มีแต่ดวงจิตไปสบาย ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้า ปลิวไปเหมือนนุ่นต้องลมฉะนั้น

    ครั้นไปถึงกึ่งกลางระหว่าง ๒ หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งเป็นภูเขา อีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นป่าดง ในระหว่างกลางนั้นเป็นสนามเล่น ก็เลยไปพักเล่นกับเขา (ผี) เล่นอยู่จนกระทั่งตี ๓ พวกเขากลับบ้านกันหมด เพราะมันจะค่ำ กลางคืนเป็นกลางวันนะ เมื่อพวกเขากลับไปหมดแล้ว จึงถามเพื่อนว่า

    “เราจะไปไหนกันอีก ?”

    เพื่อนก็บอกว่า “เราเองก็มาใหม่ ยังไม่รู้จักภูมิประเทศ จะไปข้างหน้าก็เป็นป่าดง ไปข้างหลังก็เป็นภูเขา แต่ว่าขณะนี้ สมบัติปัจจัยเก่าคือร่างกายนั้นยังสดชื่นอยู่ พอที่จะกลับคืนสู่ร่างเก่าได้ เพราะมีบุญครึ่งหนึ่งรักษาไว้ เหมือนกับเกลือ รักษาเนื้อไว้ไม่ให้เน่าเปื่อยนั่นแหละ แต่ว่าเรามาไกลแล้ว จะเดินกลับคงไม่ทันแน่ ต้องวิ่ง”

    เอ้าวิ่ง...ก็วิ่งเลย มีแต่นามธรรมคือใจนั้น เบาเหมือนนุ่มต้องลมแล้วก็ปลิวไปอย่างนั้น ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้าอะไรหรอก ข้ามดง ข้ามทุ่งนามาถึงวัดแล้วก็ขึ้นไปบนศาลา ไปดูซากศพ ก็เห็นนอนสบายดีอยู่ มีแต่ญาติโยมที่มาเฝ้าศพปรึกษากันว่า

    “จะเผาหรือฝังนั้น ต้องรอท่านอาจารย์จันทร์ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่บ้านเฉลียงลับก่อน เพราะมากับท่าน ท่านจะให้ทำอย่างไร ก็ทำตามท่าน”

    ไปถึงแล้วเพื่อนก็บอกให้เข้าไปนั่งติดกับร่างศพ แล้วตั้งสติให้ดี นึกถึงบุญเก่าและบุญใหม่ บุญเก่าที่ท่านสะสมมาตั้งแต่ครั้งศาสนาของ พระพุทธเจ้าสิขีโน้นนั่นแหละ คือ เนกขัมมบารมี ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบจนตลอด ๑๐๐ กว่าปี นั่นแหละ บุญน้อยใหญ่สะสมมาไม่ลดละและบุญใหม่ที่บวชมานี่อีก ๕ พรรษา (หลวงปู่นับรวมที่เป็นมหานิกายด้วย ๓ พรรษา) ประกอบกันเข้านั่นแหละ จะช่วยให้ดวงจิตกลับเข้าสู่ร่างได้ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ พอนึกจบแล้ว ดวงจิตก็เข้าสู่ร่างได้อย่างสบาย เมื่อหันหน้ากลับมาดูเพื่อนเพื่อนหายไปเสียแล้ว

    เพื่อนหายไปไหน พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า โอ๋...เพื่อนนั้นกลับกลายมาเป็นเตโชธาตุ เผาร่างกายให้อบอุ่นสดชื่นดี เพื่อนนั้นได้แก่ บุญกุศลที่ได้สะสมไว้ สามารถนิมิตเพศเป็นอะไรได้ทุกอย่าง บุญนั้นเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้

    พอแจ้งวันใหม่ กระดุกกระดิกร่างกายได้ ลืมตาขึ้นได้ยินเสียงนกแซงแซวร้องว่า “แจ้งแล้ว ๆ” ก็ระลึกขึ้นมาว่า เรามีชีวิตกลับคืนมาได้ก็เพราะบุญหรอก บุญที่สะสมไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าเป็นเครื่องรักษา ไม่ให้เป็นอันตรายฉิบหาย

    ฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะสะสมแต่บุญกุศลเท่านั้น สิ่งอื่นไม่เอานะ สิ่งอื่นไม่ว่าจะเป็นสมบัติ ข้าวของเงินทอง กุฏิ วิหาร สบง จีวร สังฆาฏิ ก็ดี เมื่อสิ้นลมไปแล้วก็ทอดทิ้งไว้หมดเสียสิ้น มีแต่บุญกุศลเก่าและใหม่เท่านั้น ที่จะบันดาลให้เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ เป็นผ้าสบง จีวร และสังฆาฏิสวยงาม เป็นที่พึ่งพิงอาศัยได้แท้แน่นอน

    เมื่อตั้งสัตย์อธิษฐานเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง พวกญาติโยมที่มาเฝ้าศพอยู่บนศาลาก็ตกใจ บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็กระโดดลงศาลาไปด้วยความกลัวผี

    ไม่นาน พอหายตกใจกลัวแล้ว พวกโยมทายกวัดก็เข้ามาถามความเป็นมา เพราะไม่เคยเห็นคนตายไปวันกับคืนแล้วฟื้นคืนมาได้

    ก็แสดงให้เขาฟังอย่างที่ได้อธิบายมาแล้ว นั่นแหละ และก็ว่า โยมทั้งหลาย ต่อไปนี้จงยึดเอาอาตมาเป็นคติธรรมเตือนใจนะ เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้า รักษาสมบัติร่างกายไว้ ถึงตายแล้วก็ไม่เปื่อยเน่า ยังสดชื่นเหมือนเดิม ทำให้ฟื้นกลับคืนมาได้ ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงรีบเร่งสะสมคุณงามความดีใส่ตนไว้ จะได้เป็นเพื่อนสองเป็นคู่ครองติดตามตลอดไป

    นั่นแหละ ก็ได้เห็นผลของการบำเพ็ญบุญ เห็นอำนาจของบุญเป็นอย่างนั้น ดีเลิศประเสริฐแท้ ฝังใจแน่นอน ไม่หวั่นไหว จะเป็นหรือตายก็ไม่หวั่นไหวต่อใครทั้งหมดทั้งนั้น ใครว่าดีเลิศประเสริฐอย่างไร ก็ไม่หลงไปตาม

    นั่นแหละ จึงสมกับคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

    สุโข ปุญฺสฺส อุจฺจโย การสะสมซึ่งบุญนั้น นำมาซึ่งความสุขความเจริญ ไม่ให้วิบัติฉิบหายจริงแท้

    ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ผู้ประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม ธรรมย่อมรักษา ไม่ให้เคลื่อนคลาดจากภพชาติที่ได้แล้ว ดีเลิศประเสริฐอย่างนั้น
     
  17. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน ผีกินผี
    18527617_10213094131137606_3587162653116624047_n.jpg
    สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๖) ไปวิเวกอยู่ที่ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก อ.สว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็น อ.ส่องดาว จ.สกลนคร) กับหลวงพ่อไค ๆ เป็นคนภูไท อายุมากแล้ว (๖๐ – ๗๐ ปี) จึงบอกว่า

    “หลวงพ่อไค ที่นี่ผีมันร้ายนะ คนไม่กล้ามาทำไร่ ทำสวน เพราะผีมันกวน ฉะนั้น เวลาจะถ่ายปัสสาวะให้นั่งถ่ายใส่รางให้เป็นที่เป็นทางนะ อย่าไปถ่ายเรี่ยราดทั่วไป ไม่ดี เดี๋ยวผีมันจะดึงหำเอา” (หำ คือ อัณฑะ)

    หลวงพ่อไคก็ว่า “ผมมันแก่แล้ว เวลาปวดปัสสาวะแล้วมันก็ไหลเลย”

    วันหนึ่งได้ยินเสียงหลวงพ่อไคร้อง “โอ๊ย ! ...”

    จึงถามไปว่า “เป็นอะไร ?”

    หลวงพ่อไคก็ว่า “ผีมันดึงหำ”

    “นั่นแหละ บอกแล้วไม่ฟังก็เป็นอย่างนั้น ลูกหลานเขาหยอกคนแก่หรอก นี่แหละ โทษฐานที่ถ่ายปัสสาวะไม่เป็นที่ ไม่เป็นทาง”

    จากนั้น อยู่มาวันหนึ่ง นั่งภาวนาอยู่ในป่าจนถึง ๖ ทุ่ม ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องว่า

    “พี่น้อง...มาช่วยฉันเถอะว้า ผีปอบมากินลูกฉัน ฉันคลอดลูกใหม่ ๆ ผีปอบมากินเลย”

    อ้าว ! ... มันอะไรกัน มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนกลางวัน ไม่เห็นมีอะไร โอ๋...ดอนป่าไม้นี้ มีผีอยู่ที่นั่นกลุ่มหนึ่ง ร้องเรียกบักทิดบักจารย์ มาช่วยกันขับไล่ผีปอบ ผีเหล่านั้นก็ออกมาจากพุ่มไม้ กอไม้ ต้นไม้ต่ำ ๆ เป็นปราสาทที่อยู่ มาแล้วก็ขับไล่กันทุกอย่าง ก็ไม่ออก

    เมื่อไม่ออกแล้วทำอย่างไร หมดคาถาแล้ว คาถาของเรานี้ แต่ก่อนก็คมกล้าดี แต่มาระยะนี้ มาอยู่กับผู้หญิง อาถรรพ์ของผู้หญิงนั้นกล้า คาถาดีเท่าไหร่ก็เสื่อมหมด ฉะนั้นจงไปขอน้ำมนต์จากพระที่ท่านมาเจริญธรรมที่ถ้ำนะ เพราะศีลของท่านดี ท่านไม่ได้อยู่กับผู้หญิง ไม่ได้กินเหล้าสุรานารีอะไร

    ยายคนนั้น คนแก่ ๆ ดำ ๆ สูง ๆ ก็เลยเอาขันน้ำมาหา แล้วว่า

    “หลวงพ่อ ขอจงเมตตาช่วยเหลือข้าพเจ้าเถอะว้า ผีปอบกินลูกของอิฉันนะ คลอดบุตรใหม่ ๆ ผีมากินแล้ว”

    ก็เลยทำน้ำมนต์ให้ ใช้คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์นั่นแหละ ให้เอาไปกิน พอกินแล้วก็อาเจียนออกมาเลย นั่นแหละ ผีมันออกแล้ว

    จากนั้น พวกนี้ก็กลับไปอยู่ตามถ้ำแคบ ๆ เล็ก ๆ ตามกอไม้กอหญ้าต่ำ ๆ จึงถามว่า

    “ทำไมไม่ไปอยู่ในถ้ำใหญ่ ๆ ?”

    เขาตอบว่า “ไปอยู่ไม่ได้นะท่าน เข้าไปแล้วมันร้อนเหมือนไฟ เพราะสมัยที่มีภพชาติเป็นมนุษย์โน้น พ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายายพากันนับถือผี เมื่อถึงฤดูกาลก็บวงสรวง เซ่นไหว้ผีหมอ ผีฟ้า ผีต่าง ๆ ทุกอย่าง น้อมเอาผีมาเป็นที่พึ่งทั้งนั้น แม้ว่านักปราชญ์จะป่าวร้องเชิญชวนให้เข้าวัดฟังธรรม จำศีล เจริญภาวนา สร้างถนนหนทาง สร้างน้ำบ่อก่อศาลาก็ไม่ยินดี ถือว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีพอแล้ว ไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ใครยังไม่พอก็ทำไปเถอะ”

    “นั่นแหละ ฆ่าวัว ฆ่าควาย กินเหล้ากินยา สุรานารี ไม่ถือผัวถือเมีย เสพกามกันไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าลูกเขาเมียใคร ไม่ถือกันทั้งนั้น ดังนั้น เมื่อตายแล้วพวกข้าพเจ้าจึงมาเกิดเป็นผีอยู่ที่นี่ ไปไหนมาไหนไม่ได้ ร้องไห้บ่นเพ้อละเมอใจ เป็นทุกข์ทรมาน หนอนเจาะของลับ น้ำเน่าไหล อาศัยอยู่ในถ้ำแคบ ๆ แสนทุกข์ยากลำบาก ครั้นเดือน ๔ เดือน ๕ ก็มีไฟไหม้ป่ามา ต้องขนข้าวของหนี ฉิบหายทุกปีแหละท่าน”

    นั่นแหละ เคยเห็นแต่ผีปอบกินคน แต่นี่ ทำไมหนอ ผีจึงมากินผี จึงกำหนดถามพระธรรม ๆ ก็พูดขึ้นมาที่ใจว่า

    “เจ้าอุ้มลุ่ม เจ้าผู้ตุ้มผ้าดำ แสนจะหนีไปลี้ภูเขา ถ้ำใหญ่ก็ดีถ่อน กรรมเวร เวรกรรม หากสินำซอกใช้ กินไส้บ่หร๋อเจ้าเอย”

    (คนใจบาปหยาบช้า ถึงจะหลบหนีไปอยู่ที่ใด บาปกรรมก็จะตามไปสังหารให้เดือดร้อนอาทรใจเสมอ)

    นั่นแหละ ไปเห็นมาอย่างนั้นแล้วก็สิ้นสงสัย คนที่มีนิสัยเคยถือผีถือสางคางแดงมาแต่ครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ เมื่อตายไปก็ไปเกิดเป็นผีตกทุกข์ได้ยาก ถึงจะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ มันก็ไม่สนใจหรอก ควรที่จะมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ก็ไม่มา นิสัยเคยถือผีสางอย่างนั้น ถึงจะพ้นทุกข์ได้ก็ไม่อัศจรรย์อะไรหรอก นี่แหละ โทษของการนับถือผีก็เป็นอย่างนั้น

    นั่นแหละ ไปเห็นอย่างนั้นก็ได้ธรรมะ คือ คนที่นับถือผี เมื่อตายไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นผีอย่างนั้นแน่นอน จะไปมนุษย์หรือสวรรค์ไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมอันดีงาม มีแต่กรรมชั่วช้าลามก คือ โลภะ โทสะ โมหะฉาบทาจิตใจ ตายแล้วไปเกิดเป็นผีอย่างนั้น นั่นแหละ ก็ได้ความสังเวชสลดใจ ได้วิชาปัญญาความรู้
     
  18. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน ธรรมะภูไท
    18620009_10213146710092047_5352323900083661144_n.jpg
    สมัยที่ไปวิเวกอยู่ที่ภูเหล็กนั้น วันหนึ่งไปบิณฑบาตที่ บ้านหนองแวงม่วง อ.สว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็น อ.ส่องดาว) จ.สกลนคร กับหลวงพ่อไค ซึ่งเป็นคนภูไท ท่านรู้ภาษาไทยโส้ ไปถึงระหว่างกลางทาง มีไทยโส้ผัวเมียกับลูก ไปหาอาหารตามป่า พ่อแม่เดินออกหน้าไปไกลมากแล้ว ลูกอยู่ด้านหลังเดินตามไม่ทัน ก็ร้องว่า

    “เอออ้อง.. ๆ ... ๆ ...”

    จึงถามหลวงพ่อไคว่า “เอออ้อง หมายความว่าอย่างไร ?”

    “นี่เป็นภาษาไทยโส้นะ” ท่านว่าอย่างนั้น “ถ้าพูดเป็นภาษาลาว (อีสาน) ก็คือ อีพ่ออีแม่เอ๊ย...! ท่าข้อยแน๊... ข้อยสิหลงป่า (พ่อจ๋า แม่จ๋า รอฉันด้วย เดี๋ยวฉันจะหลงป่า)”

    ทีนี้ก็เลยถามหลวงพ่อไคต่อไปว่า “แม่เรียกลูกว่าอย่างไร ?”

    “กวนใจสี กวนใจตา”

    “ผัวเรียกเมียว่าอย่างไร ?”

    “เย็นใจสี เย็นใจตา”

    โอ๋... ถูกใจนะ ผัวกลับจากป่าดงพงไพร หิวโหยกระหายมาเห็นเมียแล้วเย็นตาเย็นใจ นั่นแหละ มีหลวงปู่องค์หนึ่งเพิ่งบวชใหม่ อยู่ อ.สว่างแดนดิน เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน พูดให้ฟังว่า

    “ครูบาอาจารย์เอ๊ย...สมัยที่ผมยังเป็นฆราวาสอยู่นั้น ไปทำไร่ทำนา หิวโหยกลับมาจากป่าถึงบ้านเรือน พอเห็นหน้าเมียก็เย็นใจ ได้กลิ่นเมียกลิ่นลูกก็หอมหื่นชื่นใจ หอมหวนชวนใจ ความหิวก็หายไปหมด นั่งสูบยามวนใหญ่ ดมกลิ่นเมียกลิ่นลูกสบาย เป็นอย่างนั้นนะ”

    จึงถามหลวงพ่อไคต่อไปอีกว่า “เมียเรียกผัวว่าอย่างไร ?”

    “กวนก้นสี กวนก้นตา”

    “โอ๊ !...ข่มหัวลงดมก้น กวนก้น ตอนเย็นก็กวนก้น ตอนเช้าก็กวนก้น สมขี้หน้าที่เขาเรียกว่า กวนก้น”

    หมดความสงสัยแล้ว หลวงพ่อไคขอจงเป็นพยานนะ และเทพเจ้าเหล่าเทวาแม่เจ้าธรณีทั้งหลาย ก็ขอให้เป็นพยานด้วยเถิดว่า

    “ต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจะเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ในการรักษาเพศพรหมจรรย์ จะไม่ออกไปเป็นพ่อกวนก้น ให้ผู้หญิงข่มหัวดมก้นอีกนะ”

    นั่นแหละ ก็ได้ปัญญาฉลาดรู้ตั้งแต่วันนั้นมา เมื่อพิจารณาแล้วก็เห็นว่า เป็นอย่างเดียวกันนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพระยานาหมื่น นายพล นายพัน ข้าหลวง ผู้ว่า ก็ล้วนแต่ดมก้นผู้หญิงทั้งนั้น เป็นพ่อกวนก้น ตอนเช้าก็กวนก้น ตอนเย็นก็กวนก้น กลางคืนก็กวนก้น กลางวันก็กวนก้น กวนแต่ก้นนั่นแหละ ไปไหนไม่ได้ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นคนทุปัญญา

    ทุปญฺา ปราภโว ผู้ทุปัญญา จึงโง่เขลาเบาปัญญาอย่างนั้น ไม่สามารถเอาตัวรอดพ้นจากความทุกข์ได้

    นี่แหละ ธรรมพเนจรบทบาทนี้ดีมากนะ ได้เป็นข้อคิด เป็นคติธรรมเตือนใจ
     
  19. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เล่าขานตำนานธรรมะพเนจรกับหลวงปู่จันทา ถาวโร ตอน ธรรมะภูไท
    18620009_10213146710092047_5352323900083661144_n.jpg
    สมัยที่ไปวิเวกอยู่ที่ภูเหล็กนั้น วันหนึ่งไปบิณฑบาตที่ บ้านหนองแวงม่วง อ.สว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็น อ.ส่องดาว) จ.สกลนคร กับหลวงพ่อไค ซึ่งเป็นคนภูไท ท่านรู้ภาษาไทยโส้ ไปถึงระหว่างกลางทาง มีไทยโส้ผัวเมียกับลูก ไปหาอาหารตามป่า พ่อแม่เดินออกหน้าไปไกลมากแล้ว ลูกอยู่ด้านหลังเดินตามไม่ทัน ก็ร้องว่า

    “เอออ้อง.. ๆ ... ๆ ...”

    จึงถามหลวงพ่อไคว่า “เอออ้อง หมายความว่าอย่างไร ?”

    “นี่เป็นภาษาไทยโส้นะ” ท่านว่าอย่างนั้น “ถ้าพูดเป็นภาษาลาว (อีสาน) ก็คือ อีพ่ออีแม่เอ๊ย...! ท่าข้อยแน๊... ข้อยสิหลงป่า (พ่อจ๋า แม่จ๋า รอฉันด้วย เดี๋ยวฉันจะหลงป่า)”

    ทีนี้ก็เลยถามหลวงพ่อไคต่อไปว่า “แม่เรียกลูกว่าอย่างไร ?”

    “กวนใจสี กวนใจตา”

    “ผัวเรียกเมียว่าอย่างไร ?”

    “เย็นใจสี เย็นใจตา”

    โอ๋... ถูกใจนะ ผัวกลับจากป่าดงพงไพร หิวโหยกระหายมาเห็นเมียแล้วเย็นตาเย็นใจ นั่นแหละ มีหลวงปู่องค์หนึ่งเพิ่งบวชใหม่ อยู่ อ.สว่างแดนดิน เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน พูดให้ฟังว่า

    “ครูบาอาจารย์เอ๊ย...สมัยที่ผมยังเป็นฆราวาสอยู่นั้น ไปทำไร่ทำนา หิวโหยกลับมาจากป่าถึงบ้านเรือน พอเห็นหน้าเมียก็เย็นใจ ได้กลิ่นเมียกลิ่นลูกก็หอมหื่นชื่นใจ หอมหวนชวนใจ ความหิวก็หายไปหมด นั่งสูบยามวนใหญ่ ดมกลิ่นเมียกลิ่นลูกสบาย เป็นอย่างนั้นนะ”

    จึงถามหลวงพ่อไคต่อไปอีกว่า “เมียเรียกผัวว่าอย่างไร ?”

    “กวนก้นสี กวนก้นตา”

    “โอ๊ !...ข่มหัวลงดมก้น กวนก้น ตอนเย็นก็กวนก้น ตอนเช้าก็กวนก้น สมขี้หน้าที่เขาเรียกว่า กวนก้น”

    หมดความสงสัยแล้ว หลวงพ่อไคขอจงเป็นพยานนะ และเทพเจ้าเหล่าเทวาแม่เจ้าธรณีทั้งหลาย ก็ขอให้เป็นพยานด้วยเถิดว่า

    “ต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจะเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ในการรักษาเพศพรหมจรรย์ จะไม่ออกไปเป็นพ่อกวนก้น ให้ผู้หญิงข่มหัวดมก้นอีกนะ”

    นั่นแหละ ก็ได้ปัญญาฉลาดรู้ตั้งแต่วันนั้นมา เมื่อพิจารณาแล้วก็เห็นว่า เป็นอย่างเดียวกันนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพระยานาหมื่น นายพล นายพัน ข้าหลวง ผู้ว่า ก็ล้วนแต่ดมก้นผู้หญิงทั้งนั้น เป็นพ่อกวนก้น ตอนเช้าก็กวนก้น ตอนเย็นก็กวนก้น กลางคืนก็กวนก้น กลางวันก็กวนก้น กวนแต่ก้นนั่นแหละ ไปไหนไม่ได้ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นคนทุปัญญา

    ทุปญฺา ปราภโว ผู้ทุปัญญา จึงโง่เขลาเบาปัญญาอย่างนั้น ไม่สามารถเอาตัวรอดพ้นจากความทุกข์ได้

    นี่แหละ ธรรมพเนจรบทบาทนี้ดีมากนะ ได้เป็นข้อคิด เป็นคติธรรมเตือนใจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...