หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    ผมจำได้ว่า เราได้พูดคุยกันกับท่านและท่านสมบัติเรื่องเว็บพลังจิต ตอนกราบพระอาจารย์ใช่หรือไม่ครับ คงได้พบกันอีกนะครับ
     
  2. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    พระพุทธรูปทองคำ

    พระพุทธรูปเนื้อทองคำ สวยงามมากๆครับ เรื่องอิทธิคุณไม่ต้องบอกก็เดาออกใช่มั้ยครับท่านดร.นนต์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    สวัสดีครับท่านดร.นนต์ หลังจากแยกกันที่บรบือคิดว่าจะน็อคระหว่างทางกลับบ้านแต่ไม่ทราบเพราะอะไรพอเริ่มเดินทางตาก็สว่างสดใสเป็นปกติเต็มร้อย...แสงจันทร์ก็สว่างสวยงามเลยถือโอกาสอัญเชิญพญาเหล็กวางไว้คอนโซลหน้ารถอาบแสงจันทร์ไปในตัว กลับถึงบ้านก่อนเที่ยงคืนเหมือนกันครับ อาบน้ำเสร็จรู้สึกสดชื่นปฎิบัติต่อเลยเกือบๆเช้าก็เข้านอนพักยาว...
    การได้พบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ในครั้งนี้ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมากมายจริงๆครับได้อะไรดีๆเยอะมีความมั่นใจที่จักก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้สึกว่าโดดเดี่ยว ลังเล หรือว่าสงสัยเพราะว่าเราได้พบเจอในสิ่งที่เรากำลังตามหาอยู่และพร้อมที่จักประคับประคองและชี้ทางเดินที่ถูกที่ควรให้แก่พวกเราๆท่านๆทั้งหลายได้เจริญรอยตามนับว่าเป็นบุญวาสนามากครับ.....
     
  4. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    พระองค์นี้ มีพลังมากมายทีเดียว ทุกคนที่ไปในวันนั้นล้วนสัมผัสได้เป็นปัตจัตตัง ท่านสมาชิกธรรมอธิษฐานจิตไว้อาจได้เป็นเจ้าของครับ หลายๆสิ่งล้วนเป็นอจินไตยครับ
     
  5. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>IT Man, Indhus</TD></TR></TBODY></TABLE>

    สำบายดีครับคุณ Indhus ผมพึ่งเดินทางกลับจากภูดานไห (ซึ่งออกจากบัวขาว 6 โมง 45 ถึงที่นี่ราว 7 โมงครึ่ง)
    เมื่อวานตอนบ่ายพระอาจารย์กับญาติธรรมกลุ่มเล็กๆ ได้พากันเดินเท้าขึ้นภูเขา (ด้านหลังกุฏิใหม่) เพื่อจะไปกราบสักการะพระพุทธรูปข้างบนถ้ำ แต่เกรงไม่ทันเวลาผมขึ้นรถ ก็จำต้องลงมาก่อน ได้ชมเพียงรอยเท้าไดโนเสากับเก็บเห็ดไข่ :)

    รู้สึกการเดินเท้าเลียบเคียงตามลำน้ำตก แม้จักเหนื่อยเจียนตาย เพราะปกติจะห่างจากการเดินป่ามาก แต่ก็ได้พิจารณาธรรม สนทนาธรรมะ กับรำลึกถึงท่านพญานาคราชและท่านพระฤาษีฯ(หลายภพ)เป็นอย่างมาก เสียดายที่ไม่ได้สัมผัสธรรมชาติเช่นนี้...ร่วมกัน

    ขาลง ลงมาด้านลานธรรมที่มีรอยพระพุทธบาท
    เมื่อหายเหนื่อยดีแล้ว ก็ได้สนทนาในเรื่องลึกซึ้งที่ไม่สามารถเล่าให้กับคนหมู่มากฟังได้ (อจินไตย) แต่แน่นอนว่า...เพื่อนกลุ่มนักรบธรรม(เอ่ยนามครั้งแรกโดยพระฤาษี)ทั้งหลาย ย่อมได้รับการถ่ายทอดให้ฟังเป็นแน่แท้

    วันนี้ลางาน ขอตัวพักผ่อนสักงีบก่อนนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  6. Indhus

    Indhus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +113
    น่าสนใจมากครับท่านสมบัติ ผมเองบ้านอยู่ใกล้ แต่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับพระอาจารย์เท่าไหร่นัก เรื่องราวที่น่าสนใจอย่างที่ท่านสมบัติว่ามา ผมมีโอกาสได้ฟังน้อยมาก หรือบางทีได้ฟังแต่ก็ไม่สามารถจำได้ ความอยากรู้อยากฟังก็ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่กล้าเรียนกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์โดยตรง เพราะบางทีก็นึกไปเองว่าสิ่งที่อยากรู้ รู้ไปก็เท่านั้น สู้ว่ากันตามสภาวะปัจจุบันจะดีกว่า ซึ่งค้านกับบุคลิกนิสัยส่วนตัวที่ร่ำเรียนมาสายวิทยาศาสตร์ที่ความอยากรู้อยากเห็นอยากพิสูจน์มีอยู่เต็มหัวใจ เลยทำได้แค่รอฟังคำเล่าขานของญาติธรรมท่านอื่น ๆ ให้ได้สดับรับฟังเท่านั้นเอง

    ถ้าท่านสมบัติมีโอกาสได้เล่าหรือถ่ายทอดที่ใดก็แล้วแต่ รบกวนช่วยแจ้งให้ผมได้มีโอกาสติดตามรับฟังด้วยคนนะครับ
     
  7. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nontayan, Indhus, IT Man </TD></TR></TBODY></TABLE>สวัสดีตอนเช้าครับ
    วันนี้ตั้งใจว่าจะเขียนถึงที่มาของการเสาะแสวงหาธรรมตั้งแต่เริ่มต้นของตัวเอง จนนำมาสู่เส้นทาง "นักรบธรรม" อันเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายที่พึ่งเกิดขึ้นในวันพระใหญ่อาสาฬบูชาขึ้น 15 ค่ำ เดือนแปดปีพุทธศักราช 2554 และวันเข้าพรรษาแรม 1 ค่ำเดือนแปดปีพุทธศักราช 2554 อันเป็นวันมหามงคลปีติสำหรับพวกเราเหล่าพุทธวงศ์ในนาม "นักรบธรรม" อันมีพ่อแม่ครูอาจารย์ของพวกเราเป็นผู้นำ กาลอันควร บุคคลอันควร สถานที่อันควร เงื่อนไขอันควร ได้มาบรรจบกันเป็นวงรอบอีกครั้งในภพสุดท้ายนี้ (จะถูกบรรทึกไว้เป็นเรื่องราวสู่ลูกหลานต่อไป)... วันนี้ผมจะเดินทางไปกราบพ่อแม่ที่อำเภอห้วยแถลง ช่วงเย็นผมจะกลับมาเขียนเรื่องราวที่ผมแสวงหาจนมาถึงจุดสิ้นสุดในคราวนี้อีกครั้งครับ...ขอเจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  8. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>IT Man, Indhus </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]


    สวัสดีครับ
    เป็นไงบ้างครับทางนู้นฝนตกหรือเปล่า ...ทางนี้ฝนตกหนักพอได้ ผมเลยขอพักผ่อนทั้งวัน แต่งาน office ก็เข้ามาบ้าง

    ช่วงเย็น ได้ไปเยี่ยมและถวายเครื่องดื่มบำรุงสังขารต่างๆแด่หลวงปู่พระอริยเจ้า ที่ข้ามฝั่งมารักษาตัวที่ รพ.ประจำอำเภอ รู้สึกปีติมากๆที่ได้ไปเยี่ยมท่าน แม้ท่านจะอาพาธ เนื่องจากชราภาพมากคืออายุ 90 กว่า ทว่าแววตาท่านมีเมตตาสูงมากๆจนรู้สึกได้ทางกาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  9. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ยินดีรับชมเช่นกันครับ หุหุ :cool:
     
  10. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ด้วยความยินดีและขอขอบคุณครับท่านทั้งหลาย...

    ยารักษาโรคได้ถวายแด่พ่อแม่ครูอาจารย์ไว้ใช้ในสำนักฯ และท่านได้มอบยาบำรุงให้คุณแม่บุญชมท่านไว้ทาน เพื่อบำรุงธาตุขันธ์ พูดง่ายๆหากขาดแม่ชม ก็ขาดขุนพลผู้รู้ใจพระอาจารย์ เพราะนอกนั้นยังไม่มีผู้ใดมีวัตรหรือธรรมชั้นสูงพอที่จะอุปัฏฐากองค์ท่านได้

    ขอขอโมทนาและขอบคุณท่านซึ้งบนนะครับ ผมได้กราบเรียนในรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆถวายท่านแล้ว

    มีเรื่องราวต่างๆที่พิสูจน์ได้หลายอย่างว่า บรบือ ถึง ภูดานไห มีความเกี่ยวพันกันอยู่พอสมควรครับ ไว้จะค่อยๆเปิดเผยให้รับทราบกันในไม่ช้านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  11. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    พลังงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มีประโยชน์และอำนวยความสะดวกกับพ่อแม่ครูอาจารย์และคณะผู้มาปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง พลังงานที่ได้มาเกินความคาดหมายของทุกๆคนทีเดียว
    ขอโมทนาสาธุในบุญกุศลใหญ่นี้ช่าง ถูกที่ : สถานที่ที่ขาดแคลนทรัพยากรนั้นๆ , ถูกกาล : ช่วงเวลานี้กำลังต้องการพอดี , ถูกบุคคล : ของต่างๆที่ได้ถวาย แด่เนื้อนาบุญที่สูงส่ง ได้ใช้ประโยชน์กับผู้ที่ปฏิบัติเพื่อธรรมอันสูงสุด นั่นคือความพ้นทุกข์ อานิสงค์จะมากมายขนาดใดหนอ...
     
  12. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    ประวัติพระเจ้าตากสิน รัชกาลที่ 1 และประวัติสมเด็จพระสังฆราช (สี) แห่งกรุงธนบุรี และกรุงเทพฯ ซึ่งล้วนผูกพัน ตามหนังสือ http://palungjit.org/threads/คนไทยมาจากไหน-ประวัติศาสตร์ไทย-พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ.276390/page-36
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0729.jpg
      scan0729.jpg
      ขนาดไฟล์:
      384.4 KB
      เปิดดู:
      65
    • scan0730.jpg
      scan0730.jpg
      ขนาดไฟล์:
      501.7 KB
      เปิดดู:
      57
    • scan0731.jpg
      scan0731.jpg
      ขนาดไฟล์:
      422.8 KB
      เปิดดู:
      55
    • scan0732.jpg
      scan0732.jpg
      ขนาดไฟล์:
      440.1 KB
      เปิดดู:
      56
    • scan0733.jpg
      scan0733.jpg
      ขนาดไฟล์:
      478 KB
      เปิดดู:
      64
    • scan0734.jpg
      scan0734.jpg
      ขนาดไฟล์:
      503.5 KB
      เปิดดู:
      61
  13. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>IT Man, nontayan+, สมาชิกธรรม+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับท่านนักรบธรรมทั้งสอง
    สำหรับการดำเนินเรื่อง ถ่ายทอดงานบุญใหญ่
    ...รอสักนิดนะครับ...
     
  14. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    กองหน้านักรบธรรม

    อีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่เป็นธุระ...เป็นสะพานบุญดูแลกลุ่มเราอย่างดีและมีส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้เราได้พบพ่อแม่ครูบาอาจารย์.....ต้องขอขอบคุณ คุณครูร่วมชาติด้วยนะครับ เราคงได้พบกันอีกในเร็วๆนี้นะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    เช่นกันครับ.....หวังว่าคงหายเหนื่อยกันแล้วนะครับ.....รอฟังเรื่องราวอจินไตยอยู่ครับ(จะลงแดงแล้วนะ)รอคอยอยู่.....
     
  16. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (องค์ที่สองแห่งกรุงธนบุรี)
    สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๓๗ สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามเดิมว่า 'ศรี' (บางตำราเขียนว่า 'สี') พระประวัติในเบื้องต้นมีความเป็นมาอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่า เดิมเป็นเพียง พระอาจารย์ศรี ทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดพนัญเชิง อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์ พระสงฆ์ถูกฆ่า วัดวาอาราม พระไตรปิฎก ถูกเผาทำลายวอดวายจนสิ้นเชิง พระภิกษุสามเณรต่างก็พากันหลบภัยไปอยู่ตามวัดต่างๆ ในต่างจังหวัด พระอาจารย์ศรีก็ได้หลบภัยสงครามไปจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในเมืองนครศรีธรรมราช ที่ซึ่งพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงยกทัพ ไปปราบก๊กเจ้านครซึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่ ที่เมืองนครศรีธรรมราช จึงได้อาราธนาพระอาจารย์ศรี ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบางหว้าใหญ่ (ปัจจุบันคือ วัดระฆังโฆสิตาราม) เนื่องด้วยทรงคุ้นเคยและรู้จักเกียรติคุณ ของพระอาจารย์ศรี มาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ในขณะนั้น พระอาจารย์ดี ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ก่อน แต่ต่อมาภายหลัง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทราบว่า พระอาจารย์ดีเคยบอกที่ซ่อนทรัพย์ของผู้อื่นให้แก่พม่าเมื่อเวลาถูกขังอยู่ จึงโปรดให้ถอดออกจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช แล้วได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา พระอาจารย์ศรี ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช แทน ในพ.ศ. ๒๓๑๒ นั้นเอง นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงธนบุรี
    ทรงถูกถอดจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
    ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๒๔ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ได้ถูกถอดจากตำแหน่งเนื่องจากได้ถวายวิสัชนาร่วมกับ พระพุฒาจารย์ วัดบางหว้าน้อย (วัดอมรินทราราม) และพระพิมลธรรม วัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนหรือวัดโพธิ์) เรื่องพระสงฆ์ปุถุชนไม่ควรไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นอริยบุคคล เนื่องจากคฤหัสถ์เป็นหินเพศต่ำ พระสงฆ์เป็นอุดมเพศที่สูง เพราะทรงผ้ากาสาวพัสตร์และพระจาตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ดังความว่า “ถึงมาตรว่าคฤหัสถ์เป็นพระโสดาก็ดี แต่เป็นหินเพศต่ำ อันพระสงฆ์ ถึงเป็นปุถุชน ก็ตั้งอยู่ในอุดมเพศอันสูง เหตุทรงผ้กาสาวพัสตร์ และพระจตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ซึ่งจะไหว้นบคฤหัสถ์ อันเป็นพระโสดานั้นก็บ่มิควร” ข้อวิสัชนาดังกล่าวนี้ไม่ต้องพระทัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์จึงให้ถอดเสียจากตำแหน่งพระสังฆราช ลงมาเป็นพระอนุจร (พระธรรมดา) แล้วทรงตั้งพระโพธิวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช และตั้งพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นพระวันรัต เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) และพระราชาคณะทั้งสองรูปดังกล่าว เป็นพระเถระที่เคร่งครัดมั่นคงในพระธรรมวินัย แม้จะต้องเผชิญกับราชภัยอันใหญ่หลวงก็มิได้หวั่นไหว นับเป็นพระเกียรติคุณที่สำคัญประการหนึ่งของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น
    <O:p</O:p
    ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชครั้งที่ ๒
    ครั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คืนสมณฐานันดรศักดิ์และตำแหน่งดังเดิม ให้แก่ สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ดังมีรายละเอียดบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร ดังนี้
    “ทรงพระราชดำริว่า ฝ่ายข้างอาณาจักรได้แต่งตั้งข้าราชการตามตำแหน่งเสร็จแล้ว ควรจะจัดการข้างฝ่ายพุทธจักร ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเสื่อมทรุดเศร้าหมองนั้นให้วัฒนารุ่งเรืองสืบไป จึงดำรัสให้สึกพระวันรัต (ทองอยู่) กับพระรัตนมุนี (แก้ว) ออกเป็นฆราวาส ดำรัสว่าเป็นคนอาสัตย์สอพลอทำให้เสียแผ่นดิน.....ดำรัสให้ สมเด็จพระสังฆราช พระพุฒาจารย์ และพระพิมลธรรม ซึ่งเจ้ากรุงธนบุรีให้ลงโทษถอดเสียจากพระราชาคณะ เพราะไม่ยอมถวายบังคมนั้น โปรดให้คงที่สมณฐานันดรศักดิ์ดังเก่า ให้คืนไปอยู่ครองพระอารามตามเดิม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ดำรัสสรรเสริญว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์นี้ มีสันดานสัตย์ซื่อมั่นคง ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและชีวิต ควรเป็นที่นับถือไหว้นบเคารพสักการบูชา แม้มีข้อสงสัยสิ่งใดในพระบาลีไปภายหน้า จะให้ประชุมพระราชาคณะไต่ถาม ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามว่าอย่างไรแล้ว พระราชาคณะอื่นๆ จะว่าอย่างอื่นไป ก็คงจะเชื่อถ้อยคำพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม ซึ่งจะเชื่อถือฟังความตามพระราชาคณะอื่นๆ ที่เป็นพวกมากนั้นหามิได้ ด้วยเห็นใจเสียครั้งนี้แล้ว”
    ความในพระราชดำรัสดังปรากฏในพระราชพงศาวดารข้างต้นนี้ ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) เป็นที่ทรงเคารพนับถือ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นอันมาก ทั้งเป็นที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในการที่จะฟื้นฟูทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่ทำให้ทรงพระราชดำริ ในอันที่จะทำสังคายนาพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เพื่อเป็นหลักของพระพุทธศาสนาในพระราชอาณาจักร ยั่งยืนสืบไปชั่วกาลนาน และโดยที่เป็นที่ทรงเคารพนับถือและเป็นที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยดังกล่าวแล้ว จึงกล่าวได้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) คงจักทรงเป็นกำลังสำคัญ ในการชำระและฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในครั้งรัชกาลที่ ๑ เป็นอย่างมาก ทั้งในด้านความประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร การบูรณปฏิสังขรณ์พุทธสถาน การชำระตรวจสอบพระไตรปิฎกให้ถูกถ้วนบริบูรณ์ ตลอดถึงในด้านความประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควรของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ดังจะเห็นได้ว่าในระหว่างที่ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้น ได้ทรงมีพระราชปุจฉาเกี่ยวกับการพระศาสนาด้านต่างๆ ไปยังสมเด็จพระสังฆราชมากกว่า ๕๐ เรื่อง สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พร้อมด้วยพระสงฆ์ราชาคณะ ก็ได้ถวายพระพรแก้พระราชปุจฉา เป็นที่ต้องตามพระราชประสงค์ทุกประการ สิ่งแสดงถึงพระราชศรัทธาเคารพนับถือใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชที่ทรงมีต่อ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) อีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อทรงตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้วได้โปรดเกล้าฯ ให้รื้อตำหนักทองของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไปปลูกเป็นกุฎีถวาย ณ วัดบางว้าใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ตำหนักทองนี้ถูกไฟไหม้เสียเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓<O:p></O:p>

    พระกรณียกิจสำคัญ : การสังคายนาพระไตรปิฎก
    เป็นที่ประจักษ์ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นปฐมรัชกาลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์แล้ว พระราชกรณียกิจประการแรกที่ทรงกระทำก็คือ การจัดสังฆมณฑลและฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ที่เสื่อมทรุดมาแต่การจลาจลวุ่นวายของบ้านเมือง แต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา จนถึงครั้งกรุงธนบุรี ในด้านสังฆมณฑลนั้นก็ทรงกำจัดอลัชชีภิกษุ และทรงตรากฎพระสงฆ์ขึ้น เพื่อป้องกันมิให้พระภิกษุสามเณรประพฤตินอกพระธรรมวินัย และมีความประพฤติกวดขันในพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น
    ในด้านทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคง ก็โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมพระไตรปิฎกบรรดาฉบับที่มีทั้งที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญ ตรวจชำระแล้วแปลงเป็นอักษรขอม จารึกลงลานสร้างไว้ให้ครบถ้วน ประดิษฐานไว้ ณ หอพระมนเทียรธรรม พร้อมทั้งโปรดให้สร้างคัมภีร์พระไตรปิฎก ถวายพระสงฆ์สำหรับเล่าเรียนไว้ทุกๆ พระอารามหลวง สิ้นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปเป็นอันมาก ต่อมาทรงพระราชดำริเห็นว่า พระไตรปิฎกที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อต้นรัชกาลนั้น ยังบกพร่องตกหล่นอยู่เป็นอันมาก ทั้งพยัญชนะและเนื้อความ อันเนื่องมาจากความวิปลาสตกหล่นของต้นฉบับเดิม จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้คณะสงฆ์ประชุมสังคายนาตรวจชำระพระไตรปิฎกขึ้น เหตุการณ์สำคัญครั้งนี้เกิดขึ้นในปีที่ ๖ แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช นับเป็น การสังคายนาครั้งที่ ๒ ในราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๓๓๑) (ครั้งแรกทำที่นครเชียงใหม่สมัยพระเจ้าติโลกราชมหาราชแห่งอาณาจักรล้านนา) และ นับเป็นครั้งแรกในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ (ครั้งที่ ๒ ทำในสมัยรัชกาลที่ ๙ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐) ทั้งนี้ได้มีการอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะให้ดำเนินการ สมเด็จพระสังฆราชได้เลือกพระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญอันดับ ที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตยาจารย์ ๓๒ คน ทำการสังคายนาที่ วัดนิพพานาราม (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์) แบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๔ กอง ดังนี้ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) เป็นแม่กองชำระพระสุตตันปิฎก พระวันรัต เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก พระพิมลธรรม เป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศส
    พระธรรมไตรโลก เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎก<O:p</O:p
    การชำระพระไตรปิฎกครั้งนี้ใช้เวลา ๕ เดือน ได้จารึกพระไตรปิฎกลงลานใหญ่ แล้วปิดทองทึบ ทั้งปกหน้าปกหลัง และกรอบ เรียกว่า ฉบับทอง
    ทำการสมโภช แล้วอัญเชิญเข้าประดิษฐานในตู้ประดับมุก ตั้งไว้ในหอพระมณเทียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อนึ่ง การทำสังคายนาพระไตรปิฎกเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ นั้น ได้มีบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ อย่างละเอียด ควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จึงขอนำมากล่าวในที่นี้ ตามความที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ดังนี้

    'ในปีวอก สัมฤทธิศก นั้น พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงพระราชรำพึงถึงพระไตรปิฎกธรรม อันเป็นมูลรากแห่งพระปริยัติศาสนา
    ทรงพระราชศรัทธาพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นอันมาก
    ให้เป็นค่าจ้างลานจารึกพระไตรปิฎกลงลาน แต่บรรดามีฉบับในที่ใดๆ
    ที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญก็ให้ชำระแปลงออกเป็นอักษรขอม สร้างขึ้นไว้ในตู้
    ณ หอพระมนเฑียรธรรม และสร้างพระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ให้เล่าเรียน
    ทุกๆ พระอารามหลวงตามความปรารถนา

    จึงจมื่นไวยวรนารถกราบทูลว่า พระไตรปิฎกซึ่งทรงพระราชศรัทธาสร้างขึ้นไว้ทุกวันนี้
    อักขระบทพยัญชนะตกวิปลาสอยู่แต่ฉบับเดิมมา
    หาผู้จะทำนุบำรุงตกแต้มดัดแปลงให้ถูกต้องบริบูรณ์ขึ้นมิได้
    ครั้นได้ทรงสดับจึงทรงพระปรารภว่าพระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้
    เมื่อและผิดเพี้ยนวิปลาสอยู่เป็นอันมากฉะนี้ จะเป็นเค้ามูลพระศาสนากระไรได้
    อนึ่งท่านผู้รักษาพระไตรปิฎกมีอยู่ทุกวันนี้ก็น้อยนัก
    ถ้าสิ้นท่านเหล่านี้แล้วเห็นว่าพระปริยัติศาสนา
    และปฏิบัติศาสนาและปฏิเสธศาสนาจะเสื่อมสูญเป็นอันเร็วนัก
    สัตว์โลกทั้งปวงจะหาที่พึ่งบ่มิได้ในอนาคตภายหน้า
    ควรจะทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาไว้ให้ถาวรวัฒนาการ
    เป็นประโยชน์แก่เทพดามนุษย์ทั้งปวงจึงจะเป็นทางพระบรมโพธิญาณบารมี

    ทรงพระราชดำริฉะนี้แล้ว จึงดำรัสให้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์
    มีสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นประธาน
    ในพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท
    ให้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญ ๑๐๐ รูป
    มารับพระราชทานฉัน ครั้นเสร็จสังฆภัตกิจแล้ว
    พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว
    จึงทรงถวายนมัสการดำรัสเผดียงถามพระราชาคณะทั้งปวงว่า
    พระไตรปิฎกธรรมทุกวันนี้ ยังถูกต้องบริบูรณ์อยู่หรือพิรุธผิดเพี้ยนประการใด

    จึงสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงพร้อมกันถวายพระพรว่า
    พระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้พิรุธมาช้านานแล้ว
    หากษัตริย์พระองค์ใดจะทำนุบำรุงให้เป็นศาสนูปถัมภกมิได้
    แต่กำลังอาตมภาพทั้งปวงก็คิดจะใคร่ทำนุบำรุงอยู่ แต่เห็นจะไม่สำเร็จ
    และกาลเมื่อสมเด็จพระสรรเพชญพระพุทธองค์ผู้ทรงทศอรหาทิคุณอันประเสริฐ
    เมื่อพระองค์บรรทมเหนือพระปรินิพพานมัญจพุทธอาสน์ เป็นอนุฏฐานะไสยาสน์
    ณ ระหว่างนางรังทั้งคู่ ในสาลวโนทยานของพระเจ้ามลราช ใกล้กรุงกุสินารานคร
    มีพระพุทธฎีกาตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

    ดูกรสงฆ์ทั้งปวง พระธรรมวินัยอันใดทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
    อันพระตถาคตเทศนาสั่งสอนท่าน เมื่อพระตถาคตนิพพานแล้ว
    พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้นจะเป็นครูสั่งสอนท่าน
    และสรรพสัตว์ทั้งปวงต่างองค์พระตถาคตสืบไป
    พระองค์ตรัสมอบพระพุทธศาสนาไว้อาศัยพระปริยัติธรรมฉะนี้แล้ว
    ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน

    จำเดิมแต่สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้านิพพานถวายพระเพลิงแล้วได้ ๗ วัน
    พระมหากัสสปเถรเจ้าระลึกถึงคำพระสุภัททภิกษุ
    ว่ากล่าวติเตียนพระบรมศาสดาเป็นมูลเหตุ
    จึงดำริการจะทำสังคายนา เลือกสรรพระภิกษุทั้งหลาย
    ล้วนพระอรหันต์ทรงพระจตุปฏิสัมภิทาญาณ
    กับพระอานนท์เป็นเสกขบุคคลพระองค์หนึ่ง
    ซึ่งได้พระอรหัตในราตรีรุ่งขึ้นวันจะสังคายนา พอครบ ๕๐๐ พระองค์
    มีพระเจ้าอชาตศัตรูราชเป็นศาสนูปถัมภก
    ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในพระมณฑปแถบถ้ำสัตตบรรณคูหา
    ณ เขาเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์มหานคร ๗ เดือน
    จึงสำเร็จการปฐมสังคายนา

    ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาแล้วได้ ๑๐๐ ปี พระภิกษุชาววัชชีคามเป็นอลัชชี
    สำแดงวัตถุ ๑๐ ประการ กระทำผิดพระวินัยบัญญัติ
    และพระมหาเถรขีณาสพ ๘ พระองค์ มีพระยศเถรเป็นต้น
    พระเรวัตตเถรเป็นปริโยสาน ชำระทศวัตถุอธิกรณ์๑๐ ประการ
    ให้ระงับยังพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์
    แล้วเลือกสรรพระอรหันต์อันทรงพระปฏิสัมภิทาญาณ ๗๐๐ พระองค์
    มีพระสัพพกามีเถรเจ้าเป็นประธาน
    ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในวาลุการามมหาวิหารใกล้กรุงเวสาลี
    พระเจ้ากาลาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก ๘ เดือนจึงสำเร็จการทุติยสังคายนา

    ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๒๑๘ ปี ครั้งนั้นเหล่าเดียรถีย์เข้าปลอมบวชในพระศาสนา
    จึงพระโมคคลีบุตรดิศเถรยังพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชให้เรียนรู้ในพุทธสมัย
    แล้วชำระสึกเดียรถีย์เสีย ๖๐,๐๐๐ ยังพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์
    แล้วพระโมคคลีบุตรดิศเถรจึงเลือกพระอรหันต์อันทรงพระปฏิสัมภิทาญาณ ๑,๐๐๐
    พระองค์ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในอโสการามวิหาร ใกล้กรุงปาตลีบุตรมหานคร
    พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก ๙ เดือน จึงสำเร็จตติยสังคายนา

    ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๒๓๘ ปีจึงพระมหินเถรเจ้าออกไปลังกาทวีป
    บวชกุลบุตรให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม คือหยั่งรากพระพุทธศาสนาลงในลังกาแล้ว
    พระขีณาสพทั้ง ๓๘ พระองค์มีพระมหินทรเถรและพระอริฏฐเถรเป็นประธาน
    กับพระสงฆ์ซึ่งทรงพระปริยัติธรรม ๑,๑๐๐ รูปทำสังคายนาพระไตรปิฎก
    ในมณฑปถูปารามวิหารใกล้กรุงอนุราธบุรี
    พระเจ้าเทวานัมปิยดิศเป็นศาสนูปถัมภก ๑๐ เดือน จึงสำเร็จการจตุตถสังคายนา

    ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๔๓๓ ปี
    ครั้งนั้นพระอรหันต์ทั้งปวงในลังกาทวีปพิจารณาเห็นว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมลง
    เพราะพระสงฆ์ซึ่งทรงพระไตรปิฎกให้ขึ้นปากเจนใจนั้นเบาบางลงกว่าแต่ก่อน
    จึงเลือกพระอรหันต์อันทรงปฏิสัมภิทาญาณ
    และพระสงฆ์บุถุชนผู้ทรงพระปริยัติธรรมมากกว่า ๑,๐๐๐ ประชุมกัน
    ในมหาวิหารใกล้เมืองอนุราธบุรี
    พระเจ้าวัฏฏคามินีอภัยเป็นศาสนูปถัมภก ทำมณฑปถวายให้ทำการสังคายนา
    คือจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน ทั้งพระบาลีและอรรถกถาเป็นสิงหฬภาษา
    ปี ๑ จึงสำเร็จการปัญจมสังคายนา

    ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๙๕๖ ปี
    จึงพระพุทธโฆษาจารย์เจ้าออกไปแต่ชมพูทวีป
    แปลพระไตรปิฎกอันเป็นสิงหฬภาษาออกเป็นมคธภาษา
    แล้วจารึกลงในใบลานใหม่ในโลหปราสาทเมืองอนุราธบุรี
    พระเจ้ามหานามเป็นศาสนูปถัมภก
    ปี ๑ จึงสำเร็จ นับเนื่องเข้าในฉัฐมสังคายนา

    ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๑,๕๘๗ ปี
    ครั้งนั้นพระเจ้าปรากรมพาหุราชได้เสวยราชสมบัติในลังกาทวีป
    ย้ายพระนครจากอนุราธบุรีมาตั้งอยู่เมืองปุรัตถิมหานคร
    จึงพระกัสสปเถรเจ้า กับพระสงฆ์บุถุชนผู้ทรงธรรมวินัย
    ประชุมกันชำระพระไตรปิฎกชึ่งเป็นสิงหฬภาษาบ้าง มคธบ้าง ปะปนกันอยู่
    ให้แปลงแปลออกเป็นมคธภาษาทั้งสิ้น แล้วจารึกลงลานใหม่
    พระเจ้าปรากรมพาหุราชเป็นศาสนูปถัมภก
    ปี ๑ จึงสำเร็จบริบูรณ์ นับเนื่องเข้าในสัตตมสังคายนา

    เบื้องหน้าแต่นั้นมา จึงพระเจ้าธรรมานุรุธผู้เสวยราชสมบัติ ณ เมืองอริมัตถบุรี
    คือเมืองภุกาม ออกไปจำลองพระไตรปิฎกในลังกาทวีปเชิญลงสำเภามายังชมพูทวีปนี้
    แต่นั้นมาพระปริยัติธรรมจึงแผ่ไพศาลไปในนานาประเทศทั้งปวง
    บรรดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ นับถือพระรัตนตรัยนั้น ได้จำลองต่อๆ กันไป
    เปลี่ยนแปลงอักษรตามประเทศภาษาของตนๆ ก็ผิดเพี้ยนวิปลาสไปบ้าง
    ทุกๆ พระคัมภีร์ที่มากบ้าง ที่น้อยบ้าง

    ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๒,๐๒๐ ปี
    จึงพระธรรมทินเถรเจ้าผู้เป็นมหาเถรอยู่ ณ เมืองนพีสีนคร คือเมืองเชียงใหม่
    พิจารณาเห็นว่าพระไตรปิฎกพิรุธมากทั้งบาลีและอรรถกถาฎีกา
    จึงถวายพระพรแก่พระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราช
    ซึ่งเสวยราชสมบัติ ณ เมืองเชียงใหม่ว่า
    จะชำระพระปริยัติธรรมให้บริบูรณ์
    พระเจ้าสิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราชจึงให้กระทำ
    พระมณฑปในมหาโพธารามวิหารในพระนคร
    พระธรรมทินเถรจึงเลือกพระสงฆ์ซึ่งทรงพระไตรปิฎกมากกว่า ๑๐๐
    ประชุมพร้อมกับในพระมณฑปนั้น
    กระทำสังคายนาพระไตรปิฎกตกแต้มให้ถูกถ้วนบริบูรณ์
    พระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราชเป็นศาสนูปถัมภก
    ปี ๑ จึงสำเร็จนับเนื่องเข้าในอัฏฐมสังคายนาอีกครั้งหนึ่ง

    เบื้องหน้าแต่นั้นมา พระเถรานุเถรในชมพูทวีปได้เล่าเรียนพระไตรปิฎก
    และสร้างสืบต่อกันมา และท้าวพระยาเศรษฐีคฤหบดีมีศรัทธาสร้างไว้ในประเทศต่างๆ
    คือเมืองไทย เมืองลาว เมืองเขมร เมืองพม่า เมืองมอญ
    เป็นอักษรส่ำสมผิดเพี้ยนกันอยู่เป็นอันมาก
    หาท้าวพระยาและสมณะผู้ใดที่จะศรัทธา
    สามารถอาจชำระพระไตรปิฎกขึ้นไว้ให้บริบูรณ์ดุจท่านแต่ก่อนนั้นมิได้

    ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๒,๓๐๐ ปีเศษแล้ว
    บรรดาเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งปวง
    ก็เกิดการยุทธสงครามแก่กันถึงพินาศฉิบหายด้วยภัยแห่งปัจจามิตร
    มีผู้ร้ายเผาวัดวาอารามพระไตรปิฎกก็สาบสูญสิ้นไป
    จนถึงกรุงศรีอยุธยาเก่าก็ถึงแก่กาลพินาศแตกทำลายด้วยภัยพม่าข้าศึก
    พระไตรปิฎกและพระเจดียสถานทั้งปวงก็เป็นอันตรายสาบสูญไป
    สมณะผู้รักษาร่ำเรียนพระไตรปิฎกนั้นก็พลัดพรากล้มตายเป็นอันมาก
    หาผู้ใดที่จะเป็นที่พำนักป้องกันข้าศึกศัตรูมิได้
    เหตุฉะนี้พระไตรปิฎกจึงมิได้บริบูรณ์ เสื่อมสูญร่วงโรยมาจนเท่ากาลทุกวันนี้

    พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว
    และสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ
    เมื่อได้ทรงสดับพระสงฆ์ราชาคณะถวายพระพรโดยพิสดาร
    ดังนั้น จึงดำรัสว่า ครั้งนี้ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวง
    จงมีอุตสาหะในฝ่ายพระพุทธจักรให้พระไตรปิฎกบริบูรณ์ขึ้นให้จงได้
    ฝ่ายข้างอาณาจักรที่จะเป็นศาสนูปถัมภกนั้น
    เป็นพนักงานโยมๆ จะสู้เสียสละชีวิตบูชาพระรัตนตรัย
    สุดแต่จะให้พระปริยัติบริบูรณ์เป็นมูลที่จะตั้งพระพุทธศาสนาจงได้

    พระราชาคณะทั้งปวงรับสาธุ แล้วถวายพระพรว่า
    อาตมภาพทั้งปวงมีสติปัญญาน้อยนัก ไม่เหมือนท่านแต่ก่อน
    แต่จะอุตส่าห์ชำระพระปริยัติธรรม สนองพระเดชพระคุณตามสติปัญญา
    และสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาครั้งนี้
    ก็นับได้ชื่อว่า นวมสังคายนา คำรบ ๙ ครั้ง
    จะยังพระปริยัติศาสนาให้ถาวรวัฒนายืนยาวไปในอนาคตสมัย สิ้นกาลช้านาน
    แล้วถวายพระพรลาออกมาประชุมพร้อมกัน ณ วัดบางว้าใหญ่
    จึงสมเด็จพระสังฆราชให้เลือกสรร พระราชาคณะ ฐานานุกรม เปรียญอันดับ
    ที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกในเวลานั้น จัดได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป
    กับราชบัณฑิตยาจารย์ ๓๒ คน ที่จะทำการชำระพระไตรปิฎก

    จึงมีพระราชดำรัสให้จัดการที่จะทำสังคายนา ณ วัดนิพพานาราม
    เหตุประดิษฐานอยู่หว่างพระราชวังทั้ง ๒
    และครั้งนั้นจึงพระราชทานนามใหม่ให้ชื่อวัดพระศรีสรรเพ็ชญดาราม
    แล้วทรงบริจาคพระราชทรัพย์ แจกจ่ายเกณฑ์พระราชวงศานุวงศ์
    และข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในทั้งพระราชวังหลวง พระราชวังบวรฯ พระราชวังหลัง
    ให้ทำสำรับคาวหวานถวายพระสงฆ์ซึ่งชำระพระไตรปิฎกทั้งเช้าทั้งเพล
    เวลาละ ๔๓๖ สำหรับทั้งคาวหวาน
    พระราชทานเป็นเงินตรา ค่าขาทนียโภชนียาหารสำรับคู่ละบาท

    ครั้น ณ วันกัตติกปุรณมี เพ็ญเดือน ๑๒ ในป็วอก สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๕๐
    พระพุทธศักราช ๒๓๓๑ พรรษา เป็นพุธวาร ศุกรปักษ์ดฤถี เวลาบ่าย ๓ โมง
    มีพระราชกำหนดให้นิมนต์พระสงฆ์ประชุมพร้อมกัน
    ในพระอุโบสถวัดพระศรีสรรเพ็ชญดารามแล้ว
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรฯ
    ก็เสด็จพระราชดำเนินด้วยมหันตราชอิสริยยศ บริวารยศ พร้อมด้วยเครื่องสูง
    และปี่กลองชนะแห่ออกจากพระราชวังไปยังพระอาราม
    เสด็จ ณ พระอุโบสถทรงถวายนมัสการพระรัตนตรัยด้วยเบญจางคประดิษฐ์
    แล้วอาราธนาพระพิมลธรรมให้อ่านคำประกาศเทวดาในท่ามกลางสงฆสมาคม
    ขออานุภาพเทพยดาเจ้าทั้งปวงให้อุปถัมภนาการให้สำเร็จกิจมหาสังคายนา
    แล้วให้แบ่งพระสงฆ์เป็น ๔ กอง

    สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก กอง ๑
    พระวันรัตเป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก กอง ๑
    พระพิมลธรรมเป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศส กอง ๑

    และครั้งนั้นพระธรรมไตรโลกเป็นโทษอยู่ มิได้เข้าในสังคายนา
    พระธรรมไตรโลกจึงมาอ้อนวอนสมเด็จพระสังฆราช
    ขอเข้าช่วยชำระพระไตรปิฎกด้วย ก็ได้เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎก กอง ๑

    และพระสงฆ์ทั้ง ๔ กองนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
    ให้นิมนต์แยกกันชำระพระปริยัติอยู่ ณ พระอุโบสถกอง ๑ อยู่ ณ พระวิหารกอง ๑
    อยู่ ณ พระมณฑปกอง ๑ อยู่ ณ การเปรียญกอง ๑
    ทรงถวายปากไก่หมึกหรดาลครบทุกองค์

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระอนุชาธิราช
    เสด็จพระราชดำเนินออกไป ณ พระอารามทุกๆ วัน วันละ ๒ เวลา
    เวลาเช้าทรงประเคนสำรับประณีตขาทนียโภชนียาหารแก่พระสงฆ์
    ให้ฉัน ณ พระระเบียงโดยรอบ
    เวลาเย็นทรงถวายอัฏฐบานธูปเทียนเป็นนิตย์ทุกวัน
    และพระสงฆ์ทั้งราชบัณฑิตประชุมกันพิจารณาดูพระปริยัติ
    สอบสวนพระบาลีกับอรรถกถาที่ผิดเพี้ยนวิปลาส
    ก็ตกแต้มเปลี่ยนแปลงอักขระให้ถูกถ้วนบริบูรณ์ทุกๆ พระคัมภีร์ใหญ่น้อยทั่วทั้งสิ้น
    และที่ใดสงสัยเคลือบแคลงก็ปรึกษาไต่ถามพระราชาคณะผู้ใหญ่
    ซึ่งเป็นมหาเถรให้วิสัชนาตัดสินที่ผิดและชอบ

    การชำระพระไตรปิฎกตั้งแต่ ณ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ปีวอก สัมฤทธิศก
    มาจนถึงวันเพ็ญเดือน ๕ ปีระกา เอกศก จุลศักราช ๑๑๕๑
    พอครบ ๕ เดือนก็สำเร็จการสังคายนา
    จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จำหน่ายพระราชทรัพย์
    เป็นมูลค่าจ้างให้ช่างจานคฤหัสถ์และพระสงฆ์สามเณร จารึกพระไตรปิฎก
    ซึ่งชำระบริสุทธิ์แล้วนั้นลงลานใหญ่สำเร็จแล้วให้ปิดทองทึบ
    ทั้งใบปกหน้าหลังและกรอบทั้งสิ้นเรียกว่าฉบับทอง
    ห่อด้วยผ้ายก เชือกรัดถักด้วยไหมเบญจพรรณ
    มีสลากงาแกะเป็นลวดลายเขียนอักษรด้วยน้ำหมึก
    และฉลากทอเป็นตัวอักษรบอกชื่อพระคัมภีร์ทุกๆ พระคัมภีร์

    อนึ่งเมื่อสำเร็จการสังคายนานั้น
    ทรงถวายไตรจีวรบริขารภัณฑ์แก่พระสงฆ์ทั้ง ๒๑๘ รูป
    มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน
    ล้วนประณีตทุกสิ่งเป็นมหามหกรรมฉลองพระไตรปิฎก
    และพระราชทานรางวัลเสื้อผ้าแก่พระยาธรรมปโรหิต
    พระยาพจนาพิมล และราชบัณฑิตทั้ง ๓๒ คนนั้นด้วย
    แล้วทรงสุวรรณภิงคารหล่อหลั่งทักษิโณทกธารา
    อุทิศแผ่ผลพระราชกุศลศาสนูปถัมภกกิจ
    ไปถึงเทพยดามนุษย์สรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วอนันตโลกธาตุ
    เป็นปัตตานุปทานบุญกริยาวัตถุอันยิ่งเพื่อประโยชน์แก่พระบรมโพธิสัพพัญญุตญาณ

    ครั้นเมื่อเสร็จการสร้างพระไตรปิฎกฉบับทองแล้ว
    ซึ่งให้เชิญพระคัมภีร์ทั้งปวงขึ้นพระยานุมาศ
    พระราชยานต่างๆ ตั้งกระบวนแห่สมโภชพระไตรปิฎก
    มีเครื่องเล่นเป็นอเนกนานานุประการ เป็นมหรสพแก่ตาประชาราษฎรทั้งปวง
    แล้วเชิญพระคัมภีร์ปริยัติธรรมเข้าประดิษฐานไว้ในตู้ประดับมุก
    ตั้งไว้ในหอพระมนเทียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดารามภายในพระราชวัง
    แล้วให้มีงานมหรสพสมโภชพระไตรปิฎก
    ณ หอพระมนเทียรธรรม ครั้งนั้นมีละครผู้หญิงด้วย'<O:p</O:p

    จากเรื่องราวของการสังคายนาครั้งนี้กล่าวได้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินการ นับแต่ทรงเป็นประธานสงฆ์ ถวายคำแนะนำแด่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชให้ทรงตระหนักถึงความสำคัญ ของการธำรงรักษาพระธรรมวินัย ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์
    เป็นเหตุให้ทรงพระราชวิริยะอุตสาหะ จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น และในการทำสังคายนา สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ก็ทรงแสดงพระปรีชาสามารถ
    โดยทรงเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การทำสังคายนาครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สมพระราชประสงค์ทุกประการ โดยการอำนวยการของสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) โดยแท้ นับเป็นพระเกียรติประวัติอีกประการหนึ่งของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น
    พระไตรปิฎกฉบับสังคายนาเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ นี้เอง ที่ได้เป็นแม่ฉบับสำหรับตรวจสอบในการจัดพิมพ์เป็นอักษรไทยครั้งแรก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ เป็นเล่มหนังสือจำนวน ๓๙ เล่ม ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ต่อมาในรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่งและเพิ่มเติมจนครบบริบูรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นเล่มหนังสือจำนวน ๔๕ เล่ม เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ดังที่ใช้เป็นแบบอยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน

    พระกรณียกิจพิเศษ

    สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๑ และสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ อีก ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศ และสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ครั้นทรงผนวชแล้ว สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จไปประทับอยู่วัดสมอราย(คือวัดราชาธิวาส ในปัจจุบัน) เพื่อทรงศึกษาสมณกิจในสำนัก พระปัญญาวิสาลเถร (นาค) ตลอด ๑ พรรษา แล้วจึงทรงลาผนวช

    พระอวสานกาล
    สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นเวลา ๑๒ ปี และทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ก็สิ้นพระชนม์เมื่อเดือน ๕ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๕๖ พุทธศักราช ๒๓๓๗ ในรัชกาลที่ ๑ รวมเวลาอยู่ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๑๒ ปี เช่นกัน ทรงมีพระชนมายุเท่าใดไม่ปรากฏชัด ในกฎพระสงฆ์กล่าวถึงพระองค์ว่า 'สมเด็จพระสังฆราชผู้เฒ่า' จึงน่าจะมีพระชนมายุสูงไม่น้อยกว่า ๘๐ พรรษา<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  17. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nontayan, chaiyaput, Indhus, สมาชิกธรรม, IT Man </TD></TR></TBODY></TABLE>สวัสดีครับทุกท่าน ผมขออนุญาตแทรกพระประวัติองค์สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ผู้ทรงสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 ของโลก ให้ทุกท่านทราบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. Indhus

    Indhus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +113

    น่าสนใจดี อุดมด้วยความรู้ กำลังติดตามอ่านอยู่ครับ แต่ขออ่านแบบสแกนไปก่อน :cool:
     
  19. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    รอดูรูปและการเดินเรื่องอยู่นะครับ (อิจฉาจัง):'(
     
  20. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ยินดีครับ..
    เรียนทุกๆท่าน ท่านนนต์มีความเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระสังฆราชศรี และสมเด็จฯท่านก็มีคุณูปการต่อพระมหากษัตริย์ไทยและเราชาวพุทธยิ่งครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...