รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 12)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 30 ตุลาคม 2011.

  1. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุพระโสดาบัน"
    หลักสูตรออนไลน์ 30 ชั่วโมง
    (ชั่วโมงที่ 12)

    เกริ่นนำ

    หากว่าในภัยพิบัติ เช่นเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้
    ทำให้ท่านต้องติดอยู่ในบ้านหรือศูนย์อพยพเป็นเวลานาน 1 - 2 เดือน
    ท่านคิดว่าจะทำอะไรในช่วงเวลาว่างนั้น

    นักปฏิบัิติที่ยังต้องหาเวลาว่างเพื่อตั้งท่าหลับตานั่งสมาธินั้น
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านว่าปฏิบัติแบบนี้ยังห่างไกล
    นักปฏิบัติที่แท้จริงนั้นเขาเอาธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นล่ะพิจารณา

    พิจารณาอย่างไร ต้องพิจารณาให้ถูก
    ไม่ใช่พิจารณาว่าน้ำท่วมเป็นทุกข์ แล้วจบเพียงแค่นั้น
    ต้องพิจารณาให้เห็น ที่ทุกข์เพราะการมีร่างกายหรือขันธ์ 5
    เช่นว่า นี่ถ้าเราไม่เกิดมามีร่างกายมนุษย์แบบนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลว่าน้ำจะท่วมเมื่อไหร่
    ไม่ต้องมานั่งคิดเตรียมตัวเตรียมการวุ่นวายไปหมด
    ถ้าไม่มีร่างกายมนุษย์แบบนี้เราคงไม่ต้องลำบากกักตุนอาหารและอุปกรณ์ยังชีพไว้เลี้ยงร่างกาย
    บางทีก็ทะเลาะกันทั้งในบ้านพาลต่อมาถึงในเว็บว่าถ้าน้ำท่วมแล้วเราจะอพยพ หรืออยู่สู้ดี
    แล้วก็ต้องมาเถียงกันว่าใครฉลาด ใครโง่
    อันที่จริงโง่กันหมดเลย รวมทั้งผู้เขียนนี้ด้วย เพราะไม่เช่นนั้นคงไปพระนิพพานแล้ว

    คนจะอพยพก็ต้องคิดอีกว่าจะอพยพไปอยู่ที่ไหน
    คนแก่ คนเจ็บ คนป่วย ก็ต้องมาลำบาก ไม่ใช่เพราะน้ำท่วม แต่เพราะมีร่างกาย
    ส่วนคนหนุ่มคนสาวก็ต้องลำบาก
    ลุยน้ำออกมาทำงาน หรือออกมารับถุงยังชีพ

    ทำงานมาตลอดชีวิตทั้งชีวิตตัวเอง ทั้งชีวิตตลอดชีวิตของบรรพบุรุษ คือเป็นมรดกตกทอดมา
    สุดท้ายก็เหมือนหมดเนื้อหมดตัวเพราะน้ำท่วม ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่

    สรุปทุกข์เกิดเพราะการมีร่างกาย คิดอย่างนี้เป็นวิปัสสนาเพื่อเป็นการละสักกายทิฏฐิ
    เห็นว่าร่างกายมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ดิ้นรนแค่ไหนสุดท้ายก็ตายอยู่ดี

    ตัดร่างกายมนุษย์อย่างเดียว เราก็ไม่พอใจการเป็นเทวดา นางฟ้าหรือพรหม
    เพราะรู้ดีว่าเทวดา นางฟ้าหรือพรหมนั้นยังต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก



    ก่อนเข้าสู่การเรียนรู้ในชั่วโมงนี้ ขอย้ำว่าต้องทำการบ้านของทุกบทนะครับ.



    สรุปทบทวนจากชั่วโมงที่ 11

    การคิดก็คือการวิปัสนา
    หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่า การวิปัสสนาก็คือการคิดนั่นเอง อ้างอิง

    หลวงพ่อพระราชพรหมย<wbr>าน หรือหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านเทศนาว่า
    "...การเจริญวิปัสสนาก็ไม่มีอะ<wbr>ไรยาก
    ความจริงวิปัสสนานี้มีวิธีเจริญ<wbr>ง่ายมาก ง่ายกว่าระดับสมาธิมาก
    คือยกอารมณ์ให้เข้าถึงความเป็นจ<wbr>ริง คล้อยตามความเป็นจริง
    ไม่ฝืนความจริง รับรู้ รับทราบตามกฎของความเป็นจ<wbr>ริงตลอดเวลา
    และไม่พยายามฝ่าฝืนกฎธรรมดาเป็นอัน<wbr>ขาด.."

    "..นักวิปัสสนาที่ยังต้องอาศัย<wbr>เวลาที่สงัด ยังต้องยึดแบบนั้น...
    ท่านว่ายัง<wbr>ไกลต่อมรรคผลมาก นักวิปัสสนาที่เข้าระดับวิปัสสน<wbr>าจริง
    ท่านเอาธรรมชาติที่ปรากฏเฉพาะหน<wbr>้าเป็นเครื่องพิจารณา.."




    (ชั่วโมงที่ 12)


    ไปวัดบ่อย ๆ ทำบุญใส่ซองทอดกฐิน - ผ้าป่า ทำบุญสังฆทานอยู่เสมอไม่ได้ขาด
    สวดมนต์เป็นประจำ สวดบทไหนใครว่าดีก็สวดหมด
    ทำสมาธิบ้างเมื่อมีเวลา สติปัฏฐานกำลังนิยมเราก็ทำ
    แต่ทำไมดูเหมือนการปฏิบัติของเรายังไม่ก้าวหน้าไปถึงไหน

    การปฏิบัติธรรมไม่สำคัญว่าต้องไปวัด สำคัญที่ต้องมีเครื่องวัด

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงท่านว่า...
    " มีจดหมายไปที่วัดหลายสิบฉบับ บอกว่าเจริญกรรมฐานมาประมาณ 20 ปีเศษ
    ส่วนใหญ่บอก 20 ปีเศษ ไม่เคยได้อะไรเลยไม่มีผลก้าวหน้า
    นั่นก็หมายความว่า เจริญแบบคนโง่ ไอ้คนโง่นี่อะไรมันหาความเจริญไม่ได้
    ไม่ได้ดูตำราหรือตำราที่ดูแล้วก็ไม่จำไม่รู้จักคิด อ่านแล้วมันต้องคิดตาม
    แล้วก็ต้องเลือกว่าตำราส่วนไหนเป็นของพระพุทธเจ้า
    ส่วนไหนเป็นของคนเขียน ต้องดูคนแต่งตำราด้วย
    คนแต่งตำราถ้าไม่รู้ ไม่รู้เรื่องก็แต่งส่งเดช ตามความรู้สึกของตัวเอง
    ไอ้ตัวเองก็ไปนิพพานไม่ได้ ทีนี้จะสอนให้คนอื่นไปนิพพานจะไปได้ยังไง
    เมื่อมีความไม่รู้อยู่ก็สอนแบบผิดๆ ไอ้เราก็ปฏิบัติตามเขาสอนก็ปฏิบัติผิดๆ
    "

    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงท่านว่า...
    " การวัดกำลังจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัท
    จะต้องวัดกันด้วยอารมณ์ ไม่ใช่วัดกันด้วยสมาธิ

    ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะอะไร เพราะมาทุกเที่ยวก็มีทุกท่านมารายงานทุกเที่ยวว่าสมาธิมันไม่ดี
    บางวันก็ดีบ้าง บางวันก็ไม่ดีบ้าง บางทีก็ตัวโยกไปโคลงมา
    บางทีก็อยากจะหงายหลัง เดี๋ยวก็อยากจะคว่ำหน้า เดี๋ยวก็มีอาการซู่ซ่า
    บางทีก็มีน้ำตาไหล บางวันใจสบาย บางวันใจทรงไม่อยู่
    ไอ้นี่เขาไม่นับ เขาไปนับกันอารมณ์ปลด
    คือถือที่มีความสำคัญก็คือมีอารมณ์ปลด
    นี่อารมณ์ปลดที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะปลดกันตรงไหนนี่
    อันดับแรกก็สังโยชน์ 3 คือ สักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา ลีลัพพตปรามาส
    "
    ตัดสังโยชน์ 3 ข้อนี้คือเป็นพระโสดาบัน

    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงท่านว่า...
    " อารมณ์พระโสดาบัน ถ้าทำได้ก็ครึ่งทางพระนิพพาน
    คำว่า พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน
    คือเข้าเขตพระ
    คือเข้าเขตพระนิพพาน ถ้าตายจากความเป็นคนอย่างน้อยก็เป็นเทวดาหรือพรหม
    ทีนี้อารมณ์ของเราถ้าได้พระโสดาบันแล้ว ถ้าเราต้องการนิพพาน
    ความจริงพระนิพพานนี่เป็นของไม่หนักสำหรับนักปฏิบัติที่มีความฉลาด
    และประการที่สองถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า ต้องดูตัวอย่าง ตามพระสูตร
    ถ้าเราไม่ดูตัวอย่างตามพระสูตรจะปฏิบัติยาก
    ทำไป ๆ ก็คิดแต่เพียงว่าสมาธิจะทรงหรือไม่ทรง
    จะทรงสมาธินานหรือไม่นานละเอียดหรือหยาบก็อยู่แค่นั้น
    ผลที่สุดแม้แต่พระโสดาบันก็ไม่ได้ ถ้าเราดูตัวอย่างตามพระสูตรจะรู้สึกว่าง่าย
    "

    การปฏิบัติธรรมนั้นต้องมีสังโยชน์เป็นเครื่องวัด
    ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมจึงต้องพิจารณาว่าสังโยชน์ถูกละหรือคลายตัวไปบ้างหรือไม่

    สังโยชน์ 10 อ้างอิง
    สังโยชน์นั้นมีทั้งหมด 10 ข้อก็จริงแต่หลวงพ่อท่านว่า
    การตัดสังโยชน์ 10 ประการ เขาตัดกันตัวเดียวคือ สักกายทิฏฐิ

    ดูตัวอย่าง พระสารีบุตร ที่ท่านแนะนำพระ
    เมื่อพระบวชใหม่บวชเสร็จก็ไปลาพระพุทธเจ้าจะเข้าป่า
    เมื่อพระพุทธเจ้าสอนแล้ว พระพุทธเจ้าถามว่า เธอไปลาพระสารีบุตรแล้วหรือยัง
    พระบอกว่ายัง ท่านบอกให้ไปลาพระสารีบุตรด้วย
    แต่ความจริงพระพุทธเจ้าท่านทราบ ไม่ได้นัดกันว่า พระสารีบุตรจะพูดเรื่องอะไร
    ฉะนั้นพระจึงไปแวะหาพระสารีบุตร พระพวกนั้นก็ถามพระสารีบุตรในธรรมะต่างๆ ข้อปฏิบัติต่างๆ
    พระสารีบุตรก็อธิบายให้ฟัง ในที่สุดก็ถามว่า เวลานี้ผมเป็นปุถุชน ต้องการเป็นพระโสดาบันจะทำยังไง

    ท่านบอกว่า ให้ตัดขันธ์ 5 ให้ตัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ขันธ์ 5 ถ้าตัดได้อย่างหยาบก็เป็นพระโสดาบัน

    พระพวกนั้นถามว่า ผมเป็นพระโสดาบันแล้วต้องการเป็นพระสกิทาคามีจะทำยังไง
    ท่านก็บอกว่า ก็ตัดตัวเดียวกัน ถ้าละเอียดลงไปอีกหน่อยหนึ่งก็พระสกิทาคามี
    พระท่านถามว่า ถ้าเป็นพระสกิทาคามีแล้วต้องการเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง
    ก็ตัดตัวเดียวกัน จนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกาย เบื่อหน่ายในกามคุณ เบื่อหน่ายในความโกรธ ก็เป็นพระอนาคามี
    พระก็ถามว่า ในเมื่อเป็นพระอนาคามีแล้วทำยังไง
    ก็บอกว่าตัดตัวเดียวขันธ์ 5 ตัดขาดทั้งหมด อวิชชาด้วย ก็เป็นพระอรหันต์
    พระพวกนั้นก็ถามว่า เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วเลิกทำใช่ไหม
    ท่านบอก ไม่ใช่ พระอรหันต์ขยันทำมากกว่าพระธรรมดา
    เพราะรู้จักความทุกข์ เหตุของความทุกข์และผลของความทุกข์ ปฏิบัติเพื่อความอยู่เป็นสุข

    แค่นี้เราจะเห็นว่าการตัดสังโยชน์ 10 ประการ
    ตัดอยู่ข้อเดียวคือ สักกายทิฏฐิ ไม่ต้องทำมากตามตำรา

    ความจริงที่พูดนี่ก็พูดตามตำราเหมือนกัน
    ไอ้ตำราง่ายๆ คนไม่ชอบ ชอบตำรายากๆ

    ความเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน
    หลวงพ่อท่านไม่ได้หมายความว่าละสักกายทิฏฐิตัวเดียวแล้ว ไม่จำเป็นต้องละสังโยชน์ข้ออื่น
    เช่น ปรามาสพระรัตนตรัยได้
    หรือละเมิดศีลได้
    แต่ท่านหมายถึงว่า เมื่อเราเป็นพระโสดาบันแล้วเราก็มุ่งพิจารณาเพื่อละสักกายทิฏฐิให้ละเอียดยิ่งขึ้น
    อีกประการคือ ผู้ที่ละสักกายทิฏฐิแล้วในระดับพระโสดาบันนั้นการปรามาสในพระรัตนตรัยและประมาทในศีลย่อมไม่มี
    คือเป็นอันว่า ละสักกายทิฏฐิตัวเดียว ตัวที่เหลือก็ค่อย ๆ ถูกละไปด้วยโดยอัตโนมัติ


    การปฏิบัติที่ไม่ได้หวังผลมากแต่ได้กำไรสูง
    ในตอนต้นสำหรับนักปฏิบัติใหม่ อย่าลืมว่าอันดับแรกจะต้องรู้ลมหายใจเข้าออก
    เอาจิตเข้าไปรับทราบลมหายใจเข้าลมหายใจออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่หายใจเข้า
    เวลาหายใจออกรู้อยู่หายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่

    และประการที่สอง ให้ภาวนา สำหรับคำภาวนานี้ไม่จำกัดในตอนต้น
    จะใช้คำภาวนาว่า พุทโธ ก็ได้ สัมมาอรหัง ก็ได้ อิติสุคโต ก็ได้
    อิติปิโส ภควา ก็ได้ ยุบหนอพองหนอก็ได้ ตามอัธยาศัย อะไรก็ได้สุดแล้วแต่ที่เคยปฏิบัติมา
    ถ้าท่านเคยปฏิบัติมาจากที่อื่นคล่องแบบไหนปฏิบัติตามนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน
    เพราะการภาวนาก็ดี การรู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี เป็นเครื่องโยงจิตให้มีสมาธิ

    ทีนี้ก็จะพูดถึงอารมณ์ เวลาปฏิบัติกรรมฐานให้ถืออารมณ์ความสุขใจเป็นเกณฑ์
    อย่าคิดว่าเวลานี้เราต้องได้ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ฌาน 8 ฌาน
    ไม่มีความจำเป็น ถือความเป็นสุขของใจเป็นเกณฑ์

    ถ้าจิตเข้าไปมุ่งฌานโน้นฌานนี้จิตจะวุ่นวาย
    คำว่าจิตวุ่นวายก็หมายความว่าจิตจะเกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตจะไม่เป็นสมาธิ
    เวลานั้นมันจะเป็นฌานอะไรก็ช่าง ให้ถือว่าเวลานี้จิตเป็นสุขแล้วกัน
    ถ้าภาวนาไม่พิจารณาไป หรือรู้ลมหายใจเข้าออกไป
    จิตเกิดมีความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นบังคับไม่อยู่ ก็ปล่อยอารมณ์เสียเลิกไปเลย พักไปชั่วคราวก็ได้
    หรือว่าจะคิดตามจิตไป จิตจะคิดอะไรก็ปล่อยมันไปตามเรื่อง
    สักครู่เดียวมันก็เลิกคิด กลับมาจับใหม่มันจะทรงตัว อย่างนี้ก็ได้



    อ้างอิงจาก
    หนังสือสังโยชน์10 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    อ้างอิง


    สวัสดี.


    - จบชั่วโมงที่ 12 -

    การบ้านของชั่วโมงที่ 12 :
    1. แสดงความคิดเห็น รู้สึกอย่างไรกับบทเรียนวันนี้
    2. ดาวน์โหลดไฟล์ MP3 ที่แนบมานี้ไปฟัง [​IMG] การบ้านบทที่ 12.mp3
    วิธีการฟัง :
    ให้ปิดไฟ หรือนั่งในที่มืดด้วยท่าสบายผ่อนคลาย
    ควรฟังในที่สงบหรือที่อันควรแก่การฟังธรรม
    ฟังอย่างตั้งใจและค่อย ๆ พิจารณาตามไปตลอดการฟัง
    3. ลองปฏิบัติสมาธิตามไฟล์เสียงประมาณ 10 นาที
    ไม่ต้องจับเวลา เพียงเปิดไฟล์เสียง แล้วปฏิบัติตาม เมื่อครบเวลาจะมีเสียงพระท่านบอกเตือน
    4. จากไฟล์เสียงที่ได้ฟัง ท่านประทับใจหรือชื่นชอบประโยคใดเป็นพิเศษ


    ไฟล์ MP3 การบ้านของวันนี้ คือเสียงเทศน์ของท่านจิตโต
    ท่านเป็นพระลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง
    ดังนั้นเวลาที่หลวงพี่จิตโตกล่าวถึงคำว่า " หลวงพ่อ "
    ขอให้ทราบว่าหมายถึงหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง


    ส่งการบ้านและพูดคุยกันได้ที่นี่
    สำหรับท่านที่ไม่ได้สมัครสมาชิกเว็บพลังจิต เชิญพูดคุยแนะนำกันได้ที่ Facebook กาขาว


    ทบทวนย้อนหลัง
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 1)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 2)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 3)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 4)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 5)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 6)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 7)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 8)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 9)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 10)
    รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 11)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2011
  2. Aquila

    Aquila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +124
    ขอบพระคุณค่ะ มีประโยชน์มาก
     
  3. eee

    eee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +23
    การบ้านของชั่วโมงที่ 12 :
    1. แสดงความคิดเห็น รู้สึกอย่างไรกับบทเรียนวันนี้
    ตอบ รู้สึกจะตั้งใจอาณาปานสติไปเรื่อยๆค่ะ ไม่ปล่อยให้ฟุ้งซ่าน^^ รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องยากแต่ต้องสม่ำเสมอหนทางท่านผู้รู้ได้บอกไว้แล้ว ควรน้อมนำไปปฏิบัติค่ะ
    2. ดาวน์โหลดไฟล์ MP3 ที่แนบมานี้ไปฟัง การบ้านบทที่ 12.mp3
    วิธีการฟัง :
    ให้ปิดไฟ หรือนั่งในที่มืดด้วยท่าสบายผ่อนคลาย
    ควรฟังในที่สงบหรือที่อันควรแก่การฟังธรรม
    ฟังอย่างตั้งใจและค่อย ๆ พิจารณาตามไปตลอดการฟัง
    ตอบ ฟังแล้วค่ะ
    3. ลองปฏิบัติสมาธิตามไฟล์เสียงประมาณ 10 นาที
    ไม่ต้องจับเวลา เพียงเปิดไฟล์เสียง แล้วปฏิบัติตาม เมื่อครบเวลาจะมีเสียงพระท่านบอกเตือน
    ตอบ ทำตามแล้วค่ะ
    4. จากไฟล์เสียงที่ได้ฟัง ท่านประทับใจหรือชื่นชอบประโยคใดเป็นพิเศษ
    ตอบ ชอบประโยคที่ว่า เเมือ่เรารู้ลมหายใจตัวเองแล้ว ไม่ว่าจะนานหรือไม่นาน ต้องตัดสินใจพิจารณาทันทีว่า เราอีกไม่นานนักหนอ ลมหายใจก็ต้องหมดจากตัวเรา ร่างกายจะต้องตายเราจะต้องไปจากร่างกายคือความตาย
    ก็พร้อมที่ตัดสินใจว่า บัดนี้เราไม่มีจิตที่จะประทุษร้ายใคร ไม่โกรธเกลียดใครไม่ทำร้ายใคร ไม่อยากได้ทรัพย์สินใคร ไม่ผิดลุกผิดเมีย ไม่โกหก ไม่ดื่มสุราเมรัย สักนิดเดียวไม่มี เราเชื่อในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
    ศีลเราบริสุทธิ์แล้ว ... แต่สิ่งที่เราตั้งใจไปคือ เราจะไปนิพพาน ก็พิจารณาปลงสังขารว่า *ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่เวลานี้ไม่มีอะไรเป็นสุขจริง..ที่มีในชีวิตนี้ไม่มีทำให้เป็นสุขถาวร มีแต่ทุกข์ทั้งสิ้น* เราไม่เอาอีกแล้ว ขอชาตินี้ชาติสุดท้าย
    ถ้าตายตอนนี้ขอพระท่านมารับขอไปนิพพานดีกว่า
     
  4. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,032
    ถึงชั่วโมงที่ 12 แล้วหรือคะเนี่ย โอยโอยโอย เด๋ว diya ต้องตามให้ทัน
     
  5. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
  6. thitarat

    thitarat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +203
    สวัสดีค่ะ

    ส่งการบ้านบทที่ 12 ค่ะ

    1. การเรียนในบทที่ 12 นี้ทำให้เข้าใจชัดเจน และสบายใจว่า การปฏิบัติธรรมไม่สำคัญว่าต้องไปวัด แต่สำคัญที่ต้องมีเครื่องวัด และมีการวัดกำลังจิตกันด้วยอารมณ์ ไม่ใช่สมาธิ และต้องพิจารณาว่าทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมเราสามารถละสังโยชน์ และสักกายทิฏฐิได้หรือไม่

    ความเข้าใจในบทนี้ ทำให้เข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมต้องมีเป้าหมาย มีตัวชี้วัดเพื่อเปรียบเทียบว่าเราสามารถทำได้ดีขึ้นเท่าไรและอย่างไร ก่อนหน้านี้ดิฉันเคยจดบันทึกการปฏิบัติของตัวเอง ทั้งการสวดมนต์ และนั่งสมาธิ และในเรื่องความคิดพิจารณา จากช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้ดิฉันเห็นว่า ดิฉันเริ่มมีพัฒนาการในการปฏิบัติธรรมที่ดีขึ้น และการนั่งสมาธิเป็นไปในทางที่ดีขึ้น (ในการละซึ่งนิวรณ์และความรู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจต่างๆ ระหว่างการปฏิบัติ) แต่ก็ยังไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน สังเกตเห็นได้ ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งสงสัยในเรื่องฌาณ ว่าต้องทำอย่างไร หาหนังสือมาอ่าน แต่ก็ยังไม่เข้าใจ แล้วก็สงสัยว่าทำไมๆ พอปฏิบัติไปเรื่อยๆ ถึงคิดได้ ถึงละได้ ถึงวางได้ในเรื่องที่ไม่น่าจะวางได้ (เช่น กิเลส ความอยากได้ อยากมี อยากรวย)จนกระทั่งได้มาอ่านบทนี้ และเข้าใจเพิ่มเติมมากขึ้น ทำให้ดิฉันเข้าใจและดูอารมณ์ตัวเองได้ง่ายขึ้นค่ะ ต้องขอขอบพระคุณนะคะ

    2. จากไฟล์เสียงที่เป็นการบ้าน ดิฉันได้เปิดและปฏิบัติตาม ทำให้ดิฉันได้มองตัวเองเห็นเป็นอารมณ์ว่าวิธีในการคิด พิจารณาแบบภาวนามยปัญญาที่จะเป็นอารมณ์ไปสู่พระนิพพาน ที่ต้องการละทุกข์ด้วยการไม่เกิดอีกเป็นอย่างไร และทำให้เข้าใจ หรือย่นย่อบทเรียนในการที่จะพิจารณาเรื่องต่างๆด้วยอารมณ์ง่ายมากขึ้น มีกำลังใจในการทำสมาธิ และปฏิบัติมากขึ้น เพราะปัจจุบันในช่วงการทำสมาธิ เมื่อจิตต้องการคิด พิจารณาเกิดขึ้น แต่ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องพิจารณาอะไร คิดอะไร การฟังท่านจิตโตที่บอกว่าคิดเรื่องทุกข์เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ทำให้ดิฉันมีกำลังใจปฏิบัติมากขึ้นค่ะ

    นอกจากนี้ บทเรียนที่ 12 ในการนั่งสมาธิ และการละสักกายทิฏฐิ ทำให้ดิฉันได้คิดว่า เราต้องทำเรื่องนี้ให้มีความหนักแน่นและต้องมีความมั่นใจมากขึ้น เพราะเมื่อพิจารณาอาณาปานสติ ได้ชัดเจนเพิ่มมากขึ้นแล้ว ทำให้ดิฉันพร้อมที่จะตายและเห็นความเป็นจริงในทางโลกได้ง่ายมากขึ้น

    ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญมา ณ ที่นี้นะคะ

    ฐิตารัตน์
     
  7. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,032
    เอ....ทำมัยเปิดไฟล์เสียงมะได้อ่ะค๊า

    ขอข้ามไปชั่วโมงที่ 13 ก่อนละกันค่า แหะแหะ
     
  8. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ลองดูใหม่นะครับ
    Sever อาจมีปัญหาเป็นบางช่วงเวลาที่มีคนเข้าดูเว็บเยอะ

    ผมทดลองโหลดดูแล้ว สามารถฟังได้ตามปกติ
     
  9. gogogourmet

    gogogourmet สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +24
    1. แสดงความคิดเห็น รู้สึกอย่างไรกับบทเรียนวันนี้
    -ต้องหมั่นวัดอารมณ์บ่อยๆค่ะ ว่าละสังโยชน์สามตัวแรกได้หรือยัง เบาบางลงหรือไม่
    3. ลองปฏิบัติสมาธิตามไฟล์เสียงประมาณ 10 นาที
    ไม่ต้องจับเวลา เพียงเปิดไฟล์เสียง แล้วปฏิบัติตาม เมื่อครบเวลาจะมีเสียงพระท่านบอกเตือน
    -ปฏิบัติแล้วค่ะ
    4. จากไฟล์เสียงที่ได้ฟัง ท่านประทับใจหรือชื่นชอบประโยคใดเป็นพิเศษ
    -อาณาปานสติสำคัญมากเพราะเป็นอนุสสติที่เตือนตัวได้ดีที่สุด ใกล้ตัวที่สุด และสิ่งที่แสดงว่าเราจะตายก็คือลมหายใจนั่นแหละ
     
  10. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,032
    ส่งการบ้านชั่วโมงที่ 12 ค่ะ

    การบ้านของชั่วโมงที่ 12 :
    1. แสดงความคิดเห็น รู้สึกอย่างไรกับบทเรียนวันนี้

    ตอบ ช่วงนี้อยู่ในช่วงหาคำตอบให้กับการนั่งสมาธิของตัวเองเลยค่ะ คือมักจะคิดว่าสมาธิของเรานี่มันไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย อ่านบทความนี้แล้วก็กลัวเหมือนกันว่าปฏิบัติไปเป็นปีๆ เป็นสิบๆ ปี จะต้องมาพร่ำเพ้อบ่นว่าสมาธิไม่ก้าวหน้า บทเรียนวันนี้บอกกับเราว่าที่จริงแล้วการปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้าคือการปลดอารมณ์ให้ได้ ไม่ใช่ว่าสมาธินิ่ง เข้าฌาณ 1234 ไปแล้วหรือยังอย่างที่เรากำลังสงสัยกับมันอยู่ โดยเฉพาะการละสักยาทิฐิเป็นตัวปลดสำคัญที่จะทำให้ก้าวสู่กระแสของพระโสดาบันได้

    2. ดาวน์โหลดไฟล์ MP3 ที่แนบมานี้ไปฟัง [​IMG]
    การบ้านบทที่ 12.mp3
    วิธีการฟัง : ให้ปิดไฟ หรือนั่งในที่มืดด้วยท่าสบายผ่อนคลาย ควรฟังในที่สงบหรือที่อันควรแก่การฟังธรรม ฟังอย่างตั้งใจและค่อย ๆ พิจารณาตามไปตลอดการฟัง ...ฟังแล้วค่ะ...

    3. ลองปฏิบัติสมาธิตามไฟล์เสียงประมาณ 10 นาที ไม่ต้องจับเวลา เพียงเปิดไฟล์เสียง แล้วปฏิบัติตาม เมื่อครบเวลาจะมีเสียงพระท่านบอกเตือน ...ค่ะ...

    4. จากไฟล์เสียงที่ได้ฟัง ท่านประทับใจหรือชื่นชอบประโยคใดเป็นพิเศษ

    ...ฟังแล้วทำให้เกิดความตั้งใจที่จะมีสติกำหนดรู้ถึงลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติค่ะ ฝึกหัดวันละนิดวันละหน่อย ก่อนนอนและตื่นนอน เป็นการสะสมอย่างง่ายๆ ในเบื้องต้น ถึงเวลาจะต้องตาย สิ่งที่สะสมเล็กๆ น้อยๆ ง่ายๆ นี้จะเป็นกระแสบุญให้เราระลึกนึกรู้ว่าเรากำลังจะตายได้ เราจะกำหนดที่ไปของเราได้ค่ะ...


     
  11. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    สาธุ สาธุ สาธู.......
     

แชร์หน้านี้

Loading...