สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    หลักฐานอยู่ในอัคคัญญสูตร ที่พระองค์ตรัสแก่วาเสฎฐสามเณรว่า ตถาคตสฺส เหตํ วาเสฎฺฐา อธิวจนํ ธมฺมกาโย อิติปิ ในพระสุตตันตปิฎก ฑีฆนิกาย ปาฎิกวรรค ยืนยันความว่าดูกรวาเสฎฐสามเณร “คำว่าธรรมกายนี้ เป็นชื่อของพระตถาคตโดยแท้

    เรื่องพระวักกลินั้น เมื่อระลึกถึงคตวามในอัคคัญญสูตรนี้ ประกอบแล้ว ย่อมส่องความให้เห็นว่า ที่พระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” นั้น หมายความว่า ผู้ใดเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย ผู้นั้นได้ชื่อว่าเห็นเรา คือตถาคตนั่นเอง มิใช่อื่นไกลหรือพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ ก็ว่า ผู้ใดเห็นดวงธรรมที่ว่านี้ ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า หรืออีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ใดเห็นธรรมกาย ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า

    ทำไมจึงหมายความเช่นนั้นก็เพราะว่า ขณะนั้นพระวักกลิก็อยู่ใกล้ๆ กับพระพุทธองค์ หากจะแลดูด้วยลูกตาธรรมดา ทำไมจะไม่เห็นพระองค์ เพราะไม่ปรากฏว่าพระวักกลินั้นตาพิการ เมื่อเช่นนี้ไฉนพระองค์จะตรัสเช่นนั้นเล่า ที่ตรัสเช่นนั้น จึงตีความหมายได้ว่า ที่แลเห็นด้วยตาธรรมดานนั้น เห็นแต่เปลือกของพระองค์ ก็คือกายพระสิตถัตถะที่ออกบวช ซึ่งมิได้อยู่ในความหมายแห่งคำว่าเรา และยังตรัสว่าเป็นที่เปื่อยเน่าด้วย นั่นคือกายพระสิตธัตถะที่ออกบวช ก็คือกายภายนอกนั่น คำว่าเราในที่นี้จึงสันนิษฐานได้ว่า หมายถึงกาภายในซึ่งมิใช่กายเปื่อยเน่า กายภายในซึ่งมิใช่กายเปื่อยเน่า กายภายในคืออะไรเล่า ก็คือธรรมกายนั่นเอง จะเห็นได้อย่างไร ข้อนี้ตอบไม่ยาก เมื่อได้บำเพ็ญกิจภาวนาถูกส่วนแล้ว ท่านจะเห็นด้วยตาของท่านเอง คือเห็นด้วยตาธรรมกาย (ตาของกายละเอียด) ไม่ใช่ตาธรรมดา

    พระดำรัสของพระองค์ดังยกขึ้นมากกล่าวนั้นเป็นปัญหาธรรมมีนัยลึกซึ้งอยู่ อันผู้มิได้ปฏิบัติธรรมแล้ว เข้าใจได้ยาก แต่ถ้าผู้ปฏิบัติได้แล้ว จะตอบปัญหานี้ได้ด้วยตนเองอย่างง่ายดาย ไม่ต้องไปถามใคร...”
    พระวักกลินั้นออกบวชด้วยความติดใจในพระรูปพระโฉมอันงดงามของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เลื่อมใสในพระธรรมคำสอน ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปประทับ ณ ที่ใด พระวักกลิจะติดตามไปคอยเฝ้าดูพระพุทธองค์ทุกพระอิริยาบถ ด้วยความประทับใจ

    พระพุทธองค์ทรงทราบดี แต่ก็มิได้ทรงว่ากล่าวแต่ประการใด เพราะเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา เมื่อทรงเห็นว่าญาณของพระวักกลิแก่กล้าแล้ว จึงตรัสว่า อเปหิ วกฺกลิ กึเต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน ทิฏฺเฐน จงถอยออกไป วักกลิ ร่างกายตถาคตเป็นของเปื่อยเน่า โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ โย มํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ แน่ะสำแดงวักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ ผู้ตถาคตคือธรรมกาย พระวักกลิเสียใจที่พระพุทธเจ้าไม่ให้โอกาสได้ใกล้ชิดอีกต่อไป ทั้งมีพระวาจาตัดรอนจึงคิดจะไปกระโดดหน้าผา ฆ่าตัวตาย พระพุทธองค์ทรงติดตามไปแสดงธรรมโปรด จนพระวักกลิบรรลุธรรม

    พระเดชพระคุณพระธรรมทัศนาธร ได้อธิบายเพิ่มเติมเรื่องพระวักกลิกับธรรมกายของหลวงพ่อ ไว้ดังนี้

    “การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสกับพระวักกลิว่า ถ้าบุคคลผู้ใดเห็นธรรม นั่นจึงจะเห็นตถาคต พระตถาคตอยู่ที่ธรรมใน เป็นเครื่องยืนยันว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการที่จะให้คนรู้จักพระองค์ท่านเห็นพระองค์ท่านให้ลึกซึ้งเข้าไปถึงธรรม เมื่อรวมความกับที่พระองค์ตอบกับวาเสฎฐพราหมณ์ว่า คำว่าธรรมกายเป็นชื่อของตถาคต จึงน่าจะจับใจความได้ว่าธรรมนั้นคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม พระธรรมเสกสรรปั้นให้พระองค์เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อบุคคลเราจะระลึกถึงพระองค์ท่าน ก็ควรจะระลึกถึงพระธรรม พระเดชพระคุณที่อยู่ในหีบ จึงได้ตั้งเป็นสถาบันของคณะวิปัสสนานี้ไว้ เพื่อให้บรรดาประชาชนได้เข้าถึงธรรมกาย คือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

    มีคำว่า ธรรมกาย ปรากฏอยู่อีกหลายแห่งจาก หลักฐานในคัมภีร์

    (๑) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์เป็นธรรมกาย

    “ตถาคตสฺส เหตํ วาเสฏฺฐา อธิวจนํ ธมฺมกาโย อิติปิ พฺรหฺมกาโย อิติปิ ธมฺมภูโต อิติปิ พฺรหฺมภูโต อิติปิ”

    “วาเสฏฐะและภารทวาชะ คำว่า ธรรมกาย ก็ดี พรหมกาย ก็ดี ธรรมภูต ก็ดี พรหมภูต ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต”

    ที.ปา.๑๑/๕๕/๙๒

    (๒) พระแม่น้ามหาปชาบดีโคตมี ผู้เป็นพระอรหันต์ แสดงว่าตนเป็นธรรมกาย

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="63%" align=center><TBODY><TR><TD>“อหํ สุคต เต มาตา</TD><TD>ตุวํ ธีร ปิตา มม</TD></TR><TR><TD>สทฺธมฺมสุขโท นาถ</TD><TD>ตยา ชาตมฺหิ โคตม.</TD></TR><TR><TD>สํวทฺธิโตยํ สุคต</TD><TD>รูปกาโย มยา ตว</TD></TR><TR><TD>อานนฺทิโย ธมฺมกาโย</TD><TD>มม สํวทฺธิโต ตยา.</TD></TR><TR><TD>มุหุตฺตํ ตณฺหาสมนํ </TD><TD>ขีรํ ตฺวํ ปายิโต มยา</TD></TR><TR><TD>ตยาหํ สนฺตมจฺจนฺตํ</TD><TD>ธมฺมขีรมฺปิ ปายิตา.</TD></TR><TR><TD>พนฺธนารกฺขเน มยฺหํ</TD><TD>อนโณ ตฺวํ มหามุเน.” </TD></TR></TBODY></TABLE>
    “ข้าแต่พระสุคตเจ้า หม่อมฉันเป็นมารดาของพระองค์
    ข้าแต่พระธีรเจ้า พระองค์เป็นพระบิดาของหม่อมฉัน
    ข้าแต่พระโลกนาถ พระองค์เป็นผู้ประทานความสุขอันเกิดจากพระสัทธรรมให้หม่อมฉัน
    ข้าแต่พระโคดม หม่อมฉันเป็นผู้อันพระองค์ให้เกิด.
    ข้าแต่พระสุคตเจ้า รูปกายของพระองค์นี้ อันหม่อมฉันทำให้เจริญเติบโต.
    ธรรมกาย อันน่าเพลิดเพลินของหม่อมฉัน อันพระองค์ทำให้เจริญเติบโตแล้ว.
    หม่อมฉันให้พระองค์ดูดดื่มน้ำนมอันระงับเสียได้ซึ่งความอยากชั่วครู่ แม้น้ำนมคือพระสัทธรรม
    อันสงบระงับล่วงส่วน พระองค์ก็ให้หม่อมฉันดูดดื่มแล้ว.
    ข้าแต่พระมหามุนี ในการผูกมัดและรักษา พระองค์ชื่อว่ามิได้เป็นหนี้หม่อมฉัน.”

    ขุ.อป.๓๓/๑๕๓/๒๘๔

    (๓) พระสรภังคเถระ ผู้เป็นพระอรหันต์ กล่าวถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ว่า ทรงอุบัติเป็นธรรมกาย ผู้คงที่

    “เมื่อก่อนเราผู้ชื่อว่าสรภังคะ ไม่เคยได้เห็นโรคคืออุปาทานขันธ์ ๕ ได้ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้น. โรคนั้นอันเราผู้ทำตามพระดำรัสของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ได้เห็นแล้ว. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันโธ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ ได้เสด็จไปแล้วโดยทางใดแล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมก็ได้เสด็จไปแล้วโดยทางนั้น. พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์นี้ ทรงปราศจากตัณหา ไม่ทรงถือมั่น ทรงหยั่งถึงความสิ้นกิเลส เสด็จอุบัติแท้โดย ธรรมกาย ผู้คงที่ ทรงเอ็นดูอนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย ได้ทรงแสดงธรรมคืออริยสัจ ๔ อันได้แก่ ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางเป็นที่สิ้นทุกข์ เป็นทางไม่เป็นไปแห่งทุกข์ อันไม่มีที่สุดในสงสาร เพราะกายนี้แตกและเพราะความสิ้นชีวิตนี้ การเกิดในภพใหม่อย่างอื่นมิได้มี. เราเป็นผู้หลุดพ้นแล้วจากสรรพกิเลสและภพทั้งปวง.”

    (๔) ตรัสว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย มีธรรมกายมาก ได้ตรัสแก่พระอานนท์เวเทหมุนี ซึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค เมื่อประทับอยู่ในวิหารเชตวันว่า “ได้ทราบว่า พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริงหรือ เพราะเหตุไร ท่านเหล่านั้นจึงได้เป็นพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นปราชญ์ ?” ว่า



    “วิสุทฺธสีลา ... มหนฺตธมฺมา พหุธมฺมกายา ...” ​

    “นักปราชญ์เหล่าใด มีศีลบริสุทธิ์ มีปัญญาหมดจดดี มีจิตตั้งมั่น ประกอบความเพียร เจริญวิปัสสนา... ไม่บรรลุความเป็นสาวกในพระศาสนาของพระชินเจ้า (นักปราชญ์เหล่านั้นย่อมเป็นสยัมภูปัจเจกชินเจ้า) มีธรรมใหญ่ มีธรรมกายมาก...”

    ขุ.อป.๓๒/๒/๒๐





    (๕) ปฐมสมโพธิกถา ตอนมารพันธปริวรรต ปริเฉทที่ ๒๘ หน้า ๕๐๙ ความว่า

    หลังพุทธปรินิพพานมีพระสาวกองค์หนึ่ง ชื่ออุปคุตต์มหาเถระ เป็นพระอรหันต์ บรรลุอภิญญา ๖ มีฤทธานุภาพมาก สามารถปราบพญามารให้ละพยศได้ จนเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย แล้วปรารถนาพุทธภูมิ พระอุปคุตต์มหาเถระ ได้ขอร้องได้ขอร้องให้พญามารเนรมิตพระรูปกายของพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยอัครสาวกซ้ายขวาดังนี้

    "ท่านจงได้อนุเคราะห์แก่อาตมา ด้วยสมเด็จพระศาสดา บังเกิดในโลก เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานเสียแล้ว เราได้เห็นแต่ธรรมกายบมิได้เห็นซึ่งพระสรีรกาย ท่านจงสงเคราะห์นฤมิตพระรูปกายแห่งพระศาสดาจารย์ พร้อมด้วยอาการทั้งปวงสำแดงแก่เรา ให้เห็นประจักษ์กับทั้งพระอัครสาวกทั้งคู่ให้ปรากฏ…"<!-- google_ad_section_end -->
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    สัพเพ ธัมมา อนัตตา ( กายโลกีย ที่ไม่ใช่ธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผล)

    คติธรรมโดย พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ
    "รวมพระธรรมเทศนา พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หน้า ๑๓๘"





    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    ปกิณกะธรรม / เรื่องที่ยังเข้าใจผิด เหมารวมเรื่อง ..สัพเพ ธัมมา อนัตตา

    การหยิบยกพุทธพจน์มาอ้างอิง ไม่ตรงกับสถานะการณ์เดียวกับที่พระท่านกล่าวตอนนั้น ทำให้ความหมายผิดไปมาก


    โดยเฉพาะที่กล่าว" สัพเพ ธัมมา อนัตตา " แล้วตีความหมายว่า
    " แม้ธรรมทั้งหลายย่อมไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน " นั้น


    ตอนนั้น พระพุทธองค์กำลังกล่าวถึงเรื่องขันธ์ห้า ( เป็นภาษาบาลี ) ว่าเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง แล้วมีประโยคนี้ตบท้ายว่า สัพเพธัมมาอนัตตา ซึ่งตามหลักแล้ว ธัมมาในที่นี้ คือ ธรรมอันเป็นไตรลักษณ์ที่ไม่เทียง (ขันธฺ์ห้า ) ไม่ได้เหมาเอาไปถึง ธรรมที่ไม่ใช่สิ่งเป็นโลกียสังขารปรุงแต่ง ไม่ได้เหมาไปถึงธรรมที่เหนือการเวียนว่ายตายเกิด พลาดกันมาก


    -----------------------------



    "....รูปัง อะนิจจัง,
    รูปไม่เที่ยง;

    เวทนา อะนิจจา,
    เวทนาไม่เที่ยง;

    สัญญา อะนิจจา,
    สัญญาไม่เที่ยง;

    สังขารา อะนิจจา,
    สังขารไม่เที่ยง;

    วิญญานัง อะนิจจัง,
    วิญญาณ ไม่เที่ยง;

    รูปปัง อนัตตา,
    รูปไม่ใช่ตัวตน;

    เวทะนา อนัตตา
    เวทนาไม่ใช่ตัวตน;

    สัญญา อนัตตา
    สัญญาไม่ใช่ตัวตน;

    สังขารา อนัตตา,
    สังขารไม่ใช่ตัวตน;

    วิญญาณัง อนัตตา,
    วิญญาณ ไม่ใช่ตัวตน;

    สัพเพ สังขารา อนิจจา,
    สังขารทั้งหลาย ทั้งปวง ไม่เที่ยง;

    สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ,
    ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน ดังนี้...."





    เป็นบางส่วนที่คัดลอกมาจากบท "สังเวคปริกิตตนปาฐะ"
    อันกล่าวอ้างถึงพระธรรม
    ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เราได้รู้เกี่ยวกับธรรมที่เป็นเครื่องปรุงแต่ง (ขันธ์ห้า) ซึ่งตกในอาณัติแห่ง
    ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


    แต่คนจำนวนมากก็พลาด เพราะไม่เข้าใจหลักการอ่านและแปล ขยายความของพระบาลีมาเป็นไทย น้อมเอาไปตามความคิด ความนึกและทิฐิตน

    บางรายหนักไปจนถึงปรามาส จาบจ้วง ผู้ที่เป็นเนื้อนาบุญให้เป็นอกุศลวิบากกรรมกับตนไป โดยไม่รู้ตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2016
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    



    ถ้าพระหรืออุบาสก อุบาสิกา ผู้ที่ปฏิบัติเจริญภาวนาวิชชาธรรมกาย เกิดธรรมกายขึ้นมา โดยที่ไม่เห็นกายมนุษย์หยาบ จนถึงกายอรูปพรหมละเอียด จะต้องดำเนินการอย่างไร ?

    -------------------------------------------------------







    ตอบ:










    ถ้าปรากฏธรรมกายขึ้นมา เห็นใสสว่างเลยโดยไม่ผ่านกายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหมนั้น ถูกต้องเหมือนกัน เป็นการข้ามขั้นตอนไปถึงจุดหมายปลายทางในเบื้องต้นคือ ถึงธรรมกายเลยทีเดียว ไม่ผิดครับ ถูก ไม่ต้องกังวลใจ เป็นธรรมกายต่อไปให้สุดละเอียด คือว่า







    เมื่อเห็นธรรมกายแล้ว ใจหยุดนิ่งที่กลางของกลางธรรมกาย ทำความรู้สึกเป็นธรรมกาย หยุดนิ่งกลางธรรมกาย ใสสว่างแล้วศูนย์กลางขยายออก ธรรมกายที่ละเอียดๆ ก็จะปรากฏขึ้นใหม่ โตใหญ่ใสละเอียดขึ้นไปตามลำดับ ให้ดับหยาบไปหาละเอียด เป็นธรรมกายที่ละเอียดๆ ต่อๆ ไปจนถึงธรรมกายอรหัต ขนาดหน้าตักและความสูง 20 วาขึ้นไป ให้ใสสว่างดี พอใสสว่างดีแล้ว นึกชำเลืองดูนิดเดียว นึกชำเลืองไปที่ศูนย์กลางกายมนุษย์ ใจหยุดในกลางกายมนุษย์ให้ใส ศูนย์กลางดวงธรรมขยายออก กายมนุษย์ละเอียดก็ปรากฏ ใจหยุดนิ่งกลางกายมนุษย์ละเอียด เห็นเป็นดวงใส ศูนย์กลางขยายออก เดี๋ยวกายทิพย์ก็ปรากฏ ใจหยุดกลางกายทิพย์ หยุดนิ่งเป็นดวงใส ขยายออกทิพย์ละเอียดก็ปรากฏ ใจหยุดกลางทิพย์ละเอียดให้ใส รูปพรหมก็ปรากฏ ทำไล่ไปทีละกายๆ อย่างนี้ในภายหลังก็ได้ ไม่ยาก เมื่อทำไล่ไปทีละกาย ถึง 18 กายสุดท้าย ธรรมกายใหม่ที่สุดละเอียดใสสว่างก็จะปรากฏ ดำเนินต่อไป เราเข้าไปสุดละเอียดเท่าไหร่ กายหยาบก็อยู่ในนั้นอยู่แล้ว ตัวเราก็อยู่ในนั้นอยู่แล้วไม่มีปัญหา เพราะที่สุดละเอียดนั้นก็เป็นที่สุดละเอียดของสุดหยาบนี้แหละ ไม่ได้เป็นของใคร ไม่ต้องเป็นห่วง







    ผู้ที่เป็นวิชชาแล้วนั้น เมื่อถึง 18 กายแล้วนั้น เราไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งทำไล่ 18 กายทุกวันๆ ให้ดับหยาบไปหาละเอียดเป็นธรรมกายที่ละเอียดๆ ใสละเอียด จนตกศูนย์เข้าพระนิพพาน ทับทวีเป็นธาตุล้วนธรรมล้วนของพระพุทธเจ้าไปเลย เมื่อชำนาญแล้วนึกเหลือบดู 18 กาย ขยับใจตรึกนึกดูนิดหน่อยก็จะเห็น เมื่อเห็นใสดีแล้วก็ปล่อย ไม่ต้องสนใจ ถึงกายละเอียดแล้วไม่ต้องสนใจกายหยาบ เวลาทำวิชชาไปสุดละเอียดแล้ว ถ้าจะดูว่ากายหยาบผ่องใสหรือไม่ เพราะเหตุบางคนมีโรคภัยไข้เจ็บหรือมีปัญหาชีวิต ซึ่งเกิดในธาตุในธรรมนั้นแหละ ไม่ได้เกิดที่ไหน เมื่อพิสดารกายไปสุดละเอียดเป็นองค์พระใสแล้ว กระดิกใจดูนิดเดียว เห็นดวงธรรมของกายมนุษย์หยาบผ่องใสดี ก็หยุดนิ่งกลางดวงธรรมดูกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์หยาบ-ทิพย์ละเอียด กายรูปพรหมหยาบ-รูปพรหมละเอียด ไปสุดละเอียด เห็นผ่องใสดีแล้วก็ปล่อย คือไม่ติดอยู่ แล้วดับหยาบไปหาละเอียดเป็นกายธรรมที่สุดละเอียด เป็นธาตุล้วนธรรมล้วน ส่วนกายโลกิยะทั้งหยาบและละเอียดนั้น มีสักแต่มี เป็นสักแต่เป็น นี้เป็นอาการของพระอริยเจ้าแล้ว พระอริยเจ้าท่านมีสติครบอยู่ในธรรมกายที่ละเอียดสุดละเอียดอยู่เสมอ







    สำหรับผู้เบื้องต้น เมื่อถึงธรรมกายสุดละเอียดแล้ว ควรที่จะทำ 18 กายให้ครบ เพื่อฝึกซ้อมพิสดารกาย ซ้อนสับทับทวีตามที่หลวงพ่อฯท่านกล่าวไว้แล้ว เพื่อให้เป็นวสี (ชำนาญ) เมื่อชำนาญแล้วนั้น การจะน้อมเข้าสู่วิชชาชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็น “บุพเพนิวาสานุสติญาณ” “จุตูปปาตญาณ” ก็จะสะดวกหรือจะทำวิชชาชั้นสูงที่ละเอียดยิ่งไปกว่า เช่นชำระธาตุธรรมที่ละเอียดๆ ต่อไปสุดละเอียด ก็จะสามารถทำได้ชำนาญกว่า สะดวกกว่า







    แต่ถึงอย่างไรเมื่อพิสดารกายไปสุดละเอียด จนใจของกายธรรมยึดหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้ว กายโลกิยะทั้งหยาบ-ละเอียดทั้งหมดนั้นจะเหมือนว่าหมดไปเอง เพราะใจของธรรมกายละเอียดปล่อยความยึดมั่นในกายโลกิยะ อันเป็นสังขารธรรม เรียกว่า ออกจาก “สังขารนิมิต” อย่างที่เวลาสอนว่าให้พิสดารกายสุดกายหยาบกายละเอียด เถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด ขึ้นชื่อว่ากายเถา คือ 18 กายนั้นเอง เป็นเถาเหมือนปิ่นโต แต่ต่างซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่ กลางของกลางซึ่งกันและกัน ศูนย์กลางตรงกัน 18 กายนั้นรวมเรียกว่า กายเถา สุดละเอียดของกายเถา คือธรรมกายอรหัต เมื่อเราเดินกายในกายไปสุดละเอียดกายเถา 18 กายนั้นแล้ว กายอรหัตชื่อว่ากายสุดละเอียด กายที่หยาบรองลงมาได้แก่ กายอรหัตหยาบ ชื่อว่ากายชุด ซึ่งแต่ละกายที่หยาบรองลงมาก็จะมี 18 กาย ซึ่งจะพิสดารไปเป็นธรรมกายอรหัตเหมือนกัน กายที่หยาบรองลงมาตามลำดับนั้นชื่อว่ากายชั้น ตอน ภาค พืด ซึ่งต่างก็มีกายละ 18 กายซ้อนกันอยู่ และต่างก็จะพิสดารไปสู่สุดละเอียดเหมือนกัน







    แปลว่าเมื่อเราดับหยาบไปหาละเอียด กายที่ละเอียดรองลงมาแต่ละกายมี 18 กาย ทั้งหมดก็จะพิสดารตัวเองให้ละเอียดไปๆ สุดละเอียด ดับหยาบไปหาละเอียดถึงธรรมกายและเป็นแต่ธรรมกายอรหัตๆๆ ไปจนสุดละเอียดกายเถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด ตรงนี้แหละเป็นวัตถุประสงค์สำคัญ เพราะเป็นการปหานอกุศลจิตของกายในภพ 3 ทั้งหมด ใจจึงเป็นใจที่ผ่องใสบริสุทธิ์ของกายธรรม นั้นคือตัวนิโรธดับสมุทัย แต่มิใช่นิโรธสมาบัติ เมื่อสัมผัสตรงนั้นแล้วจะรู้ นี่เองคือนิโรธดับสมุทัย เพราะเป็นการเจริญภาวนาที่ปหานอกุศลจิตของกายในภพ 3 ทั้งหมด จนเป็นธาตุล้วนธรรมล้วนของธรรมกายไปสุดละเอียด กำจัดหรือละกิเลสทั้งหมดได้ชั่วคราวเป็น “วิกขัมภนวิมุตติ” เมื่อจิตละเอียดหนักจะปล่อยวางอุปาทานในขันธ์ 5 ของกายในภพ 3 และเมื่อปล่อยความยินดีในฌาน ต้องปล่อยจนใจเป็นกลาง ถ้าไม่ปล่อยจะติดอยู่ในชั้นรูปภพ อยู่ในกายเรานั้นแหละ หรือติดอยู่ในชั้นอรูปภพมี อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ ถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ ยังติดอยู่ เมื่อติดอยู่ จะไม่เห็นนิพพาน จะไม่ถึงนิพพาน ต่อเมื่อปล่อยวางจิตนิ่งสนิท ธรรมกายที่หยาบจะตกศูนย์ ธรรมกายที่สุดละเอียดจะไปปรากฏในนิพพาน แม้เพียงชั่วคราวเป็นวิกขัมภนวิมุตติ จึงสามารถเข้าไปเห็นนิพพานได้







    เพราะฉะนั้น ธรรมกายนี่แหละสำคัญนัก เมื่อเข้าถึงแล้วจงเป็นเลย ดับหยาบไปหาละเอียดเป็นธรรมกายที่ละเอียดๆ โตใหญ่ ใสละเอียดไปตามกาย จนถึงธรรมกายอรหัต ดับหยาบไปหาละเอียด เรื่อยไปจนถึงนิพพาน ทำไปเถิด 18 กายอยู่ข้างในนั้น ไม่มีปัญหา เมื่อทำละเอียดหนัก กายที่หยาบก็หายไปเอง สุดละเอียดไปแล้ว พ้นกายในภพ 3 ไปแล้วดำเนินต่อไป ถูกต้องแล้ว
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    เราไม่สามารถโกหกคนที่ถึงธรรมกายได้

    เราไม่สามารถโกหกคนที่ถึงธรรมกายได้ เล่าโดยคุณทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์



    สมัยข้าพเจ้ายังเรียนหนังสือที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เมื่อมีเวลาว่างข้าพเจ้ามักจะไปช่วยงานท่านอาจารย์เสริมชัย พลพัฒนาฤทธิ์ (หลวงป๋าตอนยังไม่ได้บวช) อยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจารย์ท่านนี้ก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรมและได้เข้าถึงธรรมกายชั้นสูงแล้ว โดยท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ (เวลาทำบุญใหญ่ทุกครั้งท่านจะเอ่ยคำอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคหน้า) ดังนั้นท่านจึงชอบที่จะเผยแพร่ธรรมะโดยการเขียนหนังสือและไปสอนกรรมฐานในที่ต่างๆ ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสช่วยงานท่านในการวิ่งรับส่งเอกสารและช่วยตรวจพิสูจน์อักษรในงานเขียนหนังสือของท่าน
    ในระหว่างนั้น ท่านกำลังเขียนตำราเกี่ยวกับวิชชาธรรมกาย และอยู่ระหว่างการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มเพื่อเผยแพร่ออกไป ท่านจึงกำชับให้ข้าพเจ้าระมัดระวังกาย-วาจา-ใจ ให้ดี เพราะการทำงานใหญ่มารเขาจะคอยขัดขวางอย่างเต็มที่ เพื่อมิให้งานนั้นสำเร็จลงได้ โดยเฉพาะห้ามไปในสถานที่อโคจรต่างๆ ข้าพเจ้าได้แต่ฟังท่านแล้วก็ยิ้มๆ เพราะในสมัยนั้นข้าพเจ้าก็ยังเป็นเด็กหนุ่มรุ่นกระทง อะไรที่ไม่เคยไปไม่เคยทำก็อยากไปอยากลอง ที่ไหนที่เพื่อนชวนและยังไม่เคยไปก็ต้องไปดูสักครั้ง และถือเป็นธรรมเนียมในหมู่เพื่อนๆ ว่าเมื่อสอบเสร็จก็จะชักชวนกันไปเที่ยวเล่นตามสถานที่บันเทิงต่างๆ สมัยนั้นเรายอมขัดใจพ่อแม่แต่ไม่กล้าขัดใจเพื่อน
    ทีนี้มันจะเป็นเรื่องก็ตอนที่ต้องไปหาอาจารย์เสริมชัย (หลวงป๋า) ท่านนี้นี่แหละ เพราะท่านโทรมาบอกว่ามีงานที่จะต้องไหว้วานให้ไปทำ ขอให้มาพบหน่อย ข้าพเจ้าเริ่มใจคอไม่ดีเพราะเสียงพูดห้ามของท่านยังก้องอยู่ในหูอยู่เลย แต่ก็พยายามรักษาอาการทำหน้าตาให้เป็นปกติเพื่อไปพบท่าน
    ข้าพเจ้า “สวัสดีครับอาจารย์ ผมมาแล้วครับ”
    อาจารย์เสริมชัยไม่รอให้ข้าพเจ้าตั้งตัว “ข้าบอกเอ็งแล้วใช่ไหมว่าช่วงนี้ห้ามไปเที่ยวในที่อโคจร เอ็งจำไม่ได้หรือไง”
    ท่านว่ามาเป็นชุดก่อนเลย ข้าพเจ้าคิดในใจว่าท่านอาจารย์คงแกล้งพูดเพื่อให้เรายอมรับความจริงหากเราเผอิญไปเที่ยวมา อาจารย์คงจะอำเรามากกว่า ข้าพเจ้ายังตีหน้าซื่อต่อไปพร้อมกับพูดเถียงไปว่า
    ข้าพเจ้า “อาจารย์ ผมไม่ได้ไปมาเลยครับ อาจารย์จะมาว่าผมได้อย่างไร ......” ยังไม่ทันที่จะให้เหตุผลประกอบเลย อาจารย์ท่านยิงสวนมาอีกชุดใหญ่
    อาจารย์ “เอ็งนี่มันเป็นผู้ร้ายปากแข็ง เอ็งอย่ามาเถียงข้าเลย ทำไมข้าจะไม่รู้ เอ็งไม่มีทางโกหกคนอย่างข้าได้หรอก ที่ข้าพูดนี่จริงไหมล่ะอย่าโกหกนะ”
    ข้าพเจ้าชักเสียงอ่อย “โห อาจารย์ครับ แล้วอาจารย์รู้ได้อย่างไรครับว่าผมไปเที่ยวมา”
    อาจารย์ “ทำไมข้าจะไม่รู้ ก็ข้าเรียกกายมนุษย์ละเอียดของเอ็งมาถามน่ะซิ กายมนุษย์ละเอียดเขาไม่มีการโกหกเหมือนกายมนุษย์หยาบหรอก” (กายมนุษย์ละเอียดไปคุยกับท่านโดยที่กายหยาบไม่รู้เรื่องเลย น่าจะแบบเดียวกับที่หลวงพ่อสดสามารถทราบชื่อคนที่เพิ่งมากราบท่านที่วัดปากน้ำเป็นครั้งแรก ว่าชื่ออะไร และวันนั้นจะมาทำบุญอะไรบ้าง)
    ข้าพเจ้าจึงถึงบางอ้อว่าท่านอาจารย์รู้ได้อย่างไร อายท่านก็อายเพราะกลัวท่านจะหาว่าเราเป็นคนเหลาะแหละขี้โกหก จึงบอกท่านไปว่าต่อไปจะไม่กล้าโกหกท่านอีกแล้ว หลังจากวันนั้นข้าพเจ้าก็ไม่กล้าโกหกท่านอีกเลย จะดีจะร้ายอย่างไรก็ต้องบอกท่านไปตามจริง เหมือนนักมวยที่แพ้ทางกันชกกี่ครั้งก็แพ้เหมือนเดิม
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    [​IMG]


    คติธรรมโดย พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ
    "รวมพระธรรมเทศนา พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หน้า ๘๖๖"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    *โดยจิตรอารีย์
    วันที่ 13 เม.ย. 31 คณะศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิพุทธภาวนาวิชชาธรรมกายหลายท่าน รวมได้ 3 คันรถตู้ ก็เดินทางจากกรุงเทพฯ ติดตามพระอาจารย์เสริมชัยไปจังหวัดลำปาง เพื่อไปควบคุมและต่อวิชชาให้กับสามเณรภาคฤดูร้อนที่เปิดให้มีการอบรมระหว่าง วันที่ 1-23 เม.ย. ณ วัดเกาะวาลุการาม...
    เกือบบ่าย 3 โมงของวันที่ 19 เม.ย. คุณวลีกับเราสองคนแยกจากกลุ่มใหญ่ ที่จะไปลำพูนกัน แต่เราจะกลับกรุงเทพฯ โดยเที่ยวบินทีจี 173 ซึ่งจะบินไปแพร่และสุดที่พิษณุโลก แล้วจะได้จับเครื่องตรงเข้ากรุงเทพฯอีกที
    เมื่อเราไปถึงสนามบินลำปางนั้น อากาศที่เห็นเป็นปกติอยู่ ก็เริ่มมีกระแสลมกรรโชคแรงพาเอาฝุ่นผงฟุ้งกระจายเป็นครั้งคราว...
    จากนั้นฝนก็ไหลเทลงมาอย่างแรงพร้อมๆกับลมเย็นที่พัดรุนแรงเข้าปะทะอาคารสถานีเป็นครั้งคราว ขณะนั้นดูทีท่าว่าความแรงของฝนจะกระหน่ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เวลาออกของเที่ยวบินนี้ที่พิมพ์ไว้ในตั๋วว่า 15.10 น. เรามองไปที่นาฬิกาแขวนของสถานีที่กำลังบอกว่า 15.05 น. คุณวลีหันมาพูดเบาๆว่า ถ้าฝนยังตกหนักและลมรุนแรง จนมองไม่เห็นสนามบินอย่างนี้รับรองว่า เราไปไม่ทันเครื่องที่พิษณุโลกแน่
    เมื่อสถานการณ์น่าเป็นห่วงเช่นนี้ เราทั้งสองจึงสงบใจเข้าที่เจริญภาวนาเพื่อทำสิ่งที่ควรทำ คือเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูง เพื่อเก็บเหตุในเหตุไปถึงต้นๆเหตุของภัยพิบัติ ในธาตุในธรรมที่สุดละเอียด อันอาจส่งผลถึงธาตุธรรมส่วนหยาบให้หมดสิ้นไปจากธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ ของกายในกาย ทุกกายหยาบกายละเอียดของเรา พอเวลา 15.10 น. สายลมก็เริ่มอ่อนตัวลง คงไว้แต่เม็ดฝนเล็กๆลงมาบ้าง เราจึงพากันลุกขึ้นไปขึ้นเครื่อง...
    สองสามนาทีต่อมา เจ้าเครื่อง SH300 ลำย่อมก็ส่งเสียงเครื่องยนต์คำรามขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันก็เคลื่อนตัวไปตามเส้นทาง...
    เราได้มองเห็นก้อนเมฆอยู่ครู่เดียวเท่านั้น ผู้โดยสารทั้งหมดที่มีอยู่ 9 คนก็ให้รู้สึกเหมือนกับโดนจับโยนตกลงไปในหลุมอะไรสักอย่าง เครื่องบินเหมือนถูกกระแทรกกับความว่างเป็นช่วงๆ “เครื่องบินตกหลุมอากาศ” …
    เราเริ่มขยับตัวให้เข้าที่เหมาะๆ พอรู้สึกว่าถนัดดีก็เริ่มปล่อยใจเข้าสู่สมาธิจิตตามขั้นตอนของวิชชา ด้วยอาการที่มองเห็นแต่ภายนอกว่า เรากำลังนั่งประสานมือหลวมๆ และทอดสายตาลงต่ำเท่านั้น เพราะเหตุที่ได้ฝึกทำวิชชาให้ได้ทั้งหลับตาและลืมตาอยู่เสมอเช่นนี้
    เมื่อเจริญวิชชาชำระธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ ของกายในกาย ทุกกายสุดกายหยาบกายละเอียด จนใสสะอาดบริสุทธิ์ดี และถึงธาตุล้วนธรรมล้วนของพระพุทธเจ้า จักรพรรดิภาคผู้เลี้ยง ฯลฯ และต้นธาตุต้นธรรมในที่สุดของเขตธาตุเขตธรรมแล้ว จึงน้อมเอาเส้นทางบินที่จะบินผ่านไปให้ปราศจากเมฆหมอกลมฝน ด้วยการทำวิชชาเก็บเหตุทั้งหลายเหล่านั้น
    แต่ขณะที่เพิ่งได้เริ่มเก็บอยู่นี้ ก็รู้สึกตัวว่าเหมือนถูกจับโยนลงไปในหลุมเป็นช่วงๆ อีก มันวูวแล้ววูวอีกไม่ให้ตั้งตัวเลย ส่วนในใจก็รับรู้ว่าขณะนี้เครื่องบินกำลังตกอยู่ท่ามกลางอากาศที่แปรปรวนมาก แม้จะนั่งเครื่องบินมาแล้วหลายหน แต่ก็เพิ่งมาพบเหตุอย่างนี้เป็นครั้งแรก
    แวบหนึ่งของจิตที่มีความกังวลปนแทรกเข้ามา ประกอบกับอาการสั่นคลอนของเครื่องบินที่ทวีมากขึ้น ใจของตนก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นฉับพลัน จิตก็เคลื่อนออกจากสมาธิ เหตุเพราะสติมาจับเอาเรื่องภายนอก จึงเป็นผลให้มีความกลัวอันเป็นนิวรณ์เกิดแทรกขึ้นในใจได้
    เมื่อสติระลึกรู้ทันจิตอย่างนี้ จึงเริ่มจรดใจเข้าไปใหม่อีก ทุ่มปักใจเข้ากลางของกลางต่อไปตามลำดับ อารมณ์ที่หวาดกลัวกลับหายไป เมื่อเราเข้าสู่ศูนย์กลางขององค์ต้นธาตุต้นธรรมได้อีก และท่ามกลางจิตที่อยู่ในสมาธินั้นเอง เสียงก้องกังวานทรงอำนาจก็ดังขึ้น “กลัวตายละซี่ นี่แหละลักษณะของใจคนที่ใกล้จะตาย เพราะที่กลัวความตายใจก็จะลอยเผินขาดสติอย่างนี้ จำเอาไว้”
    เสียงท่านเทศน์ขนาบเข้าให้ โดยเอาเราเป็นตัวอย่างเสร็จ แต่หลวงพ่อก็คงมากไปด้วยเมตตาอีกเช่นเคย เพราะท่านสั่งต่ออีกว่า “เมื่อเครื่องบินมันตกวูบอีก เจ้าจงเอามันตกศูนย์ไปด้วย พร้อมกับใจของเจ้าดูซิ” สิ้นเสียงของบูรพาจารย์ เราก็เริ่มอธิษฐานอารธนาต้นธาตุต้นธรรม ซึ่งเป็นธาตุล้วนธรรมล้วน ใสบริสุทธิ์ที่สุดนั้นทับทวีขึ้นมาเป็นเรา นับอสงไขยอายุธาตุอายุบารมีไม่ถ้วน เพื่อดับหรือเก็บธาตุธรรมภาคดำต่อไป
    พร้อมๆกับน้อมเอาเครื่องบินและผู้โดยสารทั้งหมดเข้ากลางของกลาง กำหนดเดินวิชชาเก็บเมฆหมอกลมฝนพร้อมกันไป ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ที่สุดละเอียดขององค์ต้นๆ เครื่องบินและทุกคนในเครื่องที่เป็นส่วนละเอียดก็พลอยใสสะอาดตามไปด้วย เพราะได้ตกศูนย์ผ่านเข้าสู่การควบคุมขององค์ต้นธาตุต้นธรรมแล้ว
    ขณะที่เรากำลังเจริญภาวนาผ่านวิชชาอย่างรวดเร็วนั้น ก็ได้รู้ตามกระแสขอบข่ายของญาณทัสนะว่า เครื่องบินกำลังบินลอยอยู่ในห้วงของอากาศที่เป็นปกติแล้ว มีแต่เฉพาะส่วนรอบนอกๆออกไป ที่ยังมีพายุลมแรงอยู่ และยังเห็นว่าเส้นทางที่จะบินไปนั้นก็ปลอดโปร่งไปตลอดทาง...
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    เห็นความเสื่อม

    ธรรมะละก็เจริญดีทีเดียว เพราะแกนึกถึงความเสื่อม ทาง
    โลกก็เจริญดีแกทำธรรมะก็เจริญดีทีเดียวเพราะแกกะวีกะวาด
    จัดแจงให้เรียบร้อยในการเลี้ยงชีพ จะได้ทำความดียิ่งขึ้นกว่า
    นั้นต่อไป ฯ
    นี้แหละ เจอละทางไปของพระพุทธเจ้า
    พระอรหันต์ เป็นหนทางหมดจดวิเศษทีเดียว นึกถึงความเสื่อม
    ได้เวลาไรละก็บุญกุศลยิ่งใหญ่เกิดกับตนเวลานั้น ฯ
    ถ้าไม่เผลอในความเสื่อมนั้นทำอะไรเป็นได้ผลหมด เป็น
    ภิกษุ สามเณร ทำอะไรเป็นได้ผลหมด เล่าเรียนก็สำเร็จ
    คันถธุระก็สำเร็จวิปัสสนาก็สำเร็จ ไม่ท้อถอยกันละ ฝ่ายอุบาสก
    อุบาสิกา ทำนาก็รวยกันยกใหญ่ ทำสวนก็รวยกันยกใหญ่ ทำไร่ก็
    รวยกันยกใหญ่ เป็นคนไม่เกียจคร้านทีเดียว ถ้าว่ารับราชการ
    งานเดือนก็เอาดีได้ทีเดียว หรือไม่ว่าหน้าที่อันใดก็เอาดีได้ทั้ง
    นั้น รุ่งเรืองเจริญด้วยกันทั้งนั้น เพราะแกไม่เผลอ แกระวังตัวอยู่
    เสมอเช่นนี้ แล้วก็ทางชั่วแกไม่ทำทีเดียว แกกลัวมันตามไปลง
    โทษแก แกไม่ยอมเด็ดขาดทีเดียว แกเห็นความเสื่อมอยู่เสมอ
    ดังนี้ ให้เห็นอยู่อย่างนี้แหละ จึงจะเอาตัวรอดได้ ถ้าไม่เห็น
    อย่างนี้ เอาตัวรอดไม่ได้ ต้องเห็นความเสื่อม อยู่อย่างนี้ ฯ

    พระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร)


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    [​IMG]


    คติธรรมโดย พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ
    "รวมพระธรรมเทศนา พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หน้า ๔๓๖"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    [​IMG]
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรม ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้ปฏิบัติและได้ถ่ายทอด สั่งสอน ไว้

    ณ วัดป่าวิสุทธิคุณ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี

    ระหว่างวันที่ ๑๔ - ๒๐ ตุลาคม
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    [​IMG]





    บางส่วนจาก การตอบปัญหาธรรม เรื่อง “คำว่า “หยุด” เอาอะไรเป็นเกณฑ์วัด เป็นเรื่องของกายหรือใจ ?"
    โดย พระเทพญาณมงคล

    คำว่า “หยุด” เอาอะไรเป็นเกณฑ์วัด เป็นเรื่องของกายหรือใจ ? | วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,443
    ตั้งแต่
    วันที่17 ต.ค.59 เวลา 19.00น. เป็นต้นไป ทุกคืน วัดปากน้ำ จะสวดอภิธรรม ที่พระมหาเจดีย์ เป็นเวลา 1 เดือน
    ถวาย พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ
    พระทั้งวัดเป็นเจ้าภาพ

    ขอเชิญญาติโยม ทุกคน ไปร่วมงานครับ




    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...