หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ยินดีกับบ้านใหม่หลังที่สองด้วยนะครับ.....

 

ขอบคุณครับท่าน

ท่านบอกว่า...เคยเป็นที่ๆของเรามาก่อน ญาติเก่าเรา(คนจีน)ที่รักษาไว้ให้มีจำนวนมากในเมืองแม่สอดนี้...
(ปล:ความเชื่อส่วนบุคคลครับ)

 

พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในช่วงแต่ละครั้งเป็นเรื่องที่ยากที่สุด​

ขออนุญาตนำมาโมทนาสาธุ ณ บอร์ดเราด้วยครับ

 

ใบไม้กำลังร่วงหล่น พลิกคว่ำ พลิกหงาย


....นักลักธรรม....<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->

 

พระพุทธรูปนาคปรกเนื้อดินเผา หน้าตัก 3 นิ้ว เมืองนาดูน ที่เสด็จมาทางอากาศอีกองค์ พระถูกนำไปล้าง(สรง)น้ำ จึงทำให้ผิวหน้าขององค์พระสูญหายไป ดูเหมือนพระใหม่ หากทิ้งไว้อีกระยะ ความเก่าของธรรมชาติจะกลับมาอีกครั้ง ลองชมดูนะครับ

​

 

ยินดีกับดร.นนท์ และท่านสมบัติ ได้สมปรารถนาในสิ่งต่างๆที่ได้รับมา คงด้วยอานิสงค์ของการสั่งสม สร้างบุญกุศลของท่าน เป็นดั่งคำกล่าว "การสั่งสมบุญ นำสุขมาให้"
อีกทั้งการปฏิบัติบำเพ็ญก็คงช่วยให้ท่านเจริญยิ่งๆขึ้นไปทั้งทางโลกและทางธรรม

 

....สา...ธุ....

เกือบสี่ทุ่มวันนี้ ได้พูดคุยกับท่านสันติที่เดินทางออกจากภูดานไหประมาณสี่โมงเย็น ณ ขณะที่พูดกันถึงโคราชแล้วและมีฝนตกด้วย คาดว่าน่าจะถึงจันทบุรีราวๆตี 2 ผมขอให้ท่านและครอบครัวจงเดินทางโดยสวัสดิภาพ

เดินทางไกลมาภูดานไหครานี้ท่านสันติบอกว่า ได้สองงานหลัก...คุ้ม!ดังนี้
1. ส่งงานเรื่องสร้างศาลา คุยกับนายช่าง ฯลฯ
- Phase แรก...รากฐาน/ขึ้นเสา/โครงเหล็กและหลังคา
2. ได้ทำงานและร่วมบุญบูรณะหอฉัน
- ได้เห็นถึงความชุลมุนอันเกิดจากลม-ฝนที่ต้องหลบ (หอฉันพึ่งจะมุงหลังคาเสร็จเย็นนี้เอง)
- งานนี้ต้องเพิ่มเติมก่ออิฐ/เสริมกระจกกันลม-ฝน จะได้เก็บของปลอดภัยยิ่งขึ้น
- ปรับระดับเพื่อปูกระเบื้องด้วย
- ศาลาหลวงปู่ศรีสุทโธที่ทางคณะคุณสันติพัก เปียกฝนน้ำนอง (เหมือนตอนในพรรษา)
ต้องขนของที่ส่วนใหญ่ยกมาจากหอฉันไปไว้กุฏฺิแทน ฯลฯ
- องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ต้องย้ายไปฉันภัตตาหารในกุฏิหลังเก่า (เดิมทีใช้ศาลาหลวงปู่ศรีสุทโธ)
3. ร่วมกับญาติธรรมพากันทำทาง ตัดกิ่งไม้ เตรียมการให้รถขนของขึ้นมาก่อสร้างได้
ฯลฯ

ผมขอโมทนาสาธุกับคณะท่านสันติและคุณเก่ง(สมชื่อ) มา ณ ที่นี้

 

๔. จิตดั้งเดิมนั้นผ่องใส ไม่ดีไม่เลวไม่ทุกข์ไม่สุขด้วยตัวเอง จะดีหรือเลว ทุกข์หรือสุขต้องอาศัยเจตสิก[คือ เวทนา สัญญา และ สังขาร(ที่ถนัดในเรื่องการปรุงแต่ง)]

ท่านนักลักธรรม ได้ยกธรรมข้อนี้มา จึงใคร่ขอนำ ธรรมจากภูดานไห ที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเมตตากล่าวให้ผมได้ฟังเพื่อเป็นความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องของจิต ที่ได้รับฟังมาในวาระต้อนรับปีใหม่
อันจิตเดิมแท้นั้นประภัสสร ผ่องใส
แต่ทำไมจึงต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก? แสดงว่าจิตเดิมแท้ที่ผ่องใสนั้นยังไม่บริสุทธิ์จริงๆ ถ้าบริสุทธิ์จริงก็ต้องไม่มาเกิดอีก
และต้องมีสิ่งที่นำพาให้จิตที่ประภัสสร ผ่องใสนั้น มาเวียนว่ายตายเกิด

แล้วอะไรคือปัจจัย?
ปัจจัยนั้นคืออวิชชา(ความไม่รู้) และอวิชชาที่ยังคงอยู่ในจิตเดิมแท้ก็คือความผ่องใส
ความผ่องใสนั้นเองคืออวิชชา

เมื่อนักปฏิบัติ ปฏิบัติมาถึงจุดหนึ่ง บูรพาจารย์ท่านจึงแนะนำสั่งสอนว่า พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต

ผมทำความเข้าใจและสรุปแนวทางปฏิบัติ(ของตนเอง) ที่เป็นกุญแจในการปฏิบัติจนถึงที่สุด คือ การปล่อยวาง ความยึดมั่นถือมั่น ความสำคัญมั่นหมาย ในตัวตน ในตัวผู้รู้ และแม้แต่ตัวจิตเอง

ป.ล.ถ่ายทอดแบ่งปันธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ ตามความเข้าใจของตนเอง เท่าที่ปัญญาอันน้อยนิดจะพอเข้าใจได้ คงไม่สมบูรณ์ตามอรรถธรรมที่พ่อแม่ครูอาจารย์(พ.สุรเตโช) ท่านได้เมตตาสั่งสอน

 

อนุโมทนากับคุณสันติ คุณเก่ง และทุกท่านครับ

 

รอบที่แล้ว เห็นคุณปูใช้กระดาษทิชชู่เช็ดทำความสะอาดครับ
เธอห้าม ไม่ให้ล้างน้ำ เดี๋ยวเสียของหมด เห็นจะจริงครับ

 

โมทนาสาธุครับ...เข้าใจแจ่มชัด!
อีกไม่นานเราคงได้รับและเผยแพร่ธรรมะขององค์ท่านโดยตรง
ซึ่งคุณแม่ชมบอกว่าจะออกมาเป็นช่วงๆครับผม

 

บอกกล่าวกันแล้ว ว่าหิ้วมะพร้าวมาขายสวน......

 

ท่านว่า...
ขอบฟ้าที่ว่าไกลยังพอมองเห็นได้...แต่พระอริยเจ้ากับปุถุชนคนธรรมดานั้น...มองไม่เห็นกันเลย...อันพระอริยเจ้าก็มาจากคนธรรมดา...เมื่อเกิดมีขึ้นแล้ว...แม้แต่เทพ พรหมยังต้องเสด็จลงมาสักการะท่าน

 

ขออนุโมทนาบุญกับคณะของท่านสันติและคุณเก่งกับภาระงานการสร้างศาลาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ รวมทั้งคณะญาติธรรมที่อยู่ภูดานไหทุกคนกำลังทำภาระกิจการสร้างหอฉันทุกประการครับ

 

ขออนุโมทนาครับ

"พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต"

ไม่เอาทั้งความดี ความชั่ว ไม่เอาทั้งบุญและบาปในอดีตมาคิด
ปัจจุบันมุ่งความเพียรลดละวางด้วยมหาสติและมหาปัญญาในการพิจารณาสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นจริง เมื่อพบผู้รู้ทำลายผู้รู้ เมื่อพบจิตให้ทำลายจิต ไม่เอาสิ่งใดเลยทั้งสิ้น แม้แต่บุญและบาปก็ไม่เอาไป ทิ้งไว้ให้กับโลกเป็นภพสุดท้าย

เหตุที่ไม่เอาทั้งบุญและบาปมาคิด ไม่ขอเอาบุญบารมีเก่ามาสร้าง เนื่องเพราะทั้งบุญและบาปในอดีตนั้น มันสำเร็จในตัวมันอย่างสมบูรณ์แล้ว มิสามารถเข้าไปปรุงแต่ง แก้ไข หรือเพิ่มเติมทั้งบุญและบาปได้อีกต่อไป ผลของบุญและบาปที่ได้กระทำไว้ในอดีต มันจะส่งผลอันเที่ยงแท้(สัจธรรม)ต่อการเวียนว่ายตายเกิด แม้เราเกิดมาในภพนี้แล้วมีจิตปรารถนาพระนิพพาน แม้เราจะไม่ร้องขอบุญบารมีเก่าที่สร้างสมมาตั้งแต่ต้นธาตุจนถึงปัจจุบัน ผลบุญนั้นมันก็จะส่งผลเองโดยอัตโนมัติ(ไม่ต้องขอ) หากบุญบารมีเพรียบพร้อมที่จะเข้าพระนิพพานได้ก็ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นได้ หรือผลของบาปที่กระทำไว้แล้วในอดีต แม้เราจะร้องขอหรือไม่ร้องขอ หรือขอผัดผ่อนอย่างไร มันก็ย่อมจะส่งผลโดยอัตโนมัติตามกาลเวลาของมันเช่นกัน เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นอนัตตา เมื่อมันจะเกิดก็ต้องเกิด เมื่อมันจะดับก็ต้องดับ เป็นธรรมดา ดังนั้นจึงทำกาลปัจจุบันให้เข้าใจสภาวะธรรมอันแท้จริง แล้วละวางทั้งตัวถูกรู้ ผู้รู้ และจิต ให้มีแต่ความกลางว่างเปล่าและใสวิสุทธิ์ ดั่งที่พระผู้พ้นแล้ว ที่ท่านไม่ได้เอาสิ่งใดไปเลยแม้แต่บุญและบาปก็ไม่เอาไป เพราะทุกอย่างไม่มีผลต่อดวงจิตที่ใสวิสุทธิ์อีกแล้ว


ปล. ให้ระวังความผ่องใสของจิตนั้นเองคืออวิชชา เพราะความผ่องใสนั้นมิใช่ความกลาง ความว่าง อันใสวิสุทธิ์ เพราะยังมีอาสวะกิเลสเจือปนอยู่ (เป็นความเข้าใจตามสติปัญญาของผมในขณะนี้ ไม่ควรยึดเอาความคิดเห็นของผมว่าถูกต้องแล้ว เพราะผมยังเป็นปุถุชนอยู่ในขั้นโลกีย์)


ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
21 มกราคม 2555

 

มหัศจรรย์พลังไร้ขีดจำกัดในพระสมเด็จวัดระฆังปี 2408​

ผมพึ่งได้รับพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ เนื้องเหลืองมาตรฐาน สภาพธรรมชาติดูง่ายมากที่สุดอีกองค์หนึ่ง เมื่อตรวจสอบภายในแล้วพบว่า เป็นพระที่สร้างและอธิษฐานจิตในช่วงรัชกาลที่ 4 ในปี พ.ศ. 2408 อธิษฐานจิตโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่วัดระฆัง และตรวจสอบพลานุภาพปรากฏว่า มีพลังแบบไร้ขีดจำกัดมาตั้งแต่ดั้งเดิม(พบน้อยมาก) ผมได้รับมาแบบพิเศษแต่ปรกติ ลองชมดูนะครับ


ปล. เมื่อท่านไหลมาก็มาเสียให้พอ แล้วจะขอละวางเสียทีเดียว ส่วนการตรวจสอบภายในนั้น ผมยังเป็นปุถุชนอยู่ในขั้นโลกีย์ ความคิดเห็นอาจไม่ถูกต้อง จงใช้วิจารณญาณเอาเองนะครับ


ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
21 มกราคม 2555

​

​

​

​

​

 

ฟ้าดินห่างไกลกันก็ยังมองเห็น มหาสมุทรกว้างไกลก็พอไปถึง แต่จิตอริยะชน กับปุถุชนห่างไกลกันไม่มีที่หมาย เพราะปุถุชนกับอริยะชนอยู่คนละฝั่งกัน ฝั่งหนึ่งเป็นโลกีย์ ฝั่่งหนึ่งเป็นโลกุตตระ ปุถุชนเป็นโลก (โลกีย์) อริยะชนเป็นโลกุตตระ (เหนือโลก) จึงไม่สามารถมมองเห็นกันได้ จนกว่าปุถุชนจะประพฤติปฏิบัติจนจิตเป็นอริยะชนเมื่อนั้นจึงจะมองเห็นกันได้

 

อ่านข้อความของท่านนนต์ในเรื่อง พลังพุทธานุภาพแบบไร้ขีดจำกัด แล้ว
รู้สึกว่า บุญของใคร บุญของแต่ละคนไม่เท่ากัน จะได้รับในสิ่งที่ไม่เท่ากัน
เมื่อรับรู้ สิ่งที่ทุกคนต้องทำ ต้องเร่งทำอะไรต่ออะไร ในเวลาที่ทุก ๆ คนยังเหลืออยู่

 

ล่วงหน้าไปกันก่อนนะครับ ขอเวลาดูสถานการณ์บ้านเมืองสักพัก แล้วจะรีบตามไปห่างๆ ...

 

ปุถุชนย่อมไม่สามารถเข้าใจการกระทำ คำพูด ถ้อยธรรมทุกคำ ตามความเป็นจริงในใจของอริยะชนอย่างถ่องแท้ได้ แต่อริยะชนทั้้งหลายย่อมแทงทะลุในการกระทำ คำพูด ความคิดทุกอย่างของปุถุชนได้อย่างไม่ต้องสงสัย จงตั้งใจพรากเพียรประพฤติปฎิบัติตามอริยะชน นักปราชญ์เจ้าผู้รู้ทั้งหลาย ด้วยความอุตสาหะ และซื่อตรง ต่อธรรม ไม่เอาทิฎฐิของตนเป็นใหญ่จนขวางทางธรรมของเจ้าของ เพราะมันจะเนิ่นช้า เสียเวลาในการประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยการสุ่มเดาของตน จงเข้าหาศึกษา ประพฤติปฎิบัติกับนักปราญ์เจ้าผู้รู้ทั้งหลาย เพื่อความรู้แจ้งแทงทะลุในอริยะสัจจะธรรม สมความปรารถนา คติธรรมโดย (พระป่าบ้านนอก)