ระดมทุน..วัตถุมงคล..ราคาพิเศษ..โปรโมชั่น..รวม/ลป.ดู่/คุณแม่บุญเรือน/ลพ.จรัญฯลฯ

519.เหรียญหลวงพ่อไกร วัดลำพระยา จ.ยะลา ให้บูชา 100 บาท**มีผู้นรับนิมนต์แล้วครับ**
@@@ตำนานขลังลำพะยา...ร่มบารมีหลวงพ่อไกร
พระไพศาลคุณากร (พ่อท่านสิงห์ เตชวโร) วัดสิริปุณณาราม(ลำพะยา) เมืองยะลา
โดย ศุภักษร ลอยสุวรรณ์
ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาในประวัติเมืองลังกาสุกะเมืองปัตตานี. ...พบความเป็นมาของคำว่า “ลำพะยา” มีประวัติดังนี้
การปกครองแบบหัวเมือง สมัยก่อนตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์มีการปกครองแบบหัวเมือง เมืองปัตตานีเป็นหัวเมืองทางปักษ์ใต้ (ภาคใต้) ชื่อ “ปัตตานี ดารุสลาม” ผู้ปกครองหัวเมืองคือ พญาปัตตานี หรือชาวบ้านเรียกว่า “โต๊ะบาหมุ” (โต๊ะ หมายถึงคนสูงอายุที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือและศรัทธา) และทุก ๆ 3 ปี หัวเมืองปัตตานีดารุสลาม จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระมหากษัตริย์ เครื่องราชบรรณาการดังกล่าว คือต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ประกอบด้วย ลำต้นสูง 2 ศอก 4 นิ้ว กิ่ง 4 ชั้น รวม 5 ชั้นทั้งยอด ใบต้นไม้ทอง 270 ใบ ดอกไม้ทอง 17 ดอก ใบต้นไม้เงิน 258 ใบ ดอกไม้เงิน17 ดอก
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์ พญาปัตตานีหรือโต๊ะบาหมุไม่ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระมหากษัตริย์ ด้วยต้องการแยกตัวเองปกครองบ้านเมืองเป็นอิสระ ดังนั้นทางเมืองหลวงจึงส่งกำลังทหารมาปราบพญาปัตตานีในข้อหา “กบฏ” ทหารได้ล้อมเมืองปัตตานี ดารุสลามไว้ โดยไม่มีการสู้รบแต่อย่างใด ในที่สุดเสบียงอาหารทางพญาปัตตานีก็หมดลง จึงได้มอบตัว จากนั้น ทหารได้นำตัวพญาปัตตานีไปที่ผืนป่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองปัตตานี นับเป็นผืนป่ารกชัฏ มีช้างชุกชุมมาก
ที่มาของคำว่า "ลำพะยา" กล่าวแต่เดิมว่าเจ้าพระยาปัตตานี ได้ใช้พื้นที่ตำบลลำพะยา เป็นที่พักผ่อนและท่านโปรดการคล้องช้างเป็นอย่างมาก จึงให้สร้างที่พักขึ้นบริเวณหมู่บ้านทำเนียบในปัจจุบัน ชาวบ้านเรียกที่พักเจ้าพระยาปัตตานีแห่งนี้ว่า "ทำเนียบ" ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัดสิริปุณณาราม (วัดลำพะยา) ซึ่งบ้านทำเนียบนี้ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของตำบลลำพะยา โดยการคล้องช้างในสมัยนั้นจะนำช้างมาล่ามไว้ที่บ้านทำเนียบ จนชาวบ้านเรียกกันว่า "ที่ล่ามช้างของพระยา" และต่อมาคำพูดนี้จึงกร่อนสั้นลงเหลือเป็นคำว่า "ลำพะยา"
อีกเรื่องเล่าหนึ่งระบุประวัติลำพะยาว่า เดิมที่ลำพะยาก็มาจาก… มีพญากับองครักษ์ที่มีนามว่า มามุ และ ลูกสมุนที่ลี้ภัยมาจากไทรบุรี ซึ่งมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แห่งนี้ เจ้าพญาทำเหมืองแร่ดีบุก และ ทำสวน ส่วนคำว่า “ลำพญา” ได้จากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น เรียกพื้นที่อาณาเขตที่เจ้าพญาอาศัยอยู่
ต่อมาได้มีช้างตัวโปรดของเจ้าพญาหายไป เจ้าพญาเลยสั่งให้สมุนออกตามหา และ ก็มีคนพบเจออยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง เลยช่วยกันจับแล้วล่ามใหม่ ซึ่งในปัจจุบันที่แห่งนั้นก็มีชื่อว่า “ลำใหม่” ซึ่งเพี้ยนมาจาก “ล่ามใหม่” จึงเป็นลำใหม่จนถึงปัจจุบัน
และแล้วช้างที่ล่ามไว้ก็หลุดออกไปและก็หายไปอีก โดยที่ไม่ทันที่สมุนของพญาจะมาถึง หลังจากนั้นมีคนพบเห็นช้างโพล่อยู่ในที่แห่งหนึ่ง สมุนก็ตามไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบช้างเพราะช้างได้หายไปเสียแล้ว เลยเรียกที่แห่งนั้นว่า ”ช้างไห้” เพราะเพี้ยนมาจาก “ช้างหาย” จนถึงบัดเดี๋ยวนี้ แต่ยังมีคนบอกอีกว่ามันหายไปทางนั้น ทีนี้สมุนก็ซุ้มรออยู่ข้างหน้า และ แบ่งกำลังออกไปดักรอทางนั้นบ้างทางนี้บ้าง แต่แล้วก็ไม่มีวี่แวว หรือ ท่าที่ว่าจะมีช้างผ่านมาทางนี้สักตัวหนึ่ง นั่นก็เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่ได้มีการตั้งชื่อว่า “ปากล่อ” เพราะมาจากเขาไปล่อช้าง เพื่อให้ติดกับดัก จนมาถึงปัจจุบันยังเรียกที่นั้นว่า “ปากล่อ”(อยู่ในเขตตำบลปากล่อ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี)
ต่อมาสมุนก็ใช้วิธีการแกะรอยตาม ตามเท้าช้างไปจนถึงรอยสุดท้าย จนได้รู้ว่ามันหายไปใน ”ปาตานี” (หาดนี้) เจ้าพญาซึ้งเป็นคนพึ่งถึง เมื่อได้ยินสมุนพูดว่า “มันหายไปในปาตานี้แล้ว” เจ้าพญาถึงกับอึง ทรุดลงกับพื้นทราย และ มีอาการเสียอกเสียใจเป็นอย่างมาก นั้นเองซึ่งก็ที่มาของปัตตานีในปัจจุบัน สุดท้ายเจ้าพญาก็ตัดสินใจดำรงชีวิตอยู่ปัตตานีนั่นเลย โดยที่ไม่กลับไปที่ลำพะยาอีกเลย…
หลังจากที่เจ้าพญาไม่อยู่ก็ได้มีชายคนหนึ่งจากมาเลเซียซึ่งอยู่ที่ “กือดอฮ” หนีคดีมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ลำพะยา ชายผู้นี้มีนามว่า เปาะกือแต ซึ่งเป็นคนที่มีวิชาไสยศาสตร์ในตัวและเก่งด้วย เขาสามารถรักษาคนป่วยให้หายได้ จากนั้นก็เป็นที่รู้จักของคนในละแวกนั้น
ต่อมา ราชาแห่งมาเลเซีย ก็ส่งทหารมา 7 คนเพื่อมาสังหารเปาะกือแต เมื่อทหารมาถึงก็ตรงเข้าไปในลำพะยาเลย เพราะรู้ว่าเปาะกือแตอาศัยอยู่ที่นั่น และแล้วทหารนั้นก็มุ่งหน้าเข้าไปหาชายคนหนึ่งแล้วถามว่า
ทหาร : บ้านเปาะกือแตอยู่ไหน
ชายผู้นั้น : มีอะไรกับเขาหรือ
ทหาร : ราชาสั่งให้มาฆ่าเปาะกือแต
ชายคนนั้นก็ชวนทหารทั้งเจ็ดให้ไปพักที่บ้านของเขาก่อน เพราะเห็นว่าเพิ่งมาถึง คงจะเหนื่อย ให้
ทหารนั้นอาบน้ำกินข้าวให้อิ่มก่อน แล้วค่อยว่ากันต่อไป
แล้วทหารก็อาศัยอยู่กับชายนั้นเกือบๆ 1สัปดาห์เต็ม แต่ระหว่างนั้น ชายคนนั้นก็แสดงกิริยาออกให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาๆ ต่างจากสามัญชนทั่วไป
ซึ่งในวันนั้นชายผู้นั้นก็ให้ทหารผ่าแตงโมเพื่อที่จะมารับประทานกัน ทั้งที่แตงโมลูกนั้น ชายผู้นั้นได้เสกให้แข็งเหมือนก้อนหิน แต่ดูภายนอกไม่มีอะไรผิดปกติจากแตงโมทั่วๆไป จากนั้นทหารก็นำมีดมาผ่าแตงโม แต่ก็ผ่าไม่ได้เพราะมันแข็ง
หลังจากนั้นทหารก็เงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้น บวกกับสีหน้าและท่าทางเหมือนกับจะกินเลือดคน ในระหว่างนั้นทหารก็รู้ทันทีทันใด ว่าชายคนนั้นคือเปาะกือแต แต่เปาะกือแตก็แอบยิ้มที่มุมปากอยู่เล็กน้อย ทำให้ดูเหมือนยิ่งเพิ่มความน่าเกรงขาม ความกลัวแก่ทหารพวกนั้น ทหารทั้ง 7 ก็ไม่มีใครกล้าที่จะฆ่าเปาะกือแต เพราะรู้ว่าถึงยังไง ก็ฆ่าไม่ตาย เพราะเขามีวิชาไสยศาสตร์อยู่ ขนาดจะผ่าแตงโมก็ผ่าไม่ได้เลย นับประสาอะไรจะไปสู้รบ ฆ่าเปาะกือแตได้
ทหารทั้ง7 ก็ไม่มีใครกล้ากลับไปหาราชาเพราะทำงานไม่สำเร็จ ถึงกลับไปก็ต้องถูกฆ่าอยู่ดี สู้อยู่ที่นี่ ประกอบอาชีพอยู่ที่นี่จะดีกว่า บ้างก็แยกทางไปจังหวัดอื่น แต่มีแค่ 2 คนที่อยู่ที่ลำพะยานี้จนตาย คือ นายบือตง และนายโตะซีมาฆอ ซึ่งตอนนี้ก็ปกปักษ์รักษาอยู่ที่น้ำตกบูตง ซึ่งถ้าเขาจะปรากฏตัวก็จะมาในรูปของเสือและ งูตามลำดับ (อาจเรียกว่า ทวดเสือ ทวดงูก็ได้)
ลำพะยายังมีของดีสุดวิเศษ!!!!คือ ดินกากยายักษ์.. ที่มีความสำคัญต่อการสร้างพระหลวงพ่อทวดวัดช้างให้รุ่นแรก ปี2497 ตามบันทึกของคุณอนันต์ คณานุรักษ์ ที่ระบุว่า.....
นายฮวด ผู้ใหญ่บ้านเหมืองใน ตำบลลำพยา ได้มาหาข้าพเจ้าพร้อมด้วยนายชาติ สิมศิริ กำนันตำบลนาประดู่โดยบังเอิญ เมื่อเขาทราบว่าข้าพเจ้ากำลังหาดินดำเพื่อสร้างพระเครื่องหลวงพ่อทวดตามบัญชาของสมเด็จหลวงพ่อทวด นายฮวดจึงได้ขอรับอาสาจะขุดและขนเอาดินว่านสีดำซึ่งมีอยู่ ณ เชิงเขาแห่งหนึ่งไปส่งให้ถึงวัด โดยไม่คิดค่ารถค่าแรงแต่ประการใด
ดินว่านนี้เป็นดินสีดำตามธรรมชาติ อยู่เป็นทางซึ่งจะเข้าใต้ภูเขา ชาวบ้านแถวนั้นเรียกกันว่า กากยายักษ์ หมายถึงกากยายักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์ ชาวบ้านเอาดินดำนี้มาตากแห้ง หรือย่างไฟกินแก้โรคผอมเหลืองหรือโรคโลหิตจาง เขาว่าดีนักจึงเป็นที่หวงแหนของชาวบ้านแถวนั้น…..
ดินกากยายักษ์ (ดินดำ) เป็นดินดำที่ค้นพบในพื้นที่ หมู่ที่ 6 บ้านทองล้น อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน ห่างจากหน่วยประสานงานและป้องกันรักษาป่า (นปป.) ประจำจังหวัดยะลา และส่วนป้องกันและปราบปรามที่ 4 (ภาคใต้) สปป.กรมป่าในระยะทางประมาณ 800 ม. มีลักษณะเป็นดินดำเนื้อละเอียด มีประโยชน์ในการนำมาประกอบเป็นองค์พระพุทธรูป หรือองค์พระเครื่อง โดยเฉพาะหลวงพ่อไกร หลวงพ่อทวดวัดช้างให้ ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพศรัทธาทั้งในและต่างประเทศ สำหรับที่มาของดินกากยายักษ์มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตกาลได้กล่าวถึงยักษ์ตนหนึ่ง ซึ่งได้รับคำสั่งจากหัวหน้ายักษ์ คือ ทศกัณฑ์ ให้ไปเคี่ยวยา หากปรุงยาเสร็จให้นำยาตัวที่ปรุงไปราดบนพื้นดิน เพื่อให้ดินกลายเป็นแผ่นน้ำ แต่ในขณะที่กำลังปรุงยาอยู่นั้น ข่าวการปรุงยารั่วไหบไปถึงหูหนุมาน หนุมานจึงมาขัดขวางเพื่อยับยั้งการปรุงยา จนมีการต่อสู้เกิดขึ้นระหว่างหนุมานกับยักษ์ หนุมานได้ถีบกระทะเคี่ยวยาคว่ำลง ยาในกระทะได้ไหลลงมาสู่พื้นดิน จึงเกิดเป็นสายน้ำขึ้น และกระทะที่คว่ำลงนั้น ปัจจุบันเรียกว่า “เขากระทะ” ตั้งอยู่ระหว่างตำบลตาชีกับตำบลลำพะยา ส่วนยาที่เคี่ยวนั้นเรียกว่า “กากยายักษ์” ซึ่งไหลลงมาจนเกิดเป็นลำธาร ตรงก้นลำธารยังคงเหลือกากยายักษ์หรือดินดำให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน
วัดสิริปุณณาราม(วัดลำพะยา) อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ยังมีของดีของวิเศษมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา!!!!สำหรับพระเครื่องหลวงพ่อไกร ได้รับความนิยมและมีผู้แสวงหามาบูชาขึ้นคอ เนื่องจากเหตุการณ์ใม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลวงพ่อไกรท่านได้สร้างอภินิหารช่วยชีวิตทหารตำรวจและชาวบ้านไว้หลายครั้ง หลายเหตุการณ์ จึงเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านและตำรวจ ทหาร จำเป็นต้องหาไว้คุ้มครองชีวิตตนเอง
ท่านเป็นพระสมัยอยุธยาและเป็นสหธรรมิกของหลวงพ่อทวดวัดช้างให้โดยตรงประวัติของท่านอาศัยจากคำบอกเล่าปากต่อปากของชาวบ้านบริเวณแถบหมู่บ้านลำพะยาว่ามีพระอาศัยอยู่บริเวณวัดเก่าและอาศัยจากการติดต่อสื่อสารทางนิมิตรสมาธิของพระครูวิสัยโสภณ พระอาจารย์ทิมวัดช้างให้ ปัตตานี
เรื่องจริงๆ!!!...หลวงพ่อไกรวัดลำพะยาเป็นพระสมัยอยุธยาหรือก่อนจากนั้นก็มิทราบได้เพราะประวัติของท่านอาศัยจากคำบอกเล่าปากต่อปากของชาวบ้านบริเวณแถบหมู่บ้านลำพะยาว่ามีพระอาศัยอยู่บริเวณวัดเก่าตอนนี้ไม่มีหลงเหลือให้เห็นแล้วเพราะผ่านมาเป็นเวลานานมีเสือและงูจงอางเป็นบริวารชาวบ้านมักจะเรียกว่าทวดเสือและทวดงูจงอางจะมีอยู่สองตัวคู่กันบริเวณเทือกเขาวัดลำพะยามีอารยธรรมแปลกๆหลายอย่างเพราะมีหลายส่วนที่กล่าวถึงเช่น ผานางรำหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แท่นหินนางรำบริเวณแถวนี้พวกพรานป่าที่ไปหาสัตว์กลางคืนมักจะเห็นมีเสียงดนตรีและมีเงาดำเป็นผู้หญิงฟ้อนรำอยู่,ถ้ำคนธรรบริเวณถ้ำจะมีของโบราณเช่นถ้วนชามหรือหม้อแกงเวลามีงานชาวบ้านมักจะไปยืมเอาจากในถ้ำเมื่อเสร็จงานแล้วก็นำไปคืนโดยการบอกกล่าวด้วยคำพูดหรือพูดง่ายๆว่าพูดเองเออเองช่วงหลังๆชาวบ้านที่ไปยืมมักไม่นำไปคืนหรือคืนไม่ครบด้วยความโกรธหรืออย่างใดมิทราบได้ปากถ้ำจึงโดนหินพังปิดลงมา
เรื่องมหัศจรรย์ที่สุด!!!!หลวงพ่อไกร ท่านเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะบารมีทางด้านเมตตาธรรมของท่านนั้นสูงส่งมาก เมตตาธรรมของท่านแผ่กว้างออกไปไม่เลือกแม้แต่คนหรือสัตว์ ขนาดงูจงอางซึ่งเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและคนภาคใต้กลัวกันมากถือกันว่าเป็นงูเจ้าที่ไม่มีใครกล้าทำอันตราย ก็ยังมาสยบอยู่กับท่านที่วัดถึงสองตัว เรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งของ หลวงพ่อไกร คือเส้นผมของท่านไม่เหมือนกับเส้นผมของคนธรรมดาทั่วๆไป แต่เส้นผมของหลวงพ่อท่านกลับกลายเป็น ทองแดง ซึ่งเมื่อถึงวันโกนจะต้องอธิษฐานจิตเสียก่อนจึงจะโกนเข้า มิฉะนั้นจะโกนไม่เข้าเลย เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์นัก
มหาตำนานศักดิ์สิทธิ์ของ..หลวงพ่อไกรหรือ หลวงปู่ทวดสมภารท่านเจ้าไกร จอมอภิญญา..ที่เล่าสู่กันมาหลายๆรุ่น ก็สรุปได้ว่าไม่มีใครเคยทราบประวัติท่านได้ชัดเจน ทราบแต่เพียงว่าท่านเป็นพระที่มีฌาณสูงมาก องค์หนึ่งในอดีต ....ประการสำคัญท่านมีตัวตนจริงๆและเป็นสหธรรมิกของหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดเมื่อครั้งศึกษาพระธรรมที่วัดเสมาเมือง เมืองนครศรีธรรมราชพร้อมกัน…..เล่ากันภายในเชิงลึก...ว่า หลวงพ่อทวดวัดช้างให้ กับ หลวงพ่อไกรวัดลำพะยา ท่านทั้งสองเมื่ออุปสมบทเข้ามาในบวรพระพุทธศาสนาแล้วก็ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานก็ร่วมเรียนวิชาวิปัสสนาพร้อมๆกันแล้วต่างแยกย้ายกันเพื่อแสวงหาความวิเวก หลวงพ่อไกรได้เดินทางมาถึงลำพะยา ได้พบถ้ำแห่งหนึ่งเรียกกันว่า ถ้ำวัดใน เป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อไกรได้ปฏิบัติธรรมอยู่ในถ้ำแห่งนี้เป็นเวลาประมาณสามสิบปีจึงมรณภาพ..
วัดลำพะยา ในระยะแรกเป็นเพียงสำนักสงฆ์ โดยหัวหน้าหมู่บ้าน ชื่อ นายอิน นายไชย และนายเพชรแก้ว ได้พิจารณาแล้วว่าต่อไปลำพะยาจะมีชาวบ้านมากขึ้น จึงตั้งเป็นสำนักสงฆ์ขึ้น เรียกว่า สำนักสงฆ์บ้านป่ากัน และได้นิมนต์พระสงฆ์จากวัดล่ามพญาซึ่งเป็นวัดเก่ามาพัฒนาสำนักสงฆ์จนเป็นวัด ชื่อ วัดลำพญา และมีเจ้าอาวาสสืบต่อกันมาหลายองค์ จนกระทั่งยุคเจ้าอาวาสรูปที่7คือ พระสิริสารโสภณ พ่อท่านมิ่ง(สหธรรมิกของพระอาจารย์ทิมวัดช้างให้) ได้ปรึกษาหารือกับชาวบ้านได้เปลี่ยนชือเป็นวัดลำพะยา เป็นต้นมา..จนเปลี่ยนมาเป็นวัดสิริปุณณาราม ล่าสุด...มี พระไพศาลคุณากร พ่อท่านสิงห์ เตชวโร เป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 8 พ่อท่านสิงห์เป็นพระนักพัฒนาและพระนักสังคงสงเคราะห์ ท่านเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ว่านยา และคาถาอาคมเพราะเป็นศิษย์สืบทอดพุทธาคมจากปู่เจ้าแสง พิมพศิริ วัดวงกตบรรพต อำเภอยะหา จังหวัดยะลา (สหธรรมิกพระอาจารย์ทิมวัดช้างให้และเป็นผู้หาว่านร้อยแปดมาให้อาจารย์ทิมสร้างพระหลวงพ่อทวดวัดช้างให้รุ่นแรก)และพระครูสุนทรธรรมคณี หลวงพ่อเซี่ยง ปุญญโชโต วัดยะหาประชาราม อำเภอยะหา จังหวัดยะลา (สหธรรมิกพระอาจารย์ทิมวัดช้างให้)
พระไพศาลคุณากร พ่อท่านสิงห์ เตชวโร เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พศ.2473 ตรงกับวันเสาร์ขึ้น14ค่ำเดือน6 ปีมะเมีย ที่บ้านลำพะยา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา บิดาชื่อ นายสีพุฒิ ลายเจียร มารดาชื่อ นางชี ลายเจียร บบรพชาและอุปสมบท เมื่อวันที่ 3พฤษภาคม พศ.2493 ณ วัดสิริปุณณาราม อำเภอเมืองจังหวัดยะลา โดยได้รับความเมตตาจาก พระครูสิริคุณากร วัดสิริปุณณาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสุนทรธรรมคณี หลวงพ่อเซี่ยงวัดยะหาประชารามเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระแสง พิมพสิริ (ปู่เจ้าแสง)เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ปัจจุบันพ่อท่านสิงห์ เตชวโร ดำรงค์สมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญและตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะ อำเภอยะหา- กาบัง ยะลา มีสิริอายุ85ปี พ่อท่านเอื้อเฟื้อต่อกิจพระพุทธศาสนามาโดยตลอดและเสียสละทรัพย์ส่วนตัวของพ่อท่านมอบทุนการศึกษา ช่วยเหลือเด็กนักเรียน ในพื้นที่มาโดยตลอดโดยทุนที่มอบให้ไม่จำกัดว่าจะเป็นเด็ก หรือเยาวชนในศาสนาใด
พ่อท่านสิงห์ เตชวโร ท่านเป็นพระเถรานุเถระที่มีจริยาวัตรอันงดงาม เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์จากอำนาจศีลจนเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนมากมาย ยิ่งชาวบ้านในพื้นที่ท้องถิ่นยะลาแล้วยิ่งเคารพนับถือพ่อท่านมากสมแล้วที่เป็นผู้ปลุกเสกอาราธนาดวงวิญญาณหลวงพ่อไกรมาปกป้องคุ้มครองระบือไกลเป็นอมตะพุทธคุณควรค่าต่อการนำเสนอในบัญชรพระเครืองพุทธาคมแห่งนี้....

 

520.เหรียญกลมเล็ก หลวงพ่อหลิม วัดโพธิ์ทอง บางมด จ.กรุงเทพฯ ให้บูชา100บาท**มีผู้นรับนิมนต์แล้วครับ**

 

521.รูปหล่อหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ จ.ปัตตานี กะไหล่ทอง ให้บูชา 150 บาท[/QUOTE]***สมาชิกไลน์มาจองครับ***

 

522.เหรียญไล่ห์หลวงพ่อปาน ปี14 ให้บูชา 50 บาท**สมาชิกไลนฺมาจองครับ**

 

523.เหรียญหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ ให้บูชา 100 บาท***สมาชิกไลนฺมาจองครับ**

 

524.เหรียญเม็ดยา หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน ปี49 มี3องค์ ให้บูชาทั้งหมด 200 บาท**มีผู้นรับนิมนต์แล้วครับ**

 

525.พระกรุเนื้อชิน ชุดจิ๋ว 1.เม็ดข้าวเม่า2.ลีลา3.หัวใจกำแพง4.พระรอด ให้บูชา ทั้งหมดรวม 500 บาท[/QUOTE]***สมาชิกไลน์มาจองครับ***

 

วันนี้รีบถ่ายครับ ไม่ได้ถ่ายรูปดีๆๆๆๆ งานยุ่งไปหน่อยแต่เช้าเลย อิอิ

 

ขออภัยครับขอยกเลิกรายการนี้ก่อนครับ

 

จองครับ...493.พระพุทโธ หลัง สติ พละ หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก พิมพ์เล็ก วัดทุ่งสามัคคีธรรม จ.สุพรรณบุรี พิมพ์นี้หายากสุดๆครับ พบเจอน้อย ให้บูชา 650 บาท

 

รับทราบการจองครับ

 

รับทราบครับ

 

**สมาชิกไลน์มาจองครับ***

 

***สมาชิกนิมนต์แล้วครับ**

 

526.ปิดตาเนื้อผงหลังยันต์ไม่ทราบที่ สภาพสวย ให้บูชา 200 บาท**สมาชิกไลน์มาจองครับ**

 

527.เหรียญเสมา กันภัย หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา หลวงพ่อแม้นปลุกเสก พร้อมกล่องเดิม ให้บูชา 200 บาท***ปิดรายการนี้ครับ**

 

528.ปรกใบมะขาม รุ่นปกป้อง หลวงพ่อแล วัดพระทรง พร้อมเลี่ยม ให้บูชา 250 บาท

 

529.นางกวัก เนื้อผงน้ำมัน พิมพ์จิ๋ว ไม่ทราบที่ ให้บูชา 250 บาท**สมาชิกไลน์มาจองครับ**

 

530.นางกวัก พิมพ์จิ๋ว หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา สภาพสวย ให้บูชา 350 บาท**สมาชิกไลน์มาจองครับ**

 

531.รูปหล่อเนื้อผงพุทธคุณผสมผงตะไบงาช้าง หลวงปู่มี เขมธมฺโม รุ่นยอดขุนพล ปี ๒๕๓๙..สวยมาก ให้บูชา 350 บาท

รูปหล่อเนื้อผงพุทธคุณผสมผงตะไบงาช้าง หลวงปู่มี เขมธมฺโม รุ่นยอดขุนพล ปลุกเสกพิธีใหญ่ไตรมาส วันที ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๙ ใต้ฐานอุดกริ่งครับมวลสารการสร้าง ประกอบด้วย ผงวิเศษต่าง ๆ ที่หลวงพ่อมีลบขึ้นเองเป็นส่วนใหญ่ ทั้งยังมีลูกอมหลวงพ่อปาน ผงขี้ธูป ดอกไม้และผ้าจีวรหลวงพ่อจง ผงแร่เมฆพัดหลวงพ่อเขียนผงพระคู้สลอด ผงพระสมเด็จวัดใหม่ปากบาง ผงพระหลวงพ่อโต วัดบางกระทิง ผงแร่ ผงตะไบเงิน ตะไบทอง เส้นเกศา ผ้าจีวร หลวงพ่อมี ตลอดทั้งสิ่งมงคลและของอาถรรพณ์ต่าง ๆ อันศักดิ์สิทธิ์อีกมาก ออก แบบได้เหมือนหลวงปู่มีที่สุด ท่านว่ารุ่นนี้เสกให้เหนือคน คือ ยอดแห่งคน อันเป็นชื่อรุ่นดังคำว่า"ยอดขุนพล" ครับกล่าวกันว่ามประสบการณ์ทางด้าน เมตตา มหาเสน่ห์ จนมีการกล่าวขวัญตั้งสมญานามว่า "ยอดขุนพล แห่งอยุธยา มหาเสน่ห์แห่งเมืองเสนา" จำนวนสร้าง 1000 องค์ พระสภาพสวยพร้อมกล่อง