ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ทำบุญ เวียนเทียน วันอาสาฬหบูชา เข้าพรรษา

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>[​IMG]


    วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ทั้งวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ได้วนเวียนมาถึงหลายๆ คนคงมีโอกาสได้ไปทำบุญตักบาตร หล่อเทียนพรรษา และเวียนเทียนกัน เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณี และพระพุทธศาสนา

    [​IMG]


    จะไม่พูดถึงความสำคัญของวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษาเลย ก็คงจะไม่ได้ ถึงแม้ว่าหลายๆ คนจะทราบที่มาที่ไป เป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็คงมีอีกหลายๆ คนที่คงจะลืมๆ ไปบ้างเหมือนกัน ก็เลยถือโอกาสบอกกล่าวกันอีกครั้งพอสังเขป

    [​IMG]

    "วันอาสาฬหบูชา" ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรกแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม[/FONT]


    [​IMG]

    "วันเข้าพรรษา" ตรงกับวัน แรม 1 ค่ำ เดือน 8

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11[/FONT]


    [​IMG]

    อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ว่าผมเอาเรื่องเก่า ที่รู้ๆ กันอยู่แล้วมาพูดให้มันยืดยาว ผมเองก็ลืมๆ ไปเหมือนกันครับว่าทั้งสองวันนี้มีความสำคัญอย่างไร ปีที่ผ่านมาผมเองก็มีโอกาสได้ไปทำบุญ เวียนเทียน กับเค้าด้วยเหมือนกันและก็ไม่ได้ลืมที่จะเก็บภาพบรรยากาศมาฝากกัน

    [​IMG]

    แต่ต้องขอออกตัวไว้ก่อนนะครับว่า ภาพบรรยากาศพิธีเวียนเทียน ผมเพิ่งจะเคยถ่ายเป็นครั้งแรก และก็ยอมรับโดยดุษฎีเลยว่า ยากมากๆ ภาพที่ถ่ายได้ ก็ไม่สวยเลย ออกจะ เละ !!! ไม่เป็นท่าเลยครับ เคยมีคนถามว่า เคยถ่ายรูปแล้วออกมาห่วยบ้างมั้ย อยากเห็น ก็ตามคำขอ จัดให้ ถ่ายภาพมาก็เยอะ แต่ต้องมาตกม้าตายก็คราวนี้ เชิญชม และวิจารณ์กัน ได้เต็ม ที่เลยครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    การถ่ายภาพถือเป็นศาสตร์และศิลป์ ต้องอาศัยประสบการณ์ ถ่ายเยอะก็ได้ประสบการณ์เยอะ ไม่เคยถ่ายเลย จะได้ภาพดีๆ สวยๆ ก็คงยาก คราวนี้ถือเป็นการเรียนรู้ เอาไว้ปีหน้า เดี๋ยวค่อยถ่ายกันใหม่ แต่พวกเราที่เป็น พุทธ[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ศาสนิกชนควรได้รับประโยชน์ ที่เป็นสาระสำคัญจากอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา กล่าวคือ ควรทบทวนระลึกเตือนใจสำรวจตนว่า ชีวิตเราได้เจริญงอกงามขึ้นด้วยความเป็นอยู่อย่างผู้รู้เท่าทันโลกและชีวิตนี้บ้างแล้วเพียงใด เรายังดำเนินชีวิตอยู่อย่างลุ่มหลงมัวเมา หรือมีจิตใจอิสระปลอดโปร่งผ่องใสบ้างแล้วเพียงใด ช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่บ้านคู่เมือง เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้คนทำความดีกันต่อไป [/FONT]

    [​IMG]



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    หมายเหตุผู้โพสท์ - เห็นว่าเป็นบทความที่ดีสื่อความหมายได้กระชับ และมีภาพสวยๆ ประกอบ แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว จึงขอนำมาลงให้ได้เป็นอารมณ์ตามกุศลกาล ที่มาถึงครับ - ขอขอบคุณทั้งภาพและเรื่องจาก oknation.net ครับ
     
  2. ----

    ---- สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +22
    เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ผมได้ร่วมบริจาคเงินทำบุญเข้ากองทุนฯ จำนวน 200 บาทครัีบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ข้อเปรียบเทียบดีๆ ระหว่างนักการเมืองและในหลวง อ่านแล้วสะใจดี


    นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด
    นักการเมืองแจกแท็บเบล็ต กษัตริย์แนะเคล็ดวิชา
    นักการ เมืองห่วงอำนาจ มหาราชห่วงประชา
    นักการเมืองสร้างสัญญา องค์เจ้าฟ้าสร้างสรรค์ธรรม
    นักการเมืองหาเรื่องกิน องค์ภูมินทร์หาเรื่องทำ
    ......นักการ เมืองยุให้รำฯ ในหลวงท่านย้ำให้ทำดี
    นักการเมืองมักแบ่งขั้ว องค์เหนือหัวไม่แบ่งสี
    นักการเมืองทำสี่ปี องค์ภูมีทำทุกวัน
    นักการเมืองชอบแบ่งเสียง พ่อพอเพียงชอบแบ่งปัน
    นักการเมืองคิดสั้น องค์ราชันย์ท่านให้คิดยาว


    [​IMG]


     
  4. Magicbunny

    Magicbunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +614
    ข้าพเจ้าขอร่วมทำบุญ ถวายปัจจัย เพื่อการรักษาพระสงฆ์ที่อาพาธ หรือศาสนกิจอื่นๆ
    รายละเอียดดังนี้
    วันที่ทำรายการ: 15/07/2011 21:40:26
    เลขที่รายการ: 110715214049631
    โอนเงินจากบัญชี: XXX-2-13759-X
    ธนาคารผู้รับเงิน: BANK OF AYUDHYA
    เพื่อเข้าบัญชี: 348-1-23245-9
    ชื่อบัญชี: PRATOM F.
    จำนวนเงิน (บาท): 500.00
    ค่าธรรมเนียม (บาท): 25.00

    ผลบุญอันก่อเกิดครั้งนี้ ขออุทิศให้แก่ นายบุญเลิศ กล้ากสิกรรม ผู้เป็นบิดา
     
  5. xanadu

    xanadu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +1,637
    yimmI am very happy to donate 500 Baht to your charity (my sister in Thailand arranged the money transfer a few days ago).

    Hope to join the monthly food offering to monks next time I'm in Thailand.
    ;39
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    วิธีปฏิบัติของผู้เล่าเรียนมาก ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ



    [​IMG]



    วิธีปฏิบัติของผู้เล่าเรียนมาก ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

    ผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์วินัยมาก มีอุบายมากเป็น ปริยายกว้างขวาง ครั้งมาปฏิบัติทางจิต จิตไม่ค่อยจะรวม ง่าย ฉะนั้นต้องให้เข้าใจว่าความรู้ที่ได้ศึกษามาแล้วต้อง เก็บใส่ตู้ใส่หีบไว้เสียก่อน ต้องมาหัดผู้รู้คือจิตนี้ หัดสติให้เป็นมหาสติ หัดปัญญาให้เป็นมหาปัญญา กำหนดรู้เท่ามหาสมบัติ-มหานิยม อันเอาออกไปตั้งไว้ว่าอันนั้นเป็นอันนั้น เป็นวันคืนเดือนปี เป็นดินฟ้า อากาศกลางหาว ดาวนักขัตฤกษ์สารพัดสิ่งทั้งปวง อันเจ้าสังขารคืออาการจิต หากออกไปตั้งไว้บัญญัติไว้ว่าเขาเป็นนั้นเป็นนี้ จนรู้เท่าแล้ว เรียกว่า กำหนดทุกข์ สมุทัย เมื่อทำให้มาก-เจริญให้มาก รู้เท่าเอาทันแล้ว จิตก็จะ รวมลงได้ เมื่อกำหนดอยู่ก็ชื่อว่าเจริญมรรค หากมรรคพอแล้ว นิโรธ ก็ไม่ต้องกล่าวถึง หากจะปรากฏชัดแก่ผู้ปฏิบัติเอง เพราะศีลก็มีอยู่ สมาธิก็มีอยู่ ปัญญาก็มีอยู่ในกาย วาจา จิต นี้ที่เรียกว่าอกาลิโก ของมีอยู่ทุกเมื่อโอปนยิโก เมื่อผู้ ปฏิบัติมาพิจารณาของที่มีอยู่ ปจฺจตฺตํ จึงจะรู้เฉพาะตัว คือ มาพิจารณากายอันนี้ให้เป็นของอสุภะเปื่อยเน่า แตกพังลง ไป ตามสภาพความเจริญของภูตธาตุ ปุเพสุ ภูเตสุ ธมฺเมสุ ในธรรมอันมีมาแต่เก่าก่อนสว่างโร่อยู่ทั้งกลางวันและ กลางคืน
    ผู้มาปฏิบัติพิจารณาพึงรู้อุปมารูปเปรียบดังนี้ อันบุคคลผู้ทำนาก็ต้องทำลงไปในแผ่นดิน ลุยตมลุย โคลนตากแดดกรำฝน จึงจะเห็นข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าว สุกมาได้และได้บริโภคอิ่มสบาย ก็ล้วนทำมาจากของมีอยู่ ทั้งสิ้นฉันใด ผู้ปฏิบัติก็ฉันนั้น เพราะศีล สมาธิ ปัญญา ก็อยู่ใน กาย วาจา จิต ของ ทุกคนฯ


    (ธรรมเทศนาในปัจฉิมสมัยของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ซึ่ง พระภิกษุทองคำ ญาโณภาโส และ พระภิกษุวัน อุตตโม จดบันทึกไว้)

    http://www.onab.go.th/index.php?opt...49-00&catid=61:2009-06-12-17-56-15&Itemid=246
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    อานิสงส์ของการรักษาศีล 5
    ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

    [​IMG]

    คำว่า ศีล ได้แก่สภาพเช่นไร ศีลอย่างแท้จริงเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษามีสภาพปกติไม่คะนองทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นที่เกลียด นอกจากความปกติงดงามทางกาย วาจา ใจ ของผู้มีศีลว่าเป็นศีล เป็นธรรม

    เราควรรักษาศีล 5
    1. สิ่งที่มีชีวิต เป็นสิ่งที่มีคุณค่า จึงไม่ควรเบียดเบียน ข่มเหง และทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป
    2. สิ่งของของใคร ๆ ก็รักและสงวน ไม่ควรทำลาย ฉกลัก ปล้น จี้ เป็นต้นอันเป็นการทำลายสมบัติและทำลายจิตใจกัน
    3. ลูก หลาน สามี ภรรยา ใคร ๆ ก็รักสงวนอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนาให้ใครมาอาจเอื้อม ล่วงเกิน เป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่างหนัก และเป็นบาปไม่มีประมาณ
    4. มุสา การโกหกพกลม เป็นสิ่งทำลายความเชื่อถือของผู้อื่นให้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีดี แม้เดรัจฉานก็ไม่พอใจคำหลอกลวง จึงไม่ควรโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นเสียหาย
    5. สุรา ยาเสพติด เป็นของมึนเมาและให้โทษ ดื่มเข้าไปย่อมทำให้คนดี ๆ กลายเป็นคนบ้าได้ ลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดีมีสติปกครองตัว อย่างมนุษย์จึงไม่ควรดื่มสุรา เครื่องทำลายสุขภาพทางร่างกายและใจอย่างยิ่ง เป็นการทำลายตัวเอง และผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน

    อานิสงส์ของการรักษาศีล 5
    1. ทำให้อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
    2. ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวี เบียดเบียนทำลาย
    3. ระหว่างลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำกล้ำกรายต่างครองกันอยู่ด้วยความเป็นสุข
    4. พูดอะไร มีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะ ด้วยสัตย์ด้วยศีล
    5. เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้าหลงหลัง จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าคนบอหาสติไม่ได้ ผู้มีศีล เป็นผู้ปลูกและส่งเสริมสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลกให้ มีแต่ความอบอุ่นไม่เป็นระแวงสงสัย ผู้ไม่มีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

    ศีล นั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนา คือ จิตใจ คนเราถ้าจิตไม่มี ก็ไม่เรียกว่าตน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่าง ๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหาหลงขอคนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไรยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยาก ยากเข็ญยิ่งไม่มี

    กายกับจิต เราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้จากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล
    ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีล ย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ สมบูรณ์ ไม่อด ไม่อยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียว เป็นศีลเป็นสมาธิ เป็นปัญญา

    ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวรหมดภัย

    ที่มา : คติธรรม คำสอน ของ องค์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร

    http://www.onab.go.th/index.php?opt...-5---&catid=61:2009-06-12-17-56-15&Itemid=246
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ก้าวพ้นจากความวุ่นวาย หันมาปฏิบัติธรรมโดยการนั่งสมาธิ แล้วหัดประคองจิต จับองค์พระขึ้นมา ด้วยนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วนาง วางจิตไว้กลางๆ ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่แส่ ไม่ส่าย แล้วค่อยๆ โน้มจิตไปที่องค์พระ เท่านี้ล่ะ ฝึกไปเรื่อยๆ ๆ และเรื่อยๆ ทำก่อนนอนตอนจิตว่างทุกวัน เท่านี้ล่ะได้เรื่อง...ฝากไว้สำหรับภาพพระพิมพ์สมเด็จสกุลเจ้าคุณกรมท่า พระพิมพ์นอกมาตรฐานวงการพระเครื่อง หากท่านพูดได้ ท่านก็จะพูดว่า "เอ็งไม่สนข้า ข้าก็ไม่สนเอ็ง และหากเอ็งรักข้า ข้าก็จะรักเอ็ง เช่นกัน" (ขออภัยหากเป็นการรบกวนจิตใจของท่านในหมวดนี้ แต่พระในสกุลนี้ เป็นความชอบส่วนตัวครับ และนิยมแจกให้ฟรี ในวันทำบุญร่วมกัน)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PB010426.JPG
      PB010426.JPG
      ขนาดไฟล์:
      694.5 KB
      เปิดดู:
      109
    • PB010427.JPG
      PB010427.JPG
      ขนาดไฟล์:
      730 KB
      เปิดดู:
      119
    • PB010428.JPG
      PB010428.JPG
      ขนาดไฟล์:
      463.5 KB
      เปิดดู:
      109
    • PB010429.JPG
      PB010429.JPG
      ขนาดไฟล์:
      669.1 KB
      เปิดดู:
      129
    • PB010416.JPG
      PB010416.JPG
      ขนาดไฟล์:
      466.2 KB
      เปิดดู:
      118
    • PB010417.JPG
      PB010417.JPG
      ขนาดไฟล์:
      477.6 KB
      เปิดดู:
      128
    • PB010418.JPG
      PB010418.JPG
      ขนาดไฟล์:
      540.5 KB
      เปิดดู:
      118
    • PB010419.JPG
      PB010419.JPG
      ขนาดไฟล์:
      699.2 KB
      เปิดดู:
      113
    • PB010420.JPG
      PB010420.JPG
      ขนาดไฟล์:
      659.2 KB
      เปิดดู:
      118
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ขอขอบคุณสำหรับน้ำจิตน้ำใจของทั้ง 2 ท่าน ที่ได้บริจาคปัจจัยช่วยสงฆ์อาพาธโดยผ่านทุนนิธิฯ นี้ มา นับเป็นเวลากว่าสามปีครึ่งแล้ว ที่ทุนนิธิฯ ได้บริจาคช่วยสงฆ์อาพาธทั้งในรูปแบบของปัจจัยคือเงินที่โอนให้เป็นรายเดือน ค่าเครื่องมือแพทย์ หรือเป็นสังฆภัณฑ์อื่นๆ เช่นผ้าที่ใช้สำหรับตัดเย็บจีวร ปลอกหมอน หรือผ้าปูเตียง รวมถึงผ้าห่ม หมวกไหมพรม ถุงเท้าฯ ให้แก่พระภิกษุสงฆ์ที่ชราภาพหรืออยู่ในถิ่นธุรกันดาร โดยผ่านการพิจารณาจากสถานพยาบาลในพื้นที่เช่นที่ จ.น่าน หรือ จ.เลย เป็นต้น ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว ทั้งผมและคณะก็ได้นำมาบอกเล่าให้ฟังโดยผ่านกระทู้นี้บ้าง และจะบอกทุกครั้งให้แก่ผู้ที่ทำบุญในวันทำกิจกรรมประจำเดือนที่ รพ.สงฆ์ ดังนั้น จึงขอให้มั่นใจได้ว่า ปัจจัยของท่านทั้งสอง รวมถึงทุกท่านที่ได้บริจาคเข้ามายังทุนนิธิฯ นี้ มีที่มาและที่ไปอย่างแน่นอน และจะไม่ให้หลุดจากการช่วยเหลือสงฆ์อาพาธไปแม้แต่สตางค์แดงเดียว ในโอกาสนี้ ผมและคณะกรรมการขออนุโมทนาบุญมายังท่านทั้งสองอีกครั้งหนึ่งครับ



    [​IMG]

    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2011
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ขอให้กุศลผลบุญของข้าพเจ้าทั้งหลายในคณะทุนนิธิฯ ที่ทำไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว จงมีแด่ท่านและครอบครัวผู้บริจาคเพื่อช่วยเหลือสงฆ์อาพาธและผู้ที่ตั้งใจทำความดีเพื่อพระพุทธศาสนาทุกท่านไม่ว่าจะเป็นในกระทู้นี้ หรือที่แห่งอื่น ตลอดไป...

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=D644BWAUOXo&feature=player_embedded#at=400"]‪Imee Ooi - The Chant Of Metta - English subtitled version‬‏ - YouTube[/ame]

    บทแผ่เมตตา

    [SIZE=+0]อะหัง อะเวโร โหมิ ( ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ปราศจากเวร ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัพยาปัชโฌ โหมิ ( ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะนีโฆ โหมิ ( ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ (ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] มะมะ มาตาปิตุ ( ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อาจาริยา จะ ญาติมิตตา ( ครูอาจารย์ และญาติมิตร ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สะพราหมะจาริโน จะ ( ผู้ประพฤติธรรมทั้งปวง ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สุขี อัตตานัง ปะริหรันตุ (ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อิมัสมิง อาราเม สัพเพ โยคิโน ขอให้ท่านโยคี ( ผู้ทรงสมาธิ) ทั้งปวงในเขตนี้ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อิมัสมิง อาราเม สัพเพ ภิกขู ( ขอพระภิกษทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ในเขตนี้ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สามะเณรา จะ ( และสามเณร ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อุปาสะกา อุปาสิกายา จะ ( ทั้งอุบาสกและ อุบาสิกา ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัมหากัง จะตุปัจจายะทายะกา ( ขอทายกทายิกา ผู้ให้ปัจจัย๔ แก่พวกเราทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัมหากัง อารักขา เทวาตา ( ขอเทวดาผู้อารักขาเราทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อิมัสมิง วิหาเร ( ในวิหารแห่งนี้ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อิมัสมิง อาวาเส ( ในอาวาสแห่งนี้ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อิมัสมิง อาราเม ( ในอารามแห่งนี้ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อารักขา เทวาตา ( ขอเทวาผู้รักษาสถานที่เหล่านี้ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สุขี อัตตานัง ปะริหรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ สัตตา ( ขอสัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ ปาณา ( ขอสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ ภูตา ( ขอภูติทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ ปุคคะลา ( ขอบุคคลทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ อัตตภาวา ปริยาปันนา ( ขอผู้มีอัตภาพทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพพา อิตถีโย ( ขอสตรีทั้งหลาย ทั้งปวง ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ ปุริสา ( ขอบุรุษทั้งหลาย ทั้งปวง ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ อริยา ( ขอพระอริยเจ้าทั้งหลาย ทั้งปวง ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ อนริยา ( ขอผู้ยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ทั้งปวง ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ เทวา ( ขอเทวาทั้งหลาย ทั้งปวง ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ มนุสสา ( ขอมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ วินิปาติกา ( ขอสัตว์วินิปาติกะทั้งหลาย ทั้งปวง ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] ทุกขา มุจจันตุ ( ขอสัตว์ทั้งหลายจงปราศจากความทุกข์ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] ยถา ลัทธาสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ( จงอย่าพลัดพรากจากสมบัติที่ได้มา ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] กัมมัสสะกา ( ตนย่อมเป็นเจ้าของกรรมนั้น ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] ปุรถิมายะ ทิสายะ ( ขอสัตว์ทั้งปวง ในทิศตะวันออก ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] ปัจฉิมายะ ทิสายะ ( ในทิศตะวันตก ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อุตตรายะ ทิสายะ ( ในทิศเหนือ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] ทักขิณายะ ทิสายะ ( ในทิศใต้ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] ปุรถิมายะ อนุทิสายะ ( ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] ปัจฉิมายะ อนุทิสายะ ( ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อุตตระ อนุทิสายะ ( ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] ทักขิณายะ อนุทิสายะ ( ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] เหฎฐิมายะ ทิสายะ ( ในทิศเบื้องล่าง ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อุปาริมายะ ทิสายะ ( ในทิศเบื้องบน ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ สัตตา ( ขอสัตว์ทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ ปาณา ( ขอสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ ภูตา ( ขอภูติทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ ปุคคะลา ( ขอบุคคลทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ อัตตภาวา ปริยาปันนา ( ขอผู้มีอัตภาพทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพพา อิตถีโย ( ขอสตรีทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ ปุริสา ( ขอบุรุษทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ อริยา ( ขอพระอริยเจ้าทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ อนริยา ( ขอผู้ยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ เทวา ( ขอเทวา ทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ มนุสสา ( ขอมนุษย์ทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สัพเพ วินิปาติกา ( ขอสัตว์วินิปาติกะทั้งหลาย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะเวรา โหนตุ ( อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัพยาปัชฌา โหนตุ ( อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อะนีฆา โหนตุ ( อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สุขี อัตตานัง ปะริหรันตุ ( จงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] ทุกขา มุจจันตุ ( ขอสัตว์ทั้งหลายจงปราศจากความทุกข์ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] ยถา ลัทธา สัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ( จงอย่าพลัดพรากจากสมบัติที่ได้มา) [/SIZE]
    [SIZE=+0] กัมมัสสะกา ( ตนย่อมเป็นเจ้าของกรรมนั้น ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ ( และสัตว์ที่อยู่สูงขึ้นไปจนถึงภวัคคภูมิ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อโธ ยาวะ อวิจจิโต ( และสัตว์ที่อยู่เบื้องล่างจนถึงอเวจีมหานรก ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สมันตา จักกะวาเลสุ ( สัตว์ทั้งหลายในจักรวาล ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] เย สัตตา ปถวิจารา ( ไม่ว่าสัตว์ใดที่อุบัติบนพื้นปฐพี ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ ( ขอจงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] นิทุกขา จะ นุปัททวา ( ปราศจากทุกข์ และอุปัทวันตราย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ ( ขอสัตว์ที่อยูสูงขึ้นไปถึงภวัคคภูมิ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อโธ ยาวะ อวิจจิโต ( และสัตว์อยู่เบื้องล่างในอเวจีมหานรก ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สมันตา จักกะวาเลสุ ( สัตว์ทั้งหลายในจักรวาล ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] เย สัตตา อุทักเขจารา ( ขอสัตว์ทั้งหลายผู้เกิดในน้ำ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ ( ขอจงอย่าได้เบียดเบียนใครเลย อย่าได้มีเวรกับใครเลย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] นิทุกขา จะ นุปัททวา ( ปราศจากทุกข์ ปราศจากอุปัทวันตราย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ ( ขอสัตว์ในโลกธาตุอื่น ที่อยูเบื้องบนคือภวัคคภูมิลงมา ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อโธ ยาวะ อวิจิโต ( ตั้งแต่อเวจีมหานรกขึ้นไป ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] สมันตา จักกะวาเฬสุ ( ขอสัตว์ทั้งหลายในจักรวาลโดยรอบๆ ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] เย สัตตา ปถวิจารา ( ไม่ว่าสัตว์ใดที่อุบัติบนพื้นปฐพี ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ ( ขอจงอย่าได้เบียดเบียนใครเลย อย่าได้มีเวรกับใครเลย ) [/SIZE]
    [SIZE=+0] นิทุกขา จะ นุปัททวา ( ปราศจากทุกข์ ปราศจากอุปัทวันตราย ทั้งสิ้นเทอญฯ) [/SIZE]


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  11. kwan31

    kwan31 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +161
    ข้าพเจ้าและครอบครัวขอร่วมทำบุญ ถวายปัจจัยเพื่อการรักษาพระสงฆ์ที่อาพาธ หรือศาสนกิจอื่นๆ

    BANK OF AYUDHYA บัญชี 348-1-23245-9
    จำนวนเงิน 500.00 (บาท)
     
  12. somsakasat

    somsakasat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,912
    วันนี้ได้โอนเงินร่วมบุญสงเคราะห์พระสงฆอาพาธ ประจำเดือนกรกฎาคม
    19/07/11 time 12:53
    Kbank to BAYA 3481232459
    amount 300.00
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  13. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    ขอร่วมบุญ 200 บาทครับ....โอนเข้าแล้วนะครับ
     
  14. KRITA

    KRITA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    2,060
    ค่าพลัง:
    +7,264
    วันนี้ได้โอนเงินเข้า "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" (pratom foundation) บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต (ซันทาวเวอร์ส) บัญชีออมทรัพย์ หมายเลข 348-1-23245-9 จำนวน 111.11 บาท เพื่อบำรุงโรงพยาบาลสงฆ์และโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการรักษาพยาบาลภิกษุสงฆ์หรือสามเณรอาพาธ

    อิทัง ปุญญะผะลัง บุญกุศลใด ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลผลบุญนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินมา แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลผลบุญนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด

    และ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลผลบุญนี้ ให้แก่เทพเทวดาทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า ที่ปกป้องทรัพย์สินบ้านเรือนของข้าพเจ้า และเทพเทวดาทั้งหลายทั่วสากลจักรวาลอันไม่มีประมาณ และพระยายมราช ขอเทพเทวดาทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลผลบุญนี้ และขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญบุญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลผลบุญนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลผลบุญนี้ พึงได้รับประโยชน์และความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด


    ผล บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขออำนาจแห่งผลบุญกุศลนี้ จงเป็นกำลังปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด อีกทั้งเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยกาย กำลัง สัมมาทิฏฐิ สติปัญญา วิชชา และความเพียร แวดล้อมด้วยมิตรและบริวารที่ดีทั้ง 8 ทิศ ศัตรูผู้คิดร้ายขอให้กลับกลายมาเป็นมิตร แม้นข้าพเจ้าคิดปรารถนาสิ่งใดโดยชอบด้วยธรรม ขอจงสำเร็จโดยพลันประการ ขอผลบุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว จงบังเกิดปรากฏผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
     
  15. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    วันนี้ร่วมทำบุญสงฆ์อาพาธ จำนวน 400 บาท ในนามของ ครอบครัว อัครานนท์
    และ ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • slip230754.jpg
      slip230754.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.8 KB
      เปิดดู:
      97
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    เดือนหน้าก็มีวันแม่แล้ว วันนี้มีโอกาสเลยไปซื้อยาให้แม่ แล้วนำไปให้ที่บ้าน ขากลับแม่เดินออกมาส่งที่รถแล้วยิ้มให้ เฮ้อ...ชื่นใจชะมัด ไม่ใช่อะไรหรอก สัปดาห์หน้าก็เป็นวันทำบุญประจำเดือนของทุนนิธิฯ นั่นเอง จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบล่วงหน้าครับ แต่ก็ดีไปอย่าง ทำให้แม่เมื่อยังมีเวลา เพราะเมื่อวันแม่มาถึง เราอาจไม่ว่างก็ได้ ใครจะไปรู้ วันนี้ จึงขอนำบทความเรื่องแม่ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพฯ ท่านทรงบันทึกไว้นำมาเผยแพร่ให้ได้อ่านกันก่อนวันแม่...

    [​IMG]



    ในบรรดาคำพูดของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชาติใดภาษาใด คำว่า "แม่" ดูจะเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ที่มีมนต์ขลัง มีความหมายกินใจอย่างลึกลับและลึกซึ้งมากที่สุด เพราะอะไร ? ทุกคนย่อมมี "แม่" ผู้ให้กำเนิดเป็นเพื่อนเราคนแรกในโลกทีเดียว องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็น "ครู" ที่เราเคารพและยึดมั่นในพระปัญญาคุณ พระกรุณาธิคุณและพระบริสุทธิคุณ แม้ว่าท่านจะเสียพระพุทธมารดาตั้งแต่ประสูติได้ 7 วัน ท่านคงจะมีความรู้สึกเกี่ยวกับแม่ไม่ต่างจากบุคคลอื่นสังเกตได้จากคำสอนในพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับแม่ทั่วๆ ไปที่จะยกขึ้นมา ก่อนที่จะกล่าวถึงแม่ "แม่" ของข้าพเจ้าคนเดียว

    พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับแม่ไว้หลายครั้ง บ้างก็เอ่ยถึงพ่อแม่ควบกันไป บ้างก็เอ่ยเฉพาะแม่โดดๆ เช่นในโสณนนทชาตกมีคาถาที่กล่าวไว้ว่า

    สุหทา มาตา มารดาเป็นผู้ใจดี
    ชยนฺตี มาตา มารดาเป็นผู้ให้เกิด
    โปเสนฺตี มาตา มารดาเป็นผู้เลี้ยงดู
    โคเปนฺตี มาตา มารดาเป็นผู้คุ้มครองรักษา
    วิหญฺญนฺติ มาตา มารดาเป็นผู้เดือดร้อนเป็นห่วงเป็นใย
    อนุกมฺปกา ปติฎฐา จ ปุพฺเพ รสทที จโน มคฺโค สคฺคสฺส โลกสฺส
    มารดาเป็นผู้เอ็นดู เป็นที่พึ่ง เป็นผู้ให้รส (น้ำนม) มาก่อน เป็นทางแห่งโลกสวรรค์

    ในสคาถวคฺด มีว่า มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร มารดา เป็นมิตรในเรือนของตน

    สพฺรหฺมสุตฺต มีความว่า พฺรหฺมาติ ภิกฺขเว มาตาปิตูนเมตํ อธิวจนํ ภิกษุทั้งหลาย คำว่า พรหมนี้เป็นชื่อของมารดาบิดา ปุพฺพเทวาติ ภิกฺขเว มาตาปิตูนเมตํ อธิวจนํ ภิกษุทั้งหลาย คำว่า บุพพเทพเป็นชื่อของมารดาบิดา ปุพฺพาจริยาติ ภิกฺขเว มาตาปิตูนเมตํ อธิวจนํ ภิกษุทั้งหลาย คำว่าบุพพาจารย์เป็นชื่อของมารดาบิดา

    จริงอยู่ ข้าพเจ้ามีแม่ที่มีคุณธรรมตรงกับพุทธภาษิตที่ยกขึ้นข้างต้นทุกประการ แต่ท่านมีตำแหน่งเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งหมายความว่า ท่านเป็น "แม่" ของคนทั้งชาติ แล้วก็เป็นแม่ "ส่วนตัว" ของข้าพเจ้าด้วย ทำให้เขียนเรื่องยากขึ้นอีก ทางที่ดีก็เลือกลักษณะอะไรเด่นๆ มาพูดสักอย่างเดียว คิดดูแล้วตกลงว่าจะเขียนถึงท่านในแง่เป็นบุพพาจารย์หรือเป็นครูคนแรก

    คุณยายเล่าให้ฟังเสมอว่า ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ สมเด็จแม่กับน้า โปรดปรานการเล่นครูนักเรียนกับเด็กที่บ้าน โดยท่านจะเป็นครูและให้เด็กคนอื่นเป็นนักเรียน สมเด็จแม่ทรงมีวิธีการสอนหนังสือที่ดีอยู่แล้ว เด็กๆ ทั้งหลายจึงชอบเป็นลูกศิษย์ท่านกัน จนกระทั่งน้าร้องไห้เพราะไม่มีใครไปโรงเรียนของน้า ร้อนถึงคุณยายต้องมาเป็นตระลาการตัดสินคดีให้แบ่งเด็กไปเข้าโรงเรียนของน้าบ้าง เมื่อการเป็นเช่นนี้ ก็ไม่เป็นการยากสำหรับท่านเลยในการที่จะสั่งสอนและสอนหนังสือลูกๆ ด้วยพระองค์เอง ตอนเล็กๆ ท่านสอนให้พับกระดาษ เขียนรูปและทำการฝีมือต่างๆ โดยถือแนวว่าคนเราไม่ควรปล่อยเวลาว่างผ่านไปโดยไรประโยชน์ ถ้าเรานั่งดู ที.วี. วันเสาร์อาทิตย์เฉยๆ โดยมือไม้ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์เป็นโดนกริ้ว

    ตอนบ่ายๆ ท่านไล่ให้ลงไปวิ่งเล่นข้างล่าง เพราะเด็กๆ ควรได้อากาศบริสุทธิ์ โตขึ้นท่านจะให้มีหน้าที่ดูแลสนาม ถอนหญ้าแห้วหมู และคอยตัดหญ้ากับต้นข่อยที่ดัดเป็นรูปต่างๆ เป็นการออกกำลังกายที่เป็นประโยชน์ พอค่ำลงเราก็ขึ้นมารับประทานอาหาร ตอนอาหารนี้ถ้าว่างพระราชกิจ สมเด็จแม่มักจะอยู่ด้วย ประการแรกท่านจะได้ดูว่ารับประทานที่มีคุณค่าทางอาหารพอหรือไม่ ประการที่สอง ดูมารยาทโต๊ะ และประการที่สาม เป็นข้อที่พี่น้องทุกคนรวมทั้งพี่เลี้ยงชอบที่สุด คือท่านจะเลือกหนังสือดีๆ สนุกๆ มาเล่าให้ฟัง หนังสือที่ท่านเอามาเล่าบางทีก็เป็นนิทานธรรมดาๆ หรือนิทานเรื่องชาดกในพุทธศาสนา บางทีก็เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ ประวัติบุคคลสำคัญ และความรู้รอบตัวอื่นๆ บางครั้งเป็นข่าวจากหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ ตอนหลังๆ นี้ท่านชอบอ่านเป็นภาษาอังกฤษให้เราหัดฟังภาษาด้วย นานๆ ที่ก็อาจจะมีการถามปัญหาทวนความจำ ถ้าตอบถูกมักมีรางวัลเงินสด ๑ บาท เป็นที่ขบขันกันในครอบครัวว่าหนังสือธรรมดาๆ ที่น่าเบื่อที่สุดในโลก พอสมเด็จแม่เล่ามันสนุกตื่นเต้นมีรสมีชาติขึ้นมาทันที ท่านจะเน้น ระบายสี หยิบยกจับความที่น่าสนใจขึ้นมาเล่า (ทูลหม่อมพ่อยังโปรดฟัง) ทำให้จำง่ายไม่ต้องท่อง เรื่องนี้มีความลับอย่างหนึ่ง (ที่เปิดเผยได้แล้ว) ว่า บางทีข้าพเจ้าขี้เกียจอ่านหนังสือเพราะเรียนเยอะแยะ ก็อาศัยจำเอาจากที่สมเด็จแม่เล่า นำมาวิจารณ์เพิ่มเติม แล้วใช้ตอบข้อสอบ หรือเขียนรายงานส่งครูสบายๆ

    เรื่องนิทานของสมเด็จแม่มีเรื่องที่น่าตื่นเต้น คือเรื่องผี แต่ก่อนนี้พี่เลี้ยงไม่ยอมเล่าเรื่องผี พอไปโรงเรียนเพื่อนๆ ก็มาหลอก สมเด็จแม่ท่านว่า ถ้ามานั่งอธิบายว่าผีไม่มีจ้างก็ไม่เชื่อ ท่านจึงสำทับโดยการเล่าเรื่องผีที่น่ากลัวกว่าให้เข็ด

    เมื่อตอนเล็กๆ ตั้งแต่เริ่มเรียนประถม ท่านสอนภาษาไทย โดยการให้อ่านวรรณคดีเรื่องยืนโรงสามเรื่องคือ พระอภัยมณี อิเหนา และรามเกียรติ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอิเหนา ท่านให้ท่องกลอนตอนที่เพราะๆ เช่น ว่าพลางทางชมคณานก โผนผกจับไม้อึงมี่ ฯลฯ

    คงจะเป็นเพราะได้อ่านกลอนมาแต่เล็กๆ ทำให้ข้าพเจ้าชอบเรียนวรรณคดีไทย ชอบแต่งกลอน

    ตอนเด็กๆ ข้าพเจ้าเรียนวิชาภาษาอังกฤษค่อนข้างจะอ่อนและหนีเรียนอยู่เสมอ หลังจากฟังพระบรมราโชวาทของทูลกระหม่อมพ่อเรื่อง "ทำไมคนเราต้องเรียนภาษาอังกฤษ" แล้วสมเด็จแม่ก็ค่อยๆ เริ่มสอนศัพท์อังกฤษให้ท่องให้อ่านหนังสือตามลำดับยากง่าย จนเดี่ยวนี้พอจะส่งภาษาฝรั่งมังฆ้องมังค่าได้

    นอกจากจะเรียนหนังสือที่โรงเรียนแล้วสมเด็จแม่ยังทรงจัดให้ลูกๆ เรียนพิเศษวิชาต่างๆ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทั้งภาษา เลข ดนตรี วาดรูป และแม้ว่าท่านไม่นิยมความฟุ่มเฟือย (ข้าวของทุกอย่างต้องใช้อย่างประหยัด) เรื่องการใช้จ่ายในเรื่องการเล่าเรียน การซื้อหนังสือ ท่านจ่ายอย่างไม่อั้น เพราะวิชาความรู้ทำให้เราสามารถทำงานช่วยคนหมู่มาก ช่วยบ้านเมืองได้ สมบัติใดๆ ย่อมไม่ประเสริฐเท่าการกระทำคุณงามความดี เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและวิชาความรู้

    ตอนระยะหลังมานี้ พระราชกิจมีมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ในด้านการดูแลความเรียบร้อยของสถานที่ เวลามีใครมาเฝ้าฯ จนกระทั่งความเป็นอยู่ของราษฎร เวลาเสด็จออกเยี่ยมราษฎรทูลกระหม่อมพ่อมักจะทรงเป็น ผู้แนะนำในทางด้านการชลประทาน การเกษตรเป็นส่วนใหญ่เมื่อทรงพบคนเจ็บ ทั้งทูลกระหม่อมพ่อและสมเด็จแม่จะทรงให้หมอในขบวนเสด็จตรวจดูถ้าป่วยมาก โปรดฯ ให้เข้าโรงพยาบาล และให้การศึกษาแก่คนที่อยากเรียนแต่ไม่มีทุน พระราชดำริที่สำคัญของสมเด็จแม่ในเรื่องของราษฎร คือการสนับสนุนอาชีพนอกจากการทำเกษตรกรรม บางปีการเพาะปลูกจะไม่ได้ผลดีนัก ด้วยดินฟ้าอากาศไม่อำนวย เกษตรกรต้องเดือดร้อน บ้างก็ต้องทิ้งบ้านช่องไร่นาเข้าหางานทำที่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเข้ามาทำงานในเมือง ดังนั้นเขาควรจะมีงานทำเพื่อเพิ่มพูนรายได้ สมเด็จแม่ทรงมีพระราชดำริว่า งานอุตสาหกรรมในครัวเรือนเป็นงานที่เหมาะสมมาก คนไทยเราเป็นผู้ที่มีฝีมือในทางการช่าง มีหัวทางศิลปอยู่แล้วจึงสนับสนุนได้ไม่ยาก ก็โปรดเกล้าฯ สนับสนุนงานที่เหมาะสมกับแต่ละภาค เช่น การทอผ้า การจักสาน การทำตุ๊กตาไทย เป็นต้น การส่งเสริมนั้นได้ทรงส่งข้าราชบริพารให้เข้าไปติดตามซื้อผลผลิตมาด้วยราคาที่เหมาะสม พระราชทานวัตถุดิบในการผลิตด้วย ของที่นำมาเช่น ผ้ามัดหมี่ ก็ทอดพระเนตร ควบคุมคุณภาพ และจ่ายงานให้ผู้ผลิตด้วยพระองค์เอง โปรดการใช้สอยของที่ผลิตในประเทศไทย บางอย่างแม้ว่าจะแพงหน่อยถ้าเรามีสตางค์แล้วก็ควรจะจ่าย เช่น เราตัดเสื้อสักตัว คนที่ทอผ้าก็ได้เงิน แล้วต่อมาเจ้าของร้านตัดเสื้อลูกมือลูกจ้างอีกหลายคนก็ได้ด้วย เป็นการกระจายรายได้และป้องกันปัญหาการว่างงานด้วย

    เรื่องอื่นที่สมเด็จแม่พระราชทานพระราชดำริมีอีกหลายเรื่องที่สำคัญๆ คือ การจัดตั้งมูลนิธิสายใจไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือสนองคุณผู้ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันประเทศชาติ การจัดละครรักชาติ เป็นต้น

    กล่าวโดยสรุปแล้ว ในระยะหลังๆ แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่มีโอกาสได้เรียนภาษาอังกฤษภาษาไทยกับท่านบ่อยอย่างแต่ก่อน แต่ก็ได้ศึกษาเรียนรู้ทัศนคติอันเป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมาก ยังเป็นครูที่ดีทีเดียว

    ถึงแม้ว่าสมเด็จแม่จะทรงมีความคิดต่างๆ มากมาย และทรงบ่นเก่งเมื่อพวกเราทำผิด (ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร) ก็ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางที่จะยอมรับฟังความคิดของลูกๆ จริงอยู่ท่านไม่พอพระทัยถ้าเรา "เถียง" แต่ถ้าเป็นการ "ออกความเห็น" อย่างสุภาพก็ไม่ทรงว่าอะไรจะดีพระทัยเสียอีก ว่าเรารู้จักคิดเหตุผล

    เรื่องของแม่มีอยู่มากมายเกินกว่าจะกล่าว นับว่าข้าพเจ้าเป็นผู้โชคดีที่มีทั้งพ่อและแม่ที่เป็นแนวทางให้ยึดถือได้อย่างภาคภูมิใจ ที่เขียนเรื่องนี้มิได้ตั้งใจอวดโม้ แต่เป็นเพียงบันทึกความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ บางประการเท่านั้น
    ๒๕๒๐

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    ---------------------------------------------------------------------

    ที่มา : ธนาคารกรุงเทพ จำกัด รวมพระราชนิพนธ์
    สมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.
    กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๑.



     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    แนะนำพระในตำนานที่เข้มขลังอาคมให้ได้อ่านกันยาวๆ ครับ


    หลวงปู่สนธิ์ ท่าดอกแก้ว


    [​IMG]

    ประวัติของพระครูสันธานพนมเขต ( สนธิ์ สุรชโย )


    ท่านพระครูสันธานพนมเขต นามเดิมชื่อสนธิ์ คงเหลา เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2422 ที่บ้านท่าดอกแก้วเหนือ ต. ท่าจำปา อ. ท่าอุเทน จ. นครพนม เป็นบุตรคนที่ 2 ของนายแสงและนางทุม คงเหลา โดยมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 6 คนคือ: -

    1. นายผา คงเหลา
    2. นายสนธิ์ คงเหลา ( ท่านพระครูสันธานพนมเขต )
    3. นายแสน คงเหลา
    4. นางน้อย คงเหลา
    5. นางพุฒ คงเหลา
    6. นายกา คงเหลา

    ในปฐมวัย ได้รับการอบรมสั่งสอนด้วยดีจากบิดามารดา จนกระทั่งอายุได้ 14 ปี จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดท่าดอกแก้วใต้ ( วัดโสดาประดิษฐ์ในปัจจุบัน ) โดยมีพระอาจารย์นนท์ เป็นพระอุปัชฌายะ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2436 เมื่อบรรพชาแล้วก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ศึกษาเล่าเรียนอักษรธรรม ( ไทยน้อย ) ลาว ขอมและสวดมนต์สูตรต่าง ๆ อยู่ในสำนักของท่านอาจารย์นนท์ จนมีวิชาความรู้ตามสมควรแก่ภาวะการศึกษาอยู่ในสมัยนั้น ตลอดเวลาที่สามเณรสนธิ์ ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักนี้ สามเณรสนธิ์ก็เป็นที่รักใคร่และไว้วางใจของท่านอาจารย์เป็นอันมาก พอสามเณรสนธิ์อายุครบ 20 ปี ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดท่าดอกแก้วใต้ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2442 โดยมีพระอาจารย์ภูมี เป็นพระอุปัชฌายะ พระอาจารย์นนท์เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์สม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ครั้นอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย มีความรู้พอสมควร เท่าที่จะสามารถจะศึกษาได้ในสมัยนั้นโดยได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านอาจารย์สีทัต ศึกษาทางด้านวิปัสสนาธุระ ที่วัดป่าอรัญญคามวาสี ( วัดพระธาตุท่าอุเทนปัจจุบัน ) ศึกษาอยู่ได้ 1 พรรษา จนนับได้ว่าเป็นศิษย์ผู้มีความรู้ความสามารถองค์หนึ่งของพระอาจารย์ หลังจากนั้นก็อำลาพระอาจารย์ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดห้วยออน แขวงเมือง บ่อสะแทน ประเทศลาว อยู่กับพระอาจารย์โสดา ซึ่งเป็นลุงของท่านเป็นเวลา 3 ปี แล้วจึงได้ย้ายกลับมาจำพรรษาที่วัดท่าดอกแก้ว ซึ่งเป็นสำนักเดิมของท่าน โดยการอาราธนาของอุบาสกอุบาสิกาบ้านท่าดอกแก้ว ต่อมาเจ้าอาวาสวัดท่าดอกแก้วถึงแก่มรณภาพลง ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าดอกแก้วตั้งแต่ พ.ศ. 2452 ในระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสอยู่นี้ ก็พยายามปฏิบัติศาสนกิจในหน้าที่ด้วยดี โดยมีตำแหน่งหน้าที่และสมณศักดิ์ที่ได้รับดังนี้ คือ

    พ.ศ. 2473 ได้รับแต่งตั้ง ให้เป็น เจ้าคณะตำบลท่าจำปา
    พ.ศ. 2479 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌายะ ประจำเขตตำบลท่าจำปา
    พ.ศ. 2480 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสอบธรรมและตรวจธรรมสนามหลวงมาโดยตลอด
    พ.ศ. 2493 ได้รับพระราชทาน เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามว่า “ พระครูสันธานพนมเขต”


    การก่อสร้าง
    ได้เป็นผู้ช่วยเหลือท่านอาจารย์สีทัต ก่อสร้างพระธาตุ ท่าอุเทน
    ได้ชักชวนญาติโยมจัดสร้างกุฏิตึก 2 ชั้น ที่วัดท่าดอกแก้ว
    ได้สร้างศาลาการเปรียญขึ้น 1 หลัง โดยความร่วมมือของทายกทายิกา ชาวบ้านท่าดอกแก้วและหมู่บ้านใกล้เคียง
    ได้ชักชวนญาติโยมสร้างกุฏิไม้ขึ้นอีก 3 หลัง ที่วัดท่าดอกแก้ว
    ระหว่าง พ.ศ. 2494 ได้สร้างพระอุโบสถขึ้น 1 หลัง ที่วัดท่าดอกแก้ว
    แล้วเสร็จพร้องทั้งการฉลองใน พ.ศ. 2498

    พระครูสันธานพนมเขต ปรกติเป็นผู้ร่าเริงอยู่เสมอ มีเมตตาจิตอยู่เป็นประจำ ฉะนั้น จึงทำให้ประชาชนทั้งหลายเคารพนับถือท่านมากทั้งใกล้และไกล ตั้งอยู่ในฐานะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของศิษยานุศิษย์ทุกคน จนพากันเรียกท่านว่า “หลวงพ่อ ” อย่างสนิทปากสนิทใจทุกคำไป เมื่ออายุเข้าวัยชราโรคภัยไข้เจ็บเข้าเบียดเบียนสังขารร่างกายของท่าน บรรดาศิษยานุศิษย์ต่างก็ได้พยายามเอาใจใส่ดูแล ถวายการรักษาพยาบาลเรื่อยมา

    ครั้นถึงวันที่ 8 กันยายน 2510 ท่านหลวงพ่อพระครูสันธานพนมเขตก็ได้ล้มป่วยลง บรรดาศิษย์ทั้งหลายจึงพร้อมใจกันนำท่านไปรักษายังโรงพยาบาลเมืองนครพนม คณะนายแพทย์และพยาบาล ก็ได้ถวายการรักษาด้วยดี จนอาการดีขึ้น ก็นำท่านไปพักผ่อนที่วัด ในระยะ 2 เดือน หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว อาการป่วยของท่านก็มีแต่ทรงกับทรุด จนล่วงมาถึงวันที่ 12 - 13 ธันวาคม 2510 อาการป่วยของหลวงปู่สนธิ์ก็ยิ่งเพิ่มหนักขึ้นเป็นทวีคูณ และแล้วครั้นถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2510 เวลา 15.30 น. หลวงปู่พระครูสันธานพนมเขต ก็ได้แก่ถึงมรณภาพลง ณ วัดท่าดอกแก้ว ด้วยอาการสงบ ท่ามกลางศิษยานุศิษย์เป็นจำนวนมากนับอายุโดยปีได้ 88 ปี โดยพรรษาได้ 74 พรรษาหากนับตั้งแต่เณร

    เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง วิทยาคมเข้มขลังรูปหนึ่งของ จ.นครพนม

    หลวงปู่สนธิ์ มีความเชี่ยวชาญด้านปริยัติธรรมและวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีชื่อเสียงในด้านขับไล่ภูตผีปีศาจและคุณไสย โดยเฉพาะผ้ายันต์ลงคาถา

    เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ได้ถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบ 108 พระเกจิอาจารย์ชื่อดังจากทั่วประเทศ

    สุดยอดแห่งความหายาก พระท่าดอกแก้ว ตำนานแห่งผงโสฬสมหาพรหม

    หลวงปู่ศรีทัต หรือ ยาคูศรีทัต ท่านเป็นที่เคารพของมหาชน 2 ฝั่งโขง ไม่ว่าท่านจะสร้างสิ่งใด ประชาชนทั้ง 2 ฝั่งจะร่วมแรงร่วมใจถวายแด่หลวงปู่ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดธาตุท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ซึ่งท่านจะไปมาระหว่างวัดท่าดอกแก้ว และ ภูเขาควายในฝั่งลาว หลวงปู่ศรีทัตท่านมีศิษย์ที่ท่านถ่ายทอดสรรพวิชาการทั้งหลาย ได้แก่ 1. หลวงปู่สนธ์ ซึ่งต่อมาเป็นเจ้าอาวาสต่อจากท่าน หลวงปู่สนธ์เป็นเจ้าอาวาส วัดท่าดอกแก้ว จวบจนปี 2510 จึงมรณภาพ 2. หลวงปู่จันทร์ เขมิโย หรือ ท่านเจ้าคุณปู่ ที่เป็นที่สักการะอย่างสูง ท่านเจ้าคุณปู่ที่นั่งอยู่ในดวงใจของชาวนครพนม ท่านเป็นมหาเถระที่ชาวนครพนมและ จังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพอย่างสูง ท่านมีสมณศักดิ์ที่ พระเทพสิทธาจารย์ ท่านเจ้าคุณปู่เป็นเสาหลักแห่งพระศาสนา เป็นผู้วางรากฐานแห่ง พระธรรมยุติ ให้บังเกิดขึ้นที่นครพนม ท่านมรณภาพในปี 2516 สำหรับ หลวงปู่สนธ์นั้น ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักในเรื่องของความขลัง อาจจะเนื่องจากท่านอยู่ไกลถึงนครพนม แต่ในครั้งเมื่อมีการปลุกเสกพระประมาณปี 249กว่า หลวงปู่สนธ์ท่านมาร่วมปลุกเสก พระที่วัดเทพฯ ท่านขึ้นมาแบบพระบ้านนอกไม่มีใครรู้จักนัก ครั้นพิธีปลุกเสกผ่านพ้นไป วันเดินทางกลับนครพนม ได้มีปรากฏการณ์พิเศษคือ มีพระคณาจารย์ที่ร่วมปลุกเสกพระในครั้งนั้น ได้เดินทางติดตามหลวงปู่สนธ์ไปวัดท่าดอกแก้วหลายสิบองค์ อาจารย์ประถม อาจสาคร* ได้นำพระเครื่องของหลวงปู่สนธ์ไปให้หลวงปู่เฮี้ยง(เจ้าคุณวรพรตปัญญาจารย์ วัดป่าอรัญญิกาวาส ชลบุรี ซึ่งเป็นอาจารย์องค์หนึ่งของอาจารย์ประถม) ดู ปรากฏว่า ท่านดูไม่ออก กว่าจะดูรู้เรื่องว่า หลวงปู่สนธ์ทำพระอย่างไร ปลุกเสกอย่างไร วิธีไหน ก็เสียเวลาหลายวัน ต้องกำหนดจิตเข้าในองค์พระอยู่นานจึงรู้เรื่อง พอรู้แล้วก็เอ่ยปากยกย่องหลวงปู่สนธ์เป็นอย่างยิ่ง เสร็จแล้วก็ฝากพระของท่านไปให้หลวงปู่สนธ์ดูบ้าง เมื่อ อาจารย์ประถมฯ นำพระไปถวายให้หลวงปู่สนธ์ ท่านก็บอกทันทีว่าพระองค์นี้ดีอย่างนั้น ดีอย่างโน้น ปลุกเสกด้วยวิธีนั้น วิธีนี้ คาถาบทนั้น คาถาบทนี้ หลวงปู่เฮี้ยงถึงกับร้องทำนองว่า เขารู้เราหมด แต่กว่าเราจะรู้เขาได้นั้นผิดกันเยอะ จากคำบอกเล่าของ หลวงปู่สนธ์ ได้เล่าให้อาจารย์ประถมฯ ซึ่งขณะนั้นได้เดินทางไปปฏิบัติราชการตำแหน่งหัวหน้าสหกรณ์อำเภอท่าอุเทน จ.นครพนม ปี 2493 ฟังว่า อาจารย์ของท่านคือ หลวงปู่ศรีทัต เป็นพระเถระที่ทรงคุณยิ่งใหญ่ มีจริยวัตรที่งดงามนักหนา เคร่งครัดในธรรมวินัยยิ่งยวดมีตบะแก่กล้า นอกจากท่านจะเชี่ยวชาญทางวิปัสสนาธุระและคันธุระแล้ว ท่านยังอุดมไปด้วยวิชาการต่างๆมากมาย และในช่วงที่หลวงปู่สนธ์เป็นเณรอยู่นั้น ได้ถูกเรียกใช้เป็นประจำ ก็เลยอยู่ดูแลหลวงปู่ศรีทัตมากกว่าคนอื่น และตอนที่หลวงปู่สนธ์เป็นเณรนั้น หลวงปู่ศรีทัตได้เขียนยันต์ให้ผืนหนึ่งและบอกกับหลวงปู่ว่า “เณรเอายันต์ผืนนี้ไว้นั่งแทนเรือ ข้ามโขงไปหาปู่ที่เขา” อาจารย์ประถมฯได้ถามว่า แล้วหลวงปู่เคยใช้ไหม หลวงปู่สนธ์ไม่ตอบ ได้แต่นั่งหัวเราะแล้ว เงียบไป อาจารย์ประถมรุกเร้าเท่าใดก็ไม่เป็นผล ขอดูก็ไม่ให้ดู แต่ภายหลังจากนั้นไม่นาน อาจารย์ประถมฯ คอยดูจังหวะที่ได้เข้าไปในห้องของหลวงปู่สนธ์ และได้เห็นผ้ายันต์ผืนหนึ่งใหญ่มากวางอยู่บนพานบูชา หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ อาจารย์ประถมได้ทีถาม หลวงปู่ก็รับว่า ใช่ อาจารย์ประถมก็ถามต่อว่าได้ใช้หรือไม่ หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า ใช้ 4 ครั้งแล้วไม่ได้ใช้อีกเลย และ ห้ามไม่ให้อาจารย์ประถมบอกต่อ จนกว่าจะถึงเวลาอันควร อาจารย์ประถมได้เก็บเป็นความลับ จนกระทั่งหลวงปู่สนธ์มรณภาพ จึงได้เล่าให้ลูกหลานฟัง และไม่หลังหลวงปู่สนธ์มรณภาพ ก็ไม่ทราบว่าใครได้ไป เพราะอาจารย์ประถมได้ย้ายออกมาก่อน หลวงปู่สนธ์ได้เล่าว่า หลวงปู่ศรีทัตท่านมีความเชี่ยวชาญในภาษา “รู้” มาก อีกทั้งเจนจบครบสูตรในอักขระมหายันต์ทั้งหลาย หลวงปู่ศรีทัตท่านเคยบอกว่า วิชาลงผงวิเศษที่ยากนักหนาที่ท่านสำเร็จมามี 3 สูตร ได้แก่ 1. ผงโสฬสมหาพรหม 2. ผงนวโลกุตตระ 3. ผงโภชฌงค์บริพัตร อาจารย์ประถมได้เคยเรียนถามหลวงปู่สนธ์ว่า ท่านลงได้ครบทั้ง 3 สูตรหรือไม่ท่านไม่ตอบ แต่ยิ้มๆ และ เงียบไปตามเดิม หลวงปู่สนธ์ท่านเล่าว่า ในปีหนึ่งหลวงปู่ศรีทัต หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านเตรียมตัวธุดงค์ไปภูเขาควาย คราวนี้ท่านเตรียมสิ่งของไปมากมายเป็นพิเศษและได้สั่งพระเณรว่า พรรษาหน้าให้เตรียมการไว้ ท่านกลับมาท่านจะได้สร้างพระธาตุเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เตรียมบอกญาติโยมด้วย การที่ท่านเตรียมของมากมายนี้ ท่านประสงค์จะสร้างผงวิเศษเอาไว้ผสมสร้างพระเพื่อแจกญาติโยมที่มาร่วมทำบุญ กับท่าน หลวงปู่สนธ์ท่านเล่าว่า ผงวิเศษที่หลวงปู่ศรีทัตจะไปสร้างในครั้งนี้ก็คือ ผงโสฬสมหาพรหม การลงผงโสฬสมหาพรหมนั้น ต้องลงอักขระด้วยตัวธรรมเป็นกลยันต์ โดยถอดตัว ต้นจนถึงตัวสุดท้าย ผูกสลับเป็นกลยันต์ 16 มุม ในแต่ละมุมแบ่งออกเป็น 16 ชั้น ในแต่ละชั้นลงอักขระ 16 ช่อง อักขระแต่ละตัวแต่ละช่อง ต้องลบถมเรียกสูตร 16 คาบ ผูกอธิษฐานเสกยันต์โสฬสมหาพรหมครบแล้วทั้ง 16 สูตรถือเป็น 1 ครั้ง และลงในระบบเดียวกันนี้ 16 ครั้งแล้วรวมที่ลบมาอธิษฐานจิตปลุกเสกตามฤกษ์บน-ล่าง ตามตำราบังคับ เสร็จแล้วให้เอาผงวิเศษลูบลงในกระดานลงผง หากบังเกิดอักขระขอมธรรมของยันต์โสฬสมหาพรหมบนกระดานลงผงโดยไม่ได้เขียน โดยใช้เพียงผงวิเศษลูบให้สำเร็จเป็นยันต์ ถือว่าสำเร็จ หากลูบแล้วไม่ปรากฏยันต์ในกระดานลงผง จะต้องเริ่มต้นลงใหม่ตั้งแต่ต้น ! ผู้ที่ลงผงวิเศษได้ครบสูตรโสฬสมหาพรหมได้สำเร็จ จะดลบันดาลให้เทพทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 14 บาดาล 22 ชั้นพรหม ภะคะวะพรหม จนถึง พรหมสุทธาวาส ทุกพระองค์ลงและขึ้นมาอนุโมทนาอำนวยพร ผงวิเศษนี้มีอานุภาพอันทรง ความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ผู้ที่บูชาผงวิเศษนี้จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วย ลาภสักการะ วาสนาบารมี บริบูรณ์ไปด้วยรูปสมบัติ คุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ปัญญา บารมีสมบัติปรารถนาสิ่งใด จักสำเร็จดังปรารถนา ผงโสฬสมหาพรหมที่หลวง ปู่ศรีทัตสร้างขึ้นนี้ ท่านได้นำไปสร้างพระแจกที่วัดท่าดอกแก้ว ท่านสร้างไว้ไม่มากนัก ส่วนหนึ่งเหลือท่านเก็บใส่บาตร ตกทอดมาถึงหลวงปู่สนธ์ ท่านก็เก็บไว้เฉยๆไม่ได้ใช้อะไร ต่อมาท่านได้สร้างผงนวโลกุตระ ขึ้น ท่านจึงได้สร้างพระปิดตาแจกชาวบ้าน และได้นำผงทั้ง 2 ชนิดมาใส่รวมกัน อาจารย์ประถมเป็นศิษย์หลวงปู่เฮี้ยง และมีความชำนาญในการสร้างพระ เพราะได้ช่วยหลวงปู่เฮี้ยงสร้างพระตั้งแต่ยุคแรกๆของวัดป่า ( พศ.2484 ) และเมื่ออาจารย์ประถมมาถึงท่าอุเทน ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่สนธ์ ชาวบ้านนับถือมาก และสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาจารย์ประถมนับถือ คือ มีพลทหารนายหนึ่ง อาจารย์ประถมได้ขอตัวมาช่วยงานของสหกรณ์ ได้มีเรื่องกับชาวบ้านและโดนยิงเข้าไป 3 ชุด กระเด็นตกน้ำ แต่ไม่ตาย เพราไม่มีระคายผิวหนัง เสื้อผ้าขาดกระจุย ทั้งตัวมีตะกรุดดอกเดียว คือ ตะกรุดเก้าแปเก้าย้อ ของหลวงปู่สนธ์ ด้วยเหตุนี้อาจารย์ประถมจึงไปเสาะหาท่านถึงวัดและศึกษาวิชาการจากท่าน และเนื่องจากท่านเป็นผู้ที่มีความ ชำนาญในการสร้างพระ ท่านจึงคิดจะสร้างพระถวายหลวงปู่สนธ์ในราวปลายปี 2493 จึงเข้าเรียนหลวงปู่สนธ์และท่านก็อนุญาต และหลวงปู่สนธ์ก็ได้มอบผงวิเศษที่มีอยู่ในบาตรใหญ่นั้นให้อาจารย์ประถมนำไป สร้างพระ อาจารย์ประถมเล่าไว้ว่า ในเวลาที่รับผงวิเศษนั้นมือสั่นไปหมดเพราะทราบดีว่าผงวิเศษในบาตรนั้นวิเศษ เพียงใด อาจารย์ประถมจึงได้สร้างพระท่าดอกแก้วถวายหลวงปู่สนธ์ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว อาจารย์ประถมได้นำผงวิเศษที่เหลือในราวครึ่งบาตรกว่าถวายคืนแด่หลวงปู่สนธ์ ท่านกลับบอกว่าให้เก็บไว้สร้างพระต่อไปในอนาคต (แสดงว่าท่านรู้ด้วยญาณสมาบัติของท่านว่าคุณประถมจะต้องนำผงวิเศษไปสร้างพระ ให้หลวงปู่ทิมฯ ) หลังจากนั้นเมื่ออาจารย์ประถมทำงานที่ท่าอุเทนครบวาระ ได้ถูกย้ายไปทำงานที่อ.ธาตุพนม และก่อนที่จะไปประจำการ อาจารย์ประถมได้นำผงวิเศษนี้เดินทางไปที่จังหวัดขอนแก่น โดยไปขอบารมีท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร(เส็ง ปุสโส) นานถึง 6 เดือน และได้นำไปขอบารมีจากพระอริยสงฆ์อีกหลายรูปได้แก่ พระอาจารย์วัง ฐิติสาโณ แห่งภูลังกา หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่สิม พุทธจาโร หลวงพ่อสมาธิ หลวงปู่หัว วัดบ้านคำครึ่ง และ พระวิปัสสนาจารย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนครพนม หลวงปู่จันทร์ วัด ศรีเทพ ตอนที่นำผงไปขอบารมีหลวงปู่จันทร์นั้น หลวงปู่จันทร์เห็นแล้วก็จำได้ ถึงกับออกปากว่าไปเอาผงนี้มาจากไหน และหลังจากนั้นหลวงปู่จันทร์ก็ได้ขอแบ่งผงไว้ 1 ชั้นปิ่นโต ผงนี้ได้นำมาสร้างพระเครื่องรุ่นปี พศ.2500 คือพระพิมพ์สมเด็จและพระนางพญา และตอนที่นำไปถวายหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นเมื่อเห็นแล้วถึงกับก้มลงกราบทันที พระอาจารย์วังก็เช่นกัน นอกจากนี้ อาจารย์ประถมยังได้นำผงวิเศษนี้ไปเก็บไว้ที่วัดเทพศิรินทร์ ในพระอุโบสถ และได้ขอบารมีจากท่านเจ้าคุณนรฯด้วย ( อาจารย์ประถมบวชกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นับเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับท่านเจ้าคุณนรฯ

    รวบรวมโดยคุณเอก ขอนแก่น (amuletsinthai.com)
    อ้างอิง
    1. หนังสือ หลวงปู่ทิม เทพเจ้าเมืองระยอง ของ สมาคม ธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดระยอง
    2. หนังสือหลวงปู่ทิม ของนิตยสารสนามพระ
    3. นิตยสารศักดิ์สิทธิ์ คอลัมภ์ การเดินทางของผงโสฬสมหาพรหม


    [​IMG]


    พระท่าดอกแก้ว วัดท่าดอกแก้วเหนือ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม พ.ศ.2493 สร้างน้อยมาก คำบอกเล่าถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่สนธิ์ วัดท่าดอกแก้วเหนือโดย ท่านพระครูธรรมสารวิลาส เจ้าอาวาสวัดศรีชมชื่น บ้านคำพอก ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ปัจจุบันอายุ 72 ปี พรรษา52 ท่านเป็นพระลูกศิษย์องค์หนึ่งที่ได้ศึกษาวิชาอาคม ข้อวัตรปฏิบัติ ในครั้งหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ได้กรุณาเล่าให้ฟังมีดังต่อไปนี้
    ควรใช้วิจารณญาณในเรื่องเหล่านี้

    - กิจวัตรของหลวงปู่สนธิ์ ท่านเป็นพระที่เคร่งใน ศีลวัตร ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ และมีครรลองหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะท่านคือท่านจะนั่งสมาธิทุกวัน ตั้งแต่เวลา 13.00 น. – 16.00 น. ทุกวันเป็นปรกติ และเมื่อครบเวลากำหนดท่านจะตีฆ้อง 3 ที และเปิดโอกาสให้ลูกศิษย์ และผู้สนใจเรียนศาสตร์วิชา อาคมเข้ามาเรียนกับท่านโดยไม่เว้นแต่ละวัน นอกเสียจากป่วยไข้ ไม่สบาย หรือไม่อยู่
    - วิชาอาคม ท่านมีเยอะ หลวงปู่สนธิ์ ท่านได้กล่าวกับไว้ว่าวิชาอาคมท่านมีเยอะใครที่จะเรียนตามท่านแล้วจบ ต้องเรียนกับท่านอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งคนที่เรียนจากท่านเยอะสุดคือลุงจารย์จอม บ้านปากทวย ต.เวินพระบาท อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็เรียนจากท่านได้แค่ครึ่งเดียวเอง
    - รักษาคนผีเข้า เจ้าทรง ไสยศาสตร์ มนต์ดำ มีคนเป็นจำนวนมากที่มารักษากับหลวงปู่สนธิ์ในสมัยนั้น
    สำหรับผู้ที่มารักษา ท่านเสกเป่า โดยคาถาวิชา ที่หัว ที่ขมับ คนที่ผีเข้า ก็จะดิ้นชัก ดิ้นงอ และสลบไป
    ไม่นานก็จะลุกขึ้นได้เอง อัตโนมัติ หายเป็นปรกติ ยังความอัศจรรย์ผู้พบเห็นและญาติๆของผู้ที่มารักษายิ่งนัก
    - ทหารหลั่งไหลมาวัดท่าดอกแก้วเหนือ เมื่อประมาณ พ.ศ.2484 ในครั้งนั้นได้เกิดภาวะสงครามอินโดจีน ที่เวียดนามยังผลให้ทหารอาสาที่เป็นคนไทยเป็นจำนวนมากออกเสาะแสวงครูอาจารย์ หลวงปู่หลวงตา ที่มีของดีไว้ป้องกันตัว ให้แคล้วคลาด หลวงปู่สนธิ์ก็เป็นพระองค์หนึ่งที่มีชื่อเสียง พุทธิคุณ แคล้วคลาด คงกระพัน และมหานิยม ในแถบนี้ ซึ่งท่านก็ได้ให้ความอนุเคราะห์ทหาร หาญ เหล่านั้นด้วยการ สักยันต์หมวกเหล็ก โดยโกนผมและสักยันต์บนศีรษะ เมื่อสักแล้วจะเป็นลักษณะคล้ายวงกลม ครอบอยู่บนศีรษะ คนที่สักให้ตอนนั้นคือ จารย์จำปา ท่าเข อดีตผู้ใหญ่บ้านท่าดอกแก้วซึงเสียชีวิต นานแล้ว และหลวงปู่สนธิ์ท่านจะปลุกเสก สวดคาถาวิชาอาคม เป่าหัว และพรมน้ำมนต์ให้ หากใครกลัวที่จะสักท่านก็เขียนยันต์หมวกเหล็กใส่ใบลาน 2-3แผ่น แล้วนำไปประกอบกันบนหมวกทหารที่จะออกรบ หลังจากภาวะสงครามยุติ ปรากฏว่าผู้ที่มารับของดีจากท่านไม่มีใครเสียชีวิตในสงครามนี้เลยแม้แต่คนเดียว ต่างก็กลับมากราบหลวงปู่สนธิ์วัดมาบอกเล่าให้ฟัง แม้ลูกปืนจะถูกยิ่งจากข้าศึกออกมาเป็นเหมือนสายฝน ก็ไม่ถูกทหารที่มีของดีจากท่านนี้แต่คนเดียว แต่ที่ที่ไม่มีของดีกับล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่หน้าอัศจรรย์ยิ่งนัก
    - ตะกรุดโทน เก้าแป้ เก้าหย้อ ที่เลื่องชื่อ เป็นตะกรุดที่ท่านหลวงปู่สนธิ์สร้างขึ้น ทำจากตะกั่ว ลงอักขระ และอธิฐานจิต เป็นตะกรุดที่ดั่งมากในสมัยนั้นที่นอกจากลงยันต์แล้วในเรื่องแคล้วคลาด คงกระพัน เพราะมีทหาร และคนไม่น้อยที่มีประสบการณ์ ในเรื่องปืนยิ่งไม่ออก และยิ่งไม่เข้า สำหรับผู้มีตะกรุดนี้
    ข้อห้ามสำหรับผู้ที่ครอบครองตะกรุดนี้คือห้ามหักกิ่งไม้ ใบไม้ มารองนั่ง นอน โดยเด็ดขาด
    - ปราบพยศไทข่า ประเทศลาว ในครั้งหนึ่งท่านได้ไปธุดงค์ในฝั่งประเทศลาว ได้พบชนเผ่าไทข่า ซึ่งเต็มไปด้วย มนต์ดำ ไสยศาสตร์ ว่าน หรือพวกเล่นของ ซึ่งในครั้งนั้นท่านได้ปักกดใกล้หมู่บ้าน ได้มีคนที่เก่งวิชาในหมู่บ้าน เมื่อเห็นท่านก็จะลงของกับท่าน โดยเขาว่าเขาคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า ในขณะนั้นเขาได้แสดงโชว์หลวงปู่สนธิ์ก่อน ท่านได้ดูแล้ว ขีดเส้นบนพื้นดิน แล้วให้คนนั้นเดินเลยเส้นที่ขีดเข้ามามาแสดงใหม่ ปรากฏว่าฟันเข้าจนเลือดไหลเป็นจำนวนมาก และท่านก็ได้เมตตา ใช้คาถาคัดห้ามเลือดให้หยุดในทันที ทำให้คนนี้ก้มกราบ และขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่าน
    - ไทข่ามาแสดงฤทธิ์ที่วัดท่าดอกแก้วเหนือ หลังจากการธุดงค์ในครั้งนั้น ยังผลชื่อเสียงท่านเป็นที่รู้จัก เกียรติคุณท่านในหมู่บ้านที่เป็นไทข่าและหมู่บ้านใกล้เคียง ทำให้พวกที่เก่งวิชา อาคมในแถบนี้ต้องการเอาคืน ต้องการพิสูจน์ใครแน่จริง จึงมีการตามมาที่วัด โดยหลวงปู่สนธิ์ท่านก็ให้ไปพักที่กุฏิ รับรอง แขกในเวลาค่ำคืน การแสดงฤทธิ์ก็เกิดขึ้น ไทข่าที่มาพักก็ นำเบ็ด ออกมาตกที่หน้าต่างที่พัก ซึ่งอยู่ในวัดบนพื้นดิน และเขาก็ได้ปลาติดเบ็ดเป็นพวกปลาดุก ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เมื่อหลวงปู่สนธิ์รู้แล้ว ท่านจึงกำหนดจิตให้ปลานั้นกลายเป็นงูตัวใหญ่ ติดเบ็ดขึ้นมา จึงทำให้ไทข่าผู้นั้นตกใจ ร้องตะโกนลั่นวัด กลัวงู และหนีกลับกลางคืนเลย และเมื่อรุ่งเช้าชาวบ้านไปวัดก็มาบ่นว่าปลาที่หามาได้นำมาขัง ไว้ในแอ่ง ในโอ่ง หาย หลวงปู่สนธิ์ก็ยิ้มให้และนิ่ง สงบ โดยไม่ได้บอกชาวบ้าน นอกจากเล่าแก่ลูกศิษย์ฟัง
    - ฝรั่ง มาวัดท่าดอกแก้วเหนือ ฝรั่งคนนี้เป็นหัวหน้าคุมงานทำถนน สาย นครพนม – มุกดาหาร สายริมโขง ในครั้งนั้นการตัดถนนและทำถนน ได้ทำการบุกเบิก ถนนโดยเครื่องจักรกลหนัก ไม่ว่ารถแทรกเตอร์ เครื่องมือต่างๆ รวมถึง การใช้ระเบิดเป็นเครื่องทุ่นแรง และเมื่อมาถึงภูเขาชื่อภูมโน การบุกเบิกที่นี้ก็ดำเนินหน้าต่อไป แม้ชาวบ้านที่นี้บอกว่าที่นี้เป็นที่เข็ดขลัง เป็นที่ชาวบ้านไม่ค่อยจะไปยุ่งเกี่ยว เพราะกลัว โดยเชื่อว่าเจ้าที่แรง ฝรั่งก็บอกบ้านว่าไม่กลัวผี กลัวอะไรหรอกเพราะมีระเบิด ระเบิดตูม ผี อะไรก็กระจายแล้ว เมื่อในยามค่ำคืน สิ่งที่ชาวบ้านเตือนไว้ สิ่งที่ไม่คาดคิดที่ ฝรั่งและคนงานได้สัมผัสในตอนนั้นคือ รถ ทั้งหมดเคลื่อนที่ได้เอง และบีบแตรเองกันหมด ยังความตื่นตระหนกต่อฝรั่ง และคนงาน ในรุ่งเช้าก็มีแต่คนกลัวไม่กล้าดำเนินงานต่อไป ฝรั่งจึงมาถามชาวบ้านในแถบนั้นจะทำอย่างไรดี และบอกว่าแย่แน่ ทำงานต่อไม่ได้แน่ ไม่เสร็จทันสัญญาแน่ ชาวบ้านในแถบนั้นก็รู้ ชื่อเสียงหลวงปู่สนธิ์ วัดท่าดอกแก้วเหนือจึงแนะนำฝรั่งนั้นให้มาหาท่าน และเมื่อถึงที่วัดก็มากราบ ขอร้องให้ท่านช่วย ท่านจะให้ตะกรุดยันต์ แล้วนำไปแขวนที่รถทุกคันที่ทำงาน และการทำงานทำถนนก็สำเร็จล่วง ปรากฏเป็นถนนสายนครพนม –มุกดาหาร สายริมโขงในถึงปัจจุบันนี้
    - คลายทิฐิหลวงปู่แก้ว หลวงปู่แก้วเป็นสหธรรมิก ที่มักจะไปธุดงค์ ไปไหนพร้อมๆกับหลวงปู่สนธิ์ ในครั้งหนึ่ง ในระหว่างทาง การเดินทางนี้หลวงปู่สนธิ์ได้เดินนำหน้า และหลวงปู่แก้วเดินตาม ด้วยความไม่ระวังหลวงแก้วได้เดินสะดุด รากไม้ ให้หัวขม้ำเล็กน้อย ด้วยความที่ท่านเป็นองค์หนึ่งที่มีคาถาอาคมในเรื่องคงกระพันชาตรี ท่านจึงไม่พอใจ รากไม้นั้นที่มาขวางทาง ท่านจึงกลับมาเตะรากไม้นี้ กะให้หน่ำใจ อีกที เมื่อหลวงปู่สนธิ์รู้ ทำไมถึงถือตัวขนาดนี้ ไม่แล้วๆไป ท่านจึงขีดเส้นบนพื้นในทางเดินไว้ สักพักหลวงปู่แก้วเดินมาก็สะดุดเส้นที่ขีดไว้ จนเลือดไหล และต้องให้หลวงปู่สนธิ์ คัด ห้ามเลือด เป่าคาถาห้ามเลือดให้ เลือดจึงหยุด และท่านก็ได้เตือนเรื่องการใช้คาถาฤทธิ์แก่หลวงปู่แก้ว

    [​IMG]



    [​IMG]


    ตะกรุดเก้าแปเก้าหย้อ ทำจากตะกั่ว ที่เลื่องชื่อ หายากในปัจจุบัน อักขระและอธิฐานจิตโดยหลวงปู่สนธิ์

    [​IMG]




    *ปัจจุบันท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร เป็นประธานในการดำเนินการของทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธในกระทู้นี้ คุณธรรมและความรู้ด้านพระเครื่องหรือพระพิมพ์ต่างๆ ที่ท่านได้รับการอบรมมากจาพ่อแม่ครูอาจารย์ต่างๆ รวมถึงจากประสบการณ์ของท่านเอง ได้ถ่ายทอดมายังกลุ่มลูกศิษย์รุ่นหลังอย่างมากมาย จึงเป็นสาเหตุให้คณะกรรมการฯ ที่เป็นศิษย์รุ่นหลังของท่าน ต้องตั้งทุนนิธิฯ ขึ้นมาเพื่อบูชาคุณแห่งท่านและเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา ซึ่งในปัจจุบันหากไม่ติดอะไรท่านอาจารย์ประถมฯ ท่านจะฝากปัจจัยมาร่วมทำบุญด้วยมิได้ขาดครับ




     
  18. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    วันนี้ครอบครัวผมได้โอนเงินร่วมบุญสงเคราะห์พระสงฆ์อาพาธจำนวน 500 บาท
    *26/07/11 เวลา 19:40 น.* :cool:
     
  19. nanbatakeshi

    nanbatakeshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    19,279
    ค่าพลัง:
    +20,831
    วันนี้ได้ร่วมทำบุญสังฆทานกับกองทุนพระสงฆ์อาพาธpratom foundation เป็นจำนวน300บาท วันที่ 27/07/11 เวลา 18:48น.
    และขอโมทนาบุญกับทุกท่านที่ทำบุญกับกองทุนพระสงฆ์อาพาธด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2011
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    กิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ ประจำเดือนนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม 2554 ที่จะมาถึงนี้ โดยนัดพบเพื่อจัดเตรียมสังฆทานอาหารที่โรงอาหารด้านข้าง รพ.สงฆ์ในเวลา 7.30 น.-8.00 น. เหมือนเช่นเคย

    จึงขอแจ้งให้ผู้ที่สนใจได้ทราบทั่วกัน โดยผมและนายสติ ได้เบิกเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ มาและได้บริจาคไปยัง รพ.ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีรายละเอียดการบริจาคสำหรับเดือนนี้ตามประมาณการดังนี้


    1 รพ.สงฆ์

    - ถวายค่าสังฆทานอาหาร 6,000.- (ประมาณการพระสงฆ์ไว้
    200 รูป โดยจะถวายเป็นอาหารกล่องๆ ละ 30.-) เป็นเงิน 6,000.-
    - ถวายค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 5,000.-
    - ถวายค่าโลหิต 5,000.-
    รวม 16,000.-

    2 รพ.ภูมิภาค

    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 8,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) 5,000.-
    จ.น่าน
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย 8,000.-
    จ.เลย
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 8,000.-
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 5,000.-
    รวม 52,000.-

    รวมเงินบริจาคตามข้อ 1.+2. = 68,000.- (หกหมื่นหกแปดพันบาทถ้วน)


    3. กิจกรรมพิเศษ

    กิจกรรมพิเศษในเดือนนี้ไม่มีอะไรมาก จะมีก็เพียงแต่จะนำพระวังหน้าซึ่งเป็นพระนอกมาตรฐานวงการพระเครื่อง และนิยมเก็บสะสมไว้เฉพาะกลุ่ม นำมาให้บูชาเพื่อหาทุนช่วยสงฆ์อาพาธตาม รพ.ต่างๆ โดยนำฝากเข้าบัญชีทุนนิธิฯ ทั้งหมด ซึ่งพระพิมพ์ต่างๆ แต่ละองค์มีราคาสูงสุดไม่เกิน 300.-บาทเท่านั้น แต่อยากมีไว้ให้บูชากันมากกว่า และหากท่านใดไม่ติดกิจธุระในวันดังกล่าวก็ขอเชิญไปร่วมทำบุญในกิจกรรมประจำเดือนด้วยกันครับ

    และสุดท้ายก็ขอนำใบอนุโมทนาที่ติดค้างไว้ในเดือน พ.ค. และในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมานำมาลงเพื่อเป็นหลักฐานในการบริจาคเงินของทุนนิธิฯ และให้ได้อนุโมทนาบุญกันด้วย โดยในส่วนของ รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย จะเป็นรายงานการใช้ปัจจัยที่ได้รับบริจาคแทนใบอนุโมทนาครับ

    พันวฤทธิ์
    27/7/54
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...